วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE <p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์</strong><br /><strong>Journal of Education Buriram Rajabhat University</strong><br /><strong>ISSN (Online) : 2773-966X<br /><br /></strong><strong>วัตถุประสงค์:</strong><br /> วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2564 มีการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย ซึ่งจะพิจารณารับตีพิมพ์บทความวิชาการและบทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสาขาด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับผลงานของนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์และนักศึกษาทั้งจากหน่วยงานภายใน ภายนอกมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อเป็นสื่อกลางรายงานความก้าวหน้าในงานวิชาการและผลงานวิจัย และเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทัศนะและข้อคิดเห็นทางด้านการศึกษา<br /><br /><strong>ขอบเขตวารสาร: <br /></strong> ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทางด้านการศึกษา ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง<br /><br /><strong>กำหนดการเผยแพร่: ปีละ 2 ฉบับ <br /></strong> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม<br /><br /><strong>ประเภทของบทความ: <br /></strong> รับบทความ 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ (Academic articles) บทความปริทัศน์ (Review articles) <br /> โดยรับพิจารณาบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ<br /><br /><strong>นโยบายพิจารณากลั่นกรองบทความ:</strong><br /> วารสารรับพิจารณาบทความภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร เอกสารการประชุมทางวิชาการหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน (ยกเว้นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์) และไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอตีพิมพ์ในวารสารอื่น<br /><br /><strong>กระบวนการพิจารณากลั่นกรองบทความ:<br /></strong> บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง (Peer Reviewer) อย่างน้อย 3 ท่าน ประเมินคุณภาพของบทความว่าอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมจะลงตีพิมพ์หรือไม่ และต้องผ่านอย่างน้อย 2 ใน 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review) โดยผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวถือเป็นที่สิ้นสุด<br /><br /><strong>สงวนลิขสิทธิ์โดย:</strong> <br /> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เนื้อหา ผลการศึกษา ข้อความการอ้างอิง และความคิดเห็นที่ปรากฏในแต่ละบทความ ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงฝ่ายเดียว บรรณาธิการและผู้พิมพ์ไม่ต้องรับผิดชอบ<br /><br /><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์<br /></strong> อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ <strong>บทความละ 2,500 บาท</strong> โดยเป็นการเรียกเก็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น<br /> วารสารจะแจ้งการชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ <strong>เฉพาะบทความที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากกองบรรณาธิการ</strong> ให้เข้าสู่กระบวนการตรวจประเมินคุณภาพบทความในขั้นตอนต่อไป</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ลิขสิทธิ์เป็นของวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์&nbsp; อนุญาตให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและวิจัย ในวงการวิชาการ&nbsp; ไม่อนุญาตการใช้ประโยชน์เพื่อการแสวงหากำไร&nbsp;</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้แต่ง ซึ่งวารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์&nbsp; ได้ประเมินคุณภาพตามหลักวิชาการ&nbsp; ผลกระทบอันเกิดจากความคิดเห็นของผู้แต่งเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่งเอง&nbsp;</p> edujournal@bru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย ธีรภัคสิริ) korakoch.sk@bru.ac.th (อาจารย์ ดร.กรกช ศิลปกอบ) Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 จิตวิทยาเชิงบวกสำหรับวัยรุ่น : แนวคิด PERMA MODEL https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277058 <p>จิตวิทยาเชิงบวกเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของวัยรุ่น เพื่อให้เกิดความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี โดย PERMA Model เป็นกรอบแนวคิดของจิตวิทยาเชิงบวกที่ประกอบด้วย 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) อารมณ์เชิงบวก 2) การมีส่วนร่วม 3) ความสัมพันธ์ที่ดี 4) ความหมายในชีวิต และ 5) ความสำเร็จ โดยแนวคิดนี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของวัยรุ่น</p> พัชรี ถุงแก้ว, กรนาริน สาริยา, พงษ์พัฒน์ สมใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277058 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่องการคูณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับการคูณแบบจำลองพื้นที่ (Area Model) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277169 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการคูณ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับการคูณแบบจำลองพื้นที่ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในอำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 12 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับการคูณแบบจำลองพื้นที่ จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ แบบแผนการวิจัย คือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ซึ่งประกอบด้วย 3 วงจรปฏิบัติการได้แก่ วงจรปฏิบัติการที่ 1 ใช้แผน<br />การจัดการเรียนรู้ที่ 1-2 และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ แบบอัตนัย 2 ข้อ วงจรปฏิบัติการที่ 2 ใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3-4 และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ แบบอัตนัย 2 ข้อ วงจรปฏิบัติการที่ 3 ใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5-6 และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณ แบบอัตนัย 2 ข้อ 3) แบบบันทึกท้ายวงจร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเรื่อง การคูณโดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับการคูณแบบจำลองพื้นที่ (Area Model) ในวงจรการปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 72.40 ในวงจรปฏิบัติการที่ 2 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 81.25 ในวงจรปฏิบัติการที่ 3 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 90.63 จะเห็นว่า วงจรปฏิบัติการที่ 3 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ณัฎฐชัย ใจประสาน, วรรณธิดา ยลวิลาศ, สัญชัย ครบอุดม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277169 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 ศิลปะบนหน้าบันโบสถ์ ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277252 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศิลปะบนหน้าบันอุโบสถ หรือวิหาร ของวัดในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีในเชิงศิลปะ อันได้แก่ เนื้อหา ลวดลาย และวัสดุ และ 2) เพื่อศึกษาแง่มุมทางศาสนา อิทธิพลจากยุคสมัยที่ปรากฏบนศิลปะหน้าบันวัด ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีการกำหนดพื้นที่ในการวิจัยคือ วัดจำนวน 12 วัดด้วยวิธีการคัดเลือกจากสภาพความสมบูรณ์ของหน้าบัน ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และลงเก็บข้อมูลวิจัยด้วยเครื่องมือแบบบันทึกการสังเกต การสัมภาษณ์ การถ่ายภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลงานวิจัยตามวัตถุประสงค์ ผลการวิจัย พบว่าเนื้อหาที่ปรากฏบนหน้าบันพระอุโบสถมากที่สุดเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับรูปเคารพทาง ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ซึ่งประกอบไปด้วย พระนารายณ์ เทพนม และรูปเคารพทางศาสนาพุทธ ซึ่งประกอบไปด้วย ธรรมจักร รูปพระพุทธรูป โดยธรรมจักรจะปรากฏบนหน้าบันมากที่สุด รองลงมาคือ เนื้อหาเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งประกอบไปด้วย ลายดอกพุดตาน และลวดลายที่ถูกใช้ประดับภาพประธานมากที่สุด คือ ลายก้านขด อันประกอบไปด้วย ลายก้านขดออกช่อหางโต ช่อเทพพนม ช่อกนก ลวดลายที่เข้ามาประกอบหน้าบัน รองลงจากลายก้านขดเป็นลายเครือเถาดอกพุดตาน ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายพันธุ์พฤกษา ลายดอกบัว วัสดุที่ถูกใช้ประกอบสร้างหน้าบันเป็นลายปูนปั้นทั้งในส่วนของการลงรักปิดทอง ระบายสี ประดับกระจกสี จะมีปรากฏมากที่สุด และรองลงมาคือ ในส่วนของหน้าบันที่เป็นงานจำหลักไม้ มีการประดับตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง การประดับกระจกและการระบายสีด้วย และยังพบหน้าบันที่ประดับด้วยดินเผากระเบื้องเคลือบ แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏบนหน้าบันโบสถ์สะท้อนแง่มุมในเรื่องราวของคติความเชื่อทางศาสนา ทั้งพุทธและพราหมณ์ รวมทั้งเรื่องค่านิยมของการออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตามกาลเวลา ตามยุคสมัย สถาปัตยกรรมวัดวาอารามส่วนใหญ่จะเป็นแบบประเพณีนิยม ได้แก่ หลังคาที่มุงกระเบื้องประกอบไปด้วย ช่อ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ และหน้าบันยังคงเป็นเครื่องไม้แกะสลัก ลายปูนปั้น หรือประดับกระจก ลวดลายหน้าบันสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในชุมชนสิ่งแวดล้อม ค่านิยม ความเชื่อของคนในชุมชนที่รวมอยู่ในสถาปัตยกรรมภายใต้รูปลักษณ์ขององค์ประกอบในแต่ละส่วนนั้น ๆ โดยเฉพาะลวดลายหน้าบันโบสถ์ ซึ่งถือว่า สำคัญที่สุด มีความร่วมยุคร่วมสมัยกันในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์และอิทธิพลที่ส่งผลมาถึง</p> แกล้วทนง สอนสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277252 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277896 <p>การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการเสริมสร้างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 341 คน จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อของสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ตั้งแต่ 0.738-0.901 และ 0.651-0.817 ตามลำดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ อยู่ที่ 0.993 และ 0.986 ตามลำดับ ค่าสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาแบบครอนบาค และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ลำดับความต้องการจำเป็นเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านความสามารถในการทำความเข้าใจ ด้านความกระจ่างชัดเจน และด้านความคล่องตัว ว่องไว ตามลำดับ</p> ยุวดี สุวรรณ์, สุวัฒน์ จุลสุวรรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/277896 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น GBCTC Model รายวิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279029 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น (GBCTC Model) ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรายวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น (GBCTC Model) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรมย์บุรีพิทยาคมรัชมังคลาภิเษก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเคลื่อนที่ฮาร์มอนิกอย่างง่าย รายวิชาฟิสิกส์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการวิชาฟิสิกส์ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อรายวิชาฟิสิกส์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาฟิสิกส์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรายวิชาฟิสิกส์อยู่ในระดับมาก</p> วาสนาไทย วิเศษสัตย์, ชาญณรงค์ วิเศษสัตย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279029 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279076 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 <br />2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับก่อนเรียน ของนักเรียนที่ได้เรียนด้วยบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของศูนย์พัฒนาเครือข่ายการศึกษาแก้งสนามนาง 1 อำเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 15 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่มโดยวิธีการจับสลาก ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ชีวิตและครอบครัว 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนเป็นเครื่องมือในการวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐาน (t-Test Dependent) ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพของบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริงที่พัฒนาขึ้น เท่ากับ 82.67/83.56 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนจักรวาลนฤมิตเสมือนจริง เรื่อง ชีวิตและครอบครัว รายวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อัจฉราพันธ์ ไชยเทพา, อนล สวนประดิษฐ์, โยธิน จ่าแท่นทะรังค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279076 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ที่ส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279416 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังเรียนด้วยอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ของกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนและเพื่อน และกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนที่ส่งผลต่อการคิดเชิงคำนวณ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และเปรียบเทียบหลังเรียนของกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนและเพื่อน และกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนที่ส่งผลต่อการคิดเชิงคำนวณ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองปรือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำนวน 2 ห้อง ๆ ละ 30 คน รวม 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดการคิดเชิงคำนวณ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-Test Dependent และ One-Way MANNOVA ผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนที่เรียนด้วยอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ของกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนและเพื่อนมีคะแนนการคิดเชิงคำนวณ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่เรียนด้วยอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ของกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนมีคะแนนการคิดเชิงคำนวณ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนที่เรียนด้วยอีเลิร์นนิงแบบผสมผสานโดยใช้บันทึกสะท้อนการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ของกลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอนและเพื่อนมีคะแนนการคิดเชิงคำนวณ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่มีการสะท้อนกลับของผู้สอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธนนันท์ กระรัมย์, นุชจรี บุญเกต, ประชิต อินทะกนก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/BRUJE/article/view/279416 Tue, 10 Jun 2025 00:00:00 +0700