https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/issue/feed วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา 2024-06-30T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ Touch_life@outlook.co.th Open Journal Systems <p>วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา จะครอบคลุมเนื้อหา ด้านการวิจัย ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการอุตสาหกรรม ด้านรัฐศาสตร์ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านบริหารการศึกษา ด้านการเงิน การบัญชี และธนาคาร ด้านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านนวัตกรรมการจัดการ</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274699 นโยบายภาครัฐเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวกีฬาและกิจการกอล์ฟ ในประเทศไทย พ.ศ. 2550-2565 2024-06-24T09:27:17+07:00 เด่นนภา การะเกษ dennapa.k018@outlook.com ศุภชัย ศุภผล karaked6498@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) โครงสร้างการกำหนดนโยบายส่งเสริมภาครัฐในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและธุรกิจกอล์ฟ พ.ศ. 2550-2565; 2) ตัวแสดงและบทบาทของธุรกิจสนามกอล์ฟในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา พ.ศ. 2550-2565 และ 3) พัฒนาการนโยบายภาครัฐต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟในอดีตและปัจจุบัน พ.ศ. 2550-2565 ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง จำนวน 21 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประเทศไทยได้นำนโยบายของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของมาตรฐานการจัดการแข่งขันกีฬากอล์ฟ เพื่อให้เป็นตามมาตราฐานสากลนโยบายของภาครัฐ ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟ มีน้อยมากเนื่องจากงบประมาณจำกัด 2) ตัวแสดงในธุรกิจสนามกอล์ฟที่จะต้องร่วมมือกันในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟนั้น ประกอบด้วย ภาครัฐ และเอกชน นักท่องเที่ยวเลือกมาท่องเที่ยวและเล่นกีฬากอล์ฟ เนื่องประเทศไทยมีความแตกต่างด้านราคาและบริการจากที่อื่นทั่วโลก และ 3) ธุรกิจสนามกอล์ฟช่วยในการพัฒนาที่ดินในพื้นที่ให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น การบริหารจัดการของสนามกอล์ฟของภาครัฐและภาคเอกชนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในเรื่องของกลยุทธ์การตลาดและราคาการใช้บริการ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกใช้สนามกอล์ฟของภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสนามกอล์ฟที่เรียกร้องต่อภาครัฐ คือ เรื่องภาษีที่มีความซ้ำซ้อน และผู้ประกอบการพึงพอใจนโยบายภาครัฐในการช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุน กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสนามกอล์ฟ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น นโยบายกอล์ฟคาลิทีน</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273780 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2024-06-10T10:07:05+07:00 นิยม กริ่มใจ niyomkrimjai00@hotmail.com บรรดิษฐ พระประทานพร niyomkrimjai00@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพื่อค้นหาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการให้บริการทางอิเล็คทรอนิกส์ ความไว้วางใจในการซื้อสินค้า และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน (Mitchell, 1992; Ding et al., 1995; Hair et al., 2010<strong>;</strong> ธานินทร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิลป์จารุ, 2563<strong>;</strong> มนตรี พิริยะกุล<strong>,</strong> 2564) เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 5 ท่าน ผู้บริหารจากบริษัทหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าออนไลน์ในประเทศไทย จำนวน 6 ท่าน และนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการการตลาดและบริหารธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 6 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ส่วนใหญ่ผู้บริโภคใช้แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ Lazada ซึ่งรูปแบบการจัดส่งผู้บริโภคยังใช้บริการผู้จัดส่งสินค้าของแพลตฟอร์ม ส่วนผลการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ความไว้วางใจในการซื้อสินค้า และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน สามารถนำไปใช้ประโยชน์โดยการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการด้านการขายสินค้าหรือบริการผ่านแอพปพลิเคชัน โดยพัฒนาช่องทางในการสื่อสารให้กับผู้บริโภคและใช้ในการวางยุทธศาสตร์ในการป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าออนไลน์</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274772 ตัวแบบการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เชิงกลยุทธ์ และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-06-27T09:51:11+07:00 สุวีร์ คล่องแคล่ว suwee.k022@outlook.com ณัฐพร ฉายประเสริญ suwee.k022@outlook.com ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว suwee.k022@outlook.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา1) ระดับของการจัดการความปลอดภัยในการทำงานการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร&nbsp; 2) ปัจจัยเชิงสาเหตุของการจัดการความปลอดภัยในการทำงานการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) นำเสนอแนวทางของตัวแบบประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานครกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานในสถานประกอบการอุตสาหกรรมห้องเย็น ที่มีตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 300 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย&nbsp; ผู้บริหารสถานประกอบการอุตสาหกรรมห้องเย็นที่ให้บริการครบวงจร&nbsp; เจ้าหน้าที่จากกรมอุตสาหกรรมโรงงาน และนักวิชาการด้านวิศวเครื่องเย็น รวมทั้งสิ้น 6 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา <br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; 1) การจัดการความปลอดภัยในการทำงาน การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) การจัดการความปลอดภัยในการทำงานมีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาได้แก่ การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ และสภาพแวดล้อมภายในองค์กร 3) ได้ตัวแบบประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร มีลักษณะประกอบด้วยการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน ที่มีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุดรองลงมาคือ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ตามลำดับ จากนั้นการพิจารณาค่าสัมประสิทธิเส้นทางของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยจึงสร้างสร้างโมเดลใหม่ ที่พัฒนาขึ้นคือ “ตัวแบบการจัดการความปลอดภัยในการทำงานสภาพแวดล้อมในการทำงาน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร”เป็นตัวแบบที่มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมห้องเย็นในเขตกรุงเทพมหานคร ในด้านคุณภาพของงาน ปริมาณงาน เวลา ค่าใช้จ่าย และวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274069 ภาพลักษณ์ของการ์ตูนในทัศนคติของนักวาดการ์ตูนชาวต่างชาติที่มีต่อนโยบายสาธารณะในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2563 2024-06-10T15:41:09+07:00 คุณากร เตียวเจริญ kunakorn.t010@outlook.com จักรี ไชยพินิจ kunakorn.t010@outlook.com ศุภชัย ศุภผล kunakorn.t010@outlook.com กานต์ บุณยะกาญจน kunakorn.t010@outlook.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประเด็นความสนใจสถานการณ์การเมืองของไทยที่ปรากฎในการ์ตูนเมืองที่วาดโดยนักวาดการ์ตูนชาวต่างชาติ 2) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ลักษณะการใช้สัญญะที่ปรากฏในการ์ตูนการเมืองที่สะท้อนเกี่ยวกับประเทศไทย และ 3) เพื่อวิเคราะห์มุมมองและทัศนคติของผู้วาดการ์ตูนในการ์ตูนการเมืองที่สะท้อนเกี่ยวกับประเทศไทย การวิจัยนี้ได้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และใช้การวิจัยผ่านการทบทวนวรรณกรรม ผ่านการคัดเลือกแหล่งข้อมูลสื่อออนไลน์และนักเขียนที่มีความน่าเชื่อถือ</p> <p>การวิจัยนี้ศึกษาการจัดหมวดหมู่ของภาพวาดการ์ตูนด้วยการนำแนวคิดนโยบายสาธารณะของ Hill's ที่มีการแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมือง ด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษาและเทคโนโลยี รวมเข้ากับการแบ่งยุคสมัยทางการเมือง แบ่งออกเป็น (1) ยุคเผด็จการรัฐสภา ในช่วงปี พ.ศ. 2544 – 2549 (2) ยุคที่มีความหลากหลายของวิธีการในการแต่งตั้งนายก ช่วงปี พ.ศ. 2550 - 2552 (3) ยุคการจัดตั้งรัฐบาลผสมและมีนายกหญิงคนแรก ช่วงปี พ.ศ. 2553 – 2557 และ (4) ยุครัฐบาลทหาร ช่วงปี พ.ศ. 2557 – 2563 เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจนโยบายสาธารณะในแต่ละช่วงเวลาที่ถูกกล่าวถึงโดยนักเขียนการ์ตูนชาวต่างชาติ</p> <p>ตลอดจนการศึกษาการตีความสัญวิทยาซึ่งอิงตามทฤษฎีของ Charles Peirce และ Ferdinand de Saussure เพื่อการตีความภาพเหล่านี้ที่สื่อสารข้อความในบริบทที่ซับซ้อน ผ่านวิธีที่นักเขียนการ์ตูนชาวต่างชาติใช้ทรัพยากรเชิงสัญวิทยาที่หลากหลายด้วยการนำรูปแบบการนำเสนอมุกในการ์ตูน 25 รูปแบบ เช่น การล้อเลียนทางการเมือง การเสียดสี การเปรียบเทียบสัตว์ เป็นต้น เพื่อเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ของการ์ตูน โดยเผยให้เห็นชั้นของความหมายที่สื่อสารออกมาจากการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยรูปแบบมุกที่หลากหลายและถูกผสมผสานลงในภาพวาด ที่สามารถสะท้อนถึงทัศนคติของนักวาดการ์ตูนชาวต่างชาติที่มีต่อนโยบายสาธารณะของไทย และเพื่อแสดงให้เห็นว่าภาพการ์ตูนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารอย่างไร ทั้งยังรวมแนวคิดการสื่อสารทางการเมืองเพื่อวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ในการนำเสนอภาพภาร์ตูนของนักวาด ทั้งเพื่อการแจ้งข้อมูลทั่วไปทางการเมืองให้ประชาชนทราบ การแสวงหาคะแนนนิยม การโน้มน้าวจูงใจให้เกิดการสนับสนุนทางการเมือง และการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง</p> <p>ท้ายที่สุดผู้วิจัยสรุปการศึกษาเป็นข้อค้นพบทางวิชาที่นำเอาทฤษฎี S M C R (ผู้ส่ง-ข้อความ-ช่องทาง-ผู้รับ) มาเพื่ออธิบายกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อความที่ปรากฎในการ์ตูน ผ่านการตีความตามทฤษฎีสัญวิทยา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการศึกษานี้ได้มุ่งเน้นศึกษาความสัมพันธ์ที่หลากหลายระหว่างศิลปะ การแบ่งยุคสมัยทางการเมือง และนโยบายสาธารณะ ด้วยการตีความภาพและข้อความที่ถ่ายทอดโดยนักเขียนการ์ตูนชาวต่างชาติ ที่สะท้อนถึงทัศนะคติที่เป็นข้อมูลเชิงลึกว่าประเทศไทยถูกมองจากมุมมองภายนอกอย่างไร</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/269373 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการจัดการความรู้และประสิทธิภาพส่วนบุคคลของธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย 2024-03-19T10:14:43+07:00 จิราพัชร พงษ์สุนนท์ jirapach.p@gmail.com ประพันธ์ ชัยกิจอุราใจ jirapach.p@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลของธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลของธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย และ 3) เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลของธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากร คือ บุคลากรของธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทย โดยใช้เทคนิคสถิติโมเดลสมการโครงสร้างกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 15 ถึง 20 เท่าของจำนวนตัวแปรสังเกตได้ (Hair et al., 2006) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 420 คน ที่ได้การสุ่มแบบหลายขั้นตอนและการสัมภาษณ์เชิงลึก 5 คน จากการสุ่มแบบเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญของธุรกิจก่อสร้าง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการจัดการความรู้มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.55, 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.28, 3) วัฒนธรรมองค์การแบบมุ่งสำเร็จมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการจัดการความรู้ค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.23, 4) วัฒนธรรมองค์การแบบมุ่งสำเร็จมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.17, 5) เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการจัดการความรู้มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.15, 6) เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.32, และ 7) การจัดการความรู้มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพส่วนบุคคลโดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.13 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลของโมเดลสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาค่า Chi-Square =256.579, df =144, Relative Chi-Square (c<sup>2</sup>/df)=1.782, p-value=0.000, RMEA=0.043, GFI = 0.947, CFI=0.991, AGFI=0.915 ซึ่งผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดสามารถนำไปพัฒนาเป็นแบบจำลองได้</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274071 บทบาทกลุ่มผลประโยชน์การเมืองไทย: ศึกษากรณีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายในการเรียกร้องต่อนโยบายภาครัฐ พ.ศ. 2545-2566 2024-06-10T15:38:23+07:00 ประกาสิต เลิศมุกดา prakasit.l011@outlook.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพัฒนาการของกลุ่มธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายในประเทศแต่ละยุคสมัยการเมืองไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–2566 2) เพื่อศึกษาตัวแสดงของหน่วยงานรัฐ กฎหมาย และนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจขายตรงแบบเครือข่าย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–2566 และ 3) เพื่อศึกษารูปแบบปฏิสัมพันธ์ในเชิงโครงสร้างของตัวแสดงที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–2566 ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง จำนวน 16 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) การศึกษาพัฒนาการของกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–พ.ศ. 2566 พบว่า (1) ก่อตั้งเพื่อยกระดับธุรกิจขายตรงให้เป็นบริษัทที่มีความเป็นธรรมาภิบาลที่ถูกต้อง (2) ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านข้อกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับธุรกิจ (3) ก่อตั้งเพื่อประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และ (4) ก่อตั้งเพื่อต้องการให้ภาครัฐดำเนินการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย 2) การศึกษาบทบาทตัวแสดงของหน่วยงานภาครัฐ กฎหมาย และนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–พ.ศ. 2566 พบว่าบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นตัวแสดงข้อเรียกร้องหลักที่กลุ่มสมาคมองค์กรกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจขายตรงและองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเรียกร้อง ประกอบไปด้วย (1) กฎหมาย (2) การต่อต้านการแชร์ลูกโซ่ (3) การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะและ (4) การยกระดับมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพของธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง และ3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545–พ.ศ. 2566 พบว่า (1) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาคมกับสมาคม มีความสัมพันธ์แบบหลวม ๆ ยังขาดความเป็นเอกภาพและความร่วมมือกันอย่างจริงจัง (2) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาคมกับองค์กร พบว่า สมาคมกับองค์กรไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันโดยตรง แต่บริษัทที่อยู่ภายใต้สมาคมมีการสนับสนุนองค์กรนี้ทางลับ และ (3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาคมกับหน่วยงานภาครัฐ พบว่า มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีแค่บางช่วงเวลาขึ้นอยู่กับนโยบายของเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272231 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2024-06-14T13:36:19+07:00 โชคชัย แร่นาค num_mandm@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 &nbsp;2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 และ 3) สร้างและพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝ่ายวิชาการ หัวหน้าฝ่ายบุคคล และครูผู้สอน จำนวน 1,088 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินคุณภาพ โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แบบสอบถาม 3) แบบประเมินคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติเพื่อหาความต้องการจำเป็นคือ PNI<sub>modified</sub></p> <p>&nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 มี 4 สมรรถนะ ได้แก่ ความเข้าใจเชิงวัฒนธรรมและความหลากหลาย ความสามารถทางด้านเทคโนโลยี การสร้างเครือข่ายทางการศึกษา และ การส่งเสริมและการจัดการเรียนรู้ 2) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 พบว่า สมรรถนะที่มีความต้องการจำเป็นในพัฒนามากที่สุด คือ สมรรถนะด้านการสร้างเครือข่ายทางการศึกษา รองลงมาคือสมรรถนะด้านความสามารถทางด้านเทคโนโลยี&nbsp; สมรรถนะด้านการส่งเสริมและการจัดการเรียนรู้ และสมรรถนะด้านความเข้าใจเชิงวัฒนธรรมและความหลากหลาย ตามลำดับ 3) โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 มีคุณภาพด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม ความถูกต้อง ความครอบคลุม และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมาก</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274292 รูปแบบการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ: ศึกษาการจัดการขยะในระดับสากล 2024-06-11T11:01:26+07:00 ฐิติมา ตั้งประเสริฐ thitima.t014@outlook.com ชลวิทย์ เจียรจิตต์ thitima.t014@outlook.com ประภาภรณ์ โรจน์ศิริรัตน์ thitima.t014@outlook.com <p>&nbsp;การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ 2) เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการจัดการขยะพลาสติกที่มีประสิทธิภาพในระดับสากลกับรูปแบบการจัดการขยะพลาสติกที่มีอยู่ในประเทศไทย 3) เพื่อเสนอแนะรูปแบบการบังคับใช้กฎระเบียบ กรอบกฎหมาย รวมทั้งแนวทางการสร้างความร่วมมือจากกลุ่มคนในสังคมในการจัดการขยะพลาสติกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นการศึกษาการวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed Methods) ซึ่งจะแบ่งการเก็บข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และส่วนสุดท้ายจะเป็นการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มจากกลุ่ม รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ที่ได้รับจากผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชาชีพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ส่วนใหญ่ให้ความสนใจและมีส่วนร่วมในการลดขยะพลาสติกซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการขยะพลาสติกมากที่สุด 2) รูปแบบการจัดการขยะพลาสติกในระดับสากลโดยเฉพาะประเทศกลุ่มเป้าหมายมีรูปแบบการจัดการขยะพลาสติกที่ชัดเจน และประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้น ๆ มีทัศนคติในเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็งและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การจัดการขยะพลาสติกในระดับสากลนั้นมีประสิทธิภาพ 3) สำหรับประเทศไทย&nbsp; การออกกฎหมายมาใช้บังคับ มีส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในประเทศไทย แต่การใช้บังคับกฎหมายภาคประชาชนเป็นไปได้ยาก ต้องสร้างแรงจูงใจให้กับกลุ่มคนในสังคม ผลักดันให้มีการสร้างวัฒนธรรมในการให้ความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันทางสังคม และหากมีกฎระเบียบหรือกฎหมายเข้ามาช่วยกำกับและกำหนดพฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะพลาสติกที่ยั่งยืนขึ้น ดังนั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการขยะพลาสติกในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีการดำเนินการหลายส่วนไปพร้อม ๆ กัน เครื่องมือเหล่านี้ อาจไม่ได้มีผลต่อการจัดการขยะพลาสติกเลยหากปราศจากการร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกันดำเนินการขับเคลื่อนอย่างมุ่งมั่น ต่อเนื่อง และยั่งยืนต่อไป</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272251 Global Citizenship Education in Thai Higher Education: A Comparative Study and Guidelines for Tertiary-Level Students 2024-06-10T11:35:44+07:00 Patcharee Chuntong ggiepchr@gmail.com Rungkaew Phumpho rungkaew@gmail.com Chatchawan Limruchatakul tvgalaxy9339@gmail.com Chutima Chavasint chutimac@northcm.ac.th Chonthipan Insawang amminuk@gmail.com Krittika Maneetat Krittika0707@gmail.com Sornnate Areesophonpichet sornnate.a@chula.ac.th <p>ความเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งยุคศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้ประชาคมโลกเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship Education) ได้รับการเสนอเพื่อเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาประชาคมโลกให้พร้อมเดินหน้าไปตามการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต สำหรับบริบทการอุดมศึกษาไทยได้มีการจัดตั้งโครงการที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นพลเมืองโลกผ่านกระบวนการในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจ การวิจัยเชิงคุณภาพฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองโลกจากเอกสารใน บริบทการอุดมศึกษาสากลกับบริบทการอุดมศึกษาไทยและศึกษาโครงการสร้างความเป็นพลเมืองโลกในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทย โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก (Instructional Deep interview) จากผู้รับผิดชอบโครงการฯ ผลจากการศึกษาพบว่า แนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของความเป็นพลเมืองโลกในบริบทสากลกับบริบทการอุดมศึกษาไทยมีความสอดคล้องกัน โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลในโครงการการพัฒนาความเป็นพลเมืองโลกในสถาบันอุดมศึกษาไทยสะท้อนให้เห็นว่า แต่ละโครงการกำหนดคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลกที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนมีความแตกต่างกัน จึงมีการออกแบบรูปแบบกิจกรรมที่ยึดหลักตามหัวข้อที่ต้องการพัฒนา อย่างไรก็ตามการออกแบบกิจกรรมแบบไม่เป็นทางการโดยต่างมุ่งให้เกิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์และการลงมือปฏิบัติ</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274310 แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง 2024-06-10T14:47:31+07:00 สุนทร ผจญ suntorn.p@slaathai.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปริมาณตู้สินค้านำเข้าและส่งออกผ่านท่าเรือแหลมฉบังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีปริมาณรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาใช้บริการรับส่งตู้สินค้าเพิ่มขึ้นด้วย การรับส่งตู้สินค้าแต่ละเที่ยวใช้เวลานานหลายชั่วโมง จึงเกิดปัญหาการจราจรติดขัดในท่าเรืออย่างต่อเนื่อง ปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากหลายสาเหตุที่มีความสัมพันธ์กัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและปัญหาด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของนโยบายรัฐด้านการพัฒนาโลจิสติกส์ เงื่อนไขการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การขนส่งภายในประเทศ การปฏิบัติการในท่าเรือ และประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง 2) อิทธิพลของนโยบายรัฐด้านการพัฒนาโลจิสติกส์ เงื่อนไขการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การขนส่งภายในประเทศ การปฏิบัติการในท่าเรือ ที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสม การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการท่าเรือแหลมฉบัง บริษัทสายการเดินเรือ และผู้ประกอบการขนส่ง รวมจำนวน 340 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิที่มีสัดส่วน และแบบง่าย ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและแบบจำลองสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) นโยบายรัฐด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ อยู่ในระดับมาก เงื่อนไขการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การขนส่งภายในประเทศ การปฏิบัติการในท่าเรือ และด้านประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้า อยู่ในระดับมากที่สุด 2) นโยบายรัฐด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เงื่อนไขการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การขนส่งภายในประเทศ และการปฏิบัติการในท่าเรือ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง 3) แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง คือ ภาครัฐจะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เกี่ยวข้องในการขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือจะต้องให้ความสำคัญกับกำหนดการเรือเข้าออกท่าเรือที่ตรงตามตามตารางเทียบท่า พิธีการศุลกากร การวางแผนและควบคุมการขนส่งตู้สินค้าใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการควบคุมการรับส่งตู้สินค้าและการจัดการพื้นที่และเครื่องมือยกขน เพื่อให้การขนส่งตู้สินค้าในท่าเรือมีประสิทธิภาพด้านเวลา ต้นทุน ความพึงพอใจ และความน่าเชื่อถือในบริการ</p> <p>&nbsp;</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273353 การใช้แอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์เพื่ออรรถประโยชน์และสุนทรียะ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2024-06-15T09:47:56+07:00 ชัชชติภัช เดชจิรมณี chutchatiput.dac@rmutr.ac.th พรชัย ขันทะวงค์ pornchai.kun@rmutr.ac.th ศุภวัฒน์ สุขะประเมษฐ supawat.suk@rmutr.ac.th <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบระดับการยอมรับคุณค่าของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำแนกตามกลุ่มอรรถประโยชน์และสุนทรียะ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับคุณค่าของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำแนกตามกลุ่มอรรถประโยชน์และสุนทรียะ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ด้วยวิธีการวิเคราะห์แบบจำลองสมการถดถอยเชิงเส้นตรง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลที่ได้จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้การทำงานข้ามแพลตฟอร์ม, การรับรู้จำนวนเติมเต็ม, การรับรู้ประโยชน์, การรับรู้ด้านเทคนิค, การรับรู้คุณค่า ที่ส่งผลต่อระดับการยอมรับคุณค่าการใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์สำหรับการใช้จ่ายสินค้าและบริการ 2) ผลที่ได้จากการศึกษาในมิติด้านสุนทรียะ พบว่าปัจจัยด้านการรับรู้ค่าธรรมเนียม ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์สำหรับการใช้จ่ายสินค้าและบริการ ด้วยการนำทฤษฎีการเลือกของผู้บริโภคและการตัดสินใจจากการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์และการตลาดมาใช้ การศึกษาครั้งนี้จะพัฒนารูปแบบการยอมรับตามมูลค่า (VAM) และอธิบายลูกค้า การประยุกต์ของธนาคารพาณิชย์เพื่อการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากมุมมองของการเพิ่มมูลค่าสูงสุด ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับรู้คุณค่าของผู้บริโภคต่อมูลค่าการใช้แอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์เพื่ออรรถประโยชน์และสุนทรียะ เป็นตัวกำหนดหลักของความตั้งใจในการรับรู้คุณค่า</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274698 รูปแบบการบริหารการเรียนการสอนภาษาจีน ระดับบัณฑิตศึกษา หลังสถานการณ์โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 2024-06-13T14:37:27+07:00 Xingyue Shao xingyue.s017@outlook.com สุดา สุวรรณาภิรมย์ xingyue.s017@outlook.com ธิปัตย์ โสตถิวรรณ์ xingyue.s017@outlook.com สุนทร ผจญ xingyue.s017@outlook.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและแนวทางการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนระดับบัณฑิตศึกษา 2) พัฒนารูปแบบการบริหารการเรียนการสอนภาษาจีนระดับบัณฑิตศึกษา และ 3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการบริหารการเรียนการสอนภาษาจีนระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาหลังสถานการณ์โควิด-19 การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยแบบผสม การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาชาวไทยระดับปริญญาโท สาขาวิชาการเรียนการสอนภาษาจีน ชองมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทารุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 4 ทั้งหมด 30 คน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ อาจารย์มหาวิทยาลัยชาวจีน 5 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้วิเคราะห์คือ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ SWOT Analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1<strong>) </strong>โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนอย่างรุนแรง และสามารถใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ทำให้การเรียนการสอนดำเนินต่อไปได้ 2) การพัฒนารูปแบบการบริหารการเรียนการสอนภาษาจีนระดับบัณฑิตศึกษา ต้องแสวงหาโอกาสในยามวิกฤต ใช้ข้อดีของทั้งรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์และออนไซต์ ให้มีประโยชน์เพื่อรับมือกับปัญหาและวางแผนการพัฒนาระยะยาว ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนระดับบัณฑิตศึกษาได้พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้มากขึ้น และ 3) การพัฒนาทรัพยากรวัสดุการเรียนการสอนสำหรับการเรียนการสอนแบบผสมผสานเสริมสร้างระบบการประเมินผลให้สมบูรณ์ขึ้น มีการวางแผนในเรื่องการดูแลนักศึกษาและการอบรมคณะอาจารย์ สนับสนุนทางด้านเทคนิคการรักษาอินเตอร์เน็ต</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273418 Factors affecting students' entry into entrepreneurship in Higher education institutions under the network of the upper central region of the Office of the Commission on Higher Education in Thailand 2024-06-10T13:18:12+07:00 Pattarada Rungruang ampol@yahoo.com Ampol Navavongsathian ampol@southeast.ac.th <p><strong>This research aims to analyze the factors affecting the entry into entrepreneurship of students in higher education institutions under the network of the upper central region of Thailand</strong><strong>. </strong><strong>The primary data was collected from an online questionnaire sent to 400 samples, obtained by random sampling method selected from students in public and private institutions</strong><strong>. </strong><strong>The structural equation model was applied for analysis</strong><strong>. </strong><strong>The results showed that economic factors were risk tolerance, returns in monetary terms, and the cost of starting a new business</strong><strong>. </strong><strong>The motivation factors were being the boss, having the highest success, and social acceptance</strong><strong>. </strong><strong>The commitment factors include acquiring the necessary knowledge and skills, perseverance, and belief in success to influence entry into successful entrepreneurship of students in Thai higher education institutions under the upper central region network</strong><strong>.</strong></p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/266139 การวิเคราะห์สถาปัตยกรรมองค์กร กองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา ด้วยสถาปัตยกรรมองค์กร โทกาฟโมเดล 2024-06-14T13:29:57+07:00 อดิสร ผลศุภรักษ์ adisorn.po@up.ac.th เกวรินทร์ จันทร์ดำ Kaewarin.ja@up.ac.th สิทธิเดช วชิราศรีศิริกุล adisorn.po@up.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สถาปัตยกรรมองค์กรกองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา <br />2) เพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการใช้บริการกองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา ด้านขั้นตอนการให้บริการและด้านสถานที่ให้บริการ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ กองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างคือ เครือข่ายงานธุรการ จำนวน 39 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือ<br />ที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความพึงพอใจการใช้บริการขององค์กร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า 1) การวิเคราะห์สถาปัตยกรรมองค์กร ครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โดยใช้วิธีการพัฒนาสถาปัตยกรรมองค์กรจาก โทกาฟ โมเดล ซึ่งได้กำหนดสถาปัตยกรรม อยู่ 4 ด้าน ได้แก่ 1.สถาปัตยกรรมด้านธุรกิจ 2.สถาปัตยกรรมด้านระบบงาน 3.สถาปัตยกรรมด้านข้อมูล 4.โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสถาปัตยกรรมองค์กรสามารถสรุปโครงสร้างขององค์กรในรูปแบบพิมพ์เขียวซึ่งทำให้เห็นมุมมองภาพรวม 2) ผลการประเมินความพึงพอใจขององค์กร ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ด้านระบบสารสนเทศมีความสะดวกรวดเร็ว อยู่ในระดับมาก ด้านขั้นตอนการให้บริการ อยู่ในระดับมาก และด้านสถานที่ให้บริการอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271193 Factors Influencing Innovative Work Behaviour in University in Yunnan, China 2024-03-19T10:07:43+07:00 Zizhen Shao s63484945107@ssru.ac.th Chaithanaskorn Phawitpiriyakliti chaithanaskorn.ph@ssru.ac.th Sid Terason fsssid@ku.ac.th <p> This study aims to determine the relationship and effects between digital leadership, digital culture, innovation willingness on innovative work behavior of universities in China. This research is quantitative research. Population and sample for the study is college teachers and scholars of universities in Yunnan Province, this study uses the combination of stratified sampling and random sampling to sample universities with different rankings in different Yunnan Province. <br /> The study showed a lowly significant positive relationship between innovation willingness and innovative work behavior. We found that innovation work behavior had moderately significant positive relationships with digital leadership and digital culture. In this study, the results of the multiple regression analysis conducted using the backward method. As these results indicate, our analysis determined that 64.4% of the changes in the innovation work behaviorwere explained by the changes in the four dimensions. According to these results, the value innovation work behaviorcan be formulated as follows: “Innovation Work Behavior= 5.960 + (0.756 x digital leadership) + (0.129 x digital culture) + (0.062 x innovation willingness developed)”</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273118 Attributes and Skills Required for Potential Employment of Graduates: A Survey in the Context of the Labour Market in Bangkok 2024-06-15T09:48:47+07:00 Chittima Chantharaphon jane_gemma@hotmail.com Krittika Ma-in 52204402013@stu.ecnu.edu.cn Jia Lijun 52204402013@stu.ecnu.edu.cn <p> Our objectives were threefold: 1) to determine the expectations and perceptions of students, lecturers, and entrepreneurs regarding key employability attributes and skills of graduate students, 2) to encourage students to recognise and cultivate key employability skills and attributes to align their attributes and skills with the demands of the labour market, and 3) to encourage higher education institutes to recognise these skills and attributes and design proper and overarching curricula and teaching resources for students. This study was quantitative research. Data for this quantitative research were collated from questionnaires and interviews involving 549 students, 97 lecturers, and 90 entrepreneurs in Bangkok. Statistical analysis was performed using means and standard deviation to define key components of employability attributes (morals and ethics, emotional intelligence, work performance and effectiveness, and personality) and skills (interpersonal skills, critical thinking, professionalism and management skills, and language and information technology skills).</p> <p> Our results found that: 1) Lecturers and entrepreneurs have emphasised the importance of intelligence and interpersonal skills in graduates. Students, on the other hand, perceive personality, language proficiency, and information technology skills as crucial for employability. Additionally, students consider their expected work performance, effectiveness, and interpersonal skills to be key attributes of employability. 2) Expectations of entrepreneurs and lecturers regarding employability skills and attributes should be shared with students, a knowledge with which they might be able to improve their attributes and skills to align them with the requirements of the labour market. 3) University curricula and teaching resources should be designed to equip graduates with the requisite skills and attributes to satisfy labour market expectations. Students must be encouraged to participate in a cooperative education programme, which can help them gain pertinent knowledge and experience.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274770 ตัวแบบจำลองภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สมรรถนะการปฏิบัติงานและแรงจูงใจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย 2024-06-27T09:51:21+07:00 ทรงศักดิ์ พุ่มสวัสดิ์ songsak.p021@outlook.com ณัฐพร ฉายประเสริฐ songsak.p021@outlook.com ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว songsak.p021@outlook.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สมรรถนะในการปฏิบัติงาน แรงจูงใจ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย 2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สมรรถนะในการปฏิบัติงาน และแรงจูงใจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และ 3) นำเสนอแบบจำลองของประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย จำนวน 300 ตัวอย่าง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย พนักงาน ผู้บริหาร กรรมการสมาคมประกันชีวิตไทย และนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสิ้น 9 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สมรรถนะในการปฏิบัติงาน และแรงจูงใจ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย มีความสำคัญอยู่ระดับมาก 2) สมรรถนะในการปฏิบัติงานมีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และแรงจูงใจ 3) ได้แบบจำลองของประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย โดยแบบจำลองมีลักษณะดังแผนภูมิภาพประกอบด้วย สมรรถนะในการปฏิบัติงาน ที่มีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุดรองลงมาคือ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และแรงจูงใจมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยที่มุ่งเน้นสู่ประสิทธิผลของงาน คุณภาพของงาน และความสามารถเกี่ยวกับงาน ทั้งนี้จากนั้นการพิจารณาค่าสัมประสิทธิเส้นทางของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย ผู้วิจัยจึงสร้างสร้างโมเดลใหม่ ที่พัฒนาขึ้นคือ “แบบจำลองสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และแรงจูงใจประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย”</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274955 The Moderator Roles of Subjective Norms and Marketing Mix in the Acceptance of the Non Fungible Tokens Technology on the Artwork Customer in China 2024-06-28T22:23:02+07:00 Zhong Tian ptanawat.jdar@gmail.com Supattra Pranee ptanawat.jdar@gmail.com Bundit Pungnirund ptanawat.jdar@gmail.com <p>This study aims to 1) investigate the factors affecting the acceptance of using NFT technology by consumers on the artwork products based on the moderated effect of subjective norms and marketing mix; 2) test the model of factors influncing the acceptance of consumers on the NFT technology and 3) explain the relationship between factors of consumers' acceptance of NFT technology on the artwork products. This study was mixed method research. Quantitative research employed a questionnaire as a data collection tool from investors 520 people obtained by purposive sampling. Data analysis including percentage, mean and Structural Equation Model (SEM). In Qualitative research, key informants of 30 people were obtained by purposive sampling and used in-depth interviews is a data collection tool. Data analysis including content analyst The results were as follows: 1) Chinese NFT collectors and consumers are influenced by peers and family members in initiating the collection and use of NFT. Consumers pay attention to various NFT characteristics, emphasizing safety, trading aspects, quality, and the purchase and usage process, particularly focusing on payment security. 2) NFT consumers are very obviously positively influenced by their family members, peers and friends. As long as consumers have family members or peers and friends in the consumption, collection or use of NFT and 3) the quality of NFT artworks, the distribution platform, the purchase and use process, and the price of NFT artworks will also affect consumers' consumption and use of NFT. How to provide cheap and fine NFT art, to provide consumers with a good and convenient way to buy and use, this is also an important question whether NFT can achieve consumption.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274747 แนวทางการพัฒนารูปแบบเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ เพื่อรับรางวัลความเป็นเลิศโดดเด่นด้านการดูแลสังคมและความเป็นเลิศระดับโลก 2024-06-14T14:37:30+07:00 ภูพิพัฒน์ สาวพัฒนะธาดา pupipath.s020@outlook.com ภัครดา เกิดประทุม pupipath.s020@outlook.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1. เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA) ปี 2565 – 2566 2. รูปแบบการบริหารจัดการองค์การเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ 6 ประเภทรางวัล 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศและ 4. แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการองค์การเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ เพื่อรับรางวัลความเป็นเลิศโดดเด่นด้านดูแลสังคมและความเป็นเลิศระดับโลก เป็นาการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 ท่าน ประกอบด้วย ผู้บริหารสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ จำนวน 10 ท่าน และผู้รับผิดชอบหรือผู้เชี่ยวชาญองค์การที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ แต่ละประเภทรางวัล จำนวน 6 รางวัล จำนวน 15 ท่าน แล้วนำมาวิเคราะห์ แก่นสาระที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก กำหนดหนดประเด็นในการดำเนินการสนทนากลุ่ม โดยกำหนดผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มคือผู้เชี่ยวชาญเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ/ที่ปรึกษาเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ จำนวน 10 ท่าน&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ เพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ปี 2565 – 2566 ประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ (1) ความสามารถในการฟื้นตัว (2) ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม (3) การเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัล การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4, (4) นวัตกรรมและ (5) การตอบแทนสังคม 2. รูปแบบการบริหารจัดการองค์การเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ประกอบด้วย ค่านิยมและแนวคิดหลัก 11 ประการ &nbsp;ได้แก่ (1) มุมมองเชิงระบบ (2) การนำองค์การอย่างมีวิสัยทัศน์ &nbsp;(3) ความเป็นเลิศที่มุ่งเน้นลูกค้า (4) การให้ความสำคัญกับบุคลากร (5) การเรียนรู้ระดับองค์การและความคล่องตัว (6) การมุ่งเน้นความสำเร็จ (7) การจัดการเพื่อนวัตกรรม (8) การจัดการโดยใช้ข้อมูลจริง (9) ความรับผิดชอบต่อสังคม (10) จริยธรรมและความโปร่งใส (11) การส่งมอบคุณค่าและผลลัพธ์และการกำกับดูแลองค์การ 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน และการพัฒนาแนวทางเพื่อผลการดำเนินการที่เป็นเลิศโดดเด่นด้านการดูแลสังคมและความเป็นเลิศระดับโลกเกี่ยวข้องกับด้านต่าง ๆ ดังนี้ คือ ด้านกระบวนการ ประกอบด้วย การมีผู้นำที่มุ่งเน้นการดูแลสังคม โดยเป็นตัวอย่างและสนับสนุนในมิติต่าง ๆ ขององค์การ การมุ่งเน้นความรับผิดชอบสังคมและการตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และ 4. การสร้างกลยุทธ์ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสังคมและการสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในด้านการดูแลสังคม การเข้าใจและการตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่น การใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินการในด้านการดูแลสังคม การใช้เทคโนโลยีและการจัดการความรู้ในการสนับสนุนการดูแลสังคม การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการดูแลสังคมและสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากร การสร้างความเชื่อมั่นและความผูกพันในการดูแลสังคม การพัฒนากระบวนการทำงานที่เป็นมิตรและเข้าใจต่อการดูแลสังคม การวัดและประเมินผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสังคม และด้านผลลัพธ์ ประกอบด้วย ผลลัพธ์ด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการขององค์การ ผลลัพธ์ที่มีผลต่อความพึงพอใจและความคาดหวังของลูกค้า ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสังคมที่ส่งผลต่อบุคลากรในองค์การ ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการนำองค์การและการกำกับดูแลองค์การ และผลลัพธ์ที่มีผลต่อด้านการเงิน ตลาดและเชิงกลยุทธ์</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274717 แบบจำลองการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี 2024-06-19T16:35:37+07:00 สิริวิภา บุญศิริ sirivipa.b019@outlook.com สุพัตรา ปราณี sirivipa.b019@outlook.com ธนพล ก่อฐานะ sirivipa.b019@outlook.com บัณฑิต ผังนิรันดร์ sirivipa.b019@outlook.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของสภาพแวดล้อมภายนอก ทุนทางสังคม การสนับสนุนทางสังคม การบริการขั้นพื้นฐานส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายนอก ทุนทางสังคมการสนับสนุนทางสังคม การบริการขั้นพื้นฐานที่มีอิทธิพลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุใน จังหวัดปทุมธานี&nbsp; 3)&nbsp; เพื่อสร้างแบบจำลองสมการโครงสร้างของการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี&nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุมีตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ที่มีภาวะพึ่งพิง และ มีภูมิลำเนาและอาศัยในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 360 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย&nbsp; เจ้าหน้าที่กรมกิจการผู้สูงอายุ&nbsp; เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณะสุข เจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่กรมปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 16 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุแบบพฤฒพลัง&nbsp; ทุนทางสังคม การสนับสนุนทางสังคม สภาพแวดล้อมภายนอก และการบริการขั้นพื้นฐาน มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมภายนอก มีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่ออการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี&nbsp; มากที่สุด รองลงมาได้แก่ การบริการขั้นพื้นฐาน การสนับสนุนทางสังคม และ ทุนทางสังคม ตามลำดับ และ 3)ได้แบบจำลองสมการโครงสร้างของการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี ที่พัฒนาขึ้นคือ “2EB2S Model” เป็นแบบจำลองให้หน่วยงานที่สนับสนุนส่งเสริมผู้สูงอายุในการยกระดับคุณภาพชีวิตแบบพฤฒพลังของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี ที่มุ่งเน้นให้ผู้อายุมมีสุขภาพดี มีส่วนร่วมของสังคม และมีหลักประกันชีวิตต่อไปในอนาคต</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274162 Efficiency Assessment of Tokenization in Managing the Assets of the Elderly 2024-06-13T14:41:32+07:00 กฤษณะ ธีรพลพิพัฒ krisana.tee@gmail.com ภูมิ มูลศิลป์ krisana.tee@gmail.com ชลวิทย์ เจียรจิตต์ krisana.tee@gmail.com <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โทเคนเริ่มมีบทบาทสำคัญและได้รับความนิยมมากในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะในแวดวงธุรกิจ ซึ่งบริษัทเอกชนมีการนำโทเคนมาใช้ประโยชน์ในธุรกิจกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ สำหรับพัฒนาระบบนิเวศน์ทางธุรกิจกับสินค้าและบริการในเครือข่าย รวมถึงการนำโทเคนไปใช้ระดมทุนในโครงการใหม่ กระบวนการ Tokenization ที่ไม่เพียงแต่จะเพิ่มกระแสเงินสดให้กับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการต่างๆ ด้วยระบบอัตโนมัติที่มีความปลอดภัยสูง จึงเป็นที่มาของงานวิจัยที่มีแนวคิดในการนำโทเคนมาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้สูงอายุ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การประเมินประสิทธิภาพของโทเคนในการจัดการทรัพย์สินผู้สูงอายุ เป็นการวิเคราะห์และการเสนอแนะ เพื่อให้การออกโทเคนสร้างโอกาสใหม่ๆ จากกระบวนการ Tokenization และการพัฒนาธุรกิจให้สามารถเป็นไปได้จริงในอนาคต โดยมีการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้สูงอายุและการบริหารจัดการทรัพย์สินของพวกเขา อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงความสำคัญของความรับผิดชอบทางสังคมและการประเมินความเสี่ยงในการลงทุนในโทเคน เพื่อให้การทำ Tokenization สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเข้าใจและความโปร่งใสในการนำไปใช้จัดการทรัพย์สินผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์สูงสุด</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272908 แนวทางการพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนบนพื้นฐานการอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชน ตำบลย่านซื่อ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง 2024-06-28T09:40:23+07:00 ภรณีย ยี่ถิ้น poranee.y14@gmail.com เกษตรชัย และหีม kasetchai.l@psu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนบนพื้นฐานการอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชน ตำบลย่านซื่อ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม ใช้แนวคิดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และแนวคิดการเล่าเรื่อง เป็นกรอบการวิจัย โดยมีพื้นที่วิจัยคือ ชุมชนบ้านในลุ่ม ตำบลย่านซื่อ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง คือ สมาชิกกลุ่มท่องเที่ยวบ้านในลุ่ม จำนวน 24 คน <br>มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบสังเกตุการณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ทำการบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนบนพื้นฐานการอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชน ตำบลย่านซื่อ อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เกิดจากการร่วมออกแบบและพัฒนากิจกรรมร่วมกันของคนในชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง แบ่งได้เป็น กิจกรรมการพัฒนาบุคลากรก่อนจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว กิจกรรมการพัฒนาบุคลากรระหว่าง<br>จัดกิจกรรมการท่องเที่ยว และกิจกรรมการพัฒนาบุคลากรหลังจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยมี<br>การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวให้แก่สมาชิกชุมชน ควบคู่กับการกระตุ้นการตระหนักรู้คุณค่าและความสำคัญของฐานทรัพยากรในชุมชน</p> <p>องค์ความรู้ที่พบจากงานวิจัยนี้ เกิดการแนวทางการพัฒนาบุคลากรทางการท่องเที่ยวของชุมชน ที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว และช่วยเพิ่มบทบาทและการตระหนักรู้คุณค่าของทรัพยากรทางการท่องเที่ยวให้แก่สมาชิกชุมชน เพื่อการอนุรักษ์ฐานทรัพยากรชุมชน<br>ไปพร้อมกับการใช้ประโยชน์ในระยะยาว</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272289 การพัฒนาการสื่อสารทางการตลาดชุมชนสร้างสรรค์แบบครบวงจร เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนเข้มแข็ง: กรณีศึกษาชุมชนบ้านลิพอนใต้ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 2024-06-26T11:29:42+07:00 กมลวรรณ กิตติอุดมรัตน์ kamonwan.k@pkru.ac.th พรรณวดี กิตติอุดมรัตน์ Kamonwan.k@pkru.ac.th เฉลิมพร วรพันธกิจ Kamonwan.k@pkru.ac.th เอกพล วงศ์เสรี Kamonwan.k@pkru.ac.th วนิดา หาญเจริญ Kamonwan.k@pkru.ac.th <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาการสื่อสารทางการตลาดชุมชนสร้างสรรค์แบบครบวงจร เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนเข้มแข็ง : กรณีศึกษาชุมชนบ้านลิพอนใต้ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านลิพอนใต้ จำนวน 375 คน และกลุ่มนักท่องเที่ยว/ลูกค้าชาวไทย จำนวน 384 คน และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จำนวน 12 คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 2 ครั้ง จากกลุ่มตัวแทนผู้นำชุมชน ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์โดยจำแนกข้อมูลและเปรียบเทียบข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยว/ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าสภาพการสื่อสารทางการตลาดของชุมชนบ้านลิพอนใต้อยู่ในระดับมาก ประชาชนและนักท่องเที่ยว/ลูกค้าชาวไทย<br />ให้ความเห็นที่แตกต่างกันในด้านการตลาดทางตรงและฐานข้อมูลมากที่สุด รองลงมาด้านการโฆษณา <br />ด้านการส่งเสริมการขาย และด้านการจัดกิจกรรมพิเศษและสร้างประสบการณ์ ประชาชนชุมชนบ้านลิพอนใต้และนักท่องเที่ยวหรือลูกค้าชาวไทยให้ความเห็นที่แตกต่างกันน้อยที่สุด สำหรับแนวทางการพัฒนาการสื่อสารทางการตลาดชุมชนสร้างสรรค์แบบครบวงจร โดยเทศบาลตำบลศรีสุนทรและชุมชนบ้านลิพอนใต้เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ในการพัฒนาการสื่อสารทางการตลาดชุมชนสร้างสรรค์แบบครบวงจร เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนบ้านลิพอนใต้ให้เข้มแข็ง ดังนี้ 1) ควรโฆษณากิจกรรมและผลิตภัณฑ์ของชุมชนผ่านหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่าง ๆ <br />อย่างต่อเนื่อง 2) ควรมีการจัดทำแพ็คเกจ โปรโมชั่นราคาพิเศษ แคมเปญกิจกรรมการท่องเที่ยวหรือผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น 3) ควรจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามกิจกรรมพิเศษที่หน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้นให้เป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวหรือลูกค้า 4) ควรมีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมชุมชนและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นในรูปแบบสิ่งพิมพ์หรือออนไลน์<br />ผ่านเครือข่ายการท่องเที่ยวและสื่อท้องถิ่น 5) ควรมีการพัฒนาตลาดออนไลน์และเขียนถ่ายทอดเรื่องราวชุมชน ข้อมูลวัฒนธรรม การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์และแอปพลิเคชันบนมือถือ 6) ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลนักท่องเที่ยวหรือลูกค้า 7) ควรมีการพัฒนาสมาชิกกลุ่มในชุมชนให้มีทักษะการขาย เป็นนักเล่าเรื่องสามารถถ่ายถอดเรื่องราว วัฒนธรรม และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา