https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/issue/feed Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) 2025-08-31T13:18:22+07:00 Umarin Tularak, Ph.D. umatul@kku.ac.th Open Journal Systems <p> วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นวารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความคิดเห็นทางวิชาการ </p> <p>เพื่อเผยแพร่งานการศึกษาค้นคว้าและวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ</p> <p>เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นทางวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>ขอบเขต</strong></p> <p>บทความวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในด้านปรัชญาและศาสนา ภาษาศาสตร์ วรรณกรรม วัฒนธรรมศึกษา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐประศาสนศาสตร์ พัฒนาสังคม ประวัติศาสตร์และโบราณคดี สารสนเทศและการสื่อสาร และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดออก ปีละ 3 ฉบับ (ราย 4 เดือน)</strong></p> <p>วารสารมีกำหนดออกปีละ 3 ฉบับ ตีพิมพ์รูปแบบระบบวารสารอิเล็คทรอนิคส์</p> <p>-ฉบับเดือนมกราคม – เมษายน (กำหนดออกเดือนเมษายน)<br />-ฉบับเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม (กำหนดออกเดือนสิงหาคม)<br />-ฉบับเดือนกันยายน – ธันวาคม (กำหนดออกเดือนธันวาคม)</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/278921 บทบาทและความสำคัญของบทสวดโองการภาคใต้ 2025-03-25T09:10:31+07:00 ชาญณรงค์ คงฉิม channarong_jf@hotmail.com <p>บทคัดย่อ</p> <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทสวดโองการในภาคใต้ ในประเด็นบทบาทและความสำคัญของบทสวดโองการภาคใต้ โดยเก็บข้อมูลบทสวดโองการจำนวน 30 โองการ แบ่งเป็นบทสวดโองการที่บันทึกในหนังสือบุด 8 โองการ ที่บันทึกสมุดฝรั่งจำนวน 19 โองการ และที่จัดพิมพ์รวมเล่ม 3 โองการ แล้วสรุปผลด้วยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยสรุปว่าบทสวดโองการในภาคใต้ได้แสดงให้เห็นบทบาทและความสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1) บทบาทและความสำคัญในฐานะในการสร้างข้อตกลงร่วมกันทางสังคมที่คนในชุมชนปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา 2) บทบาทและความสำคัญ ในฐานะเป็นเครื่องมือถ่ายทอดคติความเชื่อ โดยเฉพาะการสวดเพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เทพเจ้า ครู ฤาษี 3) บทบาทและความสำคัญในฐานะเครื่องมือติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เนื้อหากล่าวถึงหัวข้อธรรมของพุทธศาสนาให้มาป้องกันภัยและให้มาช่วยเหลือ 4) บทบาทและความสำคัญในฐานะเครื่องต่อสู้/ต่อรองความเชื่อดั้งเดิม ที่เนื้อหาได้ผสมผสานระหว่างพุทธศาสนากับความเชื่อดั้งเดิม โดยเฉพาะคติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าปราบฤทธิ์พระภูมิ และแนวคิดการบรรลุธรรม 5) บทบาทและความสำคัญในฐานะเครื่องมือสืบทอดภูมิปัญญาด้านการสวดโองการ 3 แบบ ได้แก่ การสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งทางสายเลือดและมิใช่สายเลือดแต่เป็นลูกศิษย์ที่สนใจ การสืบทอดในพิธีกรรมต่าง ๆ และการสืบทอดด้วยการพิมพ์เผยแพร่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดพิมพ์มาบำรุงศาสนา</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/278871 อาหารล้านนา : ภาพตัวแทนและการสื่อความหมายในวรรณกรรมของมาลา คำจันทร์ 2025-04-07T14:54:06+07:00 ณัฐภัทร์ สุรินทร์วงศ์ nuttapat_surinwong@hotmail.com นิศา บูรณภวังค์ bnisa@hotmail.com <p>บทคัดย่อ</p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการสร้างภาพตัวแทนและการสื่อความหมายของอาหารล้านนา ในวรรณกรรมประเภทนวนิยายของมาลา คำจันทร์ โดยทำการคัดเลือกเฉพาะวรรณกรรมที่มีรายชื่ออาหารและอยู่ในบริบทวัฒนธรรมล้านนา จากการศึกษาพบว่า อาหารล้านนาในวรรณกรรมสร้างภาพตัวแทนและการสื่อความหมาย 2 มิติ คือ 1) สื่อความหมายภายในใจตัวละคร และ 2) ภาพตัวแทนวิถีชีวิตทางวัฒนธรรม ดังนั้น อาหารล้านนาในวรรณกรรม ของมาลา คำจันทร์ จึงไม่ได้เป็นเพียงโภชนะเพื่อความอยู่รอด แต่ยังเป็นสัญญะของวิธีคิดทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติอีกด้วย</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/280422 กลวิธีการปฏิเสธของนักการเมืองไทยในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องทุจริต 2025-05-26T10:18:11+07:00 นุชารัตน์ มุงคุณ nukku61@gmail.com <p>บทคัดย่อ</p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการปฏิเสธของนักการเมืองไทยในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องทุจริตตามแนวคิดเรื่องการรักษาหน้าตนเองของเฉิน (Self-politeness; Chen, 2001) หลักการความร่วมมือในการสนทนาของไกรซ์ (The cooperative principle; Grice, 1975 อ้างถึงใน ณัฐพร พานโพธิ์ทอง, 2566) และกลยุทธ์การหลีกเลี่ยงทางภาษาของโชวาเนค (linguistic avoidance strategies; Chovanec, 2020) จากข้อมูลการสัมภาษณ์แบบไม่ได้จัดเตรียม ของสื่อมวลชนในช่วงรัฐบาลของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา วาระดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 จนถึง วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 ต่อ 1 คลิปวิดีโอในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ยูทูป (www.youtube.com) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วย คำถาม-คำตอบของผู้สื่อข่าวและนักการเมือง จำนวน 30 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่านักการเมืองไทยใช้กลวิธีการปฏิเสธ 5 กลวิธีหลัก และกลวิธีย่อย 12 กลวิธี ได้แก่ 1) การกล่าวปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา กลวิธีย่อย คือ 1.1) การกล่าวคำแสดง การปฏิเสธซ้ำ และ 1.2) การใช้รูปภาษาแสดงการปฏิเสธอย่างชัดเจน 2) การกล่าวปฏิเสธอย่างไม่ตรงไปตรงมา กลวิธีย่อย คือ 2.1) การให้ข้อมูลที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง 2.2) การไม่ให้ข้อมูลตามที่ต้องการในปริบทนั้น 2.3) การใช้ความกำกวม 2.4) การใช้อุปลักษณ์ และ 2.5) การถามคำถามกลับ 3) การปฏิเสธการตอบคำถาม กลวิธีย่อย คือ 3.1) การใช้ถ้อยคำปฏิเสธการให้ข้อมูล และ 3.2) การใช้ถ้อยคำบ่งชี้ให้บุคคลอื่นเป็นผู้ให้ข้อมูล 4) การไม่ตอบคำถาม และ 5) การหลีกเลี่ยงการผูกมัดตนเองกับคำตอบ กลวิธีย่อย คือ 5.1) การเปลี่ยนมุมมองจากร้ายให้กลายเป็นดี 5.2) การไม่สามารถ ยอมรับได้ด้วยหลักฐาน และ 5.3) การทำให้ตนเป็นฝ่ายถูก โดยใช้เพื่อวัตถุประสงค์การรักษาหน้าตนเองเป็นหลัก รวมทั้งเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ฟังเชื่อถือและคล้อยตามถ้อยคำที่นำเสนอว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิดนั้น เพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบจากคำพูดของตนเอง เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจสารที่ตนเองต้องการจะสื่อได้ทันทีว่าไม่ได้ทำความผิด เพื่อหลีกเลี่ยง การยอมรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต เพื่อลดความเสียหายหรือควบคุมความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการพัวพันเรื่องทุจริต ตามลำดับ ผลการศึกษาในภาพรวมสะท้อนให้เห็นกลยุทธ์การสื่อสารของนักการเมืองไทยในการจัดการ กับประเด็นความทุจริต ซึ่งมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความโปร่งใสทางการเมือง</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/278808 คำถามและพลังของการกล่าวถ้อยในหนังเรื่องวิคตอเรียแอนด์อับดุล 2025-03-27T14:57:10+07:00 อนงค์นาฏ นุศาสตร์เลิศ anongnard@kku.ac.th <p>Abstract</p> <p> This article examines the main character Abdul’s use of questioning in Victoria &amp; Abdul when communicating to listeners of different social statuses. Although questioning is recognized as a universal practice, it is culturally specific depending on social factors. This study aims to analyze the questioning and illocutionary force of a lower-class speaker toward hearers of different social status as depicted in a British royal historical film based on a true story, Victoria and Abdul. The data were collected from a 17,257-word or 716-token film script obtained from a public website. The framework of Cruse was used as a model in this study to analyze illocutionary meaning. The findings revealed that Yes/No questions were used more frequently than Wh-questions. The main character used Yes/No questions for permission/requesting, confirming or refuting, confirming or refuting for more information, inviting, and expressing empathy. For Wh-questions, the research revealed that the character Abdul used this type of question for asking for more information, thanking, and complaining. Moreover, the research findings also indicated that illocutionary forces varied depending on different statuses of the hearers as reflected in some of the subtypes of illocutionary force found in some utterances directed toward hearers of certain statuses. This research contributes to the field of pragmatics by analyzing communication between people of different social statuses. This new finding contributes to the understanding of how social status influences questioning strategies and illocutionary force within the cinematic context.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/277376 ญาณวิทยาแห่งจินตนาการของมิกิ คิโยะชิ: เอกภาพของเหตุผลและอารมณ์ในกิจกรรมของจิต 2025-04-23T14:05:59+07:00 สรายุทธ เลิศปัจฉิมนันท์ sarayuddha_lha@utcc.ac.th รัตน์จิต ทองเปรม ratjit_tho@utcc.ac.th ปาจรีย์ หวังรุ่งกิจ pajaree_wan@utcc.ac.th <p>บทคัดย่อ</p> <p> บทความนี้นำเสนอแนวคิดทางปรัชญาญี่ปุ่นสมัยใหม่ของมิกิ คิโยะชิ จากมิติทางญาณวิทยา ซึ่งใช้สภาวะ ของจินตนาการเป็นแก่นสำคัญในการแก้ปัญหาทวิภาวะของเหตุผลและอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นในปรัชญาตะวันตก โดยอาศัยวิธีการสืบสอบผ่านข้อเสนอในปรัชญานิพนธ์ชิ้นสำคัญของเขา คือ ตรรกะแห่งจินตนาการ (ฉบับภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งทำให้พบว่าจินตนาการคือกิจกรรมของจิตที่เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงอัตวิสัยกับภววิสัยเข้าไว้ด้วยกันและ เป็นบ่อเกิดของความรู้ที่มาจากเอกภาพของอารมณ์และเหตุผล โดยเอกภาพดังกล่าวคือความเป็นจริงรูปธรรมที่ผสานโลกภายในและโลกภายนอกเข้าไว้ให้ดำรงอยู่ในฐานะชีวิตของปัจเจกที่มีส่วนในการจินตนาการถึงรูปลักษณ์ของสังคมไปพร้อม ๆ กับสังคมเองก็มีส่วนในการกำหนดจินตภาพแห่งตัวตนให้แก่ปัจเจก</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/283192 การเมืองการปกครองของอังกฤษในสมัยราชวงศ์สจ๊วตและการสร้างประชาธิปไตยสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 17 2025-08-29T16:03:43+07:00 ณัฐหทัย มานาดี nathama@kku.ac.th <p>Abstract</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; This study examines the politics and governance of Britain during The House of Stuart (1603–1714), with a particular focus on the conflict between the monarchy and Parliament, which played a crucial role in the transition from absolutism to modern democracy. This research employs a historical methodology, utilizing primary sources such as personal records, royal writings, and government documents from institutions including the House of Commons Information Office, National Archives, National Army Museum, The Royal Household, and UK Parliament. The 17th century marked a period of significant political transformations in England, including the Gunpowder Plot (1605), an attempted assassination of King James I and the bombing of Parliament as a reaction to religious persecution. The failure of this plot led to stricter measures against Catholics and reinforced Protestant dominance. The English Civil War (1642–1651) and the establishment of the Commonwealth of England (1649–1660) resulted in the execution of King Charles I and governance under Oliver Cromwell. However, Cromwell’s rule lacked stability, leading to the Restoration of the Stuart monarchy in 1660 under King Charles II. Despite the return of the monarchy, parliamentary influence continued to grow, particularly during the reign of King James II, who sought to restore Catholic power and govern without parliamentary consent. Public dissatisfaction and parliamentary opposition culminated in the Glorious Revolution (1688), which deposed James II and established William III and Mary II as joint monarchs. The enactment of the Bill of Rights (1689) firmly established parliamentary supremacy and laid the foundation for England’s transition to a constitutional monarchy.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/278660 การสร้างชุมชนนวัตกรรมพืชสมุนไพรอินทรีย์สู่มาตรฐานยาสมุนไพรไทย 2025-03-07T16:19:18+07:00 ปิยะกมล มหิวรรณ piyamhw2608@gmail.com ธีระพงษ์ ทศวัฒน์ Piyamhw2608@gmail.com ภาคภูมิ ลบถม Piyamhw2608@gmail.com อรอนงค์ โรงรักษา Piyamhw2608@gmail.com <p>บทคัดย่อ</p> <p> การวิจัยเรื่อง การสร้างชุมชนนวัตกรรมพืชสมุนไพรอินทรีย์สู่มาตรฐานยาสมุนไพรไทยเป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อจัดการความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์และมาตรฐานยาสมุนไพรไทย ในชุมชน และ 2) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนนวัตกรรมพืชสมุนไพรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานยาสมุนไพรไทย กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคือประชากรในพื้นที่ตำบลท่ากระดาน อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นเกษตรกร ที่สนใจเรื่องพืชสมุนไพรหรือผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้อง และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จำนวน 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม และการจดบันทึกภาคสนาม ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรในชุมชนมีการจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรพื้นฐานโดยการสั่งสมและบอกต่อผ่านวิถีชีวิต การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างครอบครัวและชุมชนตั้งแต่บรรพบุรุษมาสู่ปัจจุบันด้วยวิธีที่ไม่เป็นทางการ จัดเก็บความรู้ด้วยการจดจำปราศจากการบันทึก และพบว่าเกษตรกรมีองค์ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรอินทรีย์และมาตรฐานยาสมุนไพรไทยเพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมถ่ายทอดความรู้เชิงปฏิบัติการเรื่องการปลูกพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์ ให้ได้มาตรฐาน ยาสมุนไพรไทย สำหรับแนวทางในการพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนนวัตกรรมพืชสมุนไพรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานยาสมุนไพรไทย ได้แก่ การส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการทำเกษตรแบบอินทรีย์ และส่งเสริมให้การรวมกลุ่มของเกษตรในชุมชน ที่มีความสนใจและต้องการปลูกพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์ ซึ่งงานวิจัยนี้ทำให้เกิดนวัตกรรมทางสังคมในชุมชนคือ เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 21 เป็นกลุ่มนำร่องในการปลูกต้นกระดูกไก่ดำแบบอินทรีย์</p> <p> ข้อเสนอแนะในการสร้างชุมชนนวัตกรรมพืชสมุนไพรอินทรีย์สู่มาตรฐานยาสมุนไพรไทยควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้สนับสนุนในการรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์ในรูปแบบฐานข้อมูลที่เกษตรกรในชุมชนสามารถเข้าถึงได้ และสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชสมุนไพรอินทรีย์ในพื้นที่เพื่อพัฒนาสู่การเป็นวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรอินทรีย์ที่ได้การรับรองมาตรฐานยาสมุนไพรไทย </p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Journal of Humanities and Social Sciences (HUSOKKU)