CMU Journal of Law and Social Sciences https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS <p><strong>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences</strong> ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ โดยเป็นวารสารที่มีการ<strong>ประเมินบทความก่อนตีพิมพ์ (refereed journal)</strong> โดยผู้ประเมินอย่างน้อยจำนวน 2 ท่าน ทั้งนี้ผู้ประเมินไม่เห็นชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบผู้ประเมิน (double blind review) มี<strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ</strong> ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม และมี<strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์เผยแพร่</strong> 2 ประเภท</p> <p>(1) บทความวิจัย บทความวิชาการ ที่นำเสนอองค์ความรู้ แนวคิด ทฤษฎี การวิจัย ข้อค้นพบใหม่ อันเกี่ยวเนื่องและครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ</p> <p>(2) บทความวิจารณ์หนังสือ (book review) หรือ บทความปริทัศน์ (review article) อันเกี่ยวเนื่องและครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมายทุกสาขา เช่น กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆ</p> <p>ทั้งนี้ สำหรับบทความ ประเภทบทความวิจารณ์หนังสือ (book review) หรือ บทความปริทัศน์ (review article) ซึ่งเป็นบทความประเภท Non Peer Review Content กองบรรณาธิการจะเป็นผู้พิจารณาคุณภาพบทความ หรืออาจพิจารณานำส่งบทความให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 1 คน เป็นผู้พิจารณาคุณภาพบทความตามความเหมาะสม (โดยหากเป็นการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ กองบรรณาธิการจะพิจารณาจากความเชี่ยวชาญที่ตรงกับสาขาของบทความเป็นหลัก ผู้พิจารณาบทความ และผู้เขียน อาจมีต้นสังกัดเดียวกันหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ดี การประเมินคุณภาพบทความจะดำเนินการโดยปิดบังชื่อผู้เขียน และผู้พิจารณาบทความ) </p> <p>สนใจจัดส่งบทความ กรุณาศึกษา จากคู่มือการจัดทำบทความ <strong><a href="https://drive.google.com/file/d/1h1m24wjv4Yx1DFmHQd7Z5cbto1EckQFs/view?usp=sharing">ดาวน์โหลด คลิก</a></strong></p> <p>ISSN 2672-9245 (Online) </p> <p>...</p> <p>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences เริ่มตีพิมพ์ครั้งแต่ในปี 2546 โดยใช้ชื่อ วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 1 ฉบับ มกราคม - ธันวาคม และมีการตีพิมพ์ต่อเนื่องเป็นจำนวน 4 ปี ระหว่าง 2546-2549 หลังจากนั้นหยุดไป 5 ปี กลับมาเริ่มตีพิมพ์อีกครั้งในปี 2555 ซึ่งมีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม วารสารฯ ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ในปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. พ.ศ. 2558) ต่อมาในปี 2559 กองบรรณาธิการวารสารนิติสังคมศาสตร์ฯ ได้พัฒนาวารสาร และนำวารสารฯ เข้าสู่ฐานข้อมูล TCI (Thai Journal Citation Index) ได้สำเร็จ หลังจากนั้น ในปี 2562 ยกเลิกชื่อวารสารภาษาไทย คือ 'วารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่', ISSN (เดิม): 1685-9723 และ E-ISSN (เดิม): 2586-9604 และเริ่มใช้เฉพาะชื่อวารสารภาษาอังกฤษ ‘CMU Journal of Law and Social Sciences’ E-ISSN: 2672-9245 ตั้งแต่ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2562 (Vol.12 No.1 2019) เป็นต้นไป</p> <p>...</p> <p><strong>วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences</strong> ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมการ ตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</p> คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ th-TH CMU Journal of Law and Social Sciences 2672-9245 <p>O ความคิดเห็นใดๆ ที่ลงตีพิมพ์ในวารสารนิติสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นของผู้เขียน (ความคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน กองบรรณาธิการวารสารนิติสังคมศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย)</p> <p>O กองบรรณาธิการ&nbsp;CMU Journal of Law and Social Sciences ไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกแต่ให้อ้างอิงแหล่งที่มาด้วย</p> อุดมการณ์ทางกฎหมาย: คำพิพากษาศาลล่างในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศึกษากรณีการชุมนุมสาธารณะ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/272342 <p>“ผู้พิพากษาตัดสินไปตามกฎหมาย” เป็นคำที่นักกฎหมายต่างวางใจในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร และความเป็นกลางขององค์กรตุลาการ แต่ความยุติธรรมแท้จริงมันคืออะไรในปรากฏการณ์คดีการเมือง หลังปรากฏการณ์ในการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ของราษฎรทั่วประเทศในช่วงปี 2563-2565 แสดงถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลและเรียกร้องในประเด็นสิทธิ เสรีภาพต่าง ๆ คู่ขนานไปกับเหตุการณ์โรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้รัฐบาลเลือกการประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินฯ ทุกเขตท้องที่ทั่วประเทศ เพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดโรคและขยายเวลาออกไปยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ส่งผลให้เกิดการดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดฉุกเฉินเนื่องจากการชุมนุมสาธารณะจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งท้าทายต่ออำนาจและความ “เป็นกลาง” ของผู้พิพากษาในการพิพากษาคดีการเมืองเหล่านี้ โดยผู้เขียนได้โต้แย้งความเข้าใจโดยทั่วไปว่าผู้พิพากษามีความเป็นกลาง แต่ในความเป็นจริงในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาล้วนมีเงื่อนไข บริบทภายนอกที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญที่ทำให้เกิดคำพิพากษาที่แตกต่างกันออกไป</p> <p> บทความนี้มีความพยายามไขความน่าสงสัยของคำพิพากษา วิเคราะห์เหตุผลและแนวคิดจากคำพิพากษาคดีฝ่าฝืนพระราชกำหนดฉุกเฉิน จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยในช่วงเวลา พ.ศ. 2563-2565 ที่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ฯ ในประเทศไทยจากเหตุการณ์โรคแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของความคิดจากเหตุผลในคำพิพากษาและการวินิจฉัยลงโทษและยกฟ้อง สะท้อนถึงความไม่เป็นบรรทัดฐาน มีความแกว่งไปมาว่าคำพิพากษานั้นควรมี “อุดมการณ์” ต่อสิ่งใด</p> วัลย์นภัสร์ เจนร่วมจิต Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 1 29 ตุลาการ ปราบดาภิเษก และรัฐประหาร: บทวิพากษ์และข้อสังเกตต่อความสัมพันธ์ทางจารีตและการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร ในงานวิจัยของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/275525 <p>การรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารเป็นประเด็นการศึกษาที่มีความสนใจในวงวิชาการด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยและซ้ำ ๆ งานวิจัยเรื่อง การทำให้รัฐประหารหมดไปด้วยมาตรการทางกฎหมายและการเปลี่ยนบรรทัดฐานของศาลไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตุลาการกับการรัฐประหารในประเด็นเรื่องการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร โดยงานวิจัยฉบับนี้พยายามสร้างคำอธิบายปรากฏการณ์ยอมรับและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐประหารโดยองค์กรตุลาการผ่านความสัมพันธ์ทางจารีตในสังคมไทย แต่คำอธิบายที่ปรากฏในงานวิจัยนี้สะท้อนความไม่ชัดเจนของความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตุลาการและการรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารจากเหตุผลทางจารีตในสังคมไทย โดยไม่ได้มองมิติความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของจารีตและการรัฐประหาร ความไม่ชัดเจนดังกล่าวนำมาสู่การอภิปรายในทางวิชาการ ซึ่งบทความฉบับนี้ต้องการนำเสนอข้อวิพากษ์และข้อสังเกตต่องานวิจัยในประเด็นดังกล่าว</p> เขมภัทร ทฤษฎิคุณ Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 30 63 สภาวะยกเว้นถาวรภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/274283 <p>บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงแนวคิดทฤษฎีของสภาวะยกเว้นซึ่งปรากฏอยู่ในระบบกฎหมายไทย โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับ บางมาตรา รวมถึงการยกเว้นสิทธิเสรีภาพเป็นการชั่วคราว และนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายอีกระบบหนึ่ง เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับรัฐหรือฝ่ายความมั่นคงใช้แก้ไขปัญหาระหว่างที่มีสภาวะวิกฤตให้ทุเลาลง โดยที่ผ่านมาการอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบของสภาวะยกเว้นต่อระบบกฎหมายและสิทธิเสรีภาพของประชาชน พบว่า ปัญหาสำคัญของสภาวะยกเว้นคือการเกิดขึ้นของสภาวะยกเว้นเทียมอันนำไปสู่สภาวะยกเว้นถาวร อันส่งผลให้รัฐหรือฝ่ายความมั่นคงสามารถยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับ บางมาตรา รวมถึงการยกเว้นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเสมือนเป็นการถาวร โดยเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจบพบได้ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 นั้น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยเหตุดังกล่าวมีระยะเวลายาวนาน ทั้งที่สถานการณ์การแพร่ระบาดทุเลาลงเป็นลำดับ อีกทั้งมีวัคซีนที่สามารถใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคแจกจ่ายให้กับประชาชนได้โดยทั่วไป ในขณะเดียวกันนั้นเองรัฐก็สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายปรกติได้แต่กลับยังคงประกาศสถานการณ์สถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวต่อไปเป็นระยะเวลายาวนานจนเกิดข้อวิจารณ์ว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว อาจนำไปสู่การสถาปนาระบอบเผด็จการ ซึ่งสะท้อนผ่านการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เช่น การควบคุมสื่อ การห้ามชุมนุม การสลายการชุมนุม เป็นต้น จากกรณีดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีลักษณะเป็นการถาวรหรือสภาวะยกเว้นถาวร ดังนั้น จึงต้องหามาตรการหรือกลไกทางกฎหมายในการป้องกันมิให้เกิดบิดผันการใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้นอีก ซึ่งสามารถทำได้โดยการสร้างกลไกในทางกฎหมายเพื่อควบคุมตรวจสอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉิน การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงกำหนดให้รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบในกรณีเกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชนจากการใช้อำนาจดังกล่าว โดยแนวทางดังกล่าวจะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือสภาวะยกเว้นนั้น ไม่ถูกใช้จนกลายเป็นสภาวะยกเว้นถาวรอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและหลักนิติรัฐประชาธิปไตย ตลอดจนการกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการสามารถเข้ามาควบคุมตรวจสอบทั้งในทางการเมืองและในทางกฎหมาย อันจะเป็นกลไกในการรับประกันว่าท้ายสุดแล้วสิทธิเสรีภาพของประชาชนและหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง</p> วรวุฒิ บุตรมาตร Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 64 89 การใช้วิธีพิจารณาคดีตามความเหมาะสมในศาลปกครองชั้นต้นของประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/273175 <p>องค์ประกอบหนึ่งของหลักนิติรัฐคือ การบริหารงานกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และรวดเร็ว จากสถิติการรับคดีของเข้าศาลปกครองชั้นต้นพบว่านับแต่เปิดทำการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 มี 149,706 คดี และมีคดีที่แล้วเสร็จ 133,052 คดี ปัจจุบันศาลปกครองชั้นต้นมีคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณา 16,654 คดี ซึ่งระยะเวลาในการพิจารณาคดีจะขึ้นอยู่กับปริมาณคดีที่อยู่ในความครอบครองของตุลาการ เช่น ตุลาการเจ้าของสำนวนมีคดีอยู่ในความครอบครองไม่เกิน 48 คดี ศาลจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 ปี 6 เดือน หากมีคดีอยู่ในความครอบครองเกินกว่า 49-72 คดี ศาลจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 ปี 1 เดือน 15 วัน และสามารถเพิ่มระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนออกไปอีก 0.25 เท่า ทุกจำนวน 24 คดี ทำให้คดีที่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อยและคดีที่ไม่มีข้อพิจารณาคดีที่ยุ่งยากไม่ได้รับการพิจารณาคดีภายในระยะเวลาที่รวดเร็วตามสัดส่วนของความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้น ปัจจุบันแม้มีใช้การพิจารณาโดยเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาความล่าช้าที่เกิดขึ้น แต่การใช้กระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนจะกระทำได้ต่อเมื่อ ศาลเห็นว่าขั้นตอนการพิจารณาตามปกติอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง หรืออาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ทำให้คดีที่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อยและคดีที่ไม่มีข้อพิจารณาคดีที่ยุ่งยากที่อยู่นอกเหนือเงื่อนไขดังกล่าวไม่อาจใช้การพิจารณาโดยเร่งด่วนได้ และหากปล่อยให้คดีที่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อยและคดีที่ไม่มีข้อพิจารณาคดีที่ยุ่งยากดำเนินกระบวนพิจารณาตามขั้นตอนปกติย่อมทำให้ผู้ฟ้องคดีอาจไม่ได้รับการเยียวยาได้อย่างทันท่วงที</p> <p> การวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับการนำวิธีพิจารณาคดีตามความเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าอันเกิดจากการพิจารณาคดีในศาลปกครองชั้นต้นนี้ จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับระบบบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมของศาลปกครอง มาตรการควบคุมการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี รวมถึงการถ่วงดุลอำนาจภายในองค์กรตุลาการของศาลปกครองชั้นต้น โดยเปรียบกับกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครองของศาลปกครองหรือศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองของต่างประเทศว่ามีการจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร เพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีปกครองนั้นมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้ประชาชนที่มีคดีความเล็กน้อยใช้สิทธิทางศาลเพิ่มมากขึ้น</p> <p> จากการศึกษาพบว่าศาลปกครองหรือศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองของต่างประเทศมีการแบ่งกระบวนพิจารณาระหว่างคดีปกครองทั่วไปออกจากคดีที่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อยและคดีที่ไม่มีข้อพิจารณาที่ยุ่งยาก เพื่อให้คดีเหล่านั้นได้รับการพิจารณาคดีที่เหมาะสมกับสัดส่วนของความยุติธรรมที่ประชาชนจะพึงได้รับ ดังนั้นผู้เขียนจึงเสนอให้มีการปรับปรุงวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองชั้นต้นเสียใหม่โดยการแบ่งกระบวนการพิจารณาคดีระหว่างคดีปกครองทั่วไปกับคดีที่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อยและคดีที่ไม่มีข้อยุ่งยากออกจากกัน และจัดรูปแบบการพิจารณาคดีให้เหมาะสมกับข้อเรียกร้องของผู้ฟ้องคดีหรือความยุ่งยากในการพิจารณาคดีนั้น</p> พีรธรรม มั่งพล Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 90 115 สำรวจปรัชญากฎหมายกับสังคมวิทยาเพื่อคลี่คลายปมสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับ กฎหมาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/274392 <p>ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกี่ยวกับกฎหมายและความอยุติธรรมที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย สะท้อนให้เห็นความจำเป็นในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำของมนุษย์กับเงื่อนไขทางสังคมที่แวดล้อมอยู่ เพื่อวิเคราะห์ว่าสาเหตุของปัญหานั้นเป็นเรื่องราวเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดจากความชั่วร้ายของมนุษย์รายคน หรือเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากเงื่อนไขทางสังคมอันทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อสำรวจย้อนไปในประวัติศาสตร์ความคิดทางสังคมวิทยาจะพบปรัชญากฎหมายที่นักคิดคนสำคัญในสำนักต่างๆ ได้แสวงหาแนวทางวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบในลักษณะบทนิยามและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ โครงสร้างรัฐและกฎหมาย การปรับเปลี่ยนการกระทำของมนุษย์โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม หรือในทางกลับกันการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็เกิดจากเครือข่ายทางสังคมของมนุษย์ที่ร่วมกันเสนอโครงการปฏิวัติหรือปฏิรูปสังคม โดยมุ่งเป้าไปที่กฎหมายอันเป็นโครงสร้างของรัฐ และยังใช้กฎหมายเป็นวิธีการในการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปตามเส้นทางที่ออกแบบกฎหมายไว้เป็นโครงสร้างทางสังคมอีกด้วย</p> ทศพล ทรรศนพรรณ ภาสกร ญี่นาง Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 116 144 นิติเศรษฐศาสตร์ของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: มุมมองจากทฤษฎีตัวการ-ตัวแทน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/275731 <p>บทความนี้เป็นการทดลองนำมโนทัศน์ปัญหาตัวการ-ตัวแทน ซึ่งเป็นแนวคิดในทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์สภาพปัญหาการบังคับใช้กฎหมายไทย โดยอาศัยตัวอย่างการศึกษาคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัญหาการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยผ่านแนวคิดปัญหาตัวการ-ตัวแทน โดยกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นตัวการ และหน่วยงานของรัฐอื่นเป็นตัวแทนที่ต้องทำตามเจตนารมณ์ของตัวการ</p> <p>อย่างไรก็ดี จากการศึกษาพบว่าสภาพปัญหาตัวการ-ตัวแทนที่เกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีสาเหตุมาจากปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูลและจริยธรรมวิบัติ ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ (ตัวการ) โดยผู้เขียนได้นำเสนอบทวิเคราะห์สภาพปัญหานี้โดยอาศัยตัวอย่างการศึกษา 2 ประการคือ (1) ความขัดแย้งระหว่างตัวการ-ตัวแทนในการตรากฎหมายลำดับรอง และความขัดแย้งระหว่างตัวการ-ตัวแทนในการตีความกฎหมาย อนึ่ง การศึกษากฎหมายผ่านทฤษฎีตัวการ-ตัวแทนนี้จะมีประโยชน์ต่อการวิพากษ์และการเสนอแนะเพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป</p> วัชรพล ศิริ เขมภัทร ทฤษฎิคุณ Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 145 176 ประโยชน์สาธารณะของกีฬาฟุตบอลอาชีพในทวีปยุโรปภายใต้ข้อบังคับ ด้านใบอนุญาตและความยั่งยืนทางการเงินของสโมสรกีฬาฟุตบอล สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/273820 <p>เพื่อตอบสนองต่อการบริหารปกครองกีฬาฟุตบอลยุโรปแบบลำดับชั้นและภาพรวมในการแข่งขันฟุตบอลที่มีสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) กำกับดูแลอยู่ รวมทั้งเพื่อตอบสนองต่อพัฒนาการระยะยาวของการสร้างสมดุลการแข่งขันที่เป็นธรรมในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในภูมิภาคยุโรปที่มียูฟ่ากำกับดูแล ยูฟ่าจึงได้ปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อสร้างเช่นเดียวกับการพัฒนาในระยะยาวของความสมดุลทางการแข่งขันที่ยุติธรรมในกีฬาฟุตบอลยุโรปของยูฟ่า ยูฟ่าจึงได้ปฏิรูปกฎระเบียบเสถียรภาพระบบการเงินขึ้นมา เหตุนี้เองกฎว่าด้วยความยั่งยืนทางการเงินฉบับใหม่จึงถูกนำมาบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 กฎฉบับใหม่นี้ช่วยเพิ่มความสมดุลทางการแข่งขันในตลาดกีฬาฟุตบอลยุโรปของยูฟ่า กฎเหล่านี้มาแทนที่กฎว่าด้วยการใช้จ่ายเงินอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมของยูฟ่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 แนวทางของยูฟ่าในการปฏิรูปภาพรวมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลให้ตระหนักและปกป้องพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การสร้างความสมดุลทางการแข่งขันของยูฟ่าอันเป็นเป้าหมายหลักของการเสถียรภาพทางการเงินในวงการกีฬาฟุตบอลยุโรป ซึ่งยูฟ่าได้วางมาตรฐานการกำกับดูแลวินัยทางการเงินและงบประมาณของสมาชิกในสามประการสำคัญด้วยกันอันประกอบด้วย ความเพียงพอของเงินทุนในการบริหารสโมสร ความมั่นคงทางการเงินของสโมสร และการควบคุมงบประมาณของสโมสร มาตรฐานทั้งสามประการนี้จะบังเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อบรรดาสโมสรต่าง ๆ ผูกพันจะปฏิบัติตามอย่างโปร่งใส มีการวางระเบียบที่เหมาะสม รวมทั้งธุรกิจการจัดการแข่งขันกีฬากีฬาฟุตบอลของยูฟ่าที่ดำเนินอยู่ก็ย่อมได้ประโยชน์จากการวางมาตรฐานการรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยังยืน การปกป้องการเกมการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในเหมาะสม ตลอดจนให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังสามารถส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมในธุรกิจการค้าของยูฟ่าได้ บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาทบทวนเอกสารที่อธิบายถึงความเป็นมาและหลักการสำคัญของกฎว่าด้วยความยั่งยืนทางการเงินของยูฟ่า บทความฉบับนี้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบว่าด้วยการออกใบอนุญาตสโมสรของยูฟ่ากับกฎว่าด้วยความยั่งยืนทางการเงินของยูฟ่า บทความฉบับนี้นำเสนอกระบวนการการพิจารณาวินิจฉัยความผิดตามกฎว่าด้วยความยั่งยืนทางการเงินของยูฟ่า พร้อมกับวิเคราะห์ให้เห็นในส่วนสรุปว่าความยั่งยืนทางการเงินของวงการกีฬาฟุตบอลยุโรปเป็นประโยชน์สาธารณะในวงการกีฬาฟุตบอลยุโรปที่สำคัญประการหนึ่ง</p> ปีดิเทพ อยู่ยืนยง Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 177 201 ปัญหากฎหมายในธุรกิจเช่าซื้อตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/274293 <p>การเช่าซื้อถือเป็นธุรกรรมทางสัญญาที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยิ่ง และจัดเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมสัญญามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อในเรื่องของสัญญาจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูและของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคโดยการอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 35 ทวิ กำหนดให้การประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ซึ่งปัจจุบันมีการแก้ไขครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งการแก้ไขในฉบับดังกล่าวมีความมุ่งเน้นประเด็นปัญหาในหลายส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของค่าใช้จ่ายตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อจะต้องแบกรับ โดยการจำกัดสิทธิต่าง ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนเหล่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางแก้ไขที่มีลักษณะสอดคล้องไปกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยปัจจุบันที่กำลังประสบปัญหาวิกฤต หนี้เสียรถยนต์สูง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ซึ่งโดยงานศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเพื่อหาแนวทางและมาตรการการปรับปรุงพัฒนากฎหมายของประเทศไทยในด้านสัญญา เพื่อให้เกิดความคุ้มใครองผู้บริโภคทางด้านการเงินอย่างแท้จริง โดยเป็นการแทรกแซงผู้ประกอบธุรกิจน้อยที่สุด เพราะการใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการกำกับธุรกิจ ย่อมเป็นการสร้างต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วย่อมตกกลับมาเป็นภาระแก่ผู้บริโภคเช่นเดิม ดังนั้น เพื่อที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงเห็นสมควรที่จะแก้ไขทบทวนประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้การประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา 2565 โดยการ (1) สร้างความตระหนักรู้ทางด้านการเงินแก่ผู้เช่าซื้อถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นภายหลังเข้าทำสัญญา (2) ทบทวนแก้ไขการจำกัดสิทธิในการเรียกมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อภายหลังการขายทอดตลาด (3) ยกเลิกกฎเกณฑ์ที่เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ และให้เกิดการสะท้อนต้นทุนตามกลไกตลาด</p> อธิวัฒน์ สินสิริวาณิชย์ Copyright (c) 2024 CMU Journal of Law and Social Sciences https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 2024-12-27 2024-12-27 17 2 202 234