CMU Journal of Law and Social Sciences https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS <p><strong>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences</strong> ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ โดยเป็นวารสารที่มีการ<strong>ประเมินบทความก่อนตีพิมพ์ (refereed journal)</strong> โดยผู้ประเมินอย่างน้อยจำนวน 2 ท่าน ทั้งนี้ผู้ประเมินไม่เห็นชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบผู้ประเมิน (double blind review) มี<strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ</strong> ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม และมี<strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์เผยแพร่</strong> 2 ประเภท</p> <p>(1) บทความวิจัย บทความวิชาการ ที่นำเสนอองค์ความรู้ แนวคิด ทฤษฎี การวิจัย ข้อค้นพบใหม่ อันเกี่ยวเนื่องและครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ</p> <p>(2) บทความวิจารณ์หนังสือ (book review) หรือ บทความปริทัศน์ (review article) อันเกี่ยวเนื่องและครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ</p> <p>ทั้งนี้ สำหรับบทความ ประเภทบทความวิจารณ์หนังสือ (book review) หรือ บทความปริทัศน์ (review article) ซึ่งเป็นบทความประเภท Non Peer Review Content กองบรรณาธิการจะเป็นผู้พิจารณาคุณภาพบทความ หรืออาจพิจารณานำส่งบทความให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 1 คน เป็นผู้พิจารณาคุณภาพบทความตามความเหมาะสม (โดยหากเป็นการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ กองบรรณาธิการจะพิจารณาจากความเชี่ยวชาญที่ตรงกับสาขาของบทความเป็นหลัก ผู้พิจารณาบทความ และผู้เขียน อาจมีต้นสังกัดเดียวกันหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ดี การประเมินคุณภาพบทความจะดำเนินการโดยปิดบังชื่อผู้เขียน และผู้พิจารณาบทความ) </p> <p>สนใจจัดส่งบทความ กรุณาศึกษา จากคู่มือการจัดทำบทความ <strong><a href="https://drive.google.com/file/d/1h1m24wjv4Yx1DFmHQd7Z5cbto1EckQFs/view?usp=sharing">ดาวน์โหลด คลิก</a></strong></p> <p>ISSN 2672-9245 (Online) </p> <p>...</p> <p>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences เริ่มตีพิมพ์ครั้งแต่ในปี 2546 โดยใช้ชื่อ วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 1 ฉบับ มกราคม - ธันวาคม และมีการตีพิมพ์ต่อเนื่องเป็นจำนวน 4 ปี ระหว่าง 2546-2549 หลังจากนั้นหยุดไป 5 ปี กลับมาเริ่มตีพิมพ์อีกครั้งในปี 2555 ซึ่งมีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม วารสารฯ ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ในปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. พ.ศ. 2558) ต่อมาในปี 2559 กองบรรณาธิการวารสารนิติสังคมศาสตร์ฯ ได้พัฒนาวารสาร และนำวารสารฯ เข้าสู่ฐานข้อมูล TCI (Thai Journal Citation Index) ได้สำเร็จ หลังจากนั้น ในปี 2562 ยกเลิกชื่อวารสารภาษาไทย คือ 'วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่', ISSN (เดิม): 1685-9723 และ E-ISSN (เดิม): 2586-9604 และเริ่มใช้เฉพาะชื่อวารสารภาษาอังกฤษ ‘CMU Journal of Law and Social Sciences’ E-ISSN: 2672-9245 ตั้งแต่ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2562 (Vol.12 No.1 2019) เป็นต้นไป</p> <p>...</p> <p><strong>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences</strong> ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการ ตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</p> คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ th-TH CMU Journal of Law and Social Sciences 2672-9245 <p>O ความคิดเห็นใดๆ ที่ลงตีพิมพ์ใน CMU Journal of Law and Social Sciences เป็นของผู้เขียน (ความคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน กองบรรณาธิการ CMU Journal of Law and Social Sciences ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย)</p> <p>O กองบรรณาธิการ CMU Journal of Law and Social Sciences ไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกแต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มาด้วย</p> บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เรื่อง Terrorism and International Law: Accountability, Remedies, and Reform https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279169 สรายุธ รัศมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 282 295 การศึกษากฎหมายเชิงมานุษยวิทยา: วิธีวิทยาและคุณูปการต่อวิชาการกฎหมาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279333 <p>การศึกษากฎหมายเชิงมานุษยวิทยาเป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์กฎหมายและมานุษยวิทยา โดยศึกษาปรากฏการณ์ทางกฎหมายผ่านแนวคิด ทฤษฎี และระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยา บทความนี้ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการศึกษากฎหมายแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นเฉพาะตัวกฎหมายและสถาบันทางกฎหมายที่เป็นทางการ ซึ่งไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อนได้อย่างมีพลัง โดยเสนอแนวทางการศึกษากฎหมายเชิงมานุษยวิทยา เช่น การศึกษากฎหมายเชิงชาติพันธุ์วรรณาและการศึกษากฎหมายจากเรื่องเล่าชีวิตของผู้คน ซึ่งช่วยเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับชีวิตประจำวันของผู้คนที่หลากหลายเข้ามาช่วยแก้ไขข้อจำกัดและเติมเต็มการศึกษากฎหมายแบบดั้งเดิม บทความนี้แสดงให้เห็นว่าการศึกษาแนวนี้สามารถช่วยขยายขอบเขตของการศึกษากฎหมายให้ครอบคลุมสถาบันทางสังคมที่หลากหลาย ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ทางกฎหมายทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น การศึกษากฎหมายเชิงมานุษยวิทยาจึงมีคุณูปการสำคัญต่อวิชาการกฎหมายและช่วยสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับบทบาทของกฎหมายในสังคมที่ซับซ้อน</p> สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 1 31 อำนาจละมุนของกฎหมาย: การเมืองเชิงวัฒนธรรมในกฎหมาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279738 <p>กฎหมายมิได้มีเพียงอำนาจที่แข็งกร้าวในลักษณะของการข่มขู่ด้วยโทษและชักนำด้วยผลประโยชน์เท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยอำนาจละมุนของกฎหมาย ที่เป็นพลังดึงดูดให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายด้วยขุมกำลังของอำนาจละมุนทางกฎหมายประกอบไปด้วยวัฒนธรรมทางกฎหมาย ระบบคุณค่าทางกฎหมาย และการกำหนดนโยบายทางกฎหมาย ทั้งนี้ ขบวนการศึกษากฎหมายกับมนุษยศาสตร์ได้วางรากฐานอย่างสำคัญในการริเริ่มศึกษากฎหมายด้วยความรู้สึก โดยในยุคข้อมูลข่าวสาร อำนาจละมุนทางกฎหมายยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการต่อสู้และต่อรองทางวัฒนธรรมกฎหมาย ในอดีตประเทศไทยเคยดำเนินนโยบายวัฒนธรรมทางเนติธรรมในช่วงสมัยการปกครองของคณะราษฎร แต่ถูกลดความสำคัญลงไปหลังทศวรรษ 2490 นอกจากนี้ อำนาจละมุนทางกฎหมายยังมีลักษณะเป็นพลวัตที่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมการเมืองอยู่ตลอดเวลา </p> กฤษณ์พชร โสมณวัตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 32 56 จากปรากฎการณ์ 112 ริกเตอร์ถึงข้อเสนอทะลุเพดาน: ผลสะเทือนทางการเมืองจากการรื้อฟื้นอุดมการณ์ของคณะราษฎรเพื่อต่อต้านการครองอำนาจนำของระบอบตุลาการภิวัฒน์หลัง พ.ศ. 2549 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/278516 <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอบทวิเคราะห์ด้านปฏิสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างระบอบตุลาการภิวัฒน์ในฐานะผู้สร้างการครองอำนาจนำ (hegemony) และกลุ่มการเมืองอัตลักษณ์ที่ยึดโยงกันผ่านอุดมการณ์ของคณะราษฎรในฐานะผู้ท้าทาย (Counter hegemony) โดยเริ่มจากการตั้งคำถามต่อการลุกฮือของขบวนการทางสังคมใน พ.ศ. 2563 ที่มุ่งรื้อถอนอำนาจในเชิงโครงสร้างจาก “ข้อเสนอทะลุเพดาน” ซึ่งปรากฎร่องรอยความเชื่อมโยงบางประการกับการเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์และกลุ่มเครือข่ายในประเด็นการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อันมาพร้อมกระแสการรื้อฟื้นอุดมคติแห่งการปฏิวัติสยามของ “คณะราษฎร 2475” ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ทั้งยังเป็นการชี้ว่ากลุ่มพลังทั้งสองต่างมีที่มาในการต่อต้านการใช้อำนาจรัฐในลักษณะเดียวกันที่เรียกว่า “ระบอบตุลาการภิวัฒน์”</p> <p>ทั้งนี้ การครองอำนาจนำของระบอบตุลาการภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2549 นั้นกลับมิได้เกิดขึ้นในจากวาทกรรม (discourse) หรืองานวิชาการกระแสหลักที่สร้างขึ้นเท่านั้น แต่ค่อยๆ ถูกประกอบสร้างขึ้นอย่างจงใจ โดยเป็นผลจากความร่วมมือของกลุ่มพลังทางการเมืองอันหลากหลายที่ใช้ตุลาการภิวัฒน์เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาอำนาจนำทางการเมือง และเมื่อลงหลักปักฐานหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้สำเร็จ จึงถูกท้าทายโดยกลุ่มพลังจากคณะนิติราษฎร์และเครือข่าย ที่แม้ว่าข้อเสนอของพวกเขาจะไม่ได้รับการตอบรับในบริบทเริ่มต้น แต่เครือข่ายบางส่วนได้แปรเปลี่ยนเป็นพรรคอนาคตใหม่ที่ส่งผลสะเทือนทางการเมืองในหลายกรณี เช่น การทำให้ประเด็นกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าสู่พื้นที่สาธารณะ (sensitizing impact) แม้ส่วนหนึ่งร่องรอยทางความคิดของพวกเขาจะถูกขับเคลื่อนต่อโดยขบวนการทางสังคมใน พ.ศ. 2563 หลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ แต่จะเห็นได้ว่าผลสะเทือนที่เกิดขึ้นในเชิงลบอย่างสำคัญคือ การทำให้กฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าสู่พื้นที่สาธารณะกลับไม่ทำให้การใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวลดน้อยลง เช่นเดียวกับระบอบตุลาการภิวัฒน์ยังคงมีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ</p> จาตุรงค์ สุทาวัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 57 82 การใช้หลักศาสนาฟื้นฟูเด็กและเยาวชน: เปรียบเทียบไทยกับสก็อตแลนด์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/277377 <p>บทความนี้ทำการเปรียบเทียบระหว่างเรือนจำเยาวชน Polmont ในสก็อตแลนด์ สหราชอาณาจักร<a href="#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 7 เชียงใหม่ ประเทศไทย<a href="#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> ในด้านของการฟื้นฟูโดยใช้หลักทางศาสนา ทั้งสถาบันต่างก็มีเป้าหมายอย่างเดียวกันคือการบำบัดฟื้นฟูเยาวชนผู้กระทำความผิด อายุระหว่าง 16 ถึง 24 ปี<a href="#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> ทั้งยังมีแนวทางปรัชญาการฟื้นฟูที่คล้ายกันในการควบคุมวินัยของเด็กและเยาวชน ซึ่งปรัชญาทางสังคมวิทยาและจิตวิทยาของอาชญากรรมเป็นตัวกำหนดสำคัญต่อบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำความผิดเยาวชน</p> <p>กล่าวได้ว่าทั้งศูนย์ฝึก ฯ เชียงใหม่ และเรือนจำเยาวชน Polmont ต่างก็ส่งเสริมการฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้หรือการฝึกทักษะทางวิชาชีพ อย่างไรก็ตามทั้งสองสถาบันก็มีความแตกต่างกันในด้านของการใช้ศาสนาในการประยุกต์มาช่วยฟื้นฟูพฤติกรรมของเยาวชน โดยเรือนจำเยาวชน Polmont ให้สิทธิเยาวชนแต่ละคนในการเลือกศาสนาของตน แต่ในศูนย์ฝึกฯ จะนำศาสนาพุทธมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเป็นหลักในการฟื้นฟูพฤติกรรม แม้ว่าวิธีการบำบัดฟื้นฟูเช่นนั้นจะยังไม่เพียงพอก็ตาม การศึกษาของ Thomas Arnold นักปฏิรูปการศึกษาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงได้ใช้ศาสนาและศีลธรรมเพื่อชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของทั้งสองเรือนจำ เพื่อเปลี่ยนแปลงศีลธรรมในตัวผู้กระทำความผิดเด็กและเยาวชนให้สำเร็จ</p> อเล็กแซนเดอร์ ซือตอฟ วัลย์นภัสร์ เจนร่วมจิต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 83 113 Legal Implications of Adultery: A Comparative Study of Thai and Cambodian Law https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279983 <p>This study investigates the legal implications of adultery in Thailand and Cambodia, two Southeast Asian nations with shared Theravada Buddhist roots but divergent legal approaches to marital infidelity. The study aims to compare how both countries address adultery through their legal systems and examine whether these approaches align with principles of religion, culture, and international human rights.</p> <p>This research applies a comparative legal methodology, drawing on statutory law, court decisions, scholarly literature, and international human rights instruments, including the UDHR, ICCPR, CEDAW, CRC, and CRMW. The study also examines general comments, concluding observations, shadow reports, and opinions from legal scholars and NGOs to interpret the legal treatment of adultery.</p> <p>In Thailand, adultery is treated as a civil matter under the Civil and Commercial Code, allowing the aggrieved spouse to file for divorce and seek compensation for emotional distress, with no criminal penalties imposed. This approach emphasizes personal responsibility and aligns with international human rights principles. In contrast, Cambodia adopts both civil and criminal measures. Adultery is criminalized under the Law on Monogamy (2006), which includes penalties such as imprisonment and fines. These punitive measures raise concerns about state intrusion into private life, gender bias, and lack of civil compensation mechanisms for victims.</p> <p>The study recommends that Cambodia consider decriminalizing adultery to align with modern human rights standards. For Thailand, it proposes strengthening financial deterrents by increasing compensation under Section 1523 of the Civil and Commercial Code to better reflect the emotional and reputational harm suffered by the innocent spouse.</p> Nonglak Arnee Juntratip Sukhum Ith Ratanak Teerapong Nuchaikaew ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 114 153 มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมมลพิษไมโครพลาสติกจากการระบายน้ำทิ้งของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้า https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279207 <p>ในยุคปัจจุบันการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์สามารถก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือปัญหาการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำและมหาสมุทร ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากการระบายน้ำทิ้งของผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าจึงถือเป็นอีกแหล่งกำเนิดมลพิษที่แน่นอนที่มีผลต่อปริมาณการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในทรัพยากรน้ำจนกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รัฐสามารถเข้ามามีบทบาทในการใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าเพื่อลดมลพิษไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมได้ บทความฉบับนี้จึงมุ่งศึกษามาตรการทางกฎหมายที่ใช้ควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยพิจารณาถึงพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ที่เดิมมีเพียงบทบาทในควบคุมดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้ทำ ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายซึ่งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่จากปัญหามลพิษไมโครพลาสติกจึงทำให้ผู้ผลิตควรต้องเข้ามามีบทบาทในการใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ที่คำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่อสิ่งแวดล้อม โดยศึกษาเปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายของประเทศอังกฤษที่ได้ริเริ่มตราร่างพระราชบัญญัติตัวกรองไมโครพลาสติก (เครื่องซักผ้า) และประเทศฝรั่งเศสที่มีบทบัญญัติเฉพาะเกี่ยวกับการจัดการของเสียและเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งทั้งสองประเทศใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีการบังคับใช้ตัวกรอง ไมโครพลาสติกกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้า อันเป็นมาตรการต้นทางที่จะควบคุมผู้ทำ นำเข้า และจำหน่ายซึ่งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้า และบทความนี้ยังศึกษาถึงมาตรการส่งเสริมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเป็นมาตรการที่ใช้บังคับแก่ผู้บริโภคอันเป็นมาตรการปลายทางซึ่งพิจารณาตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 อันเป็นกฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขและกระบวนการในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุของหน่วยงานราชการ ที่จะใช้เป็นอีกเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาผ่านการส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐใช้พัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้รัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบายและมาตรการทางกฎหมายจึงควรมีหน้าที่ในการสร้างความตระหนักในปัญหามลพิษไมโครพลาสติกจากการระบายน้ำทิ้งจากเครื่องซักผ้าและการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> พิมพ์ขวัญ จุลพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 154 194 การจัดเก็บภาษีความหวานจากอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ในประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279280 <p>โครงการวิจัยเรื่องการจัดเก็บภาษีความหวานจากอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงเอกสารร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมุ่งเน้นศึกษาเอกสารต่าง ๆ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมาและการจัดเก็บภาษีความหวานจากอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในประเทศไทย ผ่านการวิเคราะห์หลักกฎหมายและมาตรการทางภาษีของการบังคับใช้ภาษีความหวานจากอาหารและเครื่องดื่มรสหวานที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนหามาตรการทางภาษีที่เหมาะสมต่อการจัดเก็บภาษีความหวานจากอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพในประเทศไทย โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชากรเป้าหมายของการวิจัย กล่าวคือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ภาษีความหวานในพื้นที่วิจัยโดยตรง ได้แก่ พ่อค้าแม่ค้าตามร้านข้างทาง ประชาชนที่สนใจเข้าร่วม ผู้ประกอบการกิจการโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่มรสหวานที่ใช้ส่วนผสมน้ำตาล รวมทั้งสิ้น 10 คน ภายในระยะเวลา 12 เดือน ผลการศึกษาพบว่า แม้ประเทศไทยจะเริ่มใช้มาตรการภาษีความหวานเพื่อลดอัตราการบริโภคน้ำตาลและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีข้อกังวลจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับการบังคับใช้และผลกระทบทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายภาษีความหวานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรมีบทบัญญัติทางกฎหมายที่ชัดเจนควบคู่กับการรณรงค์เชิงรุก เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพในประชาชนอย่างยั่งยืน</p> พรเพ็ญ ไตรพงษ์ เพ็ชรัตน์ ไสยสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 195 219 บทเรียนจากผลกระทบในการใช้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต่อการประมงพื้นบ้านสู่ข้อเสนอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชกำหนดการประมง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/279437 <p>บทความวิจัยนี้มีขึ้นเพื่อทำความเข้าใจ และศึกษาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม รวมไปถึงหาทางแก้ไขปัญหาการจัดการประมงขนาดเล็กหรือการประมงพื้นบ้าน เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการประมงอย่างยั่งยืน และการป้องกันและขจัดปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและการควบคุม (IUU fishing) และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล เนื่องจากบทบัญญัติของกฎหมายที่ประเทศไทยได้บังคับใช้เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องการจัดการทรัพยากรประมง แม้จะได้ลดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายแต่กลับส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ทำประมงพื้นบ้านในการประกอบอาชีพให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอใบอนุญาตทำการประมง และอุปกรณ์ประมงที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย และการทำประมงในเขตพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต โดยปัญหานี้เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหา IUU ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าแต่อาจต้องมีการรับฟังข้อมูลจากผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง</p> <p>การวิจัยนี้ มีการศึกษามาตรการทางกฎหมายของประเทศไทย และหลักกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรทางทะเลของประเทศไทย และสัมภาษณ์ข้อมูลจากกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน กรมประมง และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงานของรัฐผู้กำหนดและใช้บังคับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการประมง และต่อชาวประมงพื้นบ้านผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงศึกษาแนวทางเลือกเพื่อสร้างรายได้อื่นแก่ชาวประมงผู้สูญเสียโอกาสในการประมงจากการได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายภายใต้พระกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 แก้ไข พ.ศ. 2560 เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ตามพันธกรณีในกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ เพื่อเสนอแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม มุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์ต่อชาวประมง ผู้บริโภคและต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals 2015)</p> นวพร เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 220 251 วิเคราะห์คำพิพากษาศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปในคดี Lassana Diarra and FIFPRO v FIFA and URBSFA: กรณีการคุ้มครองเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในสหภาพยุโรป https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/278273 <p>แม้ได้มีการวางระเบียบเพื่อดำรงการรักษาเสถียรภาพในสัญญาและปกป้องความถูกต้องชอบธรรมในวงการกีฬาฟุตบอลสากลภายใต้การกำกับดูแลกีฬาฟุตบอลนานาชาติของ ฟีฟ่าแต่ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปได้มีคำพิพากษาซึ่งคุ้มครองเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาในสหภาพยุโรป ในขณะที่นักกีฬาได้ย้ายออกก่อนสัญญาจะหมดอายุ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบคลุมไปถึงนักฟุตบอลอาชีพพึงมีสิทธิในเสรีภาพการเดินทางของคนทำงานภายในสหภาพยุโรป การยอมรับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปไม่เพียงแต่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น เช่น การปกป้องเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานในสหภาพยุโรป แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิในการอนุญาตให้ผู้เล่นฟุตบอลอาชีพเดินทางภายในหรือระหว่างประเทศอย่างเสรี รวมทั้งเลือกสถานที่ทำงานและสถานที่สมาคมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมของสโมสรกีฬาฟุตบอลได้อีกด้วย บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาคำพิพากษาที่วางหลักเกณฑ์ยืนยันว่ากฎระเบียบว่าด้วยการโอนย้ายนักกีฬาฟุตบอลข้ามสโมสรของฟีฟ่าได้ละเมิดสิทธิในเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของสหภาพยุโรป โดยวิเคราะห์จากมุมมองของคำพิพากษาของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปในคดีที่ C-650/22 Lassana Diarra and FIFPRO v FIFA and URBSFA โดยบทความฉบับนี้เพิ่มส่วนวิเคราะห์ที่สำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครองเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานของนักกีฬาฟุตบอลอาชีพในสหภาพยุโรปภายในกฎหมายของสหภาพยุโรป ขณะเดียวกันก็นำเสนอประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับการปรับใช้ของมาตรา 45 และมาตรา 101 ของสนธิสัญญาว่าด้วยการดำเนินงานของสหภาพยุโรป</p> ปีดิเทพ อยู่ยืนยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2025-06-30 2025-06-30 18 1 252 281