วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE <p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์</strong><br /><strong>Journal of Education Buriram Rajabhat University</strong><br /><strong>ISSN (Print) : 2773-949X</strong><br /><strong>ISSN (Online) : 2773-966X</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong><br /> วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2564 มีการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย ซึ่งจะพิจารณารับตีพิมพ์บทความวิชาการและบทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับผลงานของนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์และนักศึกษาทั้งจากหน่วยงานภายใน ภายนอกมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อเป็นสื่อกลางรายงานความก้าวหน้าในงานวิชาการและผลงานวิจัย และเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทัศนะและข้อคิดเห็นทางด้านการศึกษา</p> <p><strong>ขอบเขตวารสาร: <br /></strong> ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทางด้านการศึกษา ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่: ปีละ 2 ฉบับ <br /></strong> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม–ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทของบทความ: <br /></strong> รับบทความ 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) <br /> โดยรับพิจารณาบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>นโยบายพิจารณากลั่นกรองบทความ:</strong><br /> วารสารรับพิจารณาบทความภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุมทางวิชาการหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น<br /><br /><strong>กระบวนการพิจารณากลั่นกรองบทความ:<br /></strong> บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Reviewer) อย่างน้อย 3 ท่าน ประเมินคุณภาพของบทความว่าอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมจะลงตีพิมพ์หรือไม่ และต้องผ่านอย่างน้อย 2 ใน 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review) โดยผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นที่สิ้นสุด</p> <p><strong>สงวนลิขสิทธิ์โดย:</strong> <br /> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เนื้อหา ผลการศึกษา ข้อความการอ้างอิง และความคิดเห็นที่ปรากฏในแต่ละบทความ ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงฝ่ายเดียว บรรณาธิการและผู้พิมพ์ไม่ต้องรับผิดชอบ</p> <p><strong> ทั้งนี้ </strong><strong>ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong>ในทุกขั้นตอนการดำเนินงานงานวารสาร</p> <p> </p> <p> </p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ th-TH วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2773-949X <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ลิขสิทธิ์เป็นของวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์&nbsp; อนุญาตให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและวิจัย ในวงการวิชาการ&nbsp; ไม่อนุญาตการใช้ประโยชน์เพื่อการแสวงหากำไร&nbsp;</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้แต่ง ซึ่งวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์&nbsp; ได้ประเมินคุณภาพตามหลักวิชาการ&nbsp; ผลกระทบอันเกิดจากความคิดเห็นของผู้แต่งเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่งเอง&nbsp;</p> การใช้หลักฟิสิกส์วิเคราะห์การเคลื่อนที่ของลูกเปตองและคำนวณความแม่นยำ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/276806 <p>บทความนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้การคำนวณแรงและการวัดระยะในกีฬาเปตอง ซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความแม่นยำในการโยนลูกให้ใกล้ลูกเป้ามากที่สุด การศึกษาเน้นการวิเคราะห์การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ โดยใช้สมการฟิสิกส์ในการคำนวณแรงเริ่มต้น ความเร็ว และมุมโยนที่เหมาะสม ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าปัจจัยต่างๆ เช่น แรงเสียดทานจากพื้นสนาม ความเร็วเริ่มต้น และมุมการโยน ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของลูกเปตองและระยะทางที่ลูกจะหยุด นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการเลือกใช้ประเภทของสนาม เช่น สนามกรวด สนามดิน และสนามหญ้า ที่มีแรงเสียดทานแตกต่างกัน รวมถึงการใช้เครื่องมือวัดระยะ เช่น เทปวัดระยะ และการวัดแรงเสียดทาน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินผลการแข่งขัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับคำนวณและการวัดระยะในกีฬาเปตอง และเสนอแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้เล่นโดยใช้ข้อมูลทางฟิสิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นและการฝึกซ้อม</p> ปณิตา คำพะทา คณิตา สกุลฮูฮา วรรณธิดา ยลวิลาศ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 85 101 10.14456/edubru.2024.14 การพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับก่อนชั้นประถมศึกษาด้วยการเล่านิทาน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/271202 <p>การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ด้วนการเล่านิทานสำหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับก่อนชั้นประถมศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นการเชิงทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเชิงเดี่ยว (Single Subject Design) รูปแบบ A-B-A ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาด้วยการเล่านิทาน กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้เรียนอยู่ในระดับก่อนชั้นประถมศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 1 คน อายุ 8 ปี ได้รับการวินิจฉัยขั้นต้นว่าเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ที่ 50-70 ได้แก่ ผู้เรียนที่เรียนอยู่ระดับก่อนชั้นประถมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 1 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน จำนวน 6 แผน หนังสือนิทานประกอบภาพ แบบวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า ทักษะทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับก่อนชั้นประถมศึกษาด้วยการเล่านิทาน ทั้ง 3 ระยะ คือระยะเส้นฐาน (A1) ระยะทดลอง (B) ระยะหลังการทดลอง (A2) ในระยะหลังการทดลองได้ดีกว่าระยะเส้นฐาน</p> จิราพร ฤาชัยราม ปาริชาติ ประเสริฐสังข์ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 1 15 10.14456/edubru.2024.8 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับสื่อประสม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/271620 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับสื่อประสม เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัด สกลนคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย เลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ จำนวน 1 ฉบับ มีข้อคำถามทั้งหมด 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกร่วมกับสื่อประสม เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub><sub> </sub>เท่ากับ 84.13/86.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?%5Cbar%7Bx%7D" alt="gif.latex?\bar{x}" /><strong> </strong>= 4.45, S.D.= 0.57)</p> วรรณภา โนนศิริ ปวีณา ขันธ์ศิลา ประภาพร หนองหารพิทักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 17 32 10.14456/edubru.2024.9 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/271626 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบเชิงรุก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสงเปลือยวิทยายน จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน แบบทดสอบวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย เลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก เรื่อง การหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 78.75/77.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การหาร โดยการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สุชานาถ ป้องมาตร ประภาพร หนองหารพิทักษ์ ปวีณา ขันธ์ศิลา Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 33 43 10.14456/edubru.2024.10 การพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/271929 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฯ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub> และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการพัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฯ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.07/81.88 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฯ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ชนม์กาลขวัญ ฐิรนันท์พา ขวัญฤดี ขติฌานัง โยธิน จ่าแท่นทะรังค์ อนล สวนประดิษฐ์ บรรพต วงศ์ทองเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 45 58 10.14456/edubru.2024.11 การประเมินโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของโรงเรียนมหาไชยพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/272198 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของโรงเรียนมหาไชยพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 2) ประเมินความพึงพอใจต่อโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของโรงเรียนมหาไชยพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ การวิจัยเชิงสํารวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน รวมจำนวน 133 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามประเมินโครงการ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 2) แบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการประเมินโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของโรงเรียนมหาไชยพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของโรงเรียนมหาไชยพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ฉวีวรรณ์ จันทร์สะอาด สายฟ้า หาสีสุข อิสระพล ปิ่นขจร Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 59 70 10.14456/edubru.2024.12 จิตรกรรมป่าหิมพานต์ภายใต้แรงบันดาลใจศิลปะขอมในจังหวัดบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/274786 <p>การสร้างสรรค์จิตรกรรมป่าหิมพานต์ภายใต้แรงบันดาลศิลปะขอมในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้รับแรงบันบาลใจมาจากความเชื่อเกี่ยวกับป่าหิมพานต์นำมาผสมผสานกับรูปแบบศิลปกรรมแบบขอมในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการศึกษาความงามของป่าหิมพานต์ รูปแบบศิลปะแบบขอมในจังหวัดบุรีรัมย์ นำมาพัฒนาสร้างสรรค์เป็นผลงานจิตรกรรม โดยมีการศึกษารวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ผลงานศิลปกรรมของศิลปิน จากนั้นจึงสร้างสรรค์ผลงานตามกระบวนการจิตรกรรม โดยได้เน้นสร้างผลงานให้ดูน่าค้นหา มีมิติที่หลากหลาย องค์ประกอบให้มีความซับซ้อนผสมผสานกับรูปแบบศิลปะขอม ทำให้ผลงานมีความแปลกใหม่สร้างความน่าสนใจให้กับผลงานมากยิ่งขึ้น ผลการสร้างสรรค์ ได้เกิดข้อค้นพบใหม่ คือการผสมผสานเรื่องราวเกี่ยวกับบรรยากาศของป่าหิมพานต์สร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบศิลปะขอม มีความแปลกใหม่น่าสนใจ</p> บุญฤทธิ์ สีดาหลง ทรงเกียรติ สมญาติ ภู่กัน เจ๊กไธสง Copyright (c) 2024 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-12-25 2024-12-25 4 2 71 83 10.14456/edubru.2024.13