https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/issue/feed
วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
2025-11-25T09:06:14+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์
Touch_life@outlook.co.th
Open Journal Systems
<p>วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา จะครอบคลุมเนื้อหา ด้านการวิจัย ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการอุตสาหกรรม ด้านรัฐศาสตร์ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านบริหารการศึกษา ด้านการเงิน การบัญชี และธนาคาร ด้านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านนวัตกรรมการจัดการ</p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279190
การพัฒนาเทคโนโลยีระบบฟาร์มอัจฉริยะแบบอัตโนมัติสำหรับปลูกบัวบก เพื่อให้มีปริมาณสารสำคัญสูง
2025-10-04T19:23:07+07:00
เกศศิรินทร์ แสงมณี
katsirinsangmanee@gmail.com
พนิดา แสนประกอบ พรอุดมทรัพย์
Katsirinsangmanee@gmail.com
นพวรรณ์ พรศิริ
Katsirinsangmanee@gmail.com
<p>การพัฒนาเทคโนโลยีระบบฟาร์มอัจฉริยะแบบอัตโนมัติสำหรับปลูกบัวบกให้มีปริมาณสารสำคัญสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบฟาร์มอัจฉริยะที่ควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้เหมาะสมต่อการสร้างสารสำคัญในบัวบกแต่ละพันธุ์ที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ที่ไม่มีสารปนเปื้อน โดยแบ่งออกเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่ 1) การออกแบบและพัฒนาระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือนโดยใช้คอมพิวเตอร์แบบฝังด้วยโปรแกรม Arduino ในการเขียนโค้ดเพื่อควบคุมอุปกรณ์ ทำการปลูกบัวบกในโรงเรือนแบบจั่ว 2 ชั้น ขนาด 4 x 12 เมตร พบว่า ระบบควบคุมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ในบรรยากาศ อุณหภูมิในโรงเรือนที่ควบคุมระบบพ่นหมอก และความชื้นในดินที่ควบคุมระบบน้ำแบบมินิสปริงเกอร์ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนให้อยู่ในระดับที่มีเหมาะสมจนส่งผลให้บัวบกมีการเจริญโตที่ดีได้ทุกฤดู 2) การศึกษาผลของบัวบกแต่ละพันธุ์ที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ภายใต้โรงเรือนอัจฉริยะที่ปราศจากสารปนเปื้อน โดยวางแผนการทดลองแบบ Split plot in CRD จำนวน 3 ซ้ำ โดยมีสิ่งทดลองดังนี้ ปัจจัยหลัก คือ พันธุ์ปลูกบัวบก ได้แก่ พันธุ์นครปฐม พันธุ์อุบลราชธานี และพันธุ์ระยอง ปัจจัยรอง คือ การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำเกษตรกร และการใส่ปุ๋ยหมักถ่านชีวภาพอัตรา 1000 กิโลกรัมต่อไร่ ที่ปลูกในแต่ละฤดู บันทึกข้อมูล ได้แก่ สัณฐานวิทยาของบัวบกแต่ละพันธุ์ ปริมาณโลหะหนักในใบบัวบก ปริมาณสารสำคัญ และปริมาณสารเอเชียติโคไซด จากการทดลอง พบว่า บัวบกพันธุ์อุบลราชธานีให้ผลผลิตดีที่สุด พันธุ์ระยองให้ผลผลิตต่อพื้นที่ต่ำสุด เมื่อวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักในใบบัวบกทุกพันธุ์ที่ปลูกแบบใส่ปุ๋ยเคมีและอินทรีย์ พบว่า อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานทั่วไปของ Thai Herbal Pharmacopoeia (Thai Herbal Pharmacopoeia Volume 1, 0, 1998 2000) พันธุ์ระยองที่ปลูกในทุกฤดูมีปริมาสารสำคัญมากที่สุด ในฤดูร้อน มีปริมาณสารประกอบฟินอลิก ปริมาณสารประกอบฟาโวนอยด์ และฤทธิ์ตานอนุมูลอิสระดวยวิธี DPPH มากที่สุด 10.59 mgGAE/g DW 105.38 mgGAE/g DW และ 4.48 ตามลำดับ ปริมาณสารเอเชียติโคไซด์ พบว่า พันธุ์ระยองที่ปลูกในฤดูฝนมีปริมาณสารมากที่สุดคือ 34.48 เปอร์เซ็นต์ และการปลูกโดยใช้ปุ๋ยหมักถ่านชีวภาพจากเปลือกทุเรียนอัตรา 1000 กิโลกรัมต่อไร่ มีการผลิตปริมาณสารสำคัญมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบการปลูกในโรงเรือนระบบฟาร์มอัจฉริยะและปลูกนอกโรงเรือน พบว่า การปลูกในโรงเรือนให้ปริมาณสารปริมาณเอเชียติโคไซด์สูงกว่าการปลูกนอกโรงเรือน ซึ่งการปลูกบัวบกในระบบโรงเรือนอัจฉริยะและปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ส่งผลให้บัวบกมีผลผลิตและปริมาณสารสำคัญมากกว่าการปลูกนอกโรงเรือน อีกทั้งยังสามารถควบคุมโรคและแมลงที่ระบาดในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนได้ ซึ่งเป็นแนวทางให้เกษตรกรนำไปใช้พัฒนาในการผลิตบัวบกเพื่อนำไปใช้ในการผลิตบัวบกให้มีปริมาณสารสำคัญสูงได้ต่อไปในอนาคต</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282277
กลวิธีพูดเพื่อความประทับใจที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าสายการบิน ในประเทศไทย
2025-10-14T11:17:32+07:00
สุชารัตน์ ศศิพัฒนวงษ์
sucharat.s@bu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับกลวิธีการพูดที่พนักงานสายการบินใช้ในการสร้างความประทับใจต่อลูกค้าและระดับความพึงพอใจของลูกค้าสายการบินในประเทศไทย และ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีการพูดกับระดับความพึงพอใจของลูกค้า เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดกลวิธีพูดเพื่อความประทับใจ ของ Hayley (2016) และแนวคิดความพึงพอใจ ของ Millet (2012) พื้นที่วิจัย คือ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้โดยสารที่เคยใช้บริการสายการบินภายในประเทศ จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ <br />ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้หลักการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression analysis) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 กลวิธีการพูดที่พนักงานสายการบินใช้ในการสร้างความประทับใจต่อลูกค้า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนี้ ด้านความเชี่ยวชาญ รองลงมาคือ ด้านกิริยาท่าทาง และด้านผลการสะท้อนกลับ ตามลำดับ ความพึงพอใจของลูกค้าสายการบินในประเทศไทย ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ดังนี้ การให้บริการอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือ การให้บริการอย่างเสมอภาค การให้บริการอย่างทันเวลา การให้บริการอย่างเสมอภาค และการให้บริการอย่างก้าวหน้า ตามลำดับ</li> <li>จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ปัจจัยกลวิธีพูดเพื่อความประทับใจที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าสายการบินในประเทศไทย ได้แก่ ด้านความเชี่ยวชาญและกิริยาท่าทาง ตามลำดับ</li> </ol> <p>องค์ความรู้ใหม่ที่ค้นพบคือ ในการบริการของสายการบิน แม้ความเป็นมิตรและท่าทีที่ดีจะสำคัญแต่สิ่งที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้ "มากกว่า" คือการที่พนักงานแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญและแก้ปัญหาได้จริง ลูกค้าให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ (Expertise)" ของพนักงาน มากกว่า "กิริยาท่าทาง (Demeanor)"</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283096
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ของเกษตรกรผู้ปลูกแตงกวาในตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
2025-10-08T16:05:03+07:00
วณิชา แผลงรักษา
udopong.jo@bru.ac.th
เอกพล แสงศรี
udopong.jo@bru.ac.th
อุดมพงษ์ เกศศรีพงษ์ศา
udompong.jo@bru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบท ศักยภาพ และสภาพปัญหาการบริหารจัดการของเกษตรกรผู้ปลูกแตงกวาในตำบลหูทำนบ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของเกษตรกรในพื้นที่ การวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยใช้การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากเกษตรกร 30 ราย และเชิงคุณภาพจากอาสาสมัคร <br />7 ราย ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรประสบปัญหาขาดแรงงาน ขาดระบบจัดการน้ำ ความรู้ด้านการปลูกและการป้องกันโรคแมลงไม่เพียงพอ และต้นทุนการผลิตสูง การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโดยใช้เทคนิค 5W1H (What, Why, Who, Where, When, How) และ ECRS (Eliminate, Combine, Rearrange, Simplify) ช่วยให้เกษตรกรมีแนวทางวางแผนและปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ลดต้นทุนการผลิตลงร้อยละ 20 เพิ่มผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ร้อยละ 28 และเพิ่มรายได้สุทธิมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับการปลูกแบบเดิม รูปแบบการบริหารจัดการที่ได้ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การบริหารงาน การบริหารคน การผลิต การจำหน่าย และการจัดสรรผลประโยชน์ พร้อมจัดทำเป็นคู่มือหลักสูตรสำหรับกลุ่มเกษตรกรใช้เป็นแนวทางพัฒนาการดำเนินงานอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/268735
การศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะและการสะท้อนคิด ด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งเสริมการให้เหตุผลเชิงสถิติ เรื่อง ค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
2023-11-01T13:22:12+07:00
สุทธินี ดอกพุฒ
suthinee.d@ku.th
ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์
suthinee.d@ku.th
วันดี เกษมสุขพิพัฒน์
suthinee.d@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการให้เหตุผลเชิงสถิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะและการสะท้อนคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลและ 2) ศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะและการสะท้อนคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งเสริมการให้เหตุผลเชิงสถิติ เรื่อง ค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 26 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะและการสะท้อนคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล จำนวน 9 แผน และ (2) แบบทดสอบวัดการให้เหตุผลเชิงสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีระดับการให้เหตุผลเชิงสถิติอยู่ในระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 61.54 และร้อยละของค่าเฉลี่ยของคะแนนแบบทดสอบวัดการให้เหตุผลเชิงสถิติเท่ากับ 70.31 และ 2) แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสืบเสาะและการสะท้อนคิดด้วยสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งเสริมการให้เหตุผลเชิงสถิติ เรื่อง ค่ากลางของข้อมูล ได้แก่ การยกตัวอย่างสถานการณ์พร้อมใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนสืบค้น สำรวจข้อมูลหรือข้อสรุปทางสถิติ โดยใช้วิธีการสืบเสาะด้านเนื้อหา มีการบูรณาการการใช้สื่อเทคโนโลยีดิจิทัล และสะท้อนคิดผ่านการตอบคำถาม การอภิปรายกลุ่ม การทำแบบฝึกทักษะและการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะการให้เหตุผลเชิงสถิติของนักเรียน ครูผู้สอนจึงควรวางแผนการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม สร้างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางคณิตศาสตร์อย่างแท้จริง</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275770
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในจังหวัดนครปฐม
2025-03-28T13:14:36+07:00
พิชญ์ หิรัญ
pichhirun.phd@gmail.com
ศมานันทน์ รัตนศิริวิไล
pichhirun.phd@gmail.com
ชาญเดช เจริญวิริยะกุล
pichhirun.phd@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณลักษณะส่วนบุคคล วัฒนธรรมองค์กร การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงาน และแรงจูงใจในการทำงาน ที่มีต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในจังหวัดนครปฐม ทั้ง 7 อำเภอ รวม 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิแบบมีสัดส่วน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงาน มีอิทธิพลรวมต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มากที่สุด รองลงมาคือ วัฒนธรรมองค์กร คุณลักษณะส่วนบุคคล และแรงจูงใจในการทำงาน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะอิทธิพลทางตรงพบว่า การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงาน มีอิทธิพลต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มากที่สุด รองลงมาคือ แรงจูงใจในการทำงาน คุณลักษณะส่วนบุคคล และวัฒนธรรมองค์กร ตามลำดับ ผลของการวิจัยนี้ หน่วยงานภาครัฐสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนานโยบายและแผนงานด้านสาธารณสุขที่สอดคล้องกับการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และสามารถนำไปใช้ในการจัดทำหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงรุกสำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/277529
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน จังหวัดนครนายก
2025-06-16T11:21:15+07:00
รัชญา โสภณอภิกุล
ratchaya.yok@gmail.com
สโรชินี ศิริวัฒนา
srochinee.si@ssru.ac.th
รัชฎา ฟองธนกิจ
srochinee.si@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของทักษะความเป็นผู้นำ การจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กร และความได้เปรียบในการแข่งขัน ที่มีต่อความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน จังหวัดนครนายก การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ สมาชิกวิสาหกิจชุมชน จังหวัดนครนายก รวม 340 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ด้วยวิธีการสุ่มตัวเลขจากบัญชีสมาชิกวิสาหกิจชุมชน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ทักษะความเป็นผู้นำ มีอิทธิพลโดยรวมต่อความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน มากที่สุด รองลงมาคือ การจัดการความรู้ ความได้เปรียบในการแข่งขัน และนวัตกรรมองค์กร ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะอิทธิพลทางตรงพบว่า การจัดการความรู้ อิทธิพลทางตรงต่อความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน มากที่สุด รองลงมาคือ ทักษะความเป็นผู้นำ ความได้เปรียบในการแข่งขัน และนวัตกรรมองค์กร ตามลำดับ ผลของการวิจัยนี้ วิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่างวิสาหกิจชุมชน จังหวัดนครนายก สามารถนำข้อค้นพบไปใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิสาหกิจชุมชนของตน</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283622
จรรยาบรรณและทักษะทางวิชาชีพบัญชี ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย
2025-10-06T12:55:09+07:00
สุพาพรรณ คำสุวรรณ
supaphan.kh@gmail.com
กัลยาภรณ์ ปานมะเริง
supaphan.kh@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) จรรยาบรรณวิชาชีพมีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย และ 2) ทักษะทางวิชาชีพบัญชี ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต<br />ในประเทศไทย จำนวน 15,043 คน โดยใช้วิธีการของ Taro Yamane กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยการสุ่ม จำนวน 390 คน ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) จรรยาบรรณวิชาชีพมีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย พบว่า จรรยาบรรณของผู้สอบบัญชี ด้านความรู้ความสามารถ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต ด้านการรักษาความลับ และด้านความโปร่งใส มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกและส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย และ 2) ทักษะทางวิชาชีพบัญชี ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชี ของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย พบว่า ทักษะทางวิชาชีพ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะทางวิชาการเชิงปฏิบัติและหน้าที่งาน ด้านทักษะทางคุณลักษณะเฉพาะบุคคล ด้านทักษะทางปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและการสื่อสาร และด้านทักษะทางการบริหารองค์กรและการจัดการธุรกิจ มีความสัมพันธ์ในเชิงบวก และส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2025-10-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280085
The Influence of Goal Setting and Perceived Organization Support on Employee Performance: A Chemical Industry Group Located at Industrial Park 304, Prachinburi Province
2025-10-04T18:00:45+07:00
Jintachai Sooksoonthorn
jintachai.s@ku.th
Nuanluk Sangperm
nuanluk.s@ku.th
<p>This article aims to study (1) to examine the levels of goal setting, perceived organizational support, and employee performance, and (2) To investigate the influence of goal setting and perceived organizational support on employee performance. The sample consisted of 291 employees working in the 304 Industrial Park, Prachinburi Province, selected through convenience sampling and stratified random sampling based on proportional allocation. The research instrument was a questionnaire comprising five sections: general information, goal setting, perceived organizational support, employee performance, and additional suggestions. Data analysis employed descriptive statistics (percentage, frequency, mean, and standard deviation) and inferential statistics (Pearson’s correlation coefficient and multiple regression analysis). The research results were found as follows:</p> <ol> <li>Employees reported high levels of goal setting (Mean = 3.914), perceived organizational support (Mean = 3.762), and performance (Mean = 3.902).</li> <li>Goal setting had a positive influence on employee performance (Adjusted R² = 38.6%, p < 0.05), with clarity, commitment, feedback, and task complexity as significant factors.</li> </ol> <p>Perceived organizational support had a positive influence on employee performance (Adjusted R² = 58.4%, p < 0.05), with knowledge and promotion opportunity, job security, emotional psychology, and working conditions as significant factors.</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279932
กลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจร้านเครื่องเขียนในกรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองต่อผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
2025-10-04T20:57:25+07:00
พิชญพงค์ อยู่มาก
nawaphorn.1818@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของวิกฤติทางเศรษฐกิจต่อร้านเครื่องเขียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อหาแนวทางในการปรับตัวในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจของร้านเครื่องเขียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าของกิจการร้านเครื่องเขียน พนักงานร้านเครื่องเขียนจำนวน และ ผู้ใช้บริการร้านเครื่องเขียน จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจส่งผลให้ยอดขายร้านเครื่องเขียนในกรุงเทพมหานครลดลง เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ร้านค้าจึงต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เช่น จัดโปรโมชั่นลดราคาและจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด เพื่อกระตุ้นยอดขายและรักษาฐานลูกค้า 2) ร้านเครื่องเขียนได้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์ พัฒนาการบริการให้คำแนะนำลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีผ่านการบริการที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน องค์ความรู้จากงานวิจัย คือ วิกฤติทางเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงและส่งผลต่อยอดขายของร้านเครื่องเขียน ร้านค้าจึงต้องปรับกลยุทธ์ทั้งด้านราคาและช่องทางการจำหน่าย รวมถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการเรียนออนไลน์ ภาครัฐควรสนับสนุนด้วยการช่วยเหลือทางการเงินและอบรมทักษะใหม่ เพื่อให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวและดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต</p>
2025-10-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279933
กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภายใต้ภาวะวิกฤตโควิด-19 กรณีศึกษา : ร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
2025-10-04T21:00:10+07:00
เกสรี สมประสงค์
nawaphorn.1818@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาภายใต้ภาวะวิกฤตโควิด-19 ของร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษากลยุทธ์ในการปรับตัวของร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัย คือ ร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ จำนวน 10 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจงใช้กระบวนการตรวจสอบสามเส้าวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความทำการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 ยอดขายลดลงจากการปิดสถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้ต้องลดชั่วโมงทำงานหรือปิดบริการชั่วคราว อีกทั้งยังเผชิญต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงและต้องปรับตัวตามมาตรการป้องกันโรค 2) ร้านถ่ายเอกสารได้เพิ่มบริการออนไลน์ เช่น รับไฟล์เอกสารทางอีเมลและจัดส่งถึงบ้าน ปรับปรุงร้านให้มีมาตรการความปลอดภัย จำกัดจำนวนลูกค้าในร้าน และใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ร้านถ่ายเอกสารในเขตบางกอกใหญ่สามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดจากวิกฤตโควิด-19 ได้ด้วยการนำเทคโนโลยีและช่องทางออนไลน์มาใช้ควบคู่กับมาตรการความปลอดภัยและการตลาดดิจิทัล เพื่อรักษาฐานลูกค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในช่วงวิกฤต</p>
2025-10-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279931
กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของร้านยาแผนโบราณ: กรณีศึกษาในกรุงเทพมหานคร
2025-10-04T21:05:11+07:00
สุนิสา พิมมานัส
nawaphorn.1818@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการแข่งขันทางธุรกิจของร้านขายยาแผนโบราณในกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาความได้เปรียบในการแข่งขันของร้านขายยาแผนโบราณเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาร้านขายยาแผนโบราณในกรุงเทพมหานคร มีรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจ ลูกจ้าง ร้านขายยาแผนโบราณในกรุงเทพมหานคร จำนวน 17 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความทำการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยการวิเคราะห์เนื้อหาซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ โดยคำนึงถึงบริบทและใช้การเขียนข้อความแบบบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า 1) ร้านขายยาแผนโบราณในกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากร้านขายยาสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้จำนวนลูกค้าลดลง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันไปนิยมยาแผนปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงข้อจำกัดด้านกฎระเบียบจากภาครัฐยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ผู้ประกอบการจึงต้องปรับกลยุทธ์ เช่น สร้างจุดขายเฉพาะตัว ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพเชิงลึก และใช้การตลาดออนไลน์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและบทบาทในตลาดยาไทย <br />2)ความได้เปรียบในการแข่งขันของร้านยาแผนโบราณอยู่ที่ความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและองค์ความรู้ดั้งเดิม ซึ่งตอบรับกระแสรักสุขภาพและการแพทย์ทางเลือก การให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแบรนด์และการตลาดออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อขยายฐานลูกค้าและรักษาความยั่งยืนของธุรกิจควบคู่กับการคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้</p>
2025-10-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278437
บุพปัจจัยการส่งเสริมที่มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย
2025-10-04T17:47:56+07:00
ธัญญพัทธ์ วัฒนจิรพันธุ์
s65584945003@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.bu@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการส่งเสริมองค์ความรู้และการพัฒนาทักษะ การส่งเสริมความร่วมมือ ภาวะผู้นำ นวัตกรรมการจัดการวิสาหกิจชุมชนและประสิทธิภาพการจัดการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของการส่งเสริมองค์ความรู้และการพัฒนาทักษะ การส่งเสริมความร่วมมือ ภาวะผู้นำ นวัตกรรมการจัดการวิสาหกิจชุมชนที่มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย 3) สร้างรูปแบบประสิทธิภาพวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือประธาน หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยว จำนวน 300 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมจำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมองค์ความรู้และการพัฒนาทักษะ การส่งเสริมความร่วมมือ ภาวะผู้นำ นวัตกรรมการจัดการวิสาหกิจชุมชน อยู่ในระดับมาก และประสิทธิภาพการจัดการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย อยู่ในระดับปานกลาง 2) การส่งเสริมองค์ความรู้และการพัฒนาทักษะ การส่งเสริมความร่วมมือ ภาวะผู้นำ นวัตกรรมการจัดการวิสาหกิจชุมชนที่มีผลต่อประสิทธิภาพการจัดการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3 ) รูปแบบประสิทธิภาพวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีชื่อว่า Managing Community-Based Tourism Enterprises with Excellence in Efficiency Model นอกจากนี้ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่า ในการเพิ่มประสิทธิภาพวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย นั้น ผู้ประกอบการต้องมีการใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว มีการสร้างเครือข่ายพันธมิตรพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวและมีการใช้เทคโนโลยีการจัดการสมัยใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการการบริการสูงขึ้น ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางกำหนดนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวในประเทศไทย ต่อไปในอนาคต</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278521
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความจริงเสริมเพื่อยกระดับชุมชนเกาะเกร็ดสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวอัจฉริยะ
2025-10-04T17:49:29+07:00
พรหมบัญชา พรหมมาหล้า
prombuncha@pnru.ac.th
กิตติพงษ์ แก้วประเสริฐ
gittipong@pnru.ac.th
สิทธิพงศ์ พรอุดมทรัพย์
sittiphong@pnru.ac.th
นวิน ครุธวีร์
nawin@pnru.ac.th
เติมยศ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
Tomeyot@pnru.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันโดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม สื่อเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชนเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี สู่การเป็นชุมชนท่องเที่ยวอัจฉริยะ Smart Tourism 2) เพื่อทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพแอปพลิเคชันโดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม สื่อเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชนเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี สู่การเป็นชุมชนท่องเที่ยวอัจฉริยะ Smart Tourism ขอบเขตของงานวิจัย คือ ขอบเขตด้านระบบอ่านข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์กิจกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต ระบบสามารถนำทางไปอาคาร ร้านค้าในบริเวณชุมชนเกาะเกร็ด และ ระบบสามารถแสดงผลโมเดลโดยใช้เทคโนโลยีความจริงเสริมได้ โปรแกรมที่ใช้สำหรับพัฒนาระบบภาษาซี โปรแกรมเครื่องมือที่ใช้พัฒนา ยูนิตี้ทรีดี ภาษาพีเอสพีและโปรแกรมฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล เครื่องมือที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพและวัดความพึงพอใจของแอปพลิเคชัน คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยผู้ใช้ จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ใชการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันความจริงเสริมที่พัฒนาขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ครบถ้วนตามขอบเขตของการวิจัย และ 2) ประสิทธิภาพการใช้งานอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.15, SD 0.73) และความพึงพอใจต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.11, SD 0.82) ผลลัพธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แอปพลิเคชันสามารถยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว (Tourist Experience) ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลเสมือนจริง (AR Interaction) ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับข้อมูลเชิงลึก เข้าใจเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น และเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมกับชุมชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของแนวคิด “ชุมชนท่องเที่ยวอัจฉริยะ (Smart Tourism Community)”</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280296
ผลกระทบการทำงานเป็นทีมที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการ บริษัทผลิตเครื่องทำลมแห้งแห่งหนึ่ง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
2025-10-11T19:15:20+07:00
ชัชวะรินทร์ กาขาว
chatwarin.k@ku.th
สมบูรณ์ สาระพัด
chatwarin.k@ku.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กร 2) เพื่อศึกษาความผูกพันต่อองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ 3) เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานระดับปฏิบัติการบริษัทผลิตเครื่องทำลมแห้งแห่งหนึ่ง ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี จำนวน 240 คน จากนั้นใช้วิธีคัดเลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Proportional Stratified Random Sampling) ตามสัดส่วนของพนักงานระดับปฏิบัติการในแผนกต่างๆ และใช้แบบสอบถามตามลิเคิร์ท 5 ระดับ (Likert Scale) กำหนดให้เลือกตอบเพียงข้อเดียว จากนั้นทำการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS และ AMOS ประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเบ้ ความโด่ง ค่าสหสัมพันธ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการสร้างแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การทำงานเป็นทีมมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 2) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ 3) การทำงานเป็นทีมมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทำงานเป็นทีมมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร (β = .397, P < .001) ส่วนความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน (β = .175, P < .05) และการทำงานเป็นทีมมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน (β = .482, P < .001) จะเห็นว่าการทำงานเป็นทีมและความผูกพันต่อองค์กรส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยตรง และการทำงานเป็นทีมยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานทางอ้อมด้วยเช่นกัน</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279622
Influential Factors on Teachers' Job Satisfaction for Universities in Guangxi Province
2025-10-04T19:25:38+07:00
Botao Gong
s6458495163@ssru.ac.th
Suttipong Boonphadung
suttipong.bo@ssru.ac.th
Thada Siththada
Thada.si@ssru.ac.th
<p>The teachers' job satisfaction for universities is not only related to the personal growth and development of teachers and their happiness in life, but also directly affects the quality of education and teaching in universities, and the improvement of teaching quality. The results show that the factors influencing teachers' job satisfaction in universities include self-realization, remuneration package, leadership, working environment and conditions, the work itself, work stress, and promotion opportunities. Teachers' job satisfaction influences the construction of the faculty team at universities and the improvement of educational and teaching resources, as well as the enhancement of the quality and capabilities of university teachers. How to improve teachers' job satisfaction and stimulate their enthusiasm for work is an important topic of current research. The teachers' job satisfaction for universities can further improve the education and teaching management of universities and strengthen the construction of the faculty team. This study aims to evaluate the influential factors of teachers' job satisfaction for universities in Guangxi, analyze the factors influencing teachers' job satisfaction, and put forward corresponding recommendations.</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278377
ผลกระทบของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีต่อประสิทธิภาพในการทำงานผ่านความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานบริษัทผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
2025-10-12T09:41:32+07:00
สิริวิมล สุดแป้น
siriwimon.sud@ku.th
สมบูรณ์ สาระพัด
siriwimon.sud@ku.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมฟิล์มพลาสติก 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของความผูกพันต่อองค์กรที่มีต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมฟิล์มพลาสติก และ 3) เพื่อศึกษาผลกระทบการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมฟิล์มพลาสติก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือบริษัทผลิตแผ่นฟิล์มแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือพนักงานที่ปฏิบัติอยู่ในอุตสาหกรรมฟิล์มพลาสติก โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามตำแหน่งงานตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการจนถึงพนักงานปฏิบัติการ รวมทั้งสิ้น 272 คน ใช้แบบสอบถามเชิงโครงสร้างในการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ทางสถิติ ค่าสหสัมพันธ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการสร้างแบบจำลองสมการโครงสร้างเพื่อทดสอบสมมติฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรมีผลกระทบทางบวกโดยตรงต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน (β= 0.846, P<0.001) 2) การรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรมีผลกระทบทางบวกโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน (β = 0.592, p < 0.001) และผลกระทบทางอ้อม (β = 0.304, p < 0.001) โดยมีความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรสื่อกลาง (β = 0.360, p < 0.01) งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีต่อประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านความผูกพันต่อองค์กร จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมแผ่นฟิล์มพลาสติกในประเทศไทย</p>
2025-10-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279524
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์และภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม TikTok ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2025-10-04T19:28:56+07:00
แพรภัชชา ขวัญใจกลางดง
aomna33@hotmail.com
ณัฐอร มหาทำนุโชค
nataorn.mah@mail.pbru.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ และความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค 2) กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค 3) ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค มีรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 385 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งเสริมการตลาด การรักษาข้อมูลส่วนตัวลูกค้า การให้บริการที่มีความเจาะจงแก่ลูกค้า ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ด้านคุณสมบัติ คุณประโยชน์ คุณค่า และบุคลิกภาพของผู้ใช้ ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม TikTok ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เห็นได้ว่า บทบาทของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์และภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค</p>
2025-10-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279927
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็น ของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
2025-10-04T19:33:38+07:00
พิมพ์ตะวัน วิเลิศศักดิ์สกุล
pimtawan.2499@gmail.com
เอกสิทธิ์ สนามทอง
Pimtawan.2499@gmail.com
เจษณี บุตรดำ
Pimtawan.2499@gmail.com
วรรธนศม เมฆสุวรรณ
Pimtawan.2499@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่จำเป็นของ Human Resource Business Partner ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย (2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย (3) เพื่อประเมินหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย มีวิธีดำเนินการ 3 ขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาสมรรถนะของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย โดยการศึกษาค้นคว้าข้อมูล และวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแบบสอบถามในการใช้สัมภาษณ์เชิงลึกและทำสนทนาแบบกลุ่มเพื่อหาสมรรถนะที่จำเป็นของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยหลังจากนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์ตรวจสอบและให้ความคิดเห็นเพื่อนำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์เนื้อหาและกำหนดสมรรถนะที่จำเป็นของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยและจัดทำหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ต่อไป (2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยโดยทำการสร้างหรือพัฒนารูปแบบขึ้นมาก่อนตามสมมติฐาน (Hypothesis Model) จากแนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องและข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ และ (3) การประเมินชุดหลักสูตรฝึกอบรมการพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยโดยวิธีการ (1) การสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อระบบการฝึกอบรมเรื่องหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย (2) การประเมินหลักสูตรเชิงคุณภาพเพื่อทำการประเมินความรู้ ความสามารถและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้ และสรุปความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมต่อไป เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอบรม สำหรับเปรียบเทียบผลการอบรมการฝึกอบรม เรื่องการพัฒนาสมรรถนะ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยก่อนและหลังการทดลองใช้หลักสูตร และประเมินผลหลักสูตรโดยการนำหลักสูตรไปทดลองใช้กับพนักงานตำแหน่ง Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกจำนวน 9 คน โดยใช้การทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง พบว่า ค่าเฉลี่ยสมรรถนะที่จำเป็นของ Human Resource Business Partner ของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยหลังทดลองมีคะแนนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งในภาพรวมและของแต่ละบุคคล</p>
2025-10-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278863
The Impact of Organizational Communication Climate and Job Crafting on Employee Performance in Thailand’s Automotive Parts Industry: The Mediating Role of Work Engagement
2025-10-04T19:38:52+07:00
Pornnatcha Simanon
pornnatcha.si@ku.th
Jutamard Thaweepaiboonwong
jutamard.t@ku.th
<p>This quantitative study, grounded in the Job Demands–Resources (JD-R) framework, examines how two organizational resources—communication climate and job crafting—affect employees’ work engagement and, in turn, their performance in Thailand’s automotive parts industry. Data were collected from 260 operational employees using a self-administered questionnaire. Structural equation modeling was used for statistical analysis. The measurement model indicated acceptable reliability and validity, and the structural model showed good fit (CMIN/DF = 1.623, CFI = .982, TLI = .977, RMR = .009, and RMSEA = .049). The results showed that the organizational communication climate and job crafting significantly influence work engagement, which then improves employee performance. Job crafting did not have a direct effect on performance, but it had an indirect effect through engagement, emphasizing the mediating role of engagement. The model accounted for 61.2% of the variance in employee performance. This research, therefore, broadens the scope of the JD-R model by explaining how job resources interact to influence employee engagement and performance. It also suggests that organizations should promote an open and participative communication climate and provide employees with opportunities to shape how they perform their work, which will strengthen employee engagement and performance in manufacturing contexts.</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282390
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออก
2025-10-04T19:58:56+07:00
กฤษฎิ์ เพชรแสงงาม
krit917014@gmail.com
ทวี แจ่มจำรัส แจ่มจำรัส
tawee.ja@ssru.ac.th
กาญจนา โพธิวิชยานนท์
kanchana.ph@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออก การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างที่จดทะเบียนพาณิชย์ในรูปแบบบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออก รวม 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิอย่างมีสัดส่วนเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ได้รับอิทธิพลรวมจาก นโยบายภาครัฐด้านธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง และกลยุทธ์การตลาด มากที่สุดเท่ากัน รองลงมาคือ การบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ และกลยุทธ์การบริหารจัดการองค์กร ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะอิทธิพลทางตรง พบว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ได้รับอิทธิพลทางตรงจาก กลยุทธ์การตลาด มากที่สุด รองลงมาคือ การบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ และกลยุทธ์การบริหารจัดการองค์กร ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นโยบายภาครัฐด้านธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ผลของการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายมิติ โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ สามารถนำแนวทางและข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนสนับสนุนเชิงนโยบาย มาตรการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ การอบรมเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ รวมถึงการวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282391
บทบาทของพนักงานอัยการในการอำนวยความยุติธรรม: ความเชื่อมั่น ปัญหา และแนวทางแก้ไข
2025-10-11T19:25:52+07:00
น้ำแท้ มีบุญสล้าง
namtaee2020@gmail.com
ภัทร์ดารัสมิ์ ทองสลวยกร
patdarasm@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ความคิดเห็นต่อปัจจัยสำคัญที่ทำให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาด้านการสอบสวนและการดำเนินคดี 2) สภาพปัญหาและความบกพร่องในการสอบสวน และ 3) แนวทางแก้ไขปัญหาและความบกพร่องในการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริง การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือ พนักงานอัยการระดับปฏิบัติงานและระดับบริหาร และเป็นพนักงานอัยการที่ปฏิบัติงานของสำนักงานอัยการภาค 1 - 9 รวม 658 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานอัยการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ทำให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาด้านการสอบสวนและการดำเนินคดีใน โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด 2) พนักงานอัยการมีความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาและความบกพร่องในการสอบสวน (2.1) ประเด็นคดีที่พนักงานอัยการรับผิดชอบการสอบสวนและเข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน การเข้าร่วมในการชันสูตรพลิกศพ การเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนในการทำสำนวนการสอบสวน (2.2) ประเด็นการสอบสวนเพื่อช่วยผู้ต้องหาให้รับโทษน้อยลง (2.3) ประเด็นการรวบรวมพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน ทั้งสามประเด็น โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และ (2.4) ประเด็นการตรวจสำนวน การทำความเห็น โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด และ 3) แนวทางแก้ไขปัญหาและความบกพร่องในการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริง โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ผลของการวิจัยนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด สามารถนำไปเป็นแนวทางในพัฒนาแผนกสอบสวนและรับสำนวนในสำนักงานคดีทั่วประเทศ และพัฒนาเจ้าพนักงานคดี เพื่อช่วยเหลือพนักงานอัยการในด้านการสอบสวนในชั้นพนักงานอัยการ การดำเนินคดีและการคุ้มครองสิทธิประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพได้รับการยอมรับและเป็นที่เชื่อถือของประชาชน</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282004
การบริหารจัดการความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศ: กรณีศึกษา การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์ไทย
2025-10-04T20:15:49+07:00
ธวัช ไทรราหู
wanwasa.wi@hotmail.com
วันวสา วิโรจนารมย์
wanwasa.wi@hotmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศและ 2. แนวทางการดำเนินงานและมาตรการที่เหมาะสมกับการจัดการความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์ไทย การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือการวิจัย คือ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอิทธิพลโดยรวมต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มากที่สุด รองลงมาคือ บทบาทของธนาคารพาณิชย์ บทบาทภาครัฐ และบทบาทภาคประชาชน ตามลำดับ และ 2. แนวทางการจัดการความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารพาณิชย์ไทยประกอบด้วย (1) การกำหนดนโยบายและโครงสร้างการกำกับดูแล (2) การประเมินและจัดการความเสี่ยง (3) การควบคุมการเข้าถึงและการพิสูจน์ตัวตน (4) การเข้ารหัสข้อมูลและการจัดการกุญแจเข้ารหัส (5) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่ายและระบบ (6) การพัฒนาระบบงานที่มั่นคงปลอดภัย (7) การบริหารจัดการเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (8) การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (9) การบริหารจัดการผู้ให้บริการภายนอก (10) การสร้างความตระหนักรู้และการฝึกอบรม (11) การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล (12) การตรวจสอบและประเมินประสิทธิผล (13) การบริหารจัดการทรัพย์สินสารสนเทศ (14) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางกายภาพ (15) การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และ (16) การเฝ้าระวังภัยคุกคามใหม่</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280973
การจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวและบริการเชิงสุขภาพเพื่อสร้างความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่
2025-10-17T13:23:18+07:00
อรุวี สุขรัตน์
aruvee35018@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
อนุวัฒน์ จรัสรัตนไพบูลย์
areesrisom2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการรับรู้คุณค่า คุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และความภักดีของนักท่องเที่ยว และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาใช้บริการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 400 ราย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้คุณค่า คุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และความภักดีของนักท่องเที่ยว ตัวแปรทั้งหมดอยู่ในระดับมาก 2) การรับรู้คุณค่าทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ คุณค่าทางด้านราคา คุณค่าด้านอารมณ์ คุณค่าด้านคุณภาพ คุณค่าด้านความคุ้มค่า และคุณค่าด้านเวลา มีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ คุณภาพการบริการ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ คุณภาพของสิ่งที่จับต้องได้ การเอาใจใส่จากพนักงาน และการตอบสนองของพนักงานมีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งดึงดูดใจในการท่องเที่ยว ความสามารถในการเข้าถึง และความปลอดภัย มีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ กิจกรรมการท่องเที่ยว ความเพลิดเพลิน ด้านสถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวก มีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ และในภาพรวมพบว่า ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวมีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด รองลงมาคือ การรับรู้คุณค่า คุณภาพการบริการ และภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280963
การบริหารจัดการส่งเสริมความรู้ด้านการปลูกพืชและผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ทางเลือกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดกาญจนบุรี
2025-10-12T10:14:48+07:00
จักรกฤษณ์ เข็มทอง
chakkrit35002@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
mju6601735002@mju.ac.th
สนิท สิทธิ
mju6601735002@mju.ac.th
กอบลาภ อารีศรีสม
mju6601735002@mju.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ด้านการปลูกกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนเครือข่ายในจังหวัดกาญจนบุรี รวม 340 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ด้านการปลูกกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชา ได้รับอิทธิพลทางตรงจาก เป้าหมายของวิสาหกิจชุมชน มากที่สุด รองลงมาคือ การสนับสนุนจากภาครัฐ การจัดการองค์กรของวิสาหกิจชุมชน และกระบวนการส่งเสริมความรู้เรื่องกัญชา ตามลำดับ เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวม พบว่า การสนับสนุนจากภาครัฐ มีอิทธิพลโดยรวมต่อความรู้ด้านการปลูกกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชา มากที่สุด รองลงมาคือ เป้าหมายของวิสาหกิจชุมชน การจัดการองค์กรของวิสาหกิจชุมชน และกระบวนการส่งเสริมความรู้เรื่องกัญชา ตามลำดับ</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280971
รูปแบบการจัดการนวัตกรรมธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่
2025-10-12T10:18:31+07:00
เตชสิทธิ์ ฮีสวัสดิ์
sombatk@mju.ac.th
สมบัติ กันบุตร
sombatk@mju.ac.th
กอบลาภ อารีศรีสม
sombatk@mju.ac.th
วีณา นิลวงศ์
sombatk@mju.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวโฮมสเตย์ในชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ ที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ผู้วิจัยได้กำหนดเลือกขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบจำลองมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังดัชนี้ที่ได้คือ ค่าไคสแควร์สัมพัทธ์ = 1.506, GFI = 0.948, AGFI= 0.924, CFI = 0.978, RMR = 0.009, RMSEA = 0.040 และ 2. ความสำเร็จของธุรกิจโฮมสเตย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับอิทธิพลรวมจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ มากที่สุด รองลงมาคือ นวัตกรรมการบริหารจัดการ และนวัตกรรมด้านการตลาด ตามลำดับ</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280976
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของประชาชน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-10-08T16:31:05+07:00
ปิยะพงศ์ วงศ์สุวัฒน์
sombatk@mju.ac.th
สมบัติ กันบุตร
sombatk@mju.ac.th
ภาวินี อารีศรีสม
sombatk@mju.ac.th
ภาวินี อารีศรีสม
sombatk@mju.ac.th
กอบลาภ อารีศรีสม
sombatk@mju.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ ประชาชนอายุระหว่าง 18 ขึ้นไป และมีรายได้เป็นของตนเอง ที่อาศัยหรือทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 340 คน กําหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับอิทธิพลรวมจากการยอมรับนวัตกรรม มากที่สุด รองลงมาคือ การประเมินความคุ้มค่า การสนับสนุน และการรับรู้ประโยชน์ ตามลำดับ</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281001
แบบจำลองความภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
2025-10-04T21:27:34+07:00
นรินทร์ สวัสดิจันทร์
s65584945008@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.bu@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับนวัตกรรมการจัดการ การใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมทางการตลาด การบริหารจัดการแบรนด์ ความพึงพอใจและความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 2) ศึกษาอิทธิพลของนวัตกรรมการจัดการ การใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมทางการตลาด การบริหารจัดการแบรนด์ ความพึงพอใจที่มีผลต่อความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 3) พัฒนาแบบจำลองความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างคือตัวแทนสถานประกอบการที่ประกอบธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 300 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้ประกอบการธุรกิจความงามและผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจความงาม รวมจำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมการจัดการ การใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมทางการตลาด การบริหารจัดการแบรนด์ ความพึงพอใจและความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล อยู่ในระดับมาก 2) นวัตกรรมการจัดการ การใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมทางการตลาด การบริหารจัดการแบรนด์ ความพึงพอใจที่มีผลต่อความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แบบจำลองความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีชื่อว่า The I-S-B-S Model for Enhancing Customer Loyalty in the Beauty Business (I = Innovation Management, S= Social Media Platform Utilization, B= Brand Management, S= Satisfaction ) นอกจากนี้ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่า ในการสร้างความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล นั้น ผู้ประกอบการธุรกิจความงามต้องมีเทคโนโลยีเสริมความงามที่ทันสมัย ยกระดับการบริการตามมาตรฐานระดับสากล มีระบบการจัดการในยุคดิจิทัล มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ ๆ มาใช้การสื่อสารประชาสัมพันธ์การบริการเพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางกำหนดนโยบายในการสร้างความจงรักภักดีของผู้รับบริการธุรกิจความงามในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ในอนาคตต่อไป</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278931
แนวทางส่งเสริมการให้บริการสายการบินตามความต้องการของประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลาตามแนวคิดเส้นทางผู้บริโภคจากท่าอากาศยานหาดใหญ่สู่เมืองรองในภาคใต้
2025-10-04T21:46:14+07:00
ฐิติวรดา ไชยลี
newthesis66@gmail.com
คงศักดิ์ ชมชุม
newthesis66@gmail.com
อภิรดา นามแสง
newthesis66@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความต้องการของประชาชนจังหวัดสงขลาในการใช้บริการสายการบินจากท่าอากาศยานหาดใหญ่สู่เมืองรองภาคใต้ 2) ศึกษาปัจจัยตามแนวคิดเส้นทางผู้บริโภค 5A ที่มีผลต่อความต้องการใช้บริการ และ 3) เสนอแนวทางส่งเสริมการให้บริการสายการบินให้ตรงตามความต้องการของประชาชน</p> <p>กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (multistage sampling) ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 – มกราคม 2567 เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ<br />ผลการวิจัยพบว่า ด้านการตัดสินใจ (Act) และด้านความชื่นชอบผลิตภัณฑ์ (Appeal) มีอิทธิพลสูงสุดต่อความต้องการใช้บริการสายการบิน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยมาตรฐาน β = 0.42 และ β = 0.35 ตามลำดับ (p < 0.01) โมเดลมีค่า R²ปรับแล้วเท่ากับ 0.61 แนวทางการพัฒนาคือการตั้งราคาให้เหมาะสม เพิ่มเที่ยวบิน และปรับปรุงช่องทางจำหน่ายตั๋ว เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจและสร้างความชื่นชอบต่อแบรนด์สายการบิน</p>
2025-10-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278788
ส่วนประสมการตลาดบริการที่มีความสัมพันธ์ต่อความพึงพอใจและความภักดีของผู้ปกครองในสถาบันสอนดนตรีเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต
2025-10-04T22:04:57+07:00
อินทัช คิวพัฒนกิจ
s6680141122@pkru.ac.th
ศิรวิทย์ ศิริรักษ์
sirawit.s@pkru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านส่วนประสมการตลาดบริการที่มีต่อความพึงพอใจและ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านส่วนประสมการตลาดบริการที่มีต่อความภักดีด้านการซื้อซ้ำและด้านการบอกต่อของผู้ปกครองในสถาบันสอนดนตรีเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ ผู้ปกครองทั้งหมดที่ส่งบุตรหลานมาเรียนดนตรีที่สถาบันสอนดนตรีแห่งหนึ่งในภูเก็ต จำนวน 190 คน ทำการเก็บข้อมูลจากประชากรทุกคน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติบรรรยายและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการมีความสัมพันธ์ต่อความพึงพอใจของผู้ปกครองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อความภักดีด้านการซื้อซ้ำของผู้ปกครองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการมีความสัมพันธ์ต่อความภักดีด้านการบอกต่อของผู้ปกครองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการสถาบันสอนดนตรีเอกชนในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่ใกล้เคียงสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดบริการของสถาบันสอนดนตรีเอกชนเพื่อเพิ่มระดับความพึงพอใจและความภักดีของนักเรียนและผู้ปกครองได้</p> <p> </p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280444
Development of Guidelines for Using Professional Community (PLC) to Enhance Digital Skills for Learning Management for Teachers in Schools with Expanding Educational Opportunities
2025-10-12T11:17:14+07:00
Mayuree Kuabsuntia
krutar.m@gmail.com
Anucha Kornpuang
krutar.m@gmail.com
Henry Yuh Anchunda
krutar.m@gmail.com
<p>This study aimed to develop and evaluate guidelines for using Professional Learning Communities (PLCs) to enhance teachers’ digital skills for learning management in schools with expanding educational opportunities. The research employed an action research design conducted in two cycles at Wattapakhaohai School, Thailand, involving 14 purposively selected teachers with diverse teaching experiences and levels of digital competence. Research instruments included observation forms, a guideline evaluation questionnaire, and a self-assessment of teachers’ digital skills.</p> <p> The findings identified a structured set of PLC-based guidelines that emphasized (1) setting clear objectives for digital skill development aligned with school goals, (2) promoting collaborative lesson planning and knowledge sharing, (3) applying the TEAM-CEB process for systematic collaboration and evaluation, (4) encouraging reflection and feedback to support adaptive learning, and (5) integrating digital platforms for communication and resource sharing. Teachers demonstrated improvement in defined digital-skill indicators, with average self-assessment scores increasing across both research cycles. Overall, the guidelines were rated highly for suitability, feasibility, and usefulness (x̅) = 4.78, S.D. = 0.11). However, as the study was conducted in a single school over a limited period, the results should be interpreted cautiously. The study suggests that PLCs can serve as a practical framework for supporting teachers’ digital-skill development and promoting sustainable professional learning in similar educational contexts.</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281702
บุพปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ถุงขยะของผู้บริโภค ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-10-12T11:22:13+07:00
จิรวัฒน์ จูเจริญ
s65584945022@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.pu@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
ชัยธนัตถ์กร ภวิศพิริยะกฤติ
chaithanaskorn.ph@ssru.ac.th
<p>จุดประสงค์ของการทำวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาระดับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การตลาดดิจิทัล การรับรู้คุณภาพ ทัศนคติของผู้บริโภคและความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ถุงขยะของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การตลาดดิจิทัล การรับรู้คุณภาพ ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ถุงขยะของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 3) เพื่อพัฒนาแบบจำลองตัวแบบสมการโครงสร้างของความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ถุงขยะของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนด โดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกตได้ซึ่งมีจำนวน 15 ตัวแปรสังเกตได้ทำให้สามารถกำหนดขนาดตัวอย่างได้ที่ 300 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การตลาดดิจิทัล การรับรู้คุณภาพ ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ถุงขยะ มีผลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ถุงขยะของผู้บริโภคที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05, 0.01 และ 0.001 รูปแบบตัวแบบสมการโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและทำการปรับปรุงแล้วนั้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์และมีความแม่นยำในการพยากรณ์ร้อยละ 48 ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์และการทำการตลาดด้านผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ประเภทบรรจุภัณฑ์ขยะได้ ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าตัวแบบสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ χ² = 359.866, df = 117, p-value = 0.000, χ² / df = 3.076, GFI = 0.902, NFI = 0.922, IFI = 0.946, CFI = 0.945 และ RMSEA = 0.076</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281446
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจบริหารสื่อโฆษณาธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย
2025-10-04T22:25:36+07:00
วชิราภรณ์ ณ พล
wachiraporn.na@ssru.ac.th
กฤษฎา สังขมณี
krisada.su@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.pu@ssru.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจการบริหารสื่อโฆษณาของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยใช้ การวิจัยแบบผสานวิธี (เชิงปริมาณ 380 คน และเชิงคุณภาพ 20 คน) เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรสำคัญ ได้แก่ นวัตกรรมในการสร้างความเชื่อมั่น แรงสนับสนุนทางสังคม กลยุทธ์การใช้สื่อโฆษณา บรรทัดฐานส่วนตัว และการตัดสินใจซื้อ ที่มีต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจ ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรเหล่านี้อยู่ในระดับสูง และมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อความสำเร็จ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนารูปแบบความสำเร็จชื่อว่า 2P2SABT Model (เน้นที่ Trust-building innovations, Social Support, Branding, Advertising Strategies, Personal Norms, และ Purchase Decision) นอกจากนี้ ผลเชิงคุณภาพยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย การสร้างเครือข่ายพันธมิตร และการใช้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารสื่อโฆษณา ซึ่งผลวิจัยนี้จะเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างความสำเร็จของธุรกิจท่องเที่ยวไทยในอนาคต</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279597
ผลกระทบของการควบคุมต้นทุนที่ดีที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจังหวัดแพร่
2025-10-04T22:28:03+07:00
ยุทธนา เขียวนิล
tuey0962087883@gmail.com
เฉวียง วงค์จินดา
chawiang.w@uru.ac.th
วรพรรณ รัตนทรงธรรม
worapan.rat@uru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของการควบคุมต้นทุนที่ดี ความสามารถในการทำกำไร และการเติบโตของกิจการอย่างยั่งยืนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจังหวัดแพร่ และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของการควบคุมต้นทุนที่ดีที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร และการเติบโตอย่างยั่งยืนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจังหวัดแพร่ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประเภทการผลิต ในจังหวัดแพร่ จำนวน 13,276 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 316 แห่ง ใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบง่ายโดยใช้ระบบสุ่มตัวเลขออนไลน์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ การวิเคราะห์ความถดถอยแบบง่าย และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับของการควบคุมต้นทุนที่ดี ความสามารถในการทำกำไร และการเติบโตของกิจการอย่างยั่งยืนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดแพร่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สำหรับการควบคุมต้นทุนที่ดีมีผลกระทบเชิงบวกต่อความสามารถในการทำกำไร และการเติบโตของกิจการอย่างยั่งยืน โดยการควบคุมต้นทุนที่ดี ประกอบด้วย ด้านการเข้าใจโครงสร้างต้นทุน ด้านการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม และด้านการติดตามต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งด้านการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมมีอิทธิพลสูงสุดต่อความสามารถในการทำกำไร และด้านการติดตามต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ มีอิทธิพลสูงสุดต่อการเติบโตของกิจการอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไรยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตของกิจการอย่างยั่งยืน ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าการควบคุมต้นทุนที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้นกิจการควรให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุนที่ดี เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขององค์กร ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการควบคุมต้นทุนที่ดี การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และพัฒนาศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280492
การพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพ ด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน
2025-10-12T11:30:35+07:00
เตือนใจ ผางคำ
khrutuenjai@gmail.com
สันติ วิจักขณาลัญฉ์
santi.wij@neu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน และ 3) เพื่อศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการของครูในการพัฒนาสมรรถนะด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน และร่างรูปแบบหลักสูตร e-Training เครื่องมือที่ใช้แบบสอบถามสภาพปัญหาและความจำเป็นของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน และแบบสอบถามความต้องการของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน ระยะที่ 2 พัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ 1) หลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน 2) สมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน องค์ประกอบ 3 ด้าน 2.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน 2.2) สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัย และ 2.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียน ตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน จากนั้นนำไปทดลองนำร่องกับครูผู้ช่วย จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ผ่านระบบ e-ClassNet ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา และระยะที่ 3 ศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training ทดลองใช้หลักสูตรครูผู้ช่วย จำวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ โดยใช้เครื่องมือชุดเดียวกับระยะที่ 2</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยการตอบแบบสอบถามของครูผู้ช่วย จำนวน 415 คน คือ ผลการศึกษาสภาพปัญหาและความจำเป็นในการทำวิจัยในชั้นเรียนของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (\bar{X} = 3.56 , S.D. = 0.37) ผลการศึกษาความต้องการของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (\bar{X} = 4.60 , S.D. = 0.16) 2) พัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยการตรวจสอบเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 7 ท่าน มีผลดังนี้ 1) ผลการประเมินหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยผู้เชี่ยวชาญมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.54, S.D. = 0.52) สามารถแยกเป็นรายด้านได้ 2 ด้าน พบว่า ด้านการประเมินวิทยากร/ผู้วิจัย มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสม อยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.62, S.D. = 0.50) รองลงมาคือด้านการประเมินเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสม อยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.52, S.D. = 0.52) 2) ผลการทดลองนำร่องการใช้หลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน กับครูผู้ช่วย ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจริง จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ดังนี้ 2.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 80.00 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูงมาก 2.2) สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 76.60 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง 2.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 90.00 สมรรถนะด้านเจตคติอยู่ในระดับ สูง และ 3) ผลการศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training ทดลองใช้กับครูผู้ช่วยกลุ่มเป้าหมายจริง จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ดังนี้ 3.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 77.92 3.2) สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 75.50 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง 3.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 90.18 สมรรถนะด้านเจตคติอยู่ในระดับ สูงมาก</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280847
นวัตกรรมการบริหารวิชาการปฐมวัยเชิงสมดุล: การเรียนรู้ผ่านการเล่นเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตบนฐานบริบทท้องถิ่น
2025-10-12T11:52:49+07:00
ฉัตรวิไล สุรินทร์ชมพู
chatwilaitukta@gmail.com
กวิน บุญประโคน
chatwilaitukta@gmail.com
วีนัส ภักดิ์นรา
chatwilaitukta@gmail.com
แพรวนภา เรียงริลา
chatwilaitukta@gmail.com
ศุภกร โกมาสถิตย์
chatwilaitukta@gmail.com
อนุภูมิ คำยัง
chatwilaitukta@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารวิชาการปฐมวัยเชิงสมดุล โดยบูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่นเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยบนฐานบริบทท้องถิ่น การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ (1) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการพัฒนาครูกับการบริหารวิชาการปฐมวัยเชิงสมดุล (2) การพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมการบริหารวิชาการเชิงสมดุล และ (3) การประเมินความเหมาะสมและประสิทธิผลของนวัตกรรมโดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาและครูระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 จำนวน 413 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การบริหารวิชาการปฐมวัยเชิงสมดุลมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (\bar{X} = 4.714, S.D. = 0.611) และพัฒนาการรวมทั้งทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน (\bar{X} = 4.703, S.D. = 0.627) โดยพบความสัมพันธ์เชิงบวกสูงระหว่างการบริหารวิชาการเชิงสมดุลกับพัฒนาการเด็ก (r = 0.735, p < .01) นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) หลักการ (Principles) (2) กระบวนการ (Processes) (3) ระบบสนับสนุน (Supporting Systems) และ (4) ผลลัพธ์ที่คาดหวัง (Expected Outcomes) ซึ่งสามารถส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของเด็กได้อย่างรอบด้าน งานวิจัยนี้จึงชี้ให้เห็นว่าแนวทางการบริหารวิชาการเชิงสมดุลที่บูรณาการบริบทท้องถิ่นและการเรียนรู้ผ่านการเล่น เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาปฐมวัยอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283391
รูปแบบการพัฒนาวิทยากรผู้ช่วยฝึกอบรมครูฝึกในสถานประกอบการโดยวิธีการเรียนรู้แบบปรับเหมาะ: กรณีศึกษาสถานประกอบการในโครงการการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี
2025-10-07T23:48:47+07:00
ธีราทร สมิทธิวาณิช
teeratorn.s@fte.kmutnb.ac.th
สักรินทร์ อยู่ผ่อง
teeratorn.s@fte.kmutnb.ac.th
ไพโรจน์ สถิรยากร
teeratorn.s@fte.kmutnb.ac.th
วิทวัส ทิพย์สุวรรณ
teeratorn.s@fte.kmutnb.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สมรรถนะของวิทยากรผู้ช่วยฝึกอบรมครูฝึกในสถานประกอบการ 2) พัฒนาและประเมินรูปแบบการพัฒนาตามแนวทางการเรียนรู้แบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) และ 3) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบวิจัยและพัฒนา (R&D) ผสมผสานการวิจัยเชิงพรรณนาและเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 11 คน ครูฝึกในสถานประกอบการ 15 คน และผู้เข้าอบรม 10 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์สมรรถนะด้วยเอกสารและสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนารูปแบบผ่านการประชุมกลุ่ม และการทดลองใช้หลักสูตรกับผู้เข้าอบรมจริง โดยเก็บทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อยืนยันผลการเรียนรู้และการนำไปใช้จริง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบผลก่อน–หลังอบรมด้วยเกณฑ์ E1/E2 และวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าอบรม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะสำคัญของวิทยากรผู้ช่วยมี 7 ด้าน ได้แก่ การวิเคราะห์หน้าที่การทำงานและกำหนดความต้องการการเรียนรู้ การวางแผนและเตรียมการฝึกอบรม การดำเนินการฝึกอบรม การประเมินผลและปรับปรุงการฝึกอบรม การบูรณาการความรู้ด้านดิจิทัลในการฝึกอบรม การจัดการการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม และการแก้ปัญหาในการฝึกอบรม ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ มาตรฐานครูฝึกในสถานประกอบการกลุ่มประเทศอาเซียน และรูปแบบการพัฒนาครูฝึกในสถานประกอบการของเยอรมนี (AdA International) 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในระดับ “มาก” โดยเฉพาะด้านความเป็นไปได้และประโยชน์เชิงปฏิบัติ และ 3) หลักสูตรฝึกอบรมมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ CIPP model ในทุกด้าน ทั้งด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิต โดยผู้เข้าอบรมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเกินเกณฑ์ที่กำหนด และสามารถนำความรู้ไปใช้จริงในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281573
ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนม
2025-10-07T23:52:58+07:00
สุเมธ สันติกุล
sumet.pps11@gmail.com
ทิพย์รัตน์ เลาหวิเชียร
fbustrl@ku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เปรียบเทียบความแตกต่างของการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อสังคมออนไลน์ที่มีต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนม และ 2) ทดสอบปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัยคือ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าแบรนด์เนม จำนวน 402 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) แบ่งเขตการปกครองของกรุงเทพมหานครออกเป็น 6 กลุ่ม ทำการสุ่มเลือกกลุ่มละ 1 เขต และเก็บข้อมูลเขตละ 67 คน รวมทั้งสิ้น 402 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคที่มีการปฏิสัมพันธ์กับสื่อสังคมออนไลน์ที่แตกต่างกัน มีความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยเฉพาะแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ค (ค่าเฉลี่ย = 4.123) และอินสตาแกรม (ค่าเฉลี่ย = 3.989) มีความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนมสูงที่สุด นอกจากนี้ ความรักในตราสินค้ามีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อมากกว่าความเชื่อมั่นในตราสินค้า โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย 0.390 และ 0.158 ตามลำดับ และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ตัวแปรทั้งสองสามารถร่วมกันอธิบายความตั้งใจซื้อได้ร้อยละ 19.90 ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์และกระตุ้นความตั้งใจซื้อสินค้าแบรนด์เนมของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282010
การเตรียมความพร้อมของชุมชนกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของท้องถิ่นให้ยั่งยืน: จังหวัดเชียงใหม่
2025-10-25T12:07:41+07:00
ประวิทย์ เกียรติอุดมแก้ว
anuwat-j@mju.ac.th
อนุวัฒน์ จรัสรัตนไพบูลย์
anuwat-j@mju.ac.th
ภาวิณี อารีศรีสม
anuwat-j@mju.ac.th
พุฒิสรรค์ เครือคำ
anuwat-j@mju.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพร้อมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ความพร้อมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้รับอิทธิพลทางตรงจาก การมีส่วนร่วม มากที่สุด รองลงมาคือ ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว และการรับรู้ของชุมชนในประโยชน์ ตามลำดับ อิทธิพลทางอ้อมพบว่า ความพร้อมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้รับอิทธิพลทางอ้อมจาก การบริหารจัดการ มากที่สุด รองลงมาคือ การมีส่วนร่วม และการรับรู้ของชุมชนในประโยชน์ ตามลำดับ เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวม พบว่า ความพร้อมของชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้รับอิทธิพลโดยรวมจาก การมีส่วนร่วม มากที่สุด รองลงมาคือ การบริหารจัดการ ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว และการรับรู้ของชุมชนในประโยชน์ ตามลำดับ</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279830
การพัฒนาแอปพลิเคชันช่วยวาดภาพลายไทยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์
2025-10-17T14:54:05+07:00
รณกร รัตนธรรมมา
Ronnagorn@pnru.ac.th
สิทธิพร พรอุดมทรัพย์
varuflashfly@gmail.com
สิทธิพงศ์ พรอุดมทรัพย์
varuthai@uru.ac.th
พวงผกา ภูยาดาว
varuthai@uru.ac.th
สุนันทา ศรีม่วง
varuthai@uru.ac.th
มนัสวี สีดาจันทร์
varuthai@uru.ac.th
<p>งานวิจัยจิตรกรรมลายไทยเป็นศิลปะแบบดั้งเดิมที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมของไทย โดยเฉพาะลวดลายไทยที่ปรากฏในงานศิลปะต่าง ๆ เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนัง งานแกะสลัก และเครื่องประดับทางศาสนา อย่างไรก็ตาม การวาดลายไทยต้องอาศัยทักษะขั้นสูงและประสบการณ์ยาวนาน ทำให้ผู้ที่สนใจศึกษาหรือฝึกฝนต้องใช้เวลามาก ในงานวิจัยนี้ได้มีการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันที่สามารถช่วยสร้างภาพลายไทยโดยอัตโนมัติ โดยใช้แบบจำลองแพร่กระจายที่เสถียร (Stable Diffusion Model) ร่วมกับเทคนิคลอร่า (LoRA) เพื่อสร้างภาพลายไทยจากคำสั่งนำ (Prompt) ของผู้ใช้ ระบบนี้ได้รับการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และอนุรักษ์ศิลปะลายไทยในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งลดอุปสรรคด้านทักษะและเวลาในการฝึกฝน</p> <p>ผลการทดลองพบว่า ระบบสามารถสร้างภาพลายไทยที่มีรายละเอียดสูงและมีความคล้ายคลึงกับศิลปะไทยแบบดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้และสร้างสรรค์ลายไทยได้ง่ายขึ้น</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 1) การออกแบบและพัฒนาแบบจำลองแพร่กระจายที่เสถียรร่วมกับเทคนิคลอร่าโดยผลการประเมินเชิงเทคนิคพบว่า แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นมีค่า FID เท่ากับ 253.08 ซึ่งต่ำกว่าแบบจำลองพื้นฐาน Stable Diffusion v1.5 (FID = 302.09) สะท้อนถึงความสมจริงของภาพที่เพิ่มขึ้น และ ค่า CLIP เท่ากับ 0.57 แสดงถึงความสอดคล้องระหว่างภาพที่สร้างกับคำสั่งนำ (Prompt) ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นสามารถทำงานได้ตามข้อกำหนดของผู้ใช้และบรรลุขอบเขตการวิจัยที่กำหนดไว้ และ 2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ใช้ก่อนและหลังการใช้งานแอปพลิเคชันกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Paired t-test) พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยความพึงพอใจหลังการใช้แอปพลิเคชัน (M = 4.74, SD = 0.14) สูงกว่าก่อนการใช้แอปพลิเคชัน (M = 3.25, SD = 0.45) ในทุกด้าน ทั้งนี้ ด้านที่มีความแตกต่างมากที่สุดคือด้านประสิทธิภาพ (t = -10.25) รองลงมาคือด้านการออกแบบ (t = -8.98) และด้านการใช้งาน (t = -8.52) ตามลำดับ ซึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้และการอนุรักษ์ศิลปะลายไทยในยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพในการช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะลายไทยในยุคดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญ</p>
2025-10-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282228
การประยุกต์ใช้แนวคิด ADDIE เพื่อพัฒนาคู่มือภาษาจีนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของพนักงานโรงแรม
2025-10-07T23:12:47+07:00
พรทิพย์ ตันติวิเศษศักดิ์
pornthip.tan@dpu.ac.th
เพียรใจ โพธิ์ถาวร
pienjai.pho@dpu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ความต้องการด้านเนื้อหาและทักษะภาษาจีนที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของพนักงานโรงแรม 2) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการเรียนรู้คู่มือภาษาจีนสำหรับพนักงานโรงแรม และ 3) วิเคราะห์ความพึงพอใจของพนักงานโรงแรมที่มีต่อคู่มือภาษาจีนสำหรับพนักงานโรงแรม ใช้แนวคิด ADDIE เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ โรงแรมเครือข่ายสากลระดับ 4 ดาวแห่งหนึ่งในพัทยา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล หัวหน้าฝ่ายจัดเลี้ยง หัวหน้าฝ่ายอีเว้นท์ และพนักงานที่มีการสื่อสารกับลูกค้าจีน จำนวนรวม 16 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจงทั้งในระดับหัวหน้า และระดับพนักงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แบบสำรวจข้อมูลพื้นฐานเพื่อจัดทำเนื้อหาในคู่มือภาษาจีนสำหรับพนักงานโรงแรม 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังศึกษาคู่มือ 3) แบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจหลังการใช้คู่มือ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งวิธีเชิงปริมาณที่ใช้แบบสอบถาม และเชิงคุณภาพที่มีการพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired Sample T-Test ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์พบว่า 1) บุคคลากรของโรงแรมทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการมีความต้องการให้จัดทำคู่มือภาษาจีนสำหรับพนักงานในหลากหลายหัวข้อ โดย 3 ลำดับแรกประกอบด้วย คำกล่าวทักทายและพูดคุยทั่วไป คำเตือนอย่างสุภาพ และคำพูดสอบถามความพึงพอใจ 2) กลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์หลังศึกษาคู่มืออยู่ในระดับสูงกว่าก่อนศึกษาคู่มือ 3) ผู้ศึกษาคู่มือมีความพึงพอใจต่อคู่มือโดยรวมในระดับมากที่สุด</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาคู่มือภาษาจีนที่ตอบสนองต่อความต้องการจริงของพนักงานโรงแรม และพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเองในเวลาตามที่สะดวก อีกทั้งกระบวนการวิจัยสามารถนำไปต่อยอดการพัฒนาคู่มือฝึกอบรมในอุตสาหกรรมบริการอื่นได้</p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283545
คน ควายนม วิถีเกษตรท่องเที่ยว: รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรฟาร์มควายนมบ้านกุดรัง ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
2025-10-18T19:33:52+07:00
อภิศักดิ์ คู่กระสังข์
apisak2012@gmail.com
สาวิตรี คุ้มทะยาย
k_amaly@yahoo.com
กนกพิชญ์ วิชญวรนันท์
k_amaly@yahoo.com
ชัชญาภา วัฒนธรรม
k_amaly@yahoo.com
ชุติมา สังคะหะ
k_amaly@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพและทุนชุมชนของบ้านกุดรังในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร 2) พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรฟาร์มควายนม และ 3) ประเมินรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรฟาร์มควายนมบ้านกุดรัง ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยประยุกต์แนวคิดการท่องเที่ยวโดยชุมชน และวิเคราะห์ศักยภาพ ด้วย 4H’s และ 5A’s กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักท่องเที่ยวเชิงเกษตร 400 คน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน 20 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ตัวแทนชุมชน 30 คน และนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมทดลองโปรแกรม 30 คน ใช้เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และเครื่องมือศึกษาชุมชนแบบมีส่วนร่วม เช่น แผนที่ผู้ทรงภูมิ เส้นเวลาประวัติศาสตร์ และปฏิทินชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพื้นฐาน และเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาแบบพรรณนาและการตรวจสอบแบบสามเส้า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>บ้านกุดรังมีศักยภาพจากวิถีชีวิตของชาวไทยญ้อ อัตลักษณ์ทางภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาหัตถกรรมเกษตรผสมผสาน โดยเฉพาะ “ควายนมพันธุ์มูร่าห์” ซึ่งเป็นทุนทางชีวภาพสำคัญ การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวมุ่งเน้นกิจกรรมเชิงเรียนรู้ เช่น การรีดนม ดำนา ทำชีส ย้อมผ้าด้วยดินปรักควาย และแปรรูปนมเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและการเรียนรู้ ผลการประเมินกิจกรรมท่องเที่ยว “ตามรอยนมควาย” พบว่าผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจในระดับสูง </p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282553
การศึกษาระยะยาวของการปรับตัวในการดำรงชีวิตของผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยว อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
2025-10-18T20:02:14+07:00
ชภัทร ช่วงอรุณ
chapat.chuangaroon@g.swu.ac.th
หทัยรัตน์ มาประณีต
chapat.chuangaroon@g.swu.ac.th
ชลวิทย์ เจียรจิตต์
chapat.chuangaroon@g.swu.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการดํารงชีวิตของผู้ประกอบการเรือบริการนักท่องเที่ยวในชุมชนอําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาดในประเทศไทย 2. ศึกษาการปรับตัวดํารงชีวิตของผู้ประกอบการเรือบริการนักท่องเที่ยวในชุมชนอําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาดในประเทศไทย และ 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการดำรงชีวิตของผู้ประกอบการเรือบริการนักท่องเที่ยวในชุมชนอําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ในช่วงหลังวิกฤตการณ์ COVID-19 ที่แพร่ระบาดในประเทศ สำหรับงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ ข้อคำถามในการสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ คือ ผู้ประกอบการเรือบริการนักท่องเที่ยว ที่อาศัยอยู่ในอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 30 คน มาเป็นผู้ให้ข้อมูล การสัมภาษณ์เชิงคุณภาพผู้วิจัยจึงใช้วิธีการเลือกกลุ่มแบบเฉพาะเจาะจง โดยต้องเป็นผู้ประกอบการเรือบริการนักท่องเที่ยวที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป และมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดสมุทรสงครามมาแล้ว 10 ปีขึ้นไป สำหรับการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงและเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก หลักการสัมภาษณ์จะสัมภาษณ์ 5 – 30 คน โดยใช้เวลาในการสัมภาษณ์ ไม่เกิน 20 – 40 นาที โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และใช้วิธีการวิเคราะห์แบบแก่นสาระตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ซึ่งผลการวิจัย พบว่า ประการที่ 1 ในช่วงก่อน COVID-19 ระบาด ผู้ประกอบการเรือมีรายได้สูงและมีชีวิตที่มั่นคง โดยความสำเร็จนี้เกิดจากการประกอบอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรม ประเพณี และชุมชน โดยมีเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งเป็นกลไกหลักในการประกอบอาชีพ ประการที่ 2 ช่วงวิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม อย่างรุนแรงเนื่องจากการท่องเที่ยวหยุดชะงัก ทำให้ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดโดยใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย ได้แก่ การลดรายจ่าย การพึ่งพาทรัพยากรท้องถิ่น และการใช้ "ทุนทางสังคม" ที่มีอยู่เดิมเป็นเครือข่ายช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประการที่ 3 หลังวิกฤต COVID-19 ระบาด มีการฟื้นฟูสู่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของอาชีพด้วยการยกระดับการประกอบอาชีพ โดยนำบทเรียนที่ได้จากวิกฤตการณ์มาปรับใช้ โดยมีการพัฒนารูปแบบการบริการใหม่ ๆ เช่น ทัวร์ชุมชน นอกจากนั้นยังมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างจริงรวมถึงการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยให้เป็นจุดแข็ง และมีการบริหารจัดการการเงินอย่างมีวินัยเพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางการดำรงชีวิตเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ในอนาคต จึงมีการนำเสนอ "แนวทาง BRF" เป็นแนวทางการทางการดำรงชีวิตเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ในอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ B (Business) การพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัยและมีคุณภาพ R (Resource & Community) การจัดการทรัพยากรและความร่วมมือในชุมชนให้เข้มแข็งและ F (Financial Management) การบริหารการเงิน โดยมุ่งเน้นสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้ประกอบการเรือสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนข้อเสนอแนะการวิจัย จากการศึกษาพบว่าควรมีการพัฒนาเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเรือ ได้แก่ การส่งเสริมให้ภาครัฐมีการจัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการเรือ และพัฒนาทักษะต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ทักษะการซ่อมเรือ เป็นต้น</p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278729
สมรรถนะของพนักงานและคุณภาพบริการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต
2025-10-04T22:08:43+07:00
ธนกฤต เลียบทอง
S6680191103@pkru.ac.th
ศิรวิทย์ ศิริรักษ์
topsirawit@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อิทธิพลระหว่างสมรรถนะของพนักงานที่มีต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตําบลกะรน จังหวัดภูเก็ต และ 2) อิทธิพลระหว่างคุณภาพบริการที่มีต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตําบลกะรน จังหวัดภูเก็ต รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการโรงแรม 3 ดาวในตําบลกะรน จังหวัดภูเก็ต จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติบรรรยายและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยสมรรถนะของพนักงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อพิจารณาในแต่ละองค์ประกอบ พบว่า ด้านภาษาและการสื่อสาร ด้านบุคลิกภาพ ด้านความรู้ความสามารถทั่วไป และด้านคุณธรรม จริยธรรม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยคุณภาพบริการมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อพิจารณาในแต่ละองค์ประกอบ พบว่า ด้านสิ่งที่สามารถจับต้องได้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการโรงแรม 3 ดาวของนักท่องเที่ยวในตำบลกะรน จังหวัดภูเก็ต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม 3 ดาวในตำบลกะรนและพื้นที่ใกล้เคียงตลอดจนหน่วยงานภาครัฐสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของพนักงานและปรับปรุงคุณภาพบริการของโรงแรมเพื่อเพิ่มระดับการตัดสินใจเลือกใช้บริการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดภูเก็ตได้</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282841
The Influence of Sharing User-Generated Content on Tourism Experience Adoption: How Trust in Friends and Family Drives Similar Booking Behavior
2025-10-16T21:17:21+07:00
Chuennapha Nilsonthi
chuennapha.nan@gmail.com
Chokechai Suveatwatanakul
dr.choke@yahoo.com
<p>This study tests a model of influence using the VisCAP framework (visibility, credibility, attractiveness, and power) to examine how user-generated content (UGC) from friends and family on Facebook affects Thai tourists' destination choices. Quantitative data were collected from 289 Thai tourists who booked their trips after viewing Facebook posts shared by friends or relatives. The research employed a structured questionnaire that underwent IOC and ethical review verification. The analysis showed that visibility, attractiveness, and power directly influenced booking intentions, while credibility was not a significant factor. This finding differs from previous studies conducted in other cultural contexts and highlights the influence of Thailand's high-context and collectivist culture, where emotional and visual appeal outweigh source credibility. The study provides practical implications for tourism marketers, suggesting that strategies should emphasize visually engaging and highly visible social media content rather than focusing solely on credibility-building. The results contribute to a deeper understanding of cultural influences on social media-based travel decision-making in Thailand.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280133
Passengers’ Behavioral Intentions toward Eco-Friendly Aviation Services: An Analysis of Marketing Mix Factors at Chiang Mai International Airport
2025-10-15T10:55:57+07:00
Phichaya Maneerat
phichaya_man@g.cmru.ac.th
<p>While eco-friendly aviation services are growing globally, Thailand still faces challenges due to their limited availability and the lack of strategic marketing to promote sustainable aviation services. This article aimed to study (1) the 7Ps of service marketing mix factors (Product, Price, Place, Promotion, People, Process, and Physical Evidence) that influence passengers' intentions to choose eco-friendly aviation services at Chiang Mai International Airport, (2) the level of passengers' willingness to select eco-friendly aviation services, and (3) to guide the influential marketing mix factors for Thai airlines in developing eco-friendly services. For this study, the sample was 420 Thai passengers traveling through Chiang Mai International Airport. They were selected by quota sampling method across six major Thai airlines. The instruments for collecting data were structured questionnaires using a 5-point Likert scale, validated by three experts with IOC values ranging from 0.60 to 1.00. Data analysis was conducted using descriptive statistics (percentage, mean, standard deviation) and inferential statistics (linear regression analysis). The research results were found as follows: </p> <p>1.) Passengers rated all 7Ps marketing mix factors at a high level of importance (mean = 3.78, S.D. = 0.212) regarding their intention to choose eco-friendly aviation services. Four marketing mix factors Promotion (β = 0.172, p = 0.004), Physical Evidence (β = 0.147, p = 0.011), Price (β = 0.121, p = 0.044), and People (β = 0.106, p = 0.017) significantly influenced passengers' intention to choose eco-friendly aviation services, while Product, Place, and Process showed no significant effect.</p> <p>2.) Passengers demonstrated high willingness to choose eco-friendly aviation services (mean = 3.82), with the strongest agreement on recognizing the necessity to select eco-friendly aviation services to reduce environmental impact in Chiang Mai (mean = 4.19).</p> <p>3.) The findings provide a 4Ps framework (Promotion, Physical Evidence, Price, and People) to guide Thai Airlines in developing eco-friendly aviation services that meet passenger preferences and support sustainable aviation development in Northern Thailand.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280614
The Communication Identity of Travel Influencers on Online Media and Their Intention to Share Video Content That Affects the Travel Decision-Making of Generation Y in Thailand's Tourist Destination Provinces
2025-10-17T13:56:55+07:00
Pichet Udomsamak
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
Chotiwit Neimkeaw
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
Chantanee Kongsuk
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
Niyom Krimjai
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
Rachata Jantaboon
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
Natcha Sawaengphak
chotiwit_ne@rmutto.ac.th
<p>This study aims to examine the communication identity of influencers in online travel media and the intention to share video content that influences the travel decision-making of Generation Y in Thailand's destination provinces. It is a quantitative research study using questionnaires as a data collection tool with a sample size of 300 participants. The sample group was selected using the convenience sampling method from Thai tourists belonging to Generation Y, residing in Bangkok and its vicinity. The statistics used include frequency, percentage, mean, standard deviation, confirmatory factor analysis, and structural equation modeling with path analysis. </p> <p>The results of the structural equation model (SEM) testing with empirical data from Thai tourists belonging to Generation Y, residing in Bangkok and its vicinity, indicated a good fit. The statistical values were as follows: Chi-Square = 138.925, df = 64, Chi-Square/df = 2.171, p = 0.000, CFI = 0.972, GFI = 0.938, RMSEA = 0.063, RMR = 0.034. The findings revealed that the communication identity of influencers in online travel media and the intention to share video content had a direct influence on the travel decision-making of Generation Y in Thailand's destination provinces, with standardized coefficients of 0.41 and 0.18, respectively.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279344
Guidelines for Developing the Competency of Early Childhood Teachers in Child Development Centers under the Local Administrative Organization Surin Province
2025-10-11T18:50:23+07:00
ปิยนันท์ พูลโสภา
piyanun1407@gmail.com
<p>This research aimed to 1. study current condition, desirable condition, and priority needs for developing the competency of early childhood teachers 2. Study guidelines for developing the competency of early childhood teachers, and 3. evaluate guidelines for developing the competency of early childhood teachers in child development centers. The research was divided into 3 steps (1) surveying current condition and desirable condition on sample group of 333 early childhood teachers selected by simple random sampling. The research tool was questionnaire. (2) conducting in-depth interview with 15 individuals in target group using semi-structure interview as research tool. And (3) evaluating the guidelines by 3 experts using questionnaire as research tool. The statistics that were used were average, standard deviation, Priority Needs Index modified. The results were found that</p> <p>1. The current condition for developing the competency was at high level while the desirable condition was at the highest level. There are priority needs for developing competency as following (1) knowledge competency which includes, first, knowledge about providing learning experience and integration. And second is knowledge about physical health, safety, and mental health in early children. (2) Skills, which includes, first, skills to cope with environment management. And second is classroom management. And (3) Characteristics, which includes, first, self-development. And second is communication and positive interaction. 2. Guideline for developing the competency of early childhood teachers in child development centers under the local administrative organization, Surin Province is the development of 3-day workshop curriculum focusing on 8 compositions and using lecture, workshops, discussion, and sharing sessions. And 3. The evaluation results of guideline for developing the competency of early childhood teachers in child development centers under the local administrative organization, Surin Province, focusing on validity, propriety, feasibility and utility were at the highest level.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283371
Causal Relationships Between Risk Perception, Travel Anxiety, Travel Preparations for Travel Medicine, Travel Attitude, and Travel Intention in the New Normal Era
2025-10-08T15:45:44+07:00
Sanya Chimpimol
bukterkjingjing@gmail.com
Worapong Phoomborplub
dr.worapong@hotmail.com
<p>This study investigates the causal relationships between risk perception, travel anxiety, travel preparations for travel medicine, travel attitude, and travel intention among Thai tourists in the New Normal Era (post-covid-19 pandemic). The sample consists of 400 Thai tourists aged 18 years and above who intend to travel abroad or have previously travelled abroad within the past or next six months. Data were acquired through the administration of a questionnaire that demonstrated a reliability coefficient of 0.962 and subsequently subjected to analysis utilizing structural equation modelling (SEM). The study reveals that in the New Normal Era, travel intentions, travel medicine preparations, attitudes towards travel, and risk perception are notably high, while travel anxiety remains moderate. Risk perception, travel anxiety, and preparations for travel medicine directly impact travel attitudes. Additionally, these factors, along with travel attitudes, directly influence travel intentions. Moreover, risk perception, travel anxiety, and travel medicine preparations indirectly affect travel intentions through travel attitudes, highlighting the complexity of travel behaviour in the current context. The results offer practical implications for public and private organizations to enhance knowledge of travel medicine among Thai travellers. Moreover, the findings can inform the development of appropriate public health strategies for preparing travellers’ health before, during, and after travel, particularly concerning vaccine-preventable diseases and travel insurance for tourists. These measures will contribute to elevating Thailand's tourism sector to align with the modern travel era.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283166
The Synergy of Tradition and Technology: Holistic Beauty Management through Traditional Thai Medicine and Contemporary Aesthetics
2025-10-25T11:53:48+07:00
Sudawan Somjai
bmsitthiwat@gmail.com
Khomsan Laosillapacharoen
bmsitthiwat@gmail.com
Tanita Watprasong
bmsitthiwat@gmail.com
Amnaj Prasitdumrong
bmsitthiwat@gmail.com
Norawat Charoen-Rajapark
bmsitthiwat@gmail.com
<p>This qualitative research explores the integration of Traditional Thai Medicine (TTM) with contemporary aesthetics to achieve holistic beauty management. The study investigates how traditional wisdom and modern techniques can synergize to promote sustainable beauty practices that benefit physical and emotional well-being. The primary objective is to propose a holistic beauty model based on this collaboration. Data were collected through in-depth interviews with 15 key informants, comprising certified Thai traditional medicine practitioners, spa therapists, dermatologists, and beauty business operators. Additionally, two focus group discussions were conducted with a sample group of 10 participants each, and two expert panel meetings were held with five key informants each to validate the findings. Purposive sampling was employed to select individuals with extensive experience and expertise in traditional and modern beauty practices. Data analysis was conducted using thematic analysis to identify patterns, themes, and interpretive meanings derived from participant narratives and discussions. The findings reveal that integrating herbal formulas, therapeutic massage, and spiritual balance from TTM with contemporary skin care, dermatological technology, and wellness trends fosters a comprehensive approach to beauty. This fusion enhances external appearance and promotes inner harmony, contributing to long-term beauty sustainability. The research provides a model for integrating cultural heritage into modern beauty paradigms and promotes innovation grounded in Thai identity.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279619
Advancing Women in Educational Leadership: A Comprehensive Analysis of Factors Influencing Female Leaders in Shaanxi's Vocational Colleges
2025-10-12T11:00:06+07:00
Yao Xi
s6458491031@ssru.ac.th
Thada Siththada
Thada.si@ssru.ac.th
<p>The purpose of this study was: 1)To study the level of female leadership in higher vocational colleges in Shaanxi Province 2)To study the levels of factors of female leadership in higher vocational colleges in Shaanxi Province 3)To examine the relationship between factor of female leadership and female leadership in higher vocational college in Shaanxi province.4) To analyze factors affecting female leadership in higher vocational colleges in Shaanxi Province.5)To propose the guidelines for developing female leadership in higher vocational colleges in Shaanxi Province. The study utilized a mixed-method approach, distributing 432 questionnaires and interviewing 9 experts, combining questionnaires, interviews and statistical analysis to evaluate the impact of individual, family, organizational, social and Culture Factors on leadership traits such as influence, decisiveness and control. Descriptive analysis was used to assess the levels of seven female leadership and factors of Female leadership, and Pearson product-moment correlation coefficient analysis and stepwise multiple regression analysis were used to explore the relationship between female leadership and factors of Female leadership. Regression analysis was then used to explore the academic management factors that affect student performance in order to fully understand the importance of these factors.</p> <p>The result of the research is: 1) the overall female leadership in Shaanxi's vocational colleges is high, signifying well - developed leadership traits. Flexible leadership charm ( = 4.33, S.D. = 0.39) ranks first followed by motivation ability ( = 4.27, S.D. = 0.41), personality-caring ability ( = 4.18, S.D. = 0.42), and intelligent stimulation ability ( = 4.12, S.D. = 0.42), and emotional intelligence (= 4.00, S.D. = 0.44). 2) The factors of female leadership are overall at a high level. Among these factors, culture( = 4.24, S.D. = 0.42)and family support ( = 4.22, S.D. = 0.40) have the most significant influence. 3) Pearson correlation coefficient data(R² =0.696) show that the female leadership factors in Shaanxi vocational colleges are significantly positively correlated with overall female leadership, and emphasize that colleges should strengthen relevant aspects to empower female leaders and improve the leadership success rate in vocational education. 4) Analysis shows that overall female leadership in Shaanxi vocational colleges is high with flexible leadership charm leading the way, and the model reveals that factors such as Work-Life Balance, Family Support, Personal Factors, Organizational Factors, Policy Support, Cultural Factors, and Social Factors significantly explain the variation in female leadership.5) The analysis showed that women’s leadership can be strengthened by balancing professional and personal life, providing support, fostering confidence, providing training and fair policies, promoting growth, promoting gender inclusion, mentoring and networking to enhance leadership.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283912
A Multivariate Interaction Analysis of the Influencing Mechanism of Employment Competitiveness Among College Students
2025-10-25T11:56:55+07:00
Xiang Hua
379855989@qq.com
Xizhe Zhang
xizhez@sau.ac.th
<p>Against the backdrop of global economic transformation and regional industrial upgrading, the employment competitiveness of college students has become a critical indicator reflecting the quality of higher education and the effectiveness of talent cultivation. This study focuses on college students in Shanxi Province, China—a region undergoing a pivotal shift from a resource-based economy to a diversified development model—and explores the multivariate interaction mechanisms influencing their employment competitiveness. By integrating human capital theory, social capital theory, and career development theory, we construct a comprehensive evaluation model encompassing seven core variables: personal quality (PQ), professional skills (PS), job-hunting ability (JA), career planning (CP), personal resources (PR), social resources (SR), and employment competitiveness (EC). Adopting a mixed-methods approach, including structural equation modeling (SEM) with 487 valid samples and in-depth qualitative interviews with 20 students and 6 faculty members, this study identifies both direct and indirect pathways of influence. The results reveal that personal quality and professional skills exert significant direct effects on employment competitiveness, while job-hunting ability and career planning impact employment competitiveness indirectly through the mediation of personal and social resources. Notably, personal resources and social resources emerge as critical mediating variables, with strong direct effects on employment competitiveness. These findings provide theoretical support for improving college students’ employment competitiveness and offer practical guidance for universities, policymakers, and students themselves.</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279621
Organizational Factors Affecting Teachers' Competency in the Digital Era of Vocational Colleges in Shaanxi Province
2025-10-17T14:52:19+07:00
Xu Xiao
S64584951050@ssru.ac.th
Thada Siththada
Thada.si@ssru.ac.th
Suttipong Boonphadung
suttipong.bo@ssru.ac.th
<p>The purposes of this study were 1) To study the levels of organizational factors in the digital era of vocational colleges in Shaanxi province;2) To study the level of teacher’s competency in digital era of vocational colleges in Shaanxi province; 3) To examine the relationship between organizational factors and teacher’s competency in digital era of vocational colleges in Shaanxi province; 4) To analyze the organizational factors affecting teacher’s competency in digital era of vocational colleges in Shaanxi province; and 5) To propose the guideline for developing the teacher’s competency in the digital era of vocational colleges in Shaanxi Province. The study utilized a mixed-method approach, data were collected from 500 respondents, including administrators and college lecturers from 40 vocational colleges and interviewing 9 experts, combining questionnaires, interviews and Multiple Regression Analysis to evaluate the impact. This study explores the impact of organizational factors on teachers' competency in vocational colleges in Shaanxi Province, China.</p> <p>The result of the research found that: 1) The levels of Organizational Factors in the digital era of vocational colleges in Shaanxi province are at a moderate level.2) The levels of Teacher Competency in the digital era of vocational colleges in Shaanxi Province is at a moderate level. 3) The relationship between Organizational Factors and Teacher Competency in the digital era of vocational colleges in Shaanxi province. The analysis showed that the two were significantly correlated. 4) Multiple regression analysis of Organizational Factors affecting Teacher Competency in the digital era of vocational colleges in Shaanxi province. It shows that teachers' competency in the digital era is affected by multiple factors. Application of Technology, Workplace Adaptability, Leadership, Social Relations, Organizational Culture, Training for Self-development, and Institutional Structure are critical in enhancing teachers' competency. 5) The guideline for developing Teacher Competency in the digital era of vocational colleges in Shaanxi province. The proposed guidelines focus on seven key areas: Leadership, Organizational Culture, Institutional Structure, Social Relations, Application of Technology, Training for Self-development, and Workplace Adaptability. The recommendations aim to create a sustainable and technology-driven educational environment that enables teachers to thrive in the digital era.</p> <p> </p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280236
การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรและความจุของรูปเรขาคณิตสามมิติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-10-12T11:29:49+07:00
กมลรัตน์ พึ่งคร้าม
kamonrat.peungkram@gmail.com
สิรินภา กิจเกื้อกูล
sirinapaki@nu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่พัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรและความจุของรูปเรขาคณิตสามมิติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการของความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียน เมื่อผ่านการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนจำนวน 14 คน โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ในอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม และแบบวัดความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่</p> <p>บทเรียน ควรเริ่มบทเรียนด้วยกิจกรรม Brain Gym ขั้นที่ 2 ศึกษาวิเคราะห์ ควรแบ่งเนื้อหาเป็นตอนสั้น ๆ และมีคำถามแทรก ขั้นที่ 3 ปฏิบัติ ควรส่งเสริมให้นักเรียนแบ่งหน้าที่ที่ชัดเจนและคอยให้ความช่วยเหลือนักเรียนอย่างเหมาะสม ขั้นที่ 4 สรุป ควรสนับสนุนให้นักเรียนสามารถตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็น ขั้นที่ 5 ปรับปรุงการเรียนรู้และนำไปใช้ ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนปรับปรุงทั้งชิ้นงานและใบกิจกรรม การปรับขั้นที่ 6 การประเมินผล ควรเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินที่หลากหลาย ทั้งนี้ครูควรกำหนดสถานการณ์ปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทโลกจริง นอกจากนี้พบว่า 2) นักเรียนสามารถพัฒนาความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ ในด้านการใช้คณิตศาสตร์มากที่สุด รองลงมาคือการตีความและประเมินผลลัพธ์ และการคิดหรือแปลงปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามลำดับ</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280974
การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานภาครัฐเพื่อรองรับการเป็นรัฐบาลดิจิทัล: กรณีศึกษา ราชการส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงใหม่
2025-10-17T13:24:37+07:00
กฤตพล ทองดอนพุ่ม
areesrisom2@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
อนุวัฒน์ จรัสรัตนไพบูลย์
areesrisom2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐในการเข้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลของราชการส่วนภูมิภาคในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสังกัดส่วนราชการบริหารส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่ รวม 340 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิแบบมีสัดส่วน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ศักยภาพของบุคลากรด้านเทคโนโลยี มีอิทธิพลโดยรวมต่อศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นองค์กรอิเล็กทรอนิกส์ มากที่สุด รองลงมาคือ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การสนับสนุนจากรัฐบาล และการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะอิทธิพลทางตรง พบว่า ศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐในการเป็นองค์กรอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับอิทธิพลทางตรงจาก ศักยภาพของบุคลากรด้านเทคโนโลยี มากที่สุด รองลงมาคือ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283905
ความพึงพอใจของผู้พักอาศัยโครงการหมู่บ้านจัดสรรต่อการให้บริการสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ: กรณีศึกษานิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแนววงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก
2025-10-19T13:19:03+07:00
ก่อวิท พรมจักร์
Kowitprom@gmail.com
ฉัณทิพย์ จำเดิมเผด็จศึก
Kowitprom@gmail.com
สมภพ จูโล่ห์
Kowitprom@gmail.com
สมใจ ตุ้งกู
Kowitprom@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้พักอาศัยโครงการหมู่บ้านจัดสรรต่อการให้บริการสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ: กรณีศึกษานิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรแนววงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก ประชากรคือผู้พักอาศัยจำนวน 2,367 หลัง โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 600 คนตามสูตร Taro Yamane เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ผู้พักอาศัยมีความพึงพอใจต่อสาธารณูปโภคโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.95) โดยรายการที่ได้รับค่าเฉลี่ยสูงสุดคือระบบไฟฟ้าส่องสว่างและสภาพถนนภายในหมู่บ้าน ส่วนด้านบริการสาธารณะพบว่ามีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน (ค่าเฉลี่ย = 4.01) โดยรายการที่ได้รับค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการรักษาความปลอดภัยและการจัดเก็บขยะ ผลการวิจัยสะท้อนว่านิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรส่วนกลางเพื่อสร้างความพึงพอใจและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พักอาศัย ทั้งนี้ควรพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและสร้างความพึงพอใจอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283174
อิทธิพลของทุนทางปัญญาต่อผลการดำเนินงานและการเติบโตอย่างยั่งยืน
2025-10-12T11:58:12+07:00
กิตติมา ทางนะที
kittima.ta@rmuti.ac.th
พร้อมพร ภูวดิน
kittima.ta@rmuti.ac.th
สุมาลี เอกพล
kittima.ta@rmuti.ac.th
ศรัญญา คมขุนทด
kittima.ta@rmuti.ac.th
เกศชฎา ธงประชา
kittima.ta@rmuti.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อิทธิพลของทุนทางปัญญาที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) อิทธิพลของทุนทางปัญญาที่มีผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3) ศึกษาอิทธิพลของผลการดำเนินงานที่มีผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 4) ศึกษาอิทธิพลของทุนทางปัญญาต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยผ่านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถูกนำมาใช้เป็นประชากรกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยนี้ จำนวน 1,210 รายปีรายบริษัท ในระหว่างปี 2564-2566 ยกเว้นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน ผลการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณแบบปกติ พบว่า ทุนทางปัญญา และส่วนประกอบของทุนทางปัญญา ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง และทุนกายภาพมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับผลการดำเนินงาน โดยวัดด้วยอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น รวมถึงทุนทางปัญญาและทุนกายภาพมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยวัดด้วยอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ผลการดำเนินงานทั้งอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน และท้ายสุดพบว่าทุนทางปัญญา ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง และทุนกายภาพ มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่ออัตราการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยผ่านผลการดำเนินงานทั้ง อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282506
จากค่านิยมสู่การปฏิบัติ: ทางออกของครูสู่เสถียรภาพการเงินอย่างยั่งยืน
2025-10-17T12:33:53+07:00
กุลจิรา การนา
jane.koonji131@gmail.com
สุชาดา นันทะไชย
feduypnc@ku.ac.th
วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง
wanwisa.sue@ku.ac.th
<p>บทความวิจัยเชิงคุณภาพนี้เป็นการสำรวจว่าเหตุใดข้าราชการครูในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจึงประกอบอาชีพเสริม และอธิบายแนวทางค่านิยมที่ควรส่งเสริมเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนอย่างยั่งยืน บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสาเหตุที่ข้าราชการครูตัดสินใจประกอบอาชีพเสริม และ 2) เพื่อเสนอค่านิยมที่ควรเสริมสร้างให้ข้าราชการครูพึงยึดถือไว้เพื่อให้เกิดเสถียรภาพการเงินอย่างยั่งยืน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัย คือจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือข้าราชการครูที่มีการประกอบอาชีพเสริมนอกเหนือจากงานประจำ จำนวน 8 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีวุฒิการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต จำนวน 5 คน จำนวนผู้ให้ข้อมูลรวม 13 คนมีความเพียงพอ เนื่องจากสามารถบรรลุความอิ่มตัวของข้อมูล (data saturation) ได้ทั้งสองวัตถุประสงค์ มีประเด็นหรือข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกในการสัมภาษณ์ครั้งถัดไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ข้าราชการครูประกอบอาชีพเสริมโดยมีสาเหตุจากปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระทางการเงิน เช่น ค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพไม่เพียงพอ มีภาระหนี้สิน ความต้องการหารายได้เสริมด้วยแรงขับจากการขาด หรือไม่เพียงพอด้านปัจจัยสี่ และต้องหารายได้เสริมด้วยแรงขับจากการเพิ่ม หรือเติมเต็มในความต้องการพัฒนาตนเอง หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตและครอบครัว โดยใช้ทักษะ ความรู้ความสามารถ และความสนใจที่ไม่ขัดกับกฎระเบียบของข้าราชการครู 2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ค่านิยมที่ควรเสริมสร้างให้ข้าราชการครูพึงยึดถือเพื่อให้เกิดเสถียรภาพการเงินอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ค่านิยมพอเพียง ค่านิยมการพึ่งตนเอง ค่านิยมการมีวินัยทางการเงิน ค่านิยมการวางแผนทางการเงิน ค่านิยมการออมและการลงทุน และค่านิยมการจัดการหนี้สินอย่างเป็นระบบ ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อข้าราชการทุกภาคส่วน สามารถนำไปใช้พัฒนา ช่วยเหลือและส่งเสริมข้าราชการครูให้มีการบริหารจัดการการเงินอย่างเหมาะสมโดยเสริมสร้างค่านิยมที่พึงประสงค์ในการบริหารสถานศึกษาอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282516
ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
2025-10-12T12:02:26+07:00
กุลนันทน์ ม่วงสนธิ์
kullanun.m@ku.th
สุชาดา นันทะไชย
feduypnc@ku.ac.th
วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง
wanwisa.sue@ku.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ <br />และระดับการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ และการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จต่อการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จำนวน 294 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จและระดับการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของครูอยู่ในระดับสูง โดยเจเนอเรชันมีความแตกต่างในการรับรู้ต่อปัจจัยด้านความรู้และทักษะทางปัญญาประดิษฐ์ของครู และการนำปัญญาประดิษฐ์และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ ขณะที่กลุ่มสาระการเรียนรู้ความแตกต่างในการรับรู้ต่อปัจจัยด้านความรู้และทักษะทางปัญญาประดิษฐ์ของครูเท่านั้น 2) ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ของครู (r = 0.431–0.725, p < 0.01) และ3) การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณระบุตัวพยากรณ์หลัก 3 ประการ ได้แก่ ความรู้และทักษะทางปัญญาประดิษฐ์ของครู การสนับสนุนจากผู้บริหาร และทัศนคติของครู ซึ่งร่วมกันสามารถอธิบายการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้อย่างประสบความสำเร็จได้ร้อยละ 98.7</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281698
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมผ่านเกมมิฟิเคชั่นเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา
2025-10-25T10:45:27+07:00
คุณัชญา ทิพยานุรักษ์สกุล
kunatchaya123@gmail.com
กิตติพงษ์ พุ่มพวง
Kunatchaya123@gmail.com
ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์
Kunatchaya123@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 2) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบ และ 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา (R&D) กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลทิพยาหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการของครู แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา แบบประเมินผลงานแบบรูบริก และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และสถิติที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการพัฒนารูปแบบควรออกแบบกิจกรรมที่เน้นการแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน ใช้เกมมิฟิเคชันเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจ ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม และประเมินผลอย่างหลากหลาย เนื้อหาควรเชื่อมโยงชีวิตจริง ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกคิดแก้ปัญหาอย่างอิสระ 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบหลัก 6 ด้าน และกระบวนการเรียนการสอน 8 ขั้นตอน โดยผสมผสานเกมมิฟิเคชัน 7 องค์ประกอบ ได้แก่ การทำงานเป็นทีม การแข่งขัน เงื่อนไข รางวัล ลำดับขั้น แต้มสะสม และเหรียญตรา ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (\bar{X} = 3.97, S.D. = 0.45) และมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ร้อยละ 74.91 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 3) ผลการใช้รูปแบบพบว่านักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลงานอยู่ในระดับดี (\bar{X} = 3.20, S.D. = 0.49) และมีความคิดเห็นต่อรูปแบบในระดับมาก (\bar{X} = 4.12, S.D. = 0.75) แสดงว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283911
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว
2025-10-25T11:56:42+07:00
จันถาวร แก้วสุดา
bmsitthiwat@gmail.com
<p>การบริหารงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งด้านการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศ การประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ การศึกษาองค์ประกอบสำคัญ การสำรวจสภาพปัจจุบันและปัญหา การพัฒนารูปแบบ และการประเมินรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบการบริหารงานวิชาการมี 7 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร การนิเทศการศึกษา การพัฒนาการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล การอบรมทางวิชาการ การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา และการประกันคุณภาพการศึกษา สภาพการบริหารงานวิชาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.86, S.D. = 0.39) แต่ยังพบปัญหาในหลายด้าน เช่น การขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การนิเทศไม่ต่อเนื่อง การจัดการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามหลักสูตร การขาดการวิเคราะห์ศักยภาพผู้เรียน การขาดการสนับสนุนการวิจัยในชั้นเรียน และการขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย</p> <p> รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ 45 กระบวนการบริหาร 101 ตัวชี้วัด และ 42 เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญพบว่ารูปแบบที่พัฒนามีความเหมาะสม ถูกต้อง เป็นประโยชน์ และมีความเป็นไปได้สูง โดยลำดับค่าคะแนนเฉลี่ยคือ ด้านความเป็นประโยชน์ (4.54) ด้านความถูกต้อง (4.51) ด้านความเหมาะสม (4.43) และด้านความเป็นไปได้ (4.38) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281664
การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีการสังเคราะห์พาราฟินิกเคโรซีนจากแอลกอฮอล์ สำหรับประเทศไทย
2025-10-25T10:44:31+07:00
จิตรเทพ เนื่องจำนงค์
jittathep.n@ku.th
และฆนัทนันท์ ทวีวัฒน์
jittathep.n@ku.th
<p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ 1) ด้านตลาด 2) ด้านเทคนิค และ 3) ด้านการเงิน ของการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีการสังเคราะห์พาราฟินิกเคโรซีนจากแอลกอฮอล์ สำหรับประเทศไทย โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและข้อมูลทุติยภูมิศึกษารวบรวมจากเอกสารที่เกี่ยวข้องของภาครัฐและภาคเอกชน ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์เชิงพรรณนาและเชิงปริมาณโดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีการปรับมูลค่าเงินตามเวลา ผลการศึกษาพบว่า 1) มีความเป็นไปได้ทั้งทางด้านตลาด เนื่องจากตลาดเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนทั่วโลกมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากนโยบายและข้อกำหนดการส่งเสริม ReFuelEU Aviation และอัตราการเติบโตของปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการที่มากขึ้นถึง 449 พันล้านลิตรในปี ค.ศ. 2050 2) มีความความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค เนื่องจากมีเทคโนโลยีการผลิตที่สามารถผลิตได้จริงในระดับอุตสาหกรรม โดยใช้ต้นทุนในการลงทุน 10,419,992,067 บาท ต้นทุนการดำเนินงานและการผลิต 1,656,363,682 บาทต่อปี รวมถึงมีแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเอทานอลในประเทศเพียงพอ และ 3) มีความความเป็นไปได้ทางด้านการเงิน เนื่องจากเมื่อกำหนดอายุโครงการ 25 ปี ต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC) เท่ากับร้อยละ 9.23 ทำให้โครงการมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 30,124,462,544 บาท ดัชนีความสามารถในการทำกำไร (PI) เท่ากับ 3.89 เท่า อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) เท่ากับร้อยละ 29.38 อัตราผลตอบแทนภายในที่มีการปรับค่าแล้ว (MIRR) เท่ากับร้อยละ 15.33 สรุปได้ว่าโครงการมีความคุ้มค่าในการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุที่โครงการนี้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนสูงกว่าเชื้อเพลิงอากาศยานจากฟอสซิลถึง 3 เท่า ดังนั้น ในอนาคตหากราคาขายมีแนวโน้มปรับลดลงตามกลไกตลาด โครงการนี้ยังคงสามารถรับการเปลี่ยนแปลงด้านผลตอบแทนได้ โดยหากราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน 67.96 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 57.16 บาทต่อลิตร โครงการก็ยังคงมีความคุ้มค่าในการลงทุน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282704
การวิเคราะห์ความต้องการและการออกแบบระบบโลจิสติกส์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดนนทบุรี
2025-10-16T21:19:46+07:00
จิรวัฒน์ ตั้งจิตโสมนัส
jirawat.tu@pnru.ac.th
<p>This research aimed to 1) analyze the needs and cultural tourism behaviors of the elderly in Nonthaburi Province and 2) design a logistics system suitable for supporting cultural tourism for the elderly. The study was conducted within the context of Nonthaburi Province, which is rich in cultural heritage such as Thai–Mon communities, ancient temples, and traditional handicrafts. These cultural assets exist amid Thailand’s transition into an aging society and persistent challenges in public transportation systems and accessibility infrastructure. A mixed-methods approach was employed, combining quantitative data from questionnaires with qualitative data from in-depth interviews. The samples consisted of 400 elderly tourists, 100 local community members, and 20 tourism entrepreneurs. The findings revealed that most elderly tourists were female, aged between 60–65 years, and were mainly motivated to travel through family and friends’ recommendations (35.5%) and the desire for relaxation (33.75%). Social media was the primary source of travel information (74%), reflecting the significant role of digital technology in influencing travel behavior among the elderly. Based on the findings, a logistics system for cultural tourism among the elderly was designed, encompassing three key dimensions: (1) Physical logistics including transportation, accessibility, and appropriate facilities; (2) Information logistics involving multilingual information, signage, and service maps; and (3) Financial logistics featuring safe and user-friendly payment systems. Additionally, three one-day cultural tourism programs and a bilingual web application prototype were developed to enhance practical usability for elderly travelers in the area. The results of this study can serve as a guideline for policymakers, local authorities, and private sectors to improve tourism logistics systems that accommodate an aging society, enhance efficiency and safety, and promote sustainable cultural tourism experiences in Nonthaburi Province.</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283571
การประเมินโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคม กรณีตำบลบูรณาการในโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล (U2T): ตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
2025-10-25T11:54:57+07:00
จิรัชยา เจียวก๊ก
jirachaya.j@psu.ac.th
ฐาณิดาภัทฐ์ แสงทอง
thanidaphat.sae@gmail.com
สุวรา แก้วนุ้ย
suwara27@gmail.com
คุณานนท์ ศรีโสภา
kunanont.sris@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (U2T) ในพื้นที่ตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระบบการหนุนเสริมของมหาวิทยาลัยและบัณฑิตโครงการ การติดตามคุณค่าของโครงการ และประเมินผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบของชุมชนจะรัง หลังจากที่มหาวิทยาลัยและบัณฑิตเข้ามาดำเนินโครงการตามแผนงานดำเนินงานฯกรอบแนวคิดที่ใช้คือ CIPP Model ซึ่งครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์บริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ ของโครงการ U2T อย่างเป็นระบบ ผสานกับตัวชี้วัด 16 ด้านของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และดัชนีคุณภาพชีวิตตาม TPMAP ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประชาชน ผู้นำท้องถิ่น นักศึกษา บัณฑิต และคณาจารย์ รวมทั้งสิ้น 90 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมหลัก 3 ด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยว (2) การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม และ (3) การสำรวจและพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ผลิตภัณฑ์ชุมชนต้นแบบได้มาตรฐาน 3 ผลิตภัณฑ์ เกิดแหล่งเรียนรู้และการท่องเที่ยวใหม่ 7 แห่ง และมีฐานข้อมูลชุมชนเพิ่มขึ้น 10 ชั้นข้อมูล นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเข้มแข็ง จากการประเมินตามกรอบแนวคิด CIPP Model พบว่า โครงการมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการศึกษาและรายได้ที่ได้รับการประเมินในระดับสูงสุด สะท้อนการยกระดับคุณภาพชีวิตใน 5 มิติอย่างเป็นรูปธรรม</p> <p>สำหรับข้อเสนอแนะ การดำเนินโครงการในอนาคตควรเน้นการติดตามผลระยะยาว เพื่อประเมินความยั่งยืนของรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ควรเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรในชุมชนให้มีความรู้ด้านการจัดการท่องเที่ยวและการตลาดดิจิทัล ตลอดจนพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานท้องถิ่น และภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ต่อเนื่องและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283906
พลังนายกเทศมนตรี–เครือข่ายระหว่างเทศบาลและการมีส่วนร่วมแบบจัดสรร งบประมาณร่วม: บทเรียนการปกครองท้องถิ่นฝรั่งเศส
2025-10-19T13:17:03+07:00
ฉัณทิพย์ จำเดิมเผด็จศึก
bmsitthiwat@gmail.com
ชัยธนภัทร ชัยะโสตถิ
bmsitthiwat@gmail.com
เตวิช พฤกษ์ปีติ
bmsitthiwat@gmail.com
<p>งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มุ่งอธิบายปัจจัยความสำเร็จของการปกครองท้องถิ่นฝรั่งเศส โดยวิเคราะห์สามกลไกหลัก 1) บทบาทของเทศบาลและนายกเทศมนตรีในฐานะผู้รับผิดชอบด่านหน้าของรัฐใกล้ชิดกับประชาชน 2) เครือข่ายความร่วมมือระหว่างเทศบาล (Intercommunity /EPCI) ที่บูรณาการทรัพยากรและบริการข้ามเขต และ (3) นวัตกรรม “งบประมาณมีส่วนร่วม” ของกรุงปารีสที่เปิดอำนาจตัดสินใจด้านการลงทุนแก่ประชาชนอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการวิเคราะห์เอกสารกฎหมาย (Defferre 1982–83, NOTRe 2015), รายงาน OECD/EU, แหล่งข้อมูลทางการของกรุงปารีสและบทวิชาการ ผลการศึกษาเสนอกรอบ “3 เสา–2 เงื่อนไข” (เทศบาล–นายกเทศมนตรีเข้มแข็ง, EPCI, งบประมาณมีส่วนร่วม; เงื่อนไขฐานคือวินัยการคลังและการจัดวางอำนาจไม่ซ้ำซ้อน) ที่ทำให้การให้บริการสาธารณะมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความไว้วางใจสูง ทั้งนี้ข้อจำกัดของงานคือพึ่งพาเอกสาร ไม่ได้เก็บข้อมูลภาคสนาม จึงเสนอให้วิจัยต่อด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280905
การศึกษาการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง
2025-10-25T11:43:14+07:00
เฉลิมพร เย็นเยือก
chalermporn.y@rsu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง 2) เพื่อวิเคราะห์การดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง และ 3) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง จำนวน 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยด้วยสถิติพรรณนาค่าจำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติอนุมาน สัมประสิทธิ์ถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้และเข้าใจในการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง โดยพบว่าผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามหลักการที่ได้กำหนดเป็นแนวปฏิบัติของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มีความรู้ ความเข้าใจในแนวปฏิบัติตามกฎระเบียบและเป้าหมายได้ถูกต้อง 2) ผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลาง ด้านทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมีความเหมาะสม และ 3) แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในเขตภาคกลางที่สำคัญคือ การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานกองทุนให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลางอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมบุคลากรให้เป็นผู้มีคุณลักษณะพึงประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในหน้าที่รับผิดชอบของกองทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติในเขตภาคกลางอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280975
ปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่
2025-10-20T20:42:42+07:00
ชูพงศ์ ธนพรหมาวิวัฒน์
chuphong35008@gmail.com
พุฒิสรรค์ เครือคำ
phutthisunk@gmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
phutthisunk@gmail.com
สนิท สิทธิ
phutthisunk@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เฉพาะอำเภอเมือง สันทราย แม่ริม สารภี หางดง ใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 300 คน ผู้วิจัยเก็บเพิ่มเป็น 400 ตัวอย่าง โดยได้ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้รับอิทธิพลทางตรงองค์ประกอบด้านการบริหารจัดการ มากที่สุด รองลงมาคือ องค์ประกอบด้านการมีส่วนร่วม องค์ประกอบด้านพื้นที่ และองค์ประกอบด้านกิจกรรม ตามลำดับ เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวม พบว่า ประสิทธิภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้รับอิทธิพลรวมจากองค์ประกอบด้านการมีส่วนร่วม มากที่สุด รองลงมาคือ องค์ประกอบด้านพื้นที่ องค์ประกอบด้านการบริหารจัดการ และองค์ประกอบด้านกิจกรรม ตามลำดับ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283776
บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก: พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านบทพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ 2
2025-10-25T11:55:37+07:00
ณัฐนันท์ สาริโก
natthanan.sar@satitpatumwan.ac.th
<p>บทความเรื่อง บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก: พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผ่านบทพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เล่มที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่สะท้อนผ่านพระราชนิพนธ์ <em>ไกลบ้าน เล่มที่ 2</em> ซึ่งเป็นบันทึกพระราชหัตถเลขาในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2449–2450) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า พระราชนิพนธ์มิใช่เพียงสารคดี การเดินทาง หากยังสะท้อนพระปรีชาสามารถรอบด้าน อาทิ การทรงเป็นนักคติชนวิทยา <br />นักมานุษยวิทยา และนักประวัติศาสตร์ ด้วยพระราชอุปนิสัยช่างสังเกต ค้นคว้า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศิลปะของนานาอารยประเทศ อีกทั้งยังสะท้อนพระปรีชาด้านวรรณศิลป์ในฐานะ<br />นักประพันธ์และกวีที่สามารถบรรยายพรรณนาได้อย่างงดงามและลุ่มลึก อันก่อให้เกิดภาพสะท้อนทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมของยุโรปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผลจากการเสด็จครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสยามทั้งด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม วัฒนธรรมการดำเนินชีวิตและการแต่งกาย รวมทั้งการยอมรับอิทธิพลตะวันตกในการปฏิรูปประเทศ บทพระราชนิพนธ์<em>ไกลบ้าน</em>จึงเป็นหลักฐานสำคัญทางวรรณคดีและประวัติศาสตร์ที่สะท้อนพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการวางรากฐานความศิวิไลซ์ของสยามให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282773
บุพปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย
2025-10-18T19:48:03+07:00
ณัฐพล จรัสสุริยพงศ์
s64584945024@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บรรย์ฑิตย์ ผังนิรันดร์
bundit.pu@ssru.ac.th
<p>อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย และเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล จากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ทำให้เกิดการหดตัวลงของเศรษฐกิจ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมขององค์กร แต่กลับส่งผลกระทบโดยตรงต่อการอยู่รอดของธุรกิจการการท่องเที่ยว วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของความสามารถการจัดการลูกค้าเชิงสัมพันธภาพ การมุ่งเน้นตลาด ความสามารถทางนวัตกรรม คล่องตัวขององค์กร และผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของความสามารถการจัดการลูกค้าเชิงสัมพันธภาพ การมุ่งเน้นตลาด ความสามารถทางนวัตกรรม และคล่องตัวขององค์กรที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และ 3) พัฒนาแบบจำลองผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจโรงแรมที่เป็นสมาชิกสมาคม โรงแรมไทย จำนวน 360 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่เป็นสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย คณะกรรมการบริหารสมาคมโรงแรมไทย นายกสมาคมโรงแรมไทยส่วนภูมิภาค และคณะกรรมการที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโรงแรมไทย รวมทั้งสิ้น 20 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการจัดการลูกค้าเชิงสัมพันธภาพ การมุ่งเน้นตลาด ความสามารถทางนวัตกรรม ความคล่องตัวขององค์กร และผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยอยู่ในระดับมาก 2) ความสามารถการจัดการลูกค้าเชิงสัมพันธภาพ การมุ่งเน้นตลาด ความสามารถทางนวัตกรรม และความคล่องตัวขององค์กร ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แบบจำลองผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย มีชื่อว่า “2OCMI Model” (C = Customer Relationship Management Capability, M = Market Orientation, I = Innovativeness, O = Organizational Agility, O = Organizational Performance) นอกจากนี้ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่า ในการเพิ่มผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยนั้น ผู้ประกอบการต้องมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้ในการเพิ่มความรวดเร็วในการบริการ มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในบริการตอบกลับลูกค้า พัฒนาและปรับปรุงบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและมาตรฐานสากล มีการเสริมสร้างสมรรถนะของพนักงานด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายในการการเพิ่มผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282296
การเสริมสร้างความตระหนักรู้การใช้สื่อดิจิทัลในการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
2025-10-23T16:04:06+07:00
ทัศนา หนูทวี
tassana741@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเสริมสร้างความตระหนักรู้ในการใช้สื่อดิจิทัลต่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ โดยใช้การวิจัยเชิงกึ่งทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1 จำนวน 120 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย (1) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ และ (2) แบบประเมินความตระหนักรู้ในการใช้สื่อดิจิทัล เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิและมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80–1.00 การดำเนินการทดลองใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์ ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการสื่อดิจิทัลเชิงวิเคราะห์ เว็บไซต์เชิงสืบค้น สื่อโต้ตอบ และกิจกรรมสะท้อนคิดเชิงวิพากษ์ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าขนาดอิทธิพลในระดับ ปานกลาง นอกจากนี้ ระดับความตระหนักรู้ในการใช้สื่อดิจิทัลของผู้เรียนเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับสูง ภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ โดยผลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของการออกแบบการเรียนรู้ที่เน้นการใช้สื่อดิจิทัลเชิงคุณภาพและการส่งเสริมสมรรถนะการคิดเชิงวิพากษ์อย่างเป็นระบบ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282005
แนวทางการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการบริหารจัดการน้ำเสียชุมชน จังหวัดนนทบุรี
2025-10-17T13:12:47+07:00
ธงเทพ รัตนวิชา
thongthep35027@gmail.com
วันวสา วิโรจนารมย์
wanwasa.wi@hotmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการจัดการน้ำเสียชุมชนในพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี และ 2. นำเสนอแนวทางการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการจัดการน้ำเสียในพื้นที่อำเภอเมืองนนทบุรี การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ในการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี สุ่มตัวอย่างจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปร ได้กลุ่มตัวอย่าง 240 คน ผู้วิจัยเก็บข้อมูล 400 คน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจในการวิเคราะห์สถิติ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ แบ่งการศึกษาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี หรือผู้แทน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ปลัดเทศบาลนครนนทบุรี อธิบดีกรมควบคุมคุณภาพน้ำ ผู้แทนนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่เมืองนนทบุรี รวม 5 คน กลุ่มสนทนากลุ่ม ได้แก่ โรงเรียน ร้านค้า ผู้ประกอบการรายย่อย จำนวน 30 คน เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบบันทึกการสนทนากลุ่มวิเคราะห์ผลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทของภาครัฐ มีอิทธิพลโดยรวมต่อการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการจัดการน้ำเสีย มากที่สุด รองลงมาคือ บทบาทภาคเอกชน และบทบาทภาคประชาชน ตามลำดับ และ 2. การจัดการน้ำเสียในอำเภอเมืองนนทบุรีต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย วางแผน จัดเก็บข้อมูล กำหนดมาตรฐาน และควบคุมการดำเนินงาน รวมถึงจัดหาทรัพยากรและพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสีย ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน พัฒนาเทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมเพื่อจัดการน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนภาคประชาชนมีบทบาทในการให้ความเห็น สร้างความตระหนักรู้ และมีส่วนร่วมในการลดปริมาณน้ำเสียในครัวเรือน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างทั้งสามภาคส่วนจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และนำไปสู่การจัดการน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278930
อิทธิพลของคุณลักษณะงาน ความผูกพันในการทำงาน และบรรยากาศองค์การที่มีต่อผลการปฏิบัติงาน ในบริษัทผลิตแอร์คอมเพรสเซอร์ อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง
2025-10-17T14:12:56+07:00
ธนวัฒน์ เกตุคำ
thanavat.k@ku.th
ถิตรัตน์ พิมพาภรณ์
Thanavat.k@ku.th
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณลักษณะงาน ความผูกพันในการทำงาน และบรรยากาศองค์การที่มีต่อผลการปฏิบัติงาน ในบริษัทผลิตคอมเพรสเซอร์แอร์ อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ทั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากพนักงานจำนวน 330 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงอนุมานด้วยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของงาน ได้แก่ ความหลากหลายของงาน ความมีเอกลักษณ์ของงาน ความสำคัญของงาน ความเป็นอิสระในงาน และผลสะท้อนจากงาน มีอิทธิพลในทางบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยรวมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 2) ความผูกพันในการทำงาน ได้แก่ ความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่น และความเป็นหนึ่งเดียวกับงาน มีอิทธิพลในทางบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยรวมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) บรรยากาศองค์การ ได้แก่ โครงสร้างองค์การ นโยบายการบริหารส่วนบุคคล ลักษณะงาน การบริหารของบังคับบัญชา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และค่าตอบแทน มีอิทธิพลในทางบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยรวมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งจากที่กล่าวมาตัวเเปรที่มีอิทธิพลต่อผลการปฏิบัติงานมากที่สุดพบว่า บรรยากาศองค์การเป็นตัวแปรที่สามารถอธิบายความแปรปรวนของผลการปฏิบัติงานได้มากที่สุด (R² = 0.741) รองลงมาคือความผูกพันในการทำงาน (R² = 0.700) และคุณลักษณะของงาน (R² = 0.624) ตามลำดับ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282006
แนวทางการสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กรณีศึกษา ตำบลหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-10-17T12:46:04+07:00
ธีรวุฒิ แสงมณี
areesrisom2@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
พุฒิสรรค์ เครือคำ
areesrisom2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาระดับการสนับสนุนจากภาครัฐ บทบาทผู้นำเครือข่าย ความเข้มแข็งของเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตำบลนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 2. นำเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ตำบลนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ในการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 240 คน เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อน ผู้วิจัยเก็บเพิ่มเป็น 360 ตัวอย่าง ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 6 คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ผลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการสนับสนุนจากภาครัฐ บทบาทผู้นำเครือข่าย ความเข้มแข็งของเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตำบลนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ในระดับมาก และ 2. แนวทางการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ตำบลนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า (1) การสร้างกลไกการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ (2) การสนับสนุนจากภาครัฐ ต้องเป็นการสนับสนุนแบบองค์รวม (3) ผู้นำเครือข่ายต้องมีทั้งความรู้ความสามารถ (4) ความเข้มแข็งของเครือข่าย (5) การสร้างความเข้าใจและจิตสำนึกในชุมชน (6) การพัฒนาระบบการฝึกอบรมและสร้างขีดความสามารถของเครือข่าย (7) การสร้างกิจกรรมที่หลากหลายและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และ (8) การสร้างระบบการติดตามและประเมินผลที่เป็นระบบ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281853
อนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า
2025-10-12T11:37:37+07:00
นภัสภรณ์ เกตทอง
napaspohn.gate@gmail.com
ดลศักดิ์ ไทรเล็กทิม
donsak@g.swu.ac.th
ทวีศิลป์ กุลนภาดล
taweesil@g.swu.ac.th
<p>บทความวิจัยเรื่อง อนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาตัวแปรเชิงพยากรณ์ของอนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า 2) ศึกษาแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ของอนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า และ 3) สร้างอนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงอนาคต (Future Research) ใช้เทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) ในการวิจัย EDFR รอบที่ 1 ผู้วิจัยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) เก็บรวบรวมข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญ 9 คน และในการวิจัย EDFR รอบที่ 2 – 3 ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert’s Rating Scale) เก็บข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญ 17 คน ซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสาคัญ (Key Informants) เป็นบุคลากรทางการศึกษาที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยตรง จึงมีความเป็นเอกพันธ์ (Homogeneous Group) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยใช้โปรแกรม ATLAS.ti 9 ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ จากการศึกษาพบว่า 1) ตัวแปรเชิงพยากรณ์ของอนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้ามี 6 ด้าน 2) แนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ของอนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้าจาก 44 แนวโน้ม เมื่อทำแบบสอบถามผ่านเกณฑ์ฉันทามติ 38 แนวโน้ม 3) อนาคตภาพคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้าประกอบด้วยคณะกรรมการที่มีคุณสมบัติและคุณลักษณะที่มีประสิทธิภาพเหมาะสม การทำงานเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ระบบการทำงานมีความยืดหยุ่นทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง มีความเป็นมืออาชีพ ใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างครอบคลุม ตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนและสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280691
การพัฒนาสื่อสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรสินค้าอันตรายตามรูปแบบฐานสมรรถนะ
2025-10-25T11:42:06+07:00
นันท์ลภัส ปัญญาพรรุ่งโรจน์
nanlaphat.p@gmail.com
วราภรณ์ เต็มแก้ว
nanlaphat.p@gmail.com
วิภัสสร วินิจฉัยกุล
nanlaphat.p@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทราบถึงความต้องการของผู้เข้าอบรมหลักสูตรสินค้าอันตรายตามรูปแบบฐานสมรรถนะ 2) พัฒนาสื่อสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรสินค้าอันตรายตามรูปแบบฐานสมรรถนะ และ 3) เป็นต้นแบบของสื่อที่สามารถนำไปใช้สำหรับการฝึกอบรมในรูปแบบฐานสมรรถนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้ที่มีประสบการณ์เรียนหลักสูตรสินค้าอันตรายสำหรับพนักงานบริการภาคพื้น จำนวน 20 ท่าน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แล้วนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์โดยวิธีสรุปความสาระสำคัญ แล้วนำไปพัฒนาเป็นสื่อสำหรับฝึกอบรมตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่กำหนด โดยเก็บรวมรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤษภาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2567</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ความต้องการของผู้เข้าอบรมหลักสูตรสินค้าอันตรายมีความต้องการสื่อการอบรมในหัวข้อที่สอดคล้องกับคู่มือการฝึกอบรมสินค้าอันตรายของสมาคมขนส่งระหว่างประเทศ (IATA Dangerous Goods Regulations Manual) 2) การพัฒนาสื่อฝึกอบรมตามรูปแบบฐานสมรรถนะได้โดยมีระดับความยากและค่าอำนาจจำแนกอยู่ในระดับปานกลาง 3) ต้นแบบสื่อการสอนที่ได้มีระดับความพึงพอใจจากผู้เข้ารับการอบรมอยู่ในระดับสูง มีค่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 55.83 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 98.33 กล่าวได้ว่าผู้เข้าอบรมเกิดผลสัมฤทธิ์ในการฝึกอบรมจากหลักสูตรต้นแบบนี้ ซึ่งจะได้นำไปพัฒนาให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281896
เรื่อง แบบจำลองพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี
2025-10-17T13:43:03+07:00
นิทน เกตุลุนสงค์
s65584945024@ssru.ac.th
<p>การเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาขีดสมรรถนะของสำนักงานอัยการสูงสุดให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและประเทศชาติจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว เช่น การปฏิบัติงานด้านอำนวยความยุติธรรมรักษาผลประโยชน์ของรัฐ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้จะช่วยพัฒนากระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับกระแสความเจริญของสังคมในปัจจุบันและอนาคต การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้ประโยชน์ ทัศนคติต่อการใช้งาน รับรู้ถึงความง่ายในการใช้งานและพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) 2) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้ประโยชน์ ทัศนคติต่อการใช้งาน รับรู้ถึงความง่ายในการใช้งานที่มีผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) 3) พัฒนาแบบจำลองพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนทั่วไปในเขตอัยการ ภาค 1 ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ใน 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง จำนวน 320 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้บริหารและข้าราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด รวมจำนวน 17 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ประโยชน์ ทัศนคติต่อการใช้งาน รับรู้ถึงความง่ายในการใช้งานและพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) อยู่ในระดับมาก 2) การรับรู้ประโยชน์ ทัศนคติต่อการใช้งาน รับรู้ถึงความง่ายในการใช้งานที่มีผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และ 3) แบบจำลองพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีชื่อว่า“ BIU Model” (Behavioral Intention to Use) นอกจากนี้ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่า ในการเพิ่มพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดตามกรอบทฤษฎีการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) สำนักงานอัยการสูงสุดต้องมีการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมการทำงานเพื่อประชาชนด้วยความซื่อสัตย์สุจริตควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีการบริการที่ทันสมัยเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วกับประชาชน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานอัยการสูงสุด<br>ด้านทักษะดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางกำหนดนโยบายในการสร้างการเพิ่มพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้บริการ e-service ของสำนักงานอัยการสูงสุดในการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศต่อไป</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281813
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าสุขภาพและความงาม ผ่านแอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคในจังหวัดสมุทรปราการ
2025-10-18T22:11:05+07:00
นิยม กริ่มใจ
niyom@southeast.ac.th
<p>ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทและส่งผลต่อพฤติกรรมการดำรงชีวิตของผู้บริโภคที่มีการพัฒนาและรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมก็เปลี่ยนแปลง โดยนำไปสู่การปรับเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารทางออนไลน์และใช้กิจกรรมทางออนไลน์ในชีวิตมากยิ่งขึ้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อค้นหาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าสุขภาพและความงามผ่านแอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคในจังหวัดสมุทรปราการ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าสุขภาพและความงามผ่านแอปพลิเคชันช้อปปี้ในจังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติสมการโครงสร้าง (Structural Equation Model: SEM)</p> <p> ผลการวิเคราะห์สรุปได้ว่า โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าสุขภาพและความงามผ่านแอปพลิเคชันช้อปปี้ ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาด ความไว้วางใจในการซื้อสินค้า และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันช้อปปี้มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการตัดสินใจซื้อสินค้าสุขภาพและความงามผ่านแอปพลิเคชัน ช้อปปี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์โดยการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการด้านการขายสินค้าหรือบริการผ่านแอพปพลิเคชันช้อปปี้ โดยพัฒนาชื่อเสียงและประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคและใช้ในการวางยุทธศาสตร์ในการป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280883
ประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2
2025-10-17T13:17:13+07:00
นูรุล มะยิ
t.nurul13@hotmail.com
วัน เดชพิชัย
t.nurul13@hotmail.com
ชณัฐ พรหมศรี
t.nurul13@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 2) เปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงาน ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ของผู้บริหาร และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ประมวลข้อเสนอแนะในการปรับปรุงประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในครั้งนี้ คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 จำนวน 92 โรงเรียน กำหนดผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ให้ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสอบถามปลายเปิด (ค่าความเชื่อมั่น α = .95) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (T-Test) การทดสอบค่าเอฟ (F-Test) ชนิดความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.06, SD = 0.31) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ (M = 4.26, SD = 0.32) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านคุณภาพผู้เรียน (M = 3.86, SD = 0.28)</p> <p>2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 จำแนกตามเพศ (t = 1.078, p = .284) ประสบการณ์ของผู้บริหาร (F = 1.136, p = .326) และขนาดของสถานศึกษา (F = .076, p = .927) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>.05)</p> <p>3) ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงประสิทธิผลการบริหารงานของสถานศึกษา เนื่องจากด้านคุณภาพผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (M = 3.86) สถานศึกษาจึงควรพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการของผู้เรียนโดยเน้นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ควบคู่กับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ผ่านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย พัฒนากระบวนการบริหารแบบมีส่วนร่วม และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280676
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดอุปลักษณ์มโนทัศน์ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาที่เสริมสร้างความสามารถในการใช้ตัวแทนความคิดและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา
2025-10-13T15:31:47+07:00
ใบเงิน แพรขาว
jumbojoker12@gmail.com
วิเชียร ธำรงโสตถิสกุล
wichianth@nu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยแนวคิดอุปลักษณ์มโนทัศน์ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาที่เสริมสร้างความสามารถในการใช้ตัวแทนความคิดและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 2) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยแนวคิดอุปลักษณ์มโนทัศน์ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาที่มีต่อความสามารถในการใช้ตัวแทนความคิดและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 21 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนขยายโอกาสขนาดกลางประจำตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร โดยใช้วิธีการเลือกอย่างเจาะจง การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 3 วงจรปฏิบัติการ เวลาเรียนรวม 14 ชั่วโมง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม แบบวัดความสามารถในการใช้ตัวแทนความคิดทางคณิตศาสตร์ และแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการตรวจสอบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>แนวทางการจัดการเรียนรู้ต้องให้ความสำคัญกับ 1) การเตรียมอุปลักษณ์ต้นทางและปลายทางซึ่งปรากฏในชีวิตจริงโดยเฉพาะบริบทโรงเรียนของนักเรียน 2) การนำเสนอสถานการณ์ใกล้ตัวที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและบริบทความเป็นอยู่ของนักเรียนในชุมชนโรงเรียน 3) การเปิดกว้างให้นักเรียนใช้อุปลักษณ์เพื่อวางแผนแก้ปัญหาและนักเรียนได้แก้ปัญหาอย่างหลากหลายตามตัวแทนความคิดทางคณิตศาสตร์ที่ตนเองเลือก และ 4) การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตรวจสอบและสะท้อนผลการแก้ปัญหาโดยใช้การเปรียบเทียบผ่าน<br />อุปลักษณ์ที่หลากหลาย</li> <li>นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการใช้ตัวแทนความคิดทางคณิตศาสตร์ องค์ประกอบด้านการเลือกใช้ตัวแทนความคิดทางคณิตศาสตร์ในการสื่อความคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ทางคณิตศาสตร์ (R1) และการใช้ตัวแทนความคิดทางคณิตศาสตร์เพื่อไปแก้ปัญหา (R2) อยู่ในระดับ 3 คิดเป็น 57.1% และ 52.4% ตามลำดับ และมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับ 3 ซึ่งมีองค์ประกอบด้านความเข้าใจปัญหาได้มากที่สุด (P1) คิดเป็น 57.1% รองลงมา คือ การเลือกกลวิธีในการแก้ปัญหา (P2) 47.6% การใช้กลวิธีการแก้ปัญหา (P3) 47.6% และสรุปคำตอบ (P4) 38.1% ตามลำดับ</li> </ol>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282462
กลยุทธ์การขับเคลื่อนการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศโดยใช้ปัญจภาคีเป็นฐาน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม
2025-10-07T21:26:01+07:00
ปรัชญา ตะภา
phaitoonsri2512@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศโดยใช้ปัญจภาคีเป็นฐาน ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม 2) พัฒนากลยุทธ์ในการขับเคลื่อนสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศโดยใช้ปัญจภาคีเป็นฐาน และ 3) ประเมินผลกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้น การวิจัยใช้การวิเคราะห์เอกสารและเก็บข้อมูลจากผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 100 คน โดยใช้แบบสอบถาม จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วย SWOT เพื่อจัดทำร่างกลยุทธ์ โดยมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 13 คน การตรวจสอบร่างกลยุทธ์ดำเนินการผ่านการสัมมนาเชิงผู้เชี่ยวชาญ กับผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 คน และนำกลยุทธ์ไปทดลองใช้ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่นเพื่อยืนยันกลยุทธ์ สุดท้ายได้มีการประเมินกลยุทธ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 23 คน ในด้านความเหมาะสม ประโยชน์ และความเป็นไปได้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การบริหารสถานศึกษามุ่งเน้นใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้และสิ่งแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาศักยภาพผู้เรียน การสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการ และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีระดับการดำเนินงานมากกว่า 86% ทุกด้าน มีกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นรวม 13 <br />กลยุทธ์ การทดลองใช้พบว่าความสำเร็จอยู่ในระดับสูง และความพึงพอใจของผู้มีส่วนร่วมอยู่ในระดับสูงที่สุด กลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ในส่วน การประเมินกลยุทธ์พบว่ามีความสอดคล้องและเป็นประโยชน์ในระดับสูงที่สุด และมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับสูง กลยุทธ์ตามแนวทางปัญจภาคีจึงมีประสิทธิภาพในการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศในด้านอาชีวศึกษาเกษตร</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281384
การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของความสำเร็จในวิชาชีพครู โดยมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การรับรู้ความสามารถของตนเองในวิชาชีพ และความผูกพันในวิชาชีพเป็นตัวแปรส่งผ่าน
2025-10-17T13:28:05+07:00
ปัณณ์นารา พุทธเศรษฐ์สิริ
p.pannara2022@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบระดับความสำเร็จในวิชาชีพครู<br />เมื่อจำแนกตามภูมิหลัง 2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความตรงของโมเดลเชิงสาเหตุของความสำเร็จในวิชาชีพครูที่ศึกษาเฉพาะปัจจัยด้านคุณลักษณะภายในตัวบุคคล และ 3) เพื่อวิเคราะห์ลักษณะการส่งผ่านของตัวแปร<br />แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การรับรู้ความสามารถของตนเองในวิชาชีพและความผูกพันในวิชาชีพในโมเดลเชิงสาเหตุ<br />ของความสำเร็จในวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา<br />ขั้นพื้นฐาน จำนวน 788 คน ได้มาจากการสุ่มแบบ 3 ขั้นตอน เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามสำหรับครู มีค่าความเที่ยงแบบสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราคอยู่ระหว่าง 0.649 - 0.962 และมีความตรงเชิงโครงสร้างจากผลการตรวจสอบโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ค่าสถิติเบื้องต้น การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) การวิเคราะห์คำสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์โมเดลสสมการโครงสร้างโดยใช้โปรแกรม LISREL 8.72 ผลการวิจัย พบว่า 1) ครูมีความสำเร็จในวิชาชีพในระดับสูง (x̄ = 4.05 S.D. = 0.50) เมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จในวิชาชีพจำแนกตามภูมิหลัง พบว่า ครูที่เพศต่างกัน ระดับชั้นที่สอนต่างกันและกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างกันประสบความสำเร็จในวิชาชีพครูไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อจำแนกตามอายุ สถานภาพสมรส ประสบการณ์การทำงาน ระดับการศึกษาและระดับวิทยฐานะพบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญสำคัญทางสถิติ 2) โมเดลเชิงสาเหตุของความสำเร็จในวิชาชีพที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การรับรู้ความสามารถของตนเองในวิชาชีพและความผูกพันในวิชาชีพเป็นตัวแปรส่งผ่านที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์และตัวแปร่ในโนโมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในวิชาชีพได้ร้อยละ 67.70 และ 3) ตัวแปรจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การรับรู้ความสามารถของตนในวิชาชีพและความผูกผันในวิชาชีพมีบทบาท ส่งผ่านแบบสมบูรณ์ จากตัวแปรบุคลิกภาพ 5 องค์ประกอบ ไปยังความสำเร็จในวิชาชีพครูและตัวแปรความผูกพันในวิชาชีพมีบทบาทการส่งผ่านแบบบางส่วน จากตัวแปรการรับรู้ความสามารถของตนเองในวิชาชีพไปยังตัวแปรความสำเร็จในวิชาชีพ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281848
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและทัศนคติต่อพฤติกรรม และการตัดสินใจซื้อสินค้าตามกระแสนิยมผ่านช่องทางออนไลน์
2025-10-18T21:45:15+07:00
เปมิกา แก้วประชุม
6480141110@pkru.ac.th
ศิรวิทย์ ศิริรักษ์
sirawit.s@pkru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดดิจิทัลและปัจจัยทัศนคติในการซื้อที่มีอิทธิพลต่อปัจจัยการตัดสินใจซื้อสินค้าและเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดดิจิทัลและปัจจัยทัศนคติในการซื้อที่มีอิทธิพลต่อปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อสินค้าตามกระแสนิยมผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดส่วนประสมการตลาดดิจิทัล ทัศนคติ พฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อสินค้าตามกระแสนิยม เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตและเคยซื้อสินค้าตามกระแสนิยมผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศไทย จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติบรรรยายและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและทัศนคติมีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ</li> <li>ส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและทัศนคติมีความสัมพันธ์ต่อปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และสามารถนำไปปรับใช้ในการวางกลยุทธการตลาดดิจิทัลรวมทั้งเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการแบบดั้งเดิมหรือผู้ประกอบการที่ต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจมาสู่ตลาดพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์นำไปพัฒนากลยุทธ์ และประยุกต์ใช้ให้ตรงกับบริบทของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282966
ปัญหาการประกาศกำหนดเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. 2553
2025-10-16T21:16:08+07:00
พัชรวัฒน์ ภัทรภูมิชัย
robintock@hotmail.com
ศศิร์อร อินโต
robintock@hotmail.com
<p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัญหาการประกาศกำหนดเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ. 2553 (2) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาการประกาศกำหนดเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติต่ออากาศยานที่กระทำผิดกฎหมาย พ.ศ.2553 (3) เพื่อนำผลการวิเคราะห์มาสรุป อภิปราย และเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาจากเอกสารอ้างอิงที่สำคัญและบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงเอกสาร (Document Content Analysis) โดยจำแนกประเด็นตามขั้นตอนการประกาศเขตแสดงตน หน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความชัดเจนของกฎหมาย และผลกระทบต่อการป้องกันภัยทางอากาศ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัญหาจากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ผ่านมารวม 6 สมัย ไม่ร่วมกันประกาศกำหนดเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศในราชกิจจานุเบกษาพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 6 ส่งผลกระทบต่อการรักษาอำนาจอธิปไตย ความมั่นคงและความปลอดภัยของรัฐถูกละเลย ยังผลอธิปไตยถูกละเมิดศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของความเป็นราชอาณาจักรไทย (2) ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ในระบบการตรวจและพิสูจน์ฝ่ายตามมาตรา 7 และมาตรา 9 ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารดังกล่าวขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ละเว้นและละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ระดับสูงสุดที่มีอำนาจในการบัญชาการและควบคุมการปฏิบัติจนถึงระดับผู้ปฏิบัติของทั้ง 3 หน่วย 3 เหล่าทัพและหน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ดังที่ได้กล่าว (3) ปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนราชอาณาจักรไทย (3.1) ผลกระทบจากการรุกล้ำในการรักษาอำนาจอธิปไตยทางภาคพื้นดิน (3.2) ผลกระทบจาการรุกล้ำในการรักษาอำนาจอธิปไตยทางภาคอากาศ (3.3) ผลกระทบจาการรุกล้ำในการรักษาอำนาจอธิปไตยทางภาคทะเล</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283960
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความภักดี ของร้านค้าปลีกในตัวแทนจำหน่ายสินค้า FMCG ประเภทสุขภาพและความงาม แห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี
2025-10-18T18:57:15+07:00
พิศมัย บอนไธสง
pissamai.b@ku.th
ฐิติมา ไชยะกุล
Thitima.c@ku.th
<p>การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ระดับปัจจัยคุณภาพการบริการ 2) ศึกษาอิทธิพลปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ที่ส่งผลต่อระดับความภักดีของร้านค้าปลีก 3) ศึกษาอิทธิพลทางด้านคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อระดับความภักดีของร้านค้าปลีก ในตัวแทนจำหน่ายสินค้า FMCG ประเภทสุขภาพและความงามแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างร้านค้าปลีกจำนวน 346 ร้านค้า โดยเลือกวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยคัดเลือกประชากรตัวอย่างออกเป็นอำเภอตามสัดส่วนอย่างเท่าเทียม และทำการสุ่มเลือกในตามรายชื่อของแหล่งข้อมูลให้ครบจำนวนโควต้าที่ได้แบ่งไว้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน(Pearson Correlation) และใช้สมการพยากรณ์โดยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ(Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1.ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และปัจจัยคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อความภักดีของร้านค้าปลีกในตัวแทนจำหน่ายสินค้า FMCG ประเภทสุขภาพและความงามแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 2.ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความภักดีของร้านค้าปลีกใน ได้แก่ ด้านส่งเสริมการตลาด ผลิตภัณฑ์ และราคา แต่ในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายไม่ได้มีอิทธิพลต่อความภักดีของร้านค้าปลีกในตัวแทนจำหน่ายประเภทสุขภาพและความงามแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี 3.ปัจจัยคุณภาพการบริการมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความภักดีของร้านค้าปลีกในตัวแทนจำหน่ายประเภทสุขภาพและความงามแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ ด้านความเป็นรูปธรรมการบริการ การสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการ ความน่าเชื่อถือการบริการ และการเอาใจใส่ลูกค้า มีอิทธิพลต่อความภักดีของร้านค้าปลีกในตัวแทนจำหน่ายสินค้า FMCG ประเภทสุขภาพและความงามแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01</p> <p>การวิจัยในครั้งนี้ตัวแทนจำหน่าย บริษัท หรือผู้ที่มีความสนใจสามารถนำผลการวิจัยไปปรับปรุง พัฒนาแนวทาง แผนการดำเนินงานทางด้านส่วนประสมการตลาด และคุณภาพการให้บริการแก่ร้านค้าปลีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนการตอบสนองความต้องการทางด้านพฤติกรรม และด้านทัศนคติให้ร้านค้าปลีกจนเกิดความพึงพอใจสูงสุด สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันในอุตสาหกรรม และเกิดเป็นความภักดีในระยะยาว</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282278
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้
2025-10-25T12:11:36+07:00
เพียงหทัย แก้วดวงงาม
pianghathaik@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาขนาดอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กับข้อมูลเชิงประจักษ์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดเรื่องการคงอยู่ ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย การบูรณาการทางวิชาการและสังคม การรับรู้ความสามารถของตน และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมเป็นกรอบในการวิเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 387 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษา ได้แก่ พฤติกรรมการมีส่วนร่วม ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย และการบูรณาการทางสังคม โดยพฤติกรรมการมีส่วนร่วมมีอิทธิพลทางตรงสูงสุดต่อการคงอยู่ ขณะที่การรับรู้ความสามารถของตนส่งผลทางอ้อมทั้งบวกและลบ 2) ขนาดอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้พบว่า ปัจจัยพฤติกรรมการมีส่วนร่วมมีอิทธิพลทางตรงต่อการคงอยู่ของนักศึกษามากที่สุด (β = .615) รองลงมาคือความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย (β = .131) ในขณะที่ปัจจัยการรับรู้ความสามารถของตนและการบูรณาการทางวิชาการมีอิทธิพลทางลบ 3) โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก (χ² = = 21.027, df = 16, p-value = 0.176 , CFI = 1.000, TLI=0.999, RMSEA = 0.995, SRMR = 0.013) โมเดลมีความสอดคล้องข้อมูลเชิงประจักษ์ องค์ความรู้จากการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบายหรือแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการคงอยู่ของนักศึกษาในบริบทของการจัดการศึกษาสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/277846
การพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมอาชีพบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อยกระดับรายได้ผู้สูงอายุตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
2025-10-23T21:33:24+07:00
เอกพล วงศ์เสรี
ekkaphon.w@pkru.ac.th
เฉลิมพร วรพันธกิจ
ekkakphon.w@pkru.ac.th
กมลวรรณ กิตติอุดมรัตน์
ekkakphon.w@pkru.ac.th
พรรณวดี กิตติอุดมรัตน์
ekkakphon.w@pkru.ac.th
วนิดา หาญเจริญ
ekkakphon.w@pkru.ac.th
ฮาริส อันนันหนับ
ekkakphon.w@pkru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมอาชีพบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีใช้แนวคิดการวิจัยประเมินความต้องการจำเป็นเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในตำบลศรีสุนทร จำนวน 384 คน และลูกค้าที่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของผู้สูงอายุตำบลศรีสุนทร จำนวน 384 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบชั้นภูมิ ผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ จำนวน 14 คน และสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าดัชนีจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็น (PNI modified) ในกรณีการวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ทำการตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้สูงอายุตำบลศรีสุนทรกับลูกค้าให้ความเห็นเกี่ยวกับสภาพที่เป็นจริง และสภาพที่ควรจะเป็นในการพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมอาชีพบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสภาพที่เป็นจริงให้ความเห็นแตกต่างกันในด้านกระบวนการส่งเสริมอาชีพมากที่สุด ส่วนสภาพที่ควรจะเป็นให้ความเห็นแตกต่างกันในด้านทักษะของผู้ประกอบการมากที่สุด ผลการศึกษาประเมินความต้องการจำเป็น พบว่า ค่า PNI Modified เท่ากับ 0.28 เมื่อพิจารณารายข้อมีค่า PNI Modified เท่ากับ 0.30 จำนวน 3 รายการ ได้แก่ กลุ่มทักษะการเป็นผู้ประกอบการ กลุ่มทักษะการบริหารจัดการ และการส่งเสริมการรวมกลุ่มอาชีพเพื่อสร้างความเข้มแข็ง 2) แนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการ และส่งเสริมอาชีพบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อยกระดับรายได้ผู้สูงอายุตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ควรฝึกอบรมทักษะการเป็นผู้ประกอบการ และทักษะใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามความถนัดและสนใจของผู้สูงอายุ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาด รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และส่งเสริมการรวมกลุ่มอาชีพที่เข้มแข็ง ด้วยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคีเครือข่ายผู้สูงอายุ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280565
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1
2025-10-23T23:37:31+07:00
ไฟซอล ตาปู
faisol.qsp@gmail.com
จรุณี เก้าเอี้ยน
jarunee.k@yru.ac.th
พิมพ์ปวีณ์ สุวรรณโณ
phimpawee.s@yru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลและประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลและประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าบริหารงานวิชาการ และข้าราชการครู จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ 4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 334 คน จำแนกเป็นกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 75 คน หัวหน้าบริหารงานวิชาการ จำนวน 75 คน และข้าราชการครู จำนวน 184 คน จาก 75 โรงเรียน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน F – test Pearson correlation Stepwise Multiple Regression analysis</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลและประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ในภาพรวมและทุกด้านไม่แตกต่างกันส่วนประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาพบว่า ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน<br />มีความแตกต่างกัน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำ (r = 0.285) 4) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ได้แก่ ด้านการสร้างเครือข่ายดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์เท่ากับ 0.289</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ผู้บริหารต้องสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงเครือข่ายการเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280544
โปรแกรมเสริมสร้างความตระหนักรู้ในตนเองของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
2025-10-23T23:40:21+07:00
คุณากร ปกป้อง
datasoy1995@gmail.com
จุลดิศ คัญทัพ
dataskedu@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความตระหนักรู้ในตนเองของครู 2) ระดับกิจกรรมพัฒนาครู 3) ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมพัฒนาครูกับความตระหนักรู้ในตนเองของครู และ 4) ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความตระหนักรู้ในตนเองของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู จำนวน 356 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับความตระหนักรู้ในตนเองของครู ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ 1) ด้านการรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง 2) ด้านการประเมินตนเอง 3) ด้านแรงจูงใจในตนเอง และ 4) ด้านความตระหนักรู้ในตนเองจากภายนอก</li> <li>ระดับกิจกรรมพัฒนาครู ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ 1) การพัฒนาผ่านประสบการณ์จริง 2) การพัฒนาผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3) การพัฒนาตนเอง และ 4) การพัฒนาผ่านการอบรม</li> <li>กิจกรรมพัฒนาครูมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับค่อนข้างสูงกับความตระหนักรู้ในตนเองของครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>โปรแกรมเสริมสร้างความตระหนักรู้ในตนเองของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 มี 4 องค์ประกอบ และการพัฒนาโปรแกรมเป็นวงจรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3 ขั้นตอน</li> </ol>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280396
Development of Self-management Model of Advanced Choir Training Program for Students Willing to be a High School Music Teacher in Wuhan, China
2025-10-23T23:52:09+07:00
Yi Kai
yeekai31@gmail.com
Nipaporn Khamcharoen
yeekai31@gmail.com
<p>This study aimed to develop and validate a self-management model for advanced choir training programs for high school music teacher preparatory students in Wuhan, China. The research addressed existing challenges in choir education, such as the emphasis on technical skills over self-directed learning and the limited diversity in teaching governance systems. Grounded in self-management theory and the framework of advanced choir projects, the study integrated literature analysis, questionnaire surveys, expert consultations, and satisfaction evaluations to construct and verify the proposed model.</p> <p>The findings revealed that (1) Students aspiring to become high school music teachers in Wuhan possessed a relatively high level of self-management knowledge and skills <br />( = 3.54), yet expressed even higher expectations for improvement ( = 3.82), demonstrating the perceived importance of this competence. (2) The developed advanced choir self-management training program, based on six expert-approved core dimensions and the Taba curriculum model, achieved a high content validity index (IOC = 0.99), indicating strong reliability, clear objectives, and effective assessment standards. (3) Implementation of the program significantly enhanced participants’ self-management abilities, with post-test scores ( = 26.27) showing a statistically significant improvement over pre-test scores ( = 14.87, <br />p < 0.01). The effect was reinforced by hierarchical task design and dynamic feedback mechanisms. (4) Trainee satisfaction was extremely high ( = 4.57), particularly regarding training outcomes and organizational management ( = 4.62). Although satisfaction with self-management skill development was slightly lower ( = 4.49), responses remained highly positive and consistent (S.D. = 0.61). Overall, this research established a validated self-management model for advanced choir training that not only strengthens music teacher preparation in Wuhan but also offers a practical and replicable framework for advancing regional aesthetic education reform.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280386
ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตรและความสุข ในที่ทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1
2025-10-23T23:54:48+07:00
ศศิวิมล ศาลางาม
jahsasiwimol@gmail.com
จุลดิศ คัญทัพ
jahsasiwimol@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตร 2) ระดับความสุขในที่ทำงานของครู 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตรกับความสุขใน ที่ทำงานของครู และ 4) นำเสนอแนวทางการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตรเพื่อเสริมสร้างความสุข ในที่ทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู จำนวน 358 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามค่าเฉลี่ย จากมากไปน้อย ได้แก่ 1) ด้านความน่าเชื่อถือ 2) ด้านความเปิดกว้าง 3) ด้านการสื่อสารสองทาง 4) ด้านการสื่อสารแนวนอน 5) ด้านความสัมพันธ์ 6) ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน และ 7) ด้านความไว้วางใจ</li> <li>ระดับความสุขในที่ทำงานของครู ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ 1) ด้านสุขภาพกาย 2) ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม 3) ด้านสภาพแวดล้อม และ 4) ด้านสุขภาพจิต</li> <li>การสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตรมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับค่อนข้างสูงกับความสุขในที่ทำงานของครู ( r = .890 ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>แนวทางการสื่อสารภายในสถานศึกษาอย่างสมมาตรเพื่อเสริมสร้างความสุขในที่ทำงานของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ประกอบด้วย 7 ด้าน 21 แนวทาง</li> </ol>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280379
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบไมโครเลิร์นนิงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนสื่อสารสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
2025-10-23T23:57:44+07:00
วารุณี บุญชู
vboonchoo@gmail.com
ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์
vboonchoo@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ<br />ไมโครเลิร์นนิงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์เพื่อเสริมทักษะการเขียนสื่อสาร 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) รับรองรูปแบบที่พัฒนา สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา<br />กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของโรงเรียนนวมินทราชูทิศมัชฌิม จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 30 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบทักษะการเขียนสื่อสาร และแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบไมโครเลิร์นนิงร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ (1) ปัจจัยนำเข้า (Input) (2) หลักการของรูปแบบ (3) วัตถุประสงค์ <br />(4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ เตรียมความพร้อม นำเสนอเนื้อหา ฝึกปฏิบัติ สะท้อนคิด และประเมินผล รวมถึง (5) เครื่องมือและสื่อการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล 2) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก 3) ผลการทดลองใช้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการเขียนสื่อสารของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการรับรองรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่ารูปแบบมีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280188
การประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี สายปฏิบัติการตามนโยบายการขับเคลื่อนกำลังคนสมรรถนะสูงของสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1
2025-10-24T00:05:27+07:00
วีระยุทธ สุดสมบูรณ์
weerayute_sud@nstru.ac.th
ตะวัน เพชรอาวุธ
weerayute_sud@nstru.ac.th
<p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีสายปฏิบัติการตามนโยบายการขับเคลื่อนกำลังคนสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหาร และอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรระดับปริญญาตรีเทคโนโลยีบัณฑิต (ต่อเนื่อง) ในสาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคการศึกษาที่ 1/2567 จำนวน 130 คน วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้การเลือกแบบแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าระดับความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เมทริกซ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีสายปฏิบัติการตามนโยบายการขับเคลื่อนกำลังคนสมรรถนะสูงของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านอาจารย์ผู้สอน (PNI_mod = 0.226) ด้านความร่วมมือกับสถานประกอบการ (PNI_mod = 0.210) และด้านผู้เรียน (PNI_mod = 0.179) ตามลำดับ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279579
อิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ในองค์การมหาชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออก
2025-10-23T11:01:49+07:00
ธรรม์ ธรรมสวยดี
thun.tha@ku.th
ถิตรัตน์ พิมพาภรณ์
Thun.tha@ku.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในองค์การมหาชนแห่งหนึ่ง 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของความผูกพันต่อองค์กร ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในองค์การมหาชนแห่งหนึ่ง และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในองค์การมหาชนแห่งหนึ่ง โดยมีรูปแบบการวิจัยเป็นเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ บุคลากรในองค์การมหาชนแห่งหนึ่ง จำนวน 109 คน และใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถามในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณและสถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพแวดล้อมในการทำงาน มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในระดับร้อยละ 61 (R = .610, R² = .372) และมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยด้านองค์การและการจัดการมีอิทธิพลมากที่สุด (β = .335) 2.ความผูกพันต่อองค์กร มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานในระดับร้อยละ 62.4 (R = .624, R² = .389) โดยด้านจิตใจมีอิทธิพลสูงสุด (β = .359) 3.ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานในระดับร้อยละ 45.5 (R = .445, R² = .198) โดยความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานด้านการมีส่วนร่วมในงานและการใช้ชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด (β = .288) </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279578
การศึกษาสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนตามความต้องการของสถานประกอบการ
2025-10-24T00:19:42+07:00
ศิริพงศ์ ฟองสันเทียะ
siripong1128@gmail.com
สยาม แกมขุนทด
siripong1491.2@gmail.com
ชัยวิชิต เชียรชนะ
siripong1491.2@gmail.com
เมธา อึ่งทอง
siripong1491.2@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนตามความต้องการของสถานประกอบการ และ 2) ศึกษาสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนตามความต้องการของสถานประกอบการ โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Method) ใช้แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะทางวิชาชีพ และมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ประเภทวิชาอุตสาหกรรม กลุ่มอาชีพพลังงานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาไฟฟ้าเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ สถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออก โดยสถานประกอบการนั้น ต้องมีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลการทำความร่วมมือกับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และรับนักเรียนนักศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเข้าฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพหรือการฝึกอาชีพ แหล่งข้อมูลที่ค้นคว้า ได้แก่ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะวิชาชีพ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาอาชีวศึกษา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือตัวแทนสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออก จำนวน 5 แห่ง ๆ ละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 15 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกเอกสาร และแบบสอบถาม การศึกษาเอกสารทางวิชาการใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการศึกษาสมรรถนะ ทางวิชาชีพของผู้เรียน ตามความต้องการของสถานประกอบการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัย มีดังนี้</p> <ol> <li>การศึกษาเอกสารเกี่ยวกับสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนตามความต้องการของสถานประกอบการ ผู้วิจัยดำเนินการศึกษาศึกษาจากเอกสาร ตำรา และแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ จำนวน 5 เรื่อง พบว่า สมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนที่จำเป็นต่อผู้เรียนในสายอาชีวศึกษา มี 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และคุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม ด้านสมรรถนะแกนกลาง ด้านสมรรถนะวิชาชีพ (วิชาชีพพื้นฐาน) และด้านสมรรถนะทางวิชาชีพ (วิชาชีพเฉพาะ)</li> <li>สมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนที่ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ โดยคัดเลือกสมรรถนะที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดของแต่ละด้าน จำนวน 4 ด้าน ประกอบด้วย 4 สมรรถนะ ได้แก่ 1) ความมีวินัย 2) หลักการดำรงตนการปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมและการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ 3) หลักการด้านความปลอดภัยและข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการงานอาชีพ และ 4) ทักษะการออกแบบ ติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าสื่อสารทั้งภายใน และภายนอกอาคาร</li> </ol>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284133
บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ในการกำหนดทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตเมือง: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
2025-10-24T14:11:55+07:00
ธนัท การพานิช
tanatyouforwork@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานและกลยุทธ์การสื่อสารของกลุ่มผลประโยชน์ที่ใช้สื่อดิจิทัลเป็นช่องทางหลักในการสร้างอิทธิพลทางการเมืองต่อกลุ่มนักศึกษาในเขตเมือง ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่ากลุ่มผลประโยชน์ใช้กลยุทธ์การสื่อสารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Communication)<br /> และการสื่อสารเชิงโน้มน้าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอุดมการณ์และกระตุ้นให้เกิดการแสดงออกทางการเมือง ในด้านความสัมพันธ์เชิงสถิติ ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าระดับการรับรู้บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับระดับของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยนักศึกษาที่มีการรับรู้สูงมักแสดงพฤติกรรมทางการเมืองในเชิงรุกมากกว่า</p> <p>นอกจากนี้ งานวิจัยได้พัฒนาโมเดลเชิงแนวคิดที่อธิบายกลไกของการรับรู้ กลยุทธ์การสื่อสาร และทัศนคติทางการเมืองที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในบริบทสื่อดิจิทัล โดยโมเดลนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการไหลของอิทธิพลจากการสื่อสารของกลุ่มผลประโยชน์ ไปสู่การรับรู้ ความเชื่อ และการตัดสินใจทางการเมืองของนักศึกษา ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัลต่อไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280408
Development of Strategic Management Model for Effective Procurement Internal Control of Hubei Engineering University, China
2025-10-24T14:08:19+07:00
Ai Mingxing
aiming652@gmail.com
Saichol Jinjo
aiming652@gmail.com
Nithipattara Balsiri
aiming652@gmail.com
<p>This research aimed to 1) Investigate the problems and needs of Hubei Engineering University instructors and managers for effective procurement internal control. 2) Construct a strategic management model for effective procurement internal control of Hubei Engineering University based on the PDCA cycle. 3) Evaluate the effectiveness of the strategic management model for effective procurement internal control of Hubei Engineering University based on the PDCA cycle. This study selected 284 faculty members and 179 administrative staff of Hubei Engineering University using the Yamane (1967)’s formula. The research tools used in this study are questionnaire survey and interview methods, and both the questionnaire and the interview contain 55 questions. A five-point scale is used to evaluate the problems and needs of effective procurement internal control of Hubei Engineering University. Subsequently, this study uses questionnaire survey and interview methods to survey 284 teachers and 179 administrative staff of Hubei Engineering University as samples. The questionnaire was verified by 5 experts, using the PDCA management model, and setting four dimensions of planning, execution, inspection, and action. The collected data and information were analyzed and interpreted using SPSS software and presented in the form of frequency, percentage, mean, and standard deviation.</p> <p>Research has found that 1) The demand for effective procurement control is high (mean = 3.93). The PDCA "execution" and "action" stages are considered the most critical, with high expectations (mean = 4.28). The focus is on improving communication, transparency and stakeholder participation. 2) A strategic model for improving procurement internal control based on PDCA is proposed, emphasizing communication, training and stakeholder participation. The study emphasizes combining procurement with strategic goals to ensure the participation of relevant departments. Although the current control measures are positive, there is still room for improvement, especially in communication and transparency. In order to effectively optimize the internal control of procurement at Hubei Engineering University, this paper suggests that it is necessary to further clarify the responsibilities of the procurement entity, establish an internal control system guided by budget performance goals, strengthen procurement process management, optimize procurement decision-making mechanisms, clarify job responsibilities, strengthen internal audit supervision, and give play to the role of government procurement policies, such as supporting scientific and technological innovation and green development.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279598
โมเดลการธำรงรักษาบุคลากรของคลินิกเวชกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-10-24T14:02:19+07:00
ปรารถนา เกตุนุต
dr.cottonwoolcam@gmail.com
จิรชยุตม์ วิโรจน์ชีวัน
Prattana_ketnut@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านจิตใจ ปัจจัยด้านการบริหาร วัฒนธรรมองค์กร ความพึงพอใจในงาน ของพนักงานคลินิกเวชกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสร้างระหว่างปัจจัยด้านจิตใจ ปัจจัยด้านการบริหาร วัฒนธรรมองค์กร ความพึงพอใจในงาน ของพนักงานคลินิกเวชกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านจิตใจ ปัจจัยด้านการบริหาร วัฒนธรรมองค์กร ความพึงพอใจในงาน มีผลต่อการธำรงรักษาบุคลากรของคลินิกเวชกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร และ 4) เพื่อศึกษาและนำเสนอแนวทางการพัฒนาโมเดลการธำรงรักษาบุคลากรให้อยู่ในองค์กรได้อย่างยาวนานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มพนักงานคลินิกเวชกรรมในกรุงเทพมหานคร ช่วงอายุ 25-45 ปี ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 380 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้บริหารหรือแพทย์ ซึ่งเป็นเจ้าของคลินิกความงาม จำนวน 12 คน โดยผู้วิจัยใช้วิธีเลือกตัวอย่างแบบจงใจ และใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่าแบบจำลองสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่า Chi-square = 240.778, df = 131, p-value = 0.765, CFI = 0.864, GFI = 0.862, AGFI = 0.855, RMSEA = 0.044 และ RMR = 0.047 โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความผูกพันของพนักงานคลินิกเวชกรรมในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ได้แก่ ปัจจัยด้านจิตใจ ปัจจัยด้านการบริหาร ปัจจัยด้านวัฒนธรรมองค์กร และปัจจัยด้านความพึงพอใจในงาน และพบว่าประเด็นสำคัญในการธำรงรักษาบุคลากร ได้แก่ การส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นมิตร สร้างเส้นความก้าวหน้าในอาชีพ การดูแลสุขภาพและความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว การยกย่องและตอบแทนพนักงาน และการส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280168
การพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-10-24T13:55:16+07:00
วิบูลย์ เอกพิริยไพบูลย์
cloud.wiboon@gmail.com
วิชัย นภาพงศ์
6320121508@psu.ac.th
จิระวัฒน์ ตันสกุล
6320121508@psu.ac.th
ชไมพร อินทร์แก้ว
6320121508@psu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้<br />ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อเปรียบเทียบความฉลาดทางดิจิทัล หลังการใช้บอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของกลุ่มทดลอง 3) เพื่อเปรียบเทียบความฉลาดทางดิจิทัล ของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในเครือข่ายสถานศึกษานวมิตร อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 3 ที่ได้เรียนในรายวิชาเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) พบว่าได้แก่ โรงเรียนบ้านกระอาน จำนวน 23 คน และโรงเรียนชุมชนนิคมสร้างตนเองเทพา จำนวน 23 คน โดยเครื่องมือที่่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) บอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล <br />2) แผนการจัดการเรียนรู้ สำหรับกลุ่มทดลอง 3) แผนการจัดการเรียนรู้ สำหรับกลุ่มควบคุม 4) แบบวัดความฉลาดทางดิจิทัล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติทดสอบ t (dependent sample t-test) และ t (Independent sample t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <em> </em>=<em> 4.</em>56<em> , S.D. =</em>0.5<em>4</em>) 2) ผลเปรียบเทียบความฉลาดทางดิจิทัล หลังการใช้บอร์ดเกมการเรียนรู้ <br />ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของกลุ่มทดลอง ผลการศึกษาพบว่าความฉลาดทางดิจิทัล หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยด้วยบอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ3) ผลการเปรียบเทียบความฉลาดทางดิจิทัล ของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเกมเพื่อการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความฉลาดทางดิจิทัลหลังเรียนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .01</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280160
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
2025-10-24T13:52:41+07:00
กาญจนา สภาภักตร์
kanchana0932139755@gmail.com
นงลักษณ์ ใจฉลาด
kanchana0932139755@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมและแนวทางการพัฒนาเภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา ประชากร ได้แก่ สถานศึกษา จำนวน 112 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษา จำนวน โรงเรียน 86 แห่ง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าวิชาการ และครู รวมทั้งสิ้น 258 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึก และแบบสอบถามที่มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา มี 6 ด้าน ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง 2) การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม 3) การสร้างบรรยากาศองค์กรนวัตกรรม 4) การบริหารความเสี่ยง 5) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ 6) ความคิดสร้างสรรค์ 2. ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมสู่องค์กรคุณภาพของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ตรวจสอบร่างรูปแบบและคู่มือ จำนวน 9 คน พบว่ามีความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมาก ส่วนความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด และความเหมาะสมของคู่มืออยู่ในระดับมาก ประเมินรูปแบบและคู่มือโดยใช้แบบสอบถาม ผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของคู่มือ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280137
การรับรู้คุณค่า การรับรู้คุณภาพและคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ ที่จะเช่าของผู้ที่ทำงานและพักอาศัยย่านงามวงศ์วาน ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์
2025-10-24T13:35:23+07:00
ภสุ อนันตวาณิชธนะ
bhasu.anandha@gmail.com
ทองฟู ศิริวงศ์
bhasu.anandha@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของผู้เช่าที่พักและสถานที่ทำงานในย่านงามวงศ์วาน โดยมุ่งเน้นการศึกษาการรับรู้คุณค่า การรับรู้คุณภาพ และคุณภาพการให้บริการของผู้ให้เช่าในด้านต่าง ๆ เช่น สภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก การดูแลรักษา และการตอบสนองต่อปัญหา ทั้งนี้เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดังกล่าวกับระดับความพึงพอใจของผู้เช่าที่แตกต่างกันไปตามลักษณะประชากรศาสตร์ เช่น เพศ อายุ อาชีพ และสถานภาพทางสังคม รวมทั้งนำผลการศึกษาไปใช้พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เช่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือผู้เช่าห้องชุดในโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในเขตงามวงศ์วาน ซึ่งมีทั้งหมด 916 ยูนิต โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะ “ผู้เช่า” เท่านั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามซึ่งสร้างขึ้นจากแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล <br />การรับรู้คุณค่า คุณภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของผู้เช่า แบบสอบถามใช้รูปแบบคำถามแบบปิด และมาตราส่วนประมาณค่า เก็บข้อมูลทั้งในรูปแบบออนไลน์ และแบบกระดาษในพื้นที่อาคารชุด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-Test, One-Way ANOVA และการถดถอยพหุคูณ เพื่อทดสอบสมมติฐาน ส่วนข้อมูลปลายเปิดวิเคราะห์ด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 31–40 ปี สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีรายได้ 20,001–40,000 บาท และประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยพึงพอใจมากที่สุดในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการรับรู้คุณค่าเชิงหน้าที่และอารมณ์ โดยเฉพาะความเข้าอกเข้าใจ มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจมากที่สุด ปัจจัยด้านสถานภาพทางสังคมและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่เช่ามีผลต่อความพึงพอใจที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญและพบว่าการรับรู้คุณค่าและคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความพึงพอใจของผู้เช่า โดยตัวแปรที่สามารถอธิบายความพึงพอใจได้ดีที่สุด ได้แก่ ความเข้าใจ คุณค่าทางอารมณ์ ค่าใช้จ่าย การตอบสนอง <br />และคุณค่าทางสังคม </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282007
รูปแบบการสร้างสุขภาวะที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ ในจังหวัดชลบุรี
2025-10-20T11:06:59+07:00
แพรวา ธนะพิรุฬห์
parewa35033@gmail.com
อนุวัฒน์ จรัสรัตนไพบูลย์
anuwat-j@mju.ac.th
กอบลาภ อารีศรีสม
anuwat-j@mju.ac.th
วีณา นิลวงศ์
anuwat-j@mju.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัญหาสุขภาวะของผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรี และ 2. เพื่อเสนอรูปแบบการสร้างสุขภาวะที่ดีของผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรี ทั้งในด้าน สุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุขภาวะทางสังคม การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีหรือผู้แทน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ผู้แทนกรมกิจการผู้สูงอายุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ ประธานเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี รวม 10 คน และการสนทนากลุ่ม เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ผลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาสุขภาวะของผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ 1) ปัญหาด้านสุขภาพกาย 2) ปัญหาด้านสุขภาพจิต 3) ปัญหาด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงิน 4) ปัญหาความสัมพันธ์ทางสังคม และ 5) ปัญหาด้านการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม และ 2. รูปแบบการสร้างสุขภาวะที่ดีของผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรี ต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของพื้นที่ โดยเน้นสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม สำหรับสุขภาวะทางกาย ควรส่งเสริมการออกกำลังกายและจัดอบรมการดูแลสุขภาพ รวมถึงการบริการตรวจสุขภาพเชิงรุก การเข้าถึงบริการสุขภาพ และการใช้เทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพ ในด้านสุขภาวะทางจิต ควรส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อการสูงอายุ การจัดกลุ่มสนับสนุนทางจิตใจ และกิจกรรมนันทนาการ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการมีงานอดิเรกหรือทำงานอาสาสมัครจะช่วยเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่า ด้านสุขภาวะทางสังคม ควรส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสร้างเครือข่ายผู้สูงอายุ และการรวมกลุ่มเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความตระหนักในสังคมเกี่ยวกับคุณค่าและศักยภาพของผู้สูงอายุ การพัฒนารูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุในจังหวัดชลบุรีมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นสุขในทุกมิติ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281330
การพัฒนากลยุทธ์การตลาดอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานสำหรับผู้บริโภคสูงวัย
2025-10-19T09:33:20+07:00
ภณธกร วงศ์เจริญ
phontakorn@gmail.com
ปวิตพล ไพบูลย์
phontakorn@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพแวดล้อมภายนอก (PESTEL Analysis) รูปแบบการดำเนินชีวิต พฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ การตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานของผู้สูงวัย และส่วนประสมการตลาดเพื่อผู้บริโภค (7Cs: Consumer-Centric Marketing Mix) 2. ศึกษาความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอก (PESTEL: External Environmental Factors) รูปแบบการดำเนินชีวิต (TOL: Type of Lifestyle) ส่วนประสมการตลาดเพื่อผู้บริโภค (7Cs) พฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ (BHV: Behavior of Social Media Utilization) และพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานของผู้สูงวัย (DECI: Purchase Decision Behavior) และ 3. นำเสนอแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การตลาดอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานสำหรับผู้บริโภคสูงวัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้สูงวัยจำนวน 400 คน และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้ทรงคุณวุฒิ 12 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาหารสุขภาพ กฎหมายอาหาร โภชนาการสำหรับผู้สูงวัย และการตลาด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพพบว่า 1. ผู้สูงวัยให้ความสำคัญกับความสะดวก ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และคำแนะนำจากบุคคลใกล้ชิดมากกว่าปัจจัยด้านราคา 2. พฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์ (BHV) มีอิทธิพลทางตรงสูงสุดต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารปรุงสำเร็จ (DECI) โดยทำหน้าที่เป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างรูปแบบการดำเนินชีวิต (TOL), ปัจจัยภายนอก (PESTEL) และส่วนประสมการตลาดเพื่อผู้บริโภค (7Cs) และ 3. งานวิจัยนี้เสนอการจำแนกผู้บริโภคสูงวัยออกเป็น 4 กลุ่ม (BAHT Model) พร้อมเสนอกรอบแนวคิด BEST สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยสรุป ผลการวิจัยสามารถประยุกต์ใช้ในการวางกลยุทธ์การตลาดแบบจำเพาะกลุ่มที่เน้นการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่ยั่งยืนในสังคมผู้สูงวัย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282740
การพัฒนาคู่มือการเตรียมความพร้อมการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยาน ตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
2025-10-16T21:19:09+07:00
ภาดี ขุนนนท์
pardeekunnon@gmail.com
สามารถ สว่างแจ้ง
Pardee.kh@technic.ac.th
ชัยวิชิต เชียรชนะ
Pardee.kh@technic.ac.th
เมธา อึ่งทอง
Pardee.kh@technic.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและตรวจสอบรายการจัดการศึกษา สาขาช่างอากาศยานของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) พัฒนาและประเมินคู่มือการเตรียมความพร้อมการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือน แห่งประเทศไทย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหาร และครูจำนวน 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 18 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง 2) แบบตรวจสอบรายการและ 3) แบบประเมินความเหมาะสม การวิเคราะห์ข้อมูลคือ การสังเคราะห์เนื้อหา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานประกอบด้วย 6 ประเด็น 1) การจัดองค์กรและการดำเนินการด้านบุคลากร 2) การจัดการเรียนการสอน 3) การดำเนินการตามมาตรฐานการฝึกอบรม 4) สิ่งอํานวยความสะดวก เครื่องมือ อุปกรณ์ฝึกอบรม 5) การจัดเก็บเอกสาร 6) ระบบการจัดการคุณภาพและ ผลการตรวจสอบรายการจัดการศึกษาพบว่ามีการปฏิบัติข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยร้อยละ100</li> <li>ผลการพัฒนาคู่มือประกอบด้วย 6 บท ได้แก่ ความเป็นมา, วัตถุประสงค์, กรอบแนวคิด, มาตรฐานการเตรียมความพร้อมการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานและเกณฑ์การประเมิน, การนำไปใช้, ภาคผนวก ผลการประเมินคู่มือการจัดเตรียมความพร้อมการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> <p>สำหรับองค์ความรู้ใหม่การนำผลวิจัยไปประยุกต์ใช้นั้น สถานศึกษาอาชีวศึกษาที่จะจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย นำคู่มือเตรียมความพร้อมการจัดการศึกษาสาขาช่างอากาศยานตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนไปดำเนินการตรวจและประเมินตนเองเพื่อดูความพร้อมที่จะจัดการจัดการศึกษาเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282009
การท่องเที่ยวทางเลือกใหม่อย่างบูรณาการเพื่อความยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่
2025-10-17T12:53:29+07:00
มทินา ธนภักดิ์หิรัญ
matina35051@gmail.com
สนิท สิทธิ
snitst.rdm@gmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
snitst.rdm@gmail.com
วีณา นิลวงศ์
snitst.rdm@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ และ 2. เสนอรูปแบบการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่อย่างบูรณาการเพื่อความยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงปริมาณ คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ มกราคม-กรกฎาคม 2566 การกำหนดกลุ่มตัวอย่างใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต รวม 300 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการสัมภาษณ์เจาะลึกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ 1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้แทน 2) นายกองค์การบริหารจังหวัด หรือผู้แทน 3) ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ 4) นายกสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ 5) ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบโรงแรม จังหวัดเชียงใหม่ รวม 5 คน และการจัดสนทนากลุ่ม จำนวน 2 กลุ่ม และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก มีอิทธิพลโดยรวมต่อความยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ มากที่สุด รองลงมาคือ การสนับสนุนของภาครัฐ การมีส่วนร่วมของชุมชน และการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น ตามลำดับ และ 2. รูปแบบการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่อย่างบูรณาการเพื่อความยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ มีการพิจารณาหลายด้านเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ การพัฒนาการท่องเที่ยวควรมุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการรักษาวัฒนธรรมและสังคม การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนควรมีกระบวนการที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน การพัฒนาระบบการจัดการที่ดี และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาและการจัดการการท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวทางเลือกใหม่อย่างบูรณาการควรมีการจัดการที่ดี การส่งเสริมการมีส่วนร่วม และการพัฒนากิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้จังหวัดเชียงใหม่มีความยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282008
การอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล จังหวัดระยอง
2025-10-17T12:52:37+07:00
มยุรภัสส์ พัชรทรัพย์ไพศาล
wanwasa.wi@hotmail.com
วันวสา วิโรจนารมย์
wanwasa.wi@hotmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
wanwasa.wi@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินการการอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อมของชายฝั่งทะเลในจังหวัดระยอง การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลพื้นที่จังหวัดระยอง อายุ 18 ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 55 ปี ผู้วิจัยได้กำหนดเลือกขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการกำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่างด้วยเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต รวม 400 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา หาค่าเฉลี่ย และค่าสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเทคนิคแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล ได้รับอิทธิพลรวมจากการสนับสนุนของภาคประชาชน มากที่สุด รองลงมาคือ กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนของภาครัฐ และการบริหารจัดการของหน่วยงาน ตามลำดับ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279558
คุณภาพการบริการโลจิสติกส์ของท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ในมุมมอง ของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-10-08T15:00:35+07:00
เมธินี ศรีกาญจน์
mathinee.sru@gmail.com
อัมพวรรณ หนพระอินทร์
ampawan.nongtan@gmail.com
ธีราวรรณ จันทร์แสง
ampawan.nongtan@gmail.com
ภูเด่น แก้วภิบาล
ampawan.nongtan@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการบริการโลจิสติกส์ของท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคุณภาพการบริการโลจิสติกส์ที่มีต่อความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งใช้แนวคิดคุณภาพการบริการโลจิสติกส์<br />ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้าน คือ การดำเนินงาน ทรัพยากร ข้อมูล และการติดต่อส่วนบุคคล โดยมีกลุ่มตัวอย่าง <br />คือ ผู้ใช้บริการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ตัวแทนบริษัทนำเข้า-ส่งออก ตัวแทนขนส่งสินค้า (Shipping) ตัวแทนออกของ (Shipping Agent) และผู้ประกอบการที่ใช้บริการท่าเรือโดยตรง ที่ใช้บริการผ่าน 3 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือเอ็นพีมารีน ท่าเรือเอสที และท่าเรือสุราษฎร์พอร์ท แอนด์เทอร์มินัล จำนวน 103 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>คุณภาพการบริการโลจิสติกส์ของท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ในระดับมาก (\bar{X}=4.09, SD=0.58) โดยด้านการติดต่อส่วนบุคคลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด นี้เป็นผลการประเมินในมุมมองของกลุ่มผู้ใช้บริการโดยตรง (The Users/Customers) เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า (\bar{X} =4.15, SD=0.61) รองลงมา คือ ด้านการดำเนินงาน (\bar{X} = 4.11, SD=0.64) ส่วนด้านทรัพยากรและด้านข้อมูลมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน (\bar{X}=4.06) โดยมี SD 0.59 และ 0.64 ตามลำดับ</li> <li>คุณภาพการบริการโลจิสติกส์ทั้ง 4 ด้าน มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยด้านคุณภาพการดำเนินงานมีอิทธิพลมากที่สุด (β = 0.421) รองลงมา คือ ด้านคุณภาพข้อมูล (β = 0.319) ด้านคุณภาพทรัพยากร (β = 0.146) และด้านคุณภาพการติดต่อส่วนบุคคล (β = 0.143) นอกจากนี้ ความพึงพอใจของลูกค้ามีอิทธิพลเชิงบวกต่อความภักดีของลูกค้าท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ (β = 0.776) โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนของความภักดีได้ร้อยละ 60.2</li> </ol> <p>องค์ความรู้ใหม่ คือ โมเดลความสัมพันธ์เชิงอิทธิพลที่พิสูจน์แล้วว่าคุณภาพการดำเนินงาน (Operation Quality) เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจสูงสุด (β = 0.421) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนความภักดีของลูกค้าท่าเรือ (อธิบายความแปรปรวน 60.2%) ดังนั้น การพัฒนาท่าเรือควรเน้นการลงทุนในด้านการดำเนินงานและคุณภาพข้อมูลเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281688
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การละเล่นพื้นบ้านไทย เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนประถมศึกษา
2025-10-25T10:44:54+07:00
รัฐศาสตร์ คำผุย
chuprathasat@gmail.com
ฤดีรัตน์ ชุษณะโชติ
chuprathasat@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้ผ่านการเล่นและการละเล่นพื้นบ้านไทย เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับประถมศึกษา และ 2) ศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของชุดกิจกรรมดังกล่าวต่อความสามารถด้านศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยเปรียบเทียบผลก่อนและหลังเรียน และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนต่อชุดกิจกรรม กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน 35 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ (2) แบบวัดความสามารถด้านศัพท์ (3) แบบบันทึกการเรียนรู้ และ (4) แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นของนักเรียน ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า (Dependent t-test) ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียน (M = 22.80, SD = 3.56) สูงกว่าก่อนเรียน (M = 15.26, SD = 3.78) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t(34) = 10.62, p < .001, Cohen’s d = 1.80) 2) นักเรียนมีพัฒนาการด้านความรู้และการใช้ศัพท์ชัดเจน สามารถสะกด ออกเสียง และใช้คำศัพท์ในประโยคได้ถูกต้องมากขึ้น 3) นักเรียนมีทัศนคติในระดับสูง รู้สึกสนุก ไม่เบื่อหน่าย และเห็นว่าชุดกิจกรรมช่วยให้จดจำศัพท์ได้ง่าย เป็นธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281621
การพัฒนาธุรกิจการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวในประเทศไทย
2025-10-25T10:43:37+07:00
รัตนา ชื่นเลิศสกุล
rchuenlertsakul@gmail.com
ปวิตพล ไพบูลย์
rchuenlertsakul@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวของเกษตรกร รวมถึงบทบาทของภาคเอกชนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อการค้า และเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปลูกข้าวในประเทศไทย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ ปราชญ์ชาวนา ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวในภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 30 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม ATLAS.ti 25 และการวิเคราะห์เนื้อหา พร้อมทั้งจัดสนทนากลุ่มเพื่อยืนยันผลการวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวภาคเอกชนยังมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลตลาดและการเชื่อมโยงกับความต้องการของเกษตรกร ขณะที่เกษตรกรให้ความสำคัญกับพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคแมลง ทนสภาพอากาศ และมีอายุเก็บเกี่ยวสั้น (90–100 วัน) ภาคเอกชนมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีการผลิตและการตลาด แต่ยังขาดระบบมาตรฐานและการสนับสนุนเชิงนโยบายที่ชัดเจน การวิเคราะห์เชิงธีมสรุปประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) ความต้องการเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกร (Farmers’ Seed Demand) (2) ศักยภาพและข้อจำกัดของผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ภาคเอกชน (Private Sector Capacity and Constraints) และ (3) แนวทางการพัฒนาและสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Collaborative and Development Strategies) โดยเสนอ “ระบบความร่วมมือสามภาคส่วน (Tripartite Collaboration Model)” ซึ่งภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการผลิตและตลาด ภาครัฐสนับสนุนมาตรฐานและนโยบาย และเกษตรกรร่วมสร้างนวัตกรรมและทดลองใช้เมล็ดพันธุ์ เพื่อให้ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวไทยพัฒนาอย่างยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282671
ปัจจัยเชิงสาเหตุของความไว้วางใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทย
2025-10-18T19:55:18+07:00
วรรยา เพิ่มอำนาจ
bmsitthiwat@gmail.com
นนทิพันธุ์ ประยูรหงษ์
wanraya231235a@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความไว้วางใจและการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของความไว้วางใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทย และ 3) สร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของความไว้วางใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทย ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้บริโภคที่เคยมีประสบการณ์ตัดสินใจเช่าเครื่องรางในประเทศไทย จำนวน 480 ราย ใช้การวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา และสถิติอนุมานโมเดลสมการโครงสร้างการวิเคราะห์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้บริโภคที่มีประสบการณ์เช่าเครื่องรางมากกว่า 5 ปีขึ้นไป จำนวน 5 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา เพื่อนำเสนอข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่กำหนด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความไว้วางใจและการตัดสินใจเช่าเครื่องรางในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) อิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุด้านการยอมรับเทคโนโลยี ด้านส่วนประสมทางการตลาด ด้านตราสินค้า และด้านความไว้วางใจ ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทย ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยผู้วิจัยสามารถสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของความไว้วางใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเช่าเครื่องรางของผู้บริโภคในประเทศไทยได้แบบจำลอง “CTDM Model” ซึ่งย่อมาจากคำว่า Consumer Trust for Decision-Making Model ซึ่งเป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบการได้นำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมเช่าเครื่องรางต่อไปในอนาคต</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282003
การบูรณาการความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวในจังหวัดปทุมธานี
2025-10-17T13:13:59+07:00
วุฒิพร สร้างเลี่ยน
wutiporn35018@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
areesrisom2@gmail.com
วีณา นิลวงศ์
areesrisom2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาปัญหา อุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวในจังหวัดปทุมธานี และ 2. ศึกษาแนวทางการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวในจังหวัดปทุมธานี การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร และการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 สัมภาษณ์เชิงลึก และกลุ่มที่ 2 การสนทนากลุ่ม จำนวน 2 กลุ่ม ๆ ละ 20 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวในจังหวัดปทุมธานีประสบปัญหาหลายด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการที่ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน, ระบบขนส่งที่ไม่ครอบคลุม, ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พัก, การพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับบริบทชุมชน, ขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง, การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นที่น้อย, และการกระจายผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียม ทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 2. แนวทางการบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวในจังหวัดปทุมธานีประกอบด้วยหลายขั้นตอนสำคัญ เริ่มจากการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันผ่านการประชุมและการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของทุกฝ่าย โดยจัดทำแผนที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและข้อตกลงความร่วมมือ นอกจากนี้ยังมีการสร้างกลไกการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น คณะกรรมการร่วมและระบบฐานข้อมูลกลาง การพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งในทุกภาคส่วนผ่านการอบรมและส่งเสริมการวิจัย การสร้างแรงจูงใจให้มีส่วนร่วมและติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการบูรณาการความร่วมมือและสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280346
อิทธิพลของคุณภาพการบริการต่อความภักดีของลูกค้าโรงแรมเครือข่าย โดยมีระดับดาวของโรงแรมเป็นตัวแปรกำกับ
2025-10-13T15:57:18+07:00
ศุภชัย ศรีทับทิม
sritubtimmsupachai@gmail.com
ชลธิศ ดาราวงษ์
chonlatis@hotmail.com
บุณเกียรติ วิสิทธิกาศ
drboonkiat@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการที่มีต่อความภักดีของผู้ใช้บริการโรงแรมในประเทศไทย โดยมีระดับดาวของโรงแรมเป็นตัวแปรกำกับความสัมพันธ์ดังกล่าว งานวิจัยนี้ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดคุณภาพการให้บริการ (Service Quality) ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านความสุภาพ ด้านศักยภาพ ด้านความเอาใจใส่ และด้านความเชื่อถือได้ซึ่งเป็นตัวแปรอิสระและความภักดี เป็นตัวแปรตาม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณด้วยการเก็บแบบสอบถามกับผู้ใช้บริการโรงแรมในประเทศไทยจำนวน 591 คน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการใน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านศักยภาพ ด้านความเอาใจใส่ และด้านความเชื่อถือได้ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความภักดีของผู้ใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ขณะที่ด้านความสุภาพไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากลูกค้ามองว่าเป็นสิ่งที่ทุกโรงแรมควรมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัจจัยที่สร้างความแตกต่างหรือคุณค่าเพิ่มในการตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำ ความภักดีจึงเกิดจากปัจจัยที่ส่งผลต่อประสบการณ์จริงและ ความเชื่อมั่นในบริการมากกว่า เช่น ความสะดวก ความสะอาด ความรวดเร็ว และการใส่ใจในความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ ระดับดาวของโรงแรมมีบทบาทเป็นตัวแปรกำกับที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการกับความภักดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดและการบริการ เพื่อช่วยเพิ่มความตั้งใจในการใช้บริการโรงแรมของผู้ใช้บริการโรงแรมในประเทศไทย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282461
การพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์โดยใช้ปรากฏการณ์เชิงมโนทัศน์เพื่อส่งเสริม การคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
2025-10-18T20:12:41+07:00
สุธชัช เทียนใช้ดี
moo.betterman@gmail.com
ประวิทย์ สิมมาทัน
moo.betterman@gmail.com
สนิท ตีเมืองซ้าย
moo.betterman@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนออนไลน์โดยใช้ ปรากฏการณ์เชิงมโนทัศน์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการคิดเชิงคำนวณสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยศึกษาทฤษฎี แนวคิด งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 ท่าน เพื่อนำมาสังเคราะห์เป็นองค์ประกอบของรูปแบบ และประเมินความเหมาะสมของรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ การดำเนินการวิจัยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยในระยะที่ 1 ศึกษาเอกสาร งานวิจัย และข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำมาพัฒนารูปแบบการเรียนรู้และ ระยะที่ 2 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผ่านการประเมินความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) และให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่านประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่านพบว่า รูปแบบมีระดับความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับ “สูง” (ค่าเฉลี่ยโดยรวมประมาณ 4.26/5) โดยเฉพาะด้านความถูกต้องเชิงเนื้อหาอยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องขององค์ประกอบของรูปแบบกับกรอบแนวคิดและเป้าหมายของการเรียนรู้รายวิชาวิทยาการคำนวณการตรวจสอบครั้งนี้เป็นเพียง การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (expert validation) ขนาดกลุ่มประเมินจำกัด (n=5) จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาภาคสนามในระยะถัดไปเพื่อประเมินประสิทธิผลต่อผู้เรียนจริงและความเหมาะสมในการนำไปใช้ในชั้นเรียน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282470
อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและแรงจูงใจในการทำงาน ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง
2025-10-18T20:06:58+07:00
สุรศักดิ์ วงศ์ษา
surasuk.w@ku.th
นวลลักษณ์ แสงเพิ่ม
surasuk.w@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง แรงจูงใจในการทำงาน และพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมของพนักงาน รวมถึงการวิเคราะห์อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมของพนักงาน กรณีศึกษาบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือพนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับบริหาร จำนวน 452 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและแรงจูงใจในการทำงานอยู่ในระดับสูง และพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมของพนักงานอยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยองค์ประกอบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจและการกระตุ้นทางปัญญา ส่วนองค์ประกอบของแรงจูงใจในการทำงานที่มีผลอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ความสำเร็จของงานและลักษณะงานที่ทำ ดังนั้นผู้บริหารองค์กรสามารถส่งเสริมพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมของพนักงานได้โดยการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและการกำหนดแนวทางในการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมกับบุคลากร</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283035
บุพปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากสถานประกอบการ ในประเทศไทย
2025-10-18T19:42:36+07:00
อติเทพ แสนกล้า
s65584945022@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.pu@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
วรากร เพ็ชรรุ่ง
waragorn.pe@ssru.ac.th
<p>จุดประสงค์ของการทำวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาระดับตัวแปรนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การรับรู้คุณภาพ ภาพลักษณ์ ทัศนคติของผู้บริโภค และความตั้งใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรการรับรู้คุณภาพ ภาพลักษณ์ และทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อความตั้งใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบจำลองความตั้งใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างของผู้บริโภคในประเทศไทย งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย จำนวน 300 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกตใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้ประกอบการซึ่งดำเนินการบริหารจัดการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างภายในประเทศไทย รวมจำนวน 15 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคแบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวแปรนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การรับรู้คุณภาพ และภาพลักษณ์ อยู่ในระดับมาก ขณะที่ตัวแปรทัศนคติของผู้บริโภคและความตั้งใจซื้ออยู่ในระดับค่อนข้างมาก 2) นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การรับรู้คุณภาพ และภาพลักษณ์ มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างของผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05, 0.01 และ 0.001 ตามลำดับ และ 3) แบบจำลองความตั้งใจซื้อที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับที่ยอมรับได้ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (Model Fit) ได้แก่ χ² = 201.693, df = 73, p-value = 0.000, χ²/df = 2.763, GFI = 0.921, NFI = 0.935, IFI = 0.958, CFI = 0.957 และ RMSEA = 0.077 ซึ่งแสดงถึงความสอดคล้องของโมเดลในระดับดี และสามารถพยากรณ์ความตั้งใจซื้อได้แม่นยำในระดับร้อยละ 37 จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า การส่งเสริมด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การสื่อสารคุณภาพสินค้า และการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ มีบทบาทสำคัญในการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อผู้บริโภค และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง งานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการสนับสนุนนโยบายจากภาครัฐเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทยในระยะยาว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280680
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่บูรณาการแนวคิดวงจรคุณภาพ PDCA กับการตระหนักรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการประกันคุณภาพภายในของครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
2025-10-12T11:19:35+07:00
อรุณรัศมี พิฆาตไพรี
arunrussamee@gmail.com
สันติ วิจักขณาลัญฉ์
santi.wij@neu.ac.th
<p>This Article aimed to study 1) the background, current problems, and needs regarding the development of internal quality assurance competence among teachers at early childhood development centers, 2) the development of a training curriculum integrating the PDCA quality cycle and awareness to enhance the aforementioned competence, and 3) the effectiveness of the developed training curriculum. The sample was 497 early childhood development center teachers. They were selected by voluntary participation. The instrument for collecting data was a five-point rating scale questionnaire, a knowledge test, a report writing performance assessment, and an attitude scale. Analysis data by descriptive statistics and content analysis.</p> <p>The research results were found as follows;</p> <p> 1) The current internal quality assurance competence of the teachers was found to be at a moderate level, while the desired level was rated as very high, indicating a significant gap and need for development.</p> <p> 2) The training curriculum, developed by integrating the PDCA cycle with awareness, was validated by a panel of seven experts through a focus group process. The pilot implementation with 20 teachers resulted in a finalized curriculum consisting of 8 components and 12 training units.</p> <p> 3) The effectiveness study showed that the curriculum significantly improved all aspects of competence: knowledge (average score = 86.17; 96.67% scored above 80%), report writing skills (average score = 90.93; 100% scored above 75%), and attitudes (average score = 87.07; 100% scored above 70%), confirming the curriculum’s success in enhancing internal quality assurance competencies among the target group.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283588
การให้คำปรึกษาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี สำหรับโรงสีขนาดเล็ก กรณีศึกษา: โรงสีข้าววิชัยเฮียงตูบช้าง ตำบลเมืองแฝก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
2025-10-13T16:01:19+07:00
อุดมพงษ์ เกศศรีพงษ์ศา
udompong.jo@bru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสำหรับโรงสีขนาดเล็ก 2) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ลดสิ่งเจือปนจากเครื่องสีข้าวลงร้อยละ 10 จากกระบวนการสีข้าวแบบเดิม และ 3) เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้าวหักเกรด 2 และเกรด 3 ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ให้กับสถานประกอบการเพิ่มขึ้น โดยปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตของโรงสีข้าววิชัยเฮียงตูบช้าง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เทคโนโลยีสำหรับโรงสีขนาดเล็ก ผ่านการออกแบบและสร้างเครื่องคัดขนาดเมล็ดข้าวเปลือกและเครื่องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยตะแกรงเหวี่ยง ผลการดำเนินงานพบว่าสามารถลดสิ่งเจือปนในกระบวนการผลิตข้าวลงได้ถึงร้อยละ 60.70 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 10 และสามารถเพิ่มมูลค่าของข้าวหักเกรด 2 และเกรด 3 ทำให้รายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.47 จากรายได้ก่อนการปรับปรุง ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้โรงสีมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และสร้างโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดในอนาคต</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281850
อิทธิพลของส่วนประสมการตลาดดิจิทัล และคุณภาพการบริการที่มีต่อ ความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าในธุรกิจประกันภัยรถยนต์ ส่วนบุคคลภาคสมัครใจในจังหวัดภูเก็ต
2025-10-18T21:42:06+07:00
เอกพล แก้วลิพร
S6580141113@pkru.ac.th
ศิรวิทย์ ศิริรักษ์
sirawit.s@pkru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการอิทธิพลของส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและคุณภาพการบริการที่มีต่อความพึงพอใจของลูกค้าประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมทั้งศึกษาผลอิทธิพลของปัจจัยดังกล่าวที่มีต่อความภักดีของลูกค้าในจังหวัดภูเก็ต การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดส่วนประสมการตลาดดิจิทัล คุณภาพการบริการ ความพึงพอใจ และความภักดีของลูกค้าเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริโภคที่เคยทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 400 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของลูกค้าอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าด้านการซื้อซ้ำอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมการตลาดดิจิทัลและคุณภาพการบริการมีอิทธิพลต่อความภักดีของลูกค้าด้านการบอกต่ออย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ</li> </ol> <p>ผลการวิจัยนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและตัวแทนธุรกิจประกันภัยรถยนต์ในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการบริการ เพื่อยกระดับความพึงพอใจและสร้างความภักดีของลูกค้าในระยะยาว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282365
การพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดการโค้ชแบบเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกับการเรียนรู้ เชิงประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ทางวิชาชีพสำหรับครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-10-18T20:22:46+07:00
เอกรัฐ ทุ่งอ่วน
eekaratt@gmail.com
มนสิช สิทธิสมบูรณ์
monasits@nu.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดการโค้ชแบบเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมกับการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) สำหรับครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้ในการออกแบบหลักสูตร (2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร (3) ทดลองใช้หลักสูตรกับครูกลุ่มตัวอย่าง และ (4) ประเมินผลหลักสูตร กลุ่มตัวอย่างคือครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 จำนวน 30 คน ที่สมัครเข้าร่วมการพัฒนาโดยสมัครใจ (volunteer sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยหลักสูตร คู่มือการใช้หลักสูตร แบบประเมินทักษะการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ และแบบประเมินหลักสูตรตามกรอบการประเมินของเคิร์กแพทริก (Kirkpatrick Model) ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ) และสถิติอนุมานแบบ one-sample t-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้หลักสูตรกับเกณฑ์ร้อยละ 75</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าครูผู้เข้าร่วมยังขาดทักษะการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพในบางด้าน โดยเฉพาะด้านการสะท้อนผลการปฏิบัติและการสร้างภาวะผู้นำร่วมหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบ 8 ด้าน ได้แก่ ความเป็นมา หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ โครงสร้างเวลา สื่อ และการประเมินผล โดยมีกิจกรรม 4 ขั้นตอน คือ การวางแผนร่วมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน การชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง และการสะท้อนคิดและประเมินผล หลังการใช้หลักสูตร ครูมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เท่ากับ 81.33 (S.D. = 6.27) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t(29) = 3.42, p < .05) และมีค่าขนาดอิทธิพลระดับปานกลาง (d = 0.62) การประเมินหลักสูตรในด้านปฏิกิริยา การเรียนรู้ พฤติกรรม และผลลัพธ์ โดยรวมอยู่ในระดับ “มากที่สุด” (𝑥̄ = 4.58, S.D. = 0.48) ผลการวิจัยชี้ว่าหลักสูตรดังกล่าวสามารถพัฒนาครูให้มีสมรรถนะด้านการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพได้อย่างมีประสิทธิผล และสามารถนำไปขยายผลในบริบทสถานศึกษาอื่นได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282653
การพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน
2025-10-13T15:56:02+07:00
อนุสรณ์ ประพันธ์
anusorn131982@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ บุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ บุคลากรในภาคเอกชนและภาคประชาชน ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวเมืองรอง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)ข้อมูลสภาพพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองรองชายฝั่งทะเลอันดามันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวจำนวนน้อยเกิดจากหลายปัจจัย สภาพพื้นที่เมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองต้องนั่งรถและลงเรือเพื่อเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยโครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ที่ยังไม่ได้มาตรฐานรวมถึงการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ทั่วถึงในบางพื้นที่ซึ่งเป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยว ความเชื่อมโยงของสภาพพื้นที่เมืองรองเมื่อเมืองหลักเกิดความแออัดของนักท่องเที่ยว สามารถพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองซึ่งมีพื้นที่ติดกันในบางจังหวัดให้มีสภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงเมืองหลักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต 2)ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาในบริบทของภาวะผู้นำจำเป็นต้องพิจารณาหลายด้านร่วมกันเนื่องจากเมืองรองมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากเมืองหลักเช่น ทรัพยากรจำกัด โครงสร้างพื้นฐานไม่สมบูรณ์ และความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่า การมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ปัญหาการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเมืองรองในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับผู้นำท้องถิ่นขาดการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ในการติดตามผลการดำเนินงานต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 3)แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันโดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบูรณาการสิ่งดึงดูดใจ การคมนาคม ความสะดวกและปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภคพัฒนาแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ ไฟฟ้าและโทรคมนาคมในแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกการบริการที่ได้มาตรฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติรวมถึงการรักษาวัฒนธรรม ประเพณี การสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรภาครัฐ ประชาชนและผู้ประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพและ การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันให้เกิดความยั่งยืนได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279871
รูปแบบการนิเทศการศึกษาที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนเรียนรวม
2025-10-12T09:59:06+07:00
พรรณพร ศรลัมพ์
pannapons65@nu.ac.th
ชนัดดา ภูหงษ์ทอง
pannapons65@nu.ac.th
อนุชา กอนพ่วง
pannapons65@nu.ac.th
ณัฏฐ์ รัตนศิริณิชกุล
pannapons65@nu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการนิเทศการศึกษาที่มีประสิทธิผลสำหรับโรงเรียนเรียนรวม โดยบูรณาการแนวคิดการนิเทศแบบ PIDRE แนวคิดการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตามกรอบ SEAT และหลักการจัดการเรียนรวมตามกรอบ FAT พัฒนาเป็น “รูปแบบการนิเทศแบบ 2PIDA-OE2R” ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการและวางแผน การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ การดำเนินการนิเทศ การประเมินและสะท้อนผล การสังเกตและเก็บข้อมูล การประเมินผล การเสริมแรงและให้กำลังใจ และการรายงานผล รูปแบบนี้มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ครู และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในกระบวนการนิเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่องและสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อผู้เรียนทุกคน การนำรูปแบบไปใช้ในสถานศึกษาเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากร การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม การพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมที่ยืดหยุ่น ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีศึกษานิเทศก์ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้ประสานงานเครือข่าย ผู้พัฒนาวิชาชีพครู และผู้ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รูปแบบการนิเทศแบบ 2PIDA-OE2R จึงเป็นแนวทางที่ช่วยยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลาย และส่งเสริมการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279864
แนวทางการส่งเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
2025-10-16T10:08:44+07:00
ธีรารัตน์ ทองงามดี
thiraratt65@nu.ac.th
สกนธ์ชัย ชะนูนันท์
thiraratt65@nu.ac.th
ปกรณ์ ประจันบาน
thiraratt65@nu.ac.th
อนุชา กอนพ่วง
thiraratt65@nu.ac.th
<p>บทความเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย” มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ ปัจจุบันระบบการศึกษาของไทยยังประสบปัญหาด้านคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่ถึงระดับมาตรฐานสากล จำเป็นต้องมีแนวทางที่ชัดเจนและเป็นระบบในการยกระดับศักยภาพของผู้เรียน ทั้งนี้ การพัฒนาการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยจำเป็นต้องอาศัยการปรับปรุงหลักสูตร การพัฒนาศักยภาพของครู การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน แนวทางเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของนักเรียนไทยให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติ และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาสังคม บทความนี้ได้นำเสนอกรอบแนวคิดการส่งเสริมสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-based Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อเสมือนจริง ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิด การทดลอง และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับปรุงหลักสูตร พัฒนาศักยภาพของครู และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันให้นักเรียนไทยก้าวสู่ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282028
การบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดของโรงแรมในประเทศไทย: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ
2025-10-16T10:07:54+07:00
ทิพย์สุดา หมื่นหาญ
thipsudam@siamteachno.ac.th
ธนกร พงษ์ภู่
pokpcc147@gmail.com
<p>อุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายและซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวด งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของโรงแรมในประเทศไทย โดยใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systematic Literature Review) การสืบค้นบทความดำเนินการจากฐานข้อมูล Thai Journals Online และ Google Scholar โดยจำกัดช่วงเวลาตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2568 (ค.ศ. 2020-2025) ผลการสังเคราะห์บทความวิจัยจำนวน 7 ฉบับที่ผ่านเกณฑ์ พบว่า ผลการสังเคราะห์ชี้ให้เห็น 3 มิติหลักของการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดของโรงแรมไทยแบ่งออกเป็น 3 ประการหลัก ได้แก่ 1) การจัดการเชิงกลยุทธ์ (ครอบคลุมกลยุทธ์การควบคุม กลยุทธ์การหดตัว และกลยุทธ์การสร้างจุดขายใหม่) 2) ความสามารถในการปรับตัว (รวมถึงการปรับตัวของตลาด การปรับตัวจากการเรียนรู้ และการปรับรูปแบบการให้บริการ และ 3) การจัดระเบียบค่าใช้จ่าย (เน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายและการจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ) องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมและผู้กำหนดนโยบาย เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมไทยในระยะยาว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279284
สมรรถนะการปฏิบัติงานของผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรอุตุนิยมวิทยาชั้นสูงของกรมอุตุนิยมวิทยา
2025-10-04T21:25:17+07:00
ณัชชา ตัมพวิบูลย์
thesis.nutcha.t@gmail.com
อภิรดา นามแสง
Thesis.nutcha.t@gmail.com
วราภรณ์ เต็มแก้ว
Thesis.nutcha.t@gmail.com
<h3>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานที่ทำหน้าที่ตรวจอากาศการบิน และผู้ปฏิบัติงานที่ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศการบิน และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการตรวจอากาศการบินและการพยากรณ์อากาศการบิน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการศึกษาจากแนวคิด หลักการและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะการปฏิบัติงานในการตรวจและพยากรณ์อากาศการบินร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้งหมด 14 คน เป็นการกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจงที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรอุตุนิยมวิทยาชั้นสูง โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และนำข้อมูลทุติยภูมิมาร่วมการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปผลการศึกษา ตลอดจนการนำเสนอรายงานตามหลักการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร</h3> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานที่ทำหน้าที่ตรวจอากาศการบิน และผู้ปฏิบัติงานที่ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศการบินในประเทศไทยในปัจจุบันมีความสอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินสมรรถนะบุคลากรด้านการพยากรณ์อากาศการบิน ตามที่กำหนดในเอกสาร WMO No. 1209 ประกอบด้วย (1) ด้านความรู้ ได้แก่ ด้านอุตุนิยมวิทยาการบิน ด้านกฎระเบียบข้อบังคับ ด้านภาษาอังกฤษ ด้านระเบียบวิธีวิจัยด้านอุตุนิยมวิทยา และด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (2) ด้านทักษะ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การประมวลผล การประยุกต์ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการปฏิบัติงานทั้งในส่วนการตรวจอากาศการบิน และการพยากรณ์อากาศการบิน (3) ด้านเจตคติ ได้แก่ การปฏิบัติงานตามระเบียบและขั้นตอนในการปฏิบัติงาน (SOP) ที่กำหนดไว้ ความตระหนักคุณภาพในการบริการข้อมูลข่าวสาร 2) แนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการตรวจอากาศการบินและการพยากรณ์อากาศการบิน ได้แก่ (1) หลักสูตรอุตุนิยมวิทยาชั้นสูง ตั้งแต่รุ่นที่ 19 เป็นต้นไป ภาคทฤษฎี (BIP-M) ควรเพิ่มวิชาระเบียบวิธีวิจัยในงานอุตุนิยมวิทยา และ (2) หลักสูตรอุตุนิยมวิทยาชั้นสูง (BIP-MT + BIP-M) ควรเพิ่มเวลาการฝึกอบรมในวิชาปฏิบัติการตรวจและรายงานอากาศการบิน หมวดวิชาปฏิบัติการให้ได้รับการฝึกอบรม จำนวน 150 ชั่วโมง ให้สอดคล้องกับ หมวดวิชาปฏิบัติการของหลักสูตรประกาศนียบัตรอุตุนิยมวิทยา (BIP-MT)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280566
การพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมวิธีคิดแบบอัลกอริทึม สำหรับผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2025-10-23T23:32:34+07:00
วรพรรณ สระดี
worapan.sradee@g.swu.ac.th
พาดา ไตรรัตร์
worapan.sradee@g.swu.ac.th
นฤมล ศิระวงษ์
worapan.sradee@g.swu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาบอร์ดเกมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมวิธีคิดแบบอัลกอริทึม สำหรับผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2. เพื่อศึกษาผลการพัฒนาและประสิทธิภาพของบอร์ดเกมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมวิธีคิดแบบอัลกอริทึม สำหรับผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้อง A ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 25 คน ได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยวิธีจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บอร์ดเกมการเรียนรู้ 2) แบบประเมินคุณภาพของบอร์ดเกมการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวิธีคิดแบบอัลกอริทึม 4) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อบอร์ดเกมการเรียนรู้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาบอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมวิธีคิดแบบอัลกอริทึมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านว่ามีความเหมาะสมในระดับดีมากในทุกด้าน<br>บอร์ดเกมที่พัฒนามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 82.9/85.2 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80<br>แสดงให้เห็นว่าบอร์ดเกมมีความพร้อมและเหมาะสมต่อการใช้งานจริง นักเรียนที่เรียนรู้ผ่านบอร์ดเกมมีคะแนนการทดสอบวิธีคิดแบบอัลกอริทึมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบอร์ดเกมในระดับมากที่สุด แสดงถึงประสิทธิภาพและความน่าสนใจของสื่อ ผลการวิจัยสะท้อนว่าบอร์ดเกมสามารถส่งเสริมวิธีคิดแบบอัลกอริทึมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้เรียนและผู้เชี่ยวชาญ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280539
การศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
2025-10-23T23:42:41+07:00
ณัฐกานต์ เรือนคำ
nutakarn.r@pnru.ac.th
กิตติชัย สุธาสิโนบล
nutakarn.r@pnru.ac.th
สุวิชา วันสุดล
nutakarn.r@pnru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของ</p> <p>นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู เป็นงานวิจัยเอกสารและอิงผู้เชี่ยวชาญ มีกระบวนการวิจัยคือ 1) ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อศึกษาค้นคว้า หลักการ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ เพื่อนำมากำหนดกรอบแนวคิดในการสร้างองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ ประชาการที่ใช้ในการศึกษาองค์ประกอบคือนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาการประถมศึกษา ชั้นปีที่ 4 ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จำนวน 326 คน และกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาการประถมศึกษา ชั้นปีที่ 4 ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 27 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Samplimg) 2) ประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้โดยใช้แบบประเมินและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการนิเทศการสอน จำนวน 5 ท่าน 3) นำข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบประเมินและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญมาเข้ารหัส และนำข้อมูลที่เข้ารหัสมาสังเคราะห์เพื่อใช้ในการปรับปรุงองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ 4) ยืนยันข้อมูลองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 9 ท่าน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สามารถจำแนกออกเป็น องค์ประกอบ 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติ 10 ตัวบ่งชี้ ดังนี้ 1) ด้านความรู้ มี 3 ตัวบ่งชี้ คือ การวิเคราะห์หลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ การออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ และการแก้ปัญหาและพัฒนาการ จากการเรียนรู้ 2) ด้านทักษะ มี 4 ตัวบ่งชี้ คือ การดำเนินการจัดการเรียนรู้ การใช้เทคนิคและวิธีการสอนที่หลากหลาย การใช้สื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 3) ด้านเจตคติ มี 3 ตัวบ่งชี้ คือความยืดหยุ่นและการปรับตัว ความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและบริบทโลก และ ทักษะด้านอารมณ์และสังคม องค์ความรู้จากงานวิจัยดังกล่าวสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูครั้งนี้มีองค์ประกอบ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านทักษะ และด้านเจตคติ ซึ่งแต่ละด้านมีตัวบ่งชี้ที่จำแนกไว้อย่างชัดเจนและกระชับ การพัฒนาสมรรถนะเหล่านี้อย่างรอบด้านจะช่วยให้นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูมีความพร้อมในการเป็นครูมืออาชีพที่มีคุณภาพ สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายทางการศึกษา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275783
การพัฒนาความรู้บัญชีชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบางเทา จังหวัดภูเก็ต
2025-10-23T23:47:50+07:00
กมลวรรณ กิตติอุดมรัตน์
kamonwan.k@pkru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการพัฒนาความรู้บัญชีชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบางเทา และ 2) เพื่อจัดกิจกรรมฝึกอบรม และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาความรู้บัญชีชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบางเทา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้แนวคิดการวิจัยประเมินความต้องการจำเป็นเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ชุมชนบ้านบางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต กลุ่มตัวอย่าง เชิงปริมาณ คือ ประชาชน จำนวน 396 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบชั้นภูมิ ผู้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์ จำนวน 66 คน และสนทนากลุ่ม 2 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็น (PNI modified) ในกรณีการวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ทำการตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เพศหญิง การศึกษาระดับมัธยมศึกษา/ต่ำกว่า ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว และไม่มีการจัดทำบัญชีครัวเรือน มีค่า PNI modified ≥ 0.30 จำนวน 2 รายการ ในด้านทักษะได้แก่ ผู้จัดทำบัญชีสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และสามารถจัดทำแบบฟอร์มบัญชีครัวเรือนที่ใช้ในการบันทึกบัญชีครัวเรือนประจำวันได้ง่ายและสะดวก 2) กิจกรรมฝึกอบรม จำนวน 30 คน เรียนรู้การพัฒนาความรู้บัญชีชุมชน ทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 6.67 คะแนน สูงกว่า ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย 5.73 คะแนน โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.94 คะแนน</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ในการให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติในการจัดทำบัญชี การปรับเปลี่ยนทัศนคติ การให้คำปรึกษาและคำแนะนำ การติดตามและประเมินผลการจัดทำบัญชี การเรียนรู้จากตัวแบบผู้จัดทำบัญชีได้ถูกต้อง และต่อเนื่อง ส่งผลให้การจัดทำบัญชีชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนต่อเนื่องและยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284130
แบบจำลองความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย
2025-10-29T22:13:26+07:00
บุญเลิศ กมลชนกกุล
bmsitthiwat@gmail.com
ธนพล ก่อฐานะ
bmsitthiwat@gmail.com
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bmsitthiwat@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย การยอมรับเทคโนโลยี การบริหารจัดการ นวัตกรรมการจัดการ และคุณภาพการให้บริการ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี การบริหารจัดการ นวัตกรรมการจัดการ และคุณภาพการให้บริการ ที่ส่งผลต่อต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย 3) เพื่อเพื่อสร้างแบบจำลองความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุนไทย จำนวน 420 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และการสุ่มตัวอย่างแบบแบบโควต้า ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นายกสมาคมสำนักสอบบัญชี ตัวแทนสำนักงานบัญชีในตลาดทุน รวมทั้งสิ้น 15 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรม ความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย คุณภาพการให้บริการ การบริหารจัดการองค์กร และการยอมรับเทคโนโลยี อยู่ในระดับมากที่สุด 2) การยอมรับเทคโนโลยี คุณภาพการให้บริการ การบริหารจัดการ และนวัตกรรมการจัดการ ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ 3) แบบจำลองความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทยที่พัฒนาขึ้นคือ T2SMI Model” (T=Technology acceptance: , S=Service quality, M=Management administration I= Innovation management ตรงกลาง S=Success) เป็นแบบจำลองให้หน่วยงานที่สนับสนุนส่งเสริมความสำเร็จของผู้ประกอบการตรวจสอบบัญชีในตลาดทุนไทย ที่มุ่งเน้นการเงิน ความพึงใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กระบวนการจัดการภายใน และ การเรียนรู้และเติบโต</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284129
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มการตัดสินใจลาออกของพนักงาน บริษัท ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-10-24T13:47:19+07:00
เปรมสินี ศรีทา
fongbeer246@gmail.com
ดวงรัตน์ ธารดำรงค์
fongbeer246@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงาน และปัจจัยค้ำจุนที่ส่งผลต่อแนวโน้มการลาออกของพนักงาน บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานจำนวน 392 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรด้านเพศ ระดับการศึกษา และอายุงานไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มการลาออก ขณะที่อายุ สถานภาพสมรส รายได้ต่อเดือน และตำแหน่งงานส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งขัดแย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ได้แก่ ลักษณะงานและความก้าวหน้าในอาชีพ ไม่ส่งผลต่อแนวโน้มการลาออก เช่นเดียวกับนโยบายและการบริหารงาน รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนและสวัสดิการ รวมถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มการลาออกอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความไม่เหมาะสมของค่าตอบแทนและสวัสดิการ ตลอดจนปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจลาออกของพนักงาน องค์กรจึงควรให้ความสำคัญกับการบริหารค่าตอบแทนให้เหมาะสมและยุติธรรม พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพนักงาน เพื่อส่งเสริมความผูกพันและลดอัตราการลาออกในระยะยาว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280066
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ด้านการอ่าน
2025-10-24T13:30:09+07:00
พัชรินทร์ อินเถื่อน
stou2022@hotmail.com
จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์
stou2022@hotmail.com
อภิรักษ์ อนะมาน
stou2022@hotmail.com
สมบูรณ์ อาศิรพจน์
stou2022@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ด้านการอ่าน และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่านการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการวิจัยโดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พัฒนารูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ด้านการอ่าน มี 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ร่างรูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน (2) การทดลองใช้รูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน และ (3) การประเมินผลการทดลองใช้รูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่องด้านการอ่าน ซึ่งกำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 6 คน ครูผู้สอนจำนวน 10 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) รูปแบบการสอนสะกดคำ (2) คู่มือการใช้รูปแบบ (3) แผนการจัดการเรียนรู้ (4) แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน (5) แบบสังเกตพฤติกรรมแสดงความสนใจในการอ่าน (6) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน (7) แบบสอบถามความคิดเห็นของครู และ (8) แบบสัมภาษณ์ผู้ปกครอง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบวิลคอกซัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่องด้านการอ่าน ซึ่งกำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน (2) แบบสังเกตพฤติกรรมแสดงความสนใจในการอ่าน การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติการทดสอบวิลคอกซัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ลักษณะของผู้เรียน (2) จุดมุ่งหมายของรูปแบบ (3) แนวคิดของรูปแบบ (4) เนื้อหาของรูปแบบ (5) หลักการของรูปแบบ (6) ขั้นตอนการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อม ขั้นตอนที่ 2 การทบทวนความสามารถเดิม ขั้นตอนที่ 3 การสร้างความสามารถใหม่ ขั้นตอนที่ 4 การฝึกฝนตนเอง และขั้นตอนที่ 5 การประเมินความสามารถการอ่าน (7) สื่อและแหล่งเรียนรู้ (8) การวัดและการประเมินผล (9) การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง และ 2) ประสิทธิผลของรูปแบบการสอนอ่านสะกดคำสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน จากการศึกษาพบว่า (1) ความสามารถในการอ่านสะกดคำหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ความคงทนในการอ่านของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง มีความคงทนในการอ่าน คิดเป็นร้อยละ 92.77 (3) ความสนใจในการอ่านของนักเรียน ประกอบด้วย พฤติกรรมการแสดงออกถึงความสนใจ คิดเป็นร้อยละ 80.59 อยู่ในระดับมากที่สุด และช่วงระยะเวลาความสนใจในการทำกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 79.44 อยู่ในระดับมาก</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280198
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการควบรวมกิจการโทรคมนาคม
2025-10-24T13:26:19+07:00
จิรวดี โกศัลวิทย์
tradeopaly@gmail.com
ตรีเนตร ตันตระกูล
opal.opaly@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการควบรวมกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจในธุรกิจกับการควบรวมกิจการโทรคมนาคม 3) เพื่อศึกษาผลกระทบด้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในธุรกิจกับการควบรวมกิจการโทรคมนาคม และ 4) เพื่อสร้างแนวทางการลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและด้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกิดจากการควบรวมกิจการโทรคมนาคม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมในมุมมองทางเศรษฐกิจ มุมมองด้านบรรษัทภิบาลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย จำนวน 37 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิดคือ 1) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และ 2) แบบการประชุมกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยสภาพแวดล้อม ที่มีอิทธิพลต่อการควบรวมกิจการ ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการเงินลงทุนสูง และกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น ในแง่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ พบว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันก็ลด การแข่งขันในตลาดและอาจนำไปสู่การขึ้นราคาค่าบริการ ผลกระทบด้านบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่าผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์จากการลดต้นทุนและการขยายฐานลูกค้า ในขณะที่ผู้บริโภคอาจมีทางเลือกในการใช้บริการลดลง ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้คือ การออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพ การกำกับดูแลที่รัดกุมโดยภาครัฐ การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการรายใหม่เข้ามาแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม วางแผนรองรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมกิจการ เพื่อให้การควบรวมกิจการโทรคมนาคมนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมโดยไม่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282448
การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
2025-10-23T15:03:23+07:00
จีรวรรณ บัวทอง
jeera.bua1@gmail.com
จันทรัศม์ ภูติอริยวัฒน์
jantaphu@gmail.com
มารุต พัฒผล
marutp@swu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุการเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษาของโรงเรียนพื้นที่นำร่องนวัตกรรมการศึกษา 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) เสนอแนะนโยบายการยกระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 2 ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และระยะที่ 3 เสนอแนะนโยบาย กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้อำนวยการ และครูในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 340 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุการเป็นองค์กรนวัตกรรมทางการศึกษา ประกอบด้วย ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม วัฒนธรรมองค์กร และเทคโนโลยีดิจิทัล 2) โมเดลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square = 29.869, df = 20, P-value = 0.072, RMSEA = 0.031, TLI = 0.97) และ 3) ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อยกระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรม ได้แก่ 1. วัฒนธรรมการคิดเชิงระบบ 2.วัฒนธรรมการเรียนรู้ 3.วัฒนธรรมส่งเสริมความร่วมมือกับเครือข่าย 4.วัฒนธรรมการสร้างแรงจูงใจและระบบยกย่องบุคลากรด้านนวัตกรรม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281460
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้
2025-10-23T21:20:57+07:00
เพียงหทัย แก้วดวงงาม
pianghathai.ka@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปทุมธานี กรมส่งเสริมการเรียนรู้ 2) เพื่อพัฒนาโมเดลปัจจัย<br>เชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษา และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูล<br>เชิงประจักษ์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดเรื่องความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย การบูรณาการทางวิชาการและสังคม การรับรู้ความสามารถของตน และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมเป็นกรอบในการวิเคราะห์ <br>กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 387 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของนักศึกษา ได้แก่ ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย การบูรณาการทางวิชาการ การบูรณาการทางสังคม การรับรู้ความสามารถของตน และพฤติกรรมการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายที่มีอิทธิพลทางตรงสูงที่สุด (B = 0.62, p < .001) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 โมเดลที่พัฒนาขึ้นมีโครงสร้างความสัมพันธ์ที่ชัดเจน โดยมีความสัมพันธ์ทางอ้อมระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนกับการคงอยู่ผ่านความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย (B = 0.41, p < .001) และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมกับการคงอยู่ผ่านความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย <br>(B = 0.28, p < .01) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก (χ² = 94.75, df = 82, p = 0.16, GFI = 0.95, AGFI = 0.91, CFI = 0.98, RMSEA = 0.031) องค์ความรู้จากการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบายหรือแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการคงอยู่ของนักศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280946
การบูรณาการทุนวัฒนธรรมเมืองผ่านเทศกาลเชิงสร้างสรรค์สำหรับเมืองไมซ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
2025-10-23T21:26:32+07:00
ดวงธิดา พัฒโน
ajduangtida@gmail.com
จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ
jumphon.c@psu.ac.th
ดนุวัศ สุวรรณวงศ์
danuvat.s@psu.ac.th
ณัฐกานต์ รัตนพันธุ์
nattakan.rat@gmail.com
อรรถพร หวังพูนทรัพย์
attaporn.w@psu.ac.th
ฆายนีย์ ช. บุญพันธ์
kayanee.b@psu.ac.th
ศรัณยู กาญจนสุวรรณ
saranyoo.k@psu.ac.th
รจนา ขุนแก้ว
rojana.ko@psu.ac.th
รักษิตา สรรพอร่ามเดชะ
barfinn@gmail.com
รุสดี บิลหมัด
ruchdee.bi@psu.ac.th
สุภาพร วุกถ้อง
supaporn.w@psu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะทุนวัฒนธรรมในเมืองหาดใหญ่ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเทศกาลเชิงสร้างสรรค์ 2) เพื่อพัฒนาต้นแบบเทศกาลเชิงสร้างสรรค์บนฐานทุนวัฒนธรรมที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองไมซ์ผ่านเทศกาลเชิงสร้างสรรค์ที่ใช้ทุนวัฒนธรรมเป็นฐาน การวิจัยเป็นการวิจัยผสานวิธี และพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม พื้นที่วิจัยอยู่ในเทศบาลนครหาดใหญ่ ผลการวิจัยพบว่า 1) ทุนวัฒนธรรมของเมืองหาดใหญ่ประกอบด้วยทุนดั้งเดิม เช่น สถาปัตยกรรม ประเพณี อาหาร และวิถีชีวิต รวมถึงทุนร่วมสมัย เช่น ศิลปะ เมนูอาหารใหม่ และพื้นที่สร้างสรรค์ ขณะที่เทศกาลปัจจุบันยังขาดความเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของเมือง 2) ผลการพัฒนาทุนวัฒนธรรมพบว่า เทศกาลต้นแบบ “EAT PRAY LOVE @ Hatyai” สามารถนำทุนวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์กิจกรรมเทศกาลผ่านการเล่าเรื่องของพื้นที่ พหุวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชน และผลการประเมินจากผู้เข้าร่วม 383 คน พบว่าความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 3.56) และคุณค่าทางวัฒนธรรมได้รับคะแนน 9.01 จาก 10 3) สำหรับแนวทางพัฒนาเทศกาลสร้างสรรค์ควรเชื่อมโยงกับนโยบายระดับชาติและท้องถิ่น อาทิ Thailand 4.0 และMICE City เน้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และ กระบวนการทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งการออกแบบเทศกาลให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย การพัฒนากลยุทธ์การตลาด และการส่งเสริมความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนเมืองหาดใหญ่ให้เป็นเมืองไมซ์ผ่านเทศกาลวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ที่โดดเด่น</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280641
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร: กรณีศึกษานักวิชาการเงิน และบัญชีในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง
2025-10-23T21:30:38+07:00
์ณัฐธยาน์ พุ่มกุมาร
nutthaya0023@gmail.com
พรปรวีณ์ ชาญสุวรรณ
tscouser@hotmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดเกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางการบัญชี แนวคิดเกี่ยวกับความรู้ความสามารถของนักบัญชี และแนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างคือ นักวิชาการเงินและบัญชีที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง จำนวน 278 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และการวิเคราะห์ One-Way ANOVA: F-test การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านของระดับการศึกษา และความรู้ความสามารถของนักวิชาการเงินและบัญชี ในด้านการประกอบวิชาชีพโดยมีความสามารถเพียงพอ และปัจจัยเชิงสาเหตุของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ในด้านคุณลักษณะของระบบสารสนเทศการบัญชี มีอิทธิพลเชิงบวกกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ ความรู้ความสามารถของนักวิชาการเงินและบัญชี ในด้านการใช้ความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ และด้านการประกอบอาชีพด้วยความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียร ปัจจัยเชิงสาเหตุของระบบสารสนเทศ ทางการบัญชี ในด้านคุณลักษณะของระบบสารสนเทศการบัญชี มีอิทธิพลเชิงบวกกับประสิทธิผลในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศทางการบัญชีเพื่อวางแผนทรัพยากร : กรณีศึกษานักวิชาการเงินและบัญชี</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280334
การศึกษาผลกระทบของค่าตอบแทนและรายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์ ต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
2025-10-24T00:02:48+07:00
ชฎาพร พานทอง
chada.yokk@gmail.com
อิสราภรณ์ ทนุผล
chada.yokk@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าตอบแทนพนักงานกับผลการดำเนินงานของบริษัท 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์กับผลการดำเนินงานของบริษัท งานวิจัยนี้รวบรวมข้อมูลในช่วงปี พ.ศ. 2564 - 2565 จาก “The 56-1 One Report” จากฐานข้อมูล SETSMART ยกเว้นบริษัทจดทะเบียนที่มีรายงายข้อมูลงบการเงินไม่ครบถ้วน และบริษัทที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการ รวม 699 บริษัท วิเคราะห์ข้อมูลโดยตัวแบบ Regression Analysis ผลการทดสอบ พบว่า ค่าตอบแทนพนักงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการดำเนินงานบริษัท รายจ่ายที่ลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนั้นพบว่า บริษัทที่มีทั้งการจ่ายค่าตอบแทนพนักงานและรายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์ โดยบริษัทที่มีรายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์ในระดับสูงจะมีผลการดำเนินงานบริษัทในปีปัจจุบันต่ำกว่าบริษัทที่มีรายจ่ายลงทุนเพื่อพัฒนาในมนุษย์ในระดับต่ำ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280125
Influencing Factors on Information Technological Literacy for Dynamic Effective Teaching of College English Teachers in Shanxi, China
2025-10-24T00:08:43+07:00
Li Wu
oichi2498@outlook.com
Napaporn Khantanapha
1586027822@qq.com
Supot Rattanapun
1586027822@qq.com
<p><strong>A</strong><strong>bstract</strong><strong> : </strong><em>The research aimed to 1) study the current situation and expectation of college English teachers in Shanxi, China; 2) study the various factors affecting information technological literacy for dynamic effective teaching of college English teachers in Shanxi, China; 3) analyze the mediating roles of Advance tutorial and creation competency, Technological innovation enhancement and Information technological literacy, between various factors and Dynamic effective teaching; 4) improve Chinese English teachers</em><em>’</em><em> information technological literacy for dynamic effective teaching. This study adopts mixed research method, using survey questionnaires and semi-structured interviews. The survey questionnaire data was collected from 443 English teachers at universities in Shanxi Province, China, and interview data was collected from 17 of them. The collected data were analyzed using descriptive statistics, and software package was also used to run model analysis and analyze output results. The findings revealed that 1) Policy and regulation pressure, Dynamic learning culture, Intensive competitive environment and Technological availability have positive effects on Advance tutorial and creation competency as well as Technological innovation enhancement; 2) Advance tutorial and creation competency and Technological innovation enhancement have positive effects on Information and technological literacy; 3) Information and technological literacy has a positive effect on Dynamic effective teaching; 4) The mediation role of Information and technological literacy between Advance tutorial and creation competency, Technological innovation enhancement and Dynamic effective teaching; 5) Advance tutorial and creation competency and Technological innovation enhancement have positive effects on Dynamic effective teaching; 6) There are cascading mediating effects of mediating variables between independent variables and dependent variables. </em></p> <p><em> </em></p> <p> </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279589
รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับ แรงงานต่างด้าวในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก
2025-10-24T00:15:31+07:00
ปุณณดา ทรงอิทธิสุข
punnadasongitthisuk@outlook.co.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายในกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก และ 4) เพื่อประเมินและรับรองรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีแบบหลายขั้นตอน กลุ่มตัวอย่าง วิธีการได้มา การคำนวณหากลุ่มตัวอย่างโดยการใช้สูตรทาโร่ ยามาเน่ (TaroYamane) คือ บุคลากรภาครัฐในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ 316 คน และกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้มา โดยการเลือกแบบเจาะจง ได่แก่ ผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การวิจัยเชิงปริมาณเพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากร พบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยศักยภาพของบุคลากร ด้านความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน ด้านวิทยากรมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีค่าเฉลี่ยสูงสุด</li> <li>การวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ สามารถสร้างรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก</li> <li>การประเมินความเป็นไปได้และรับรองรูปแบบการนำนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวไปปฏิบัติ พบว่า ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์จำแนกตามปัจจัยศักยภาพของบุคลากร ด้านความรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด จำแนกตามปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน ด้านระยะเวลามีค่าเฉลี่ยสูงสุดและจำแนกตามปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด</li> </ol> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> ศักยภาพของบุคลากร, การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, การฝึกอบรม, แรงงานต่างด้าว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279548
การศึกษาเปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
2025-10-24T00:32:28+07:00
ศศิธร นาคสิงห์
janne112@outlook.co.th
นิคม นาคอ้าย
sasitorn.na@psru.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา <br>2) เปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา จำแนกตามขนาดโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือผู้บริหารและครูฝ่ายวิชาการ รวม 236 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา สถิติในการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนทางเดียว และวิเคราะห์เปรียบเทียบภายหลังด้วยการเปรียบเทียบแบบรายคู่ของเซฟเฟ่ ผลการวิจัย พบว่า 1) การศึกษาการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก หากพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวางแผนดำเนินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา และค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา 2) การเปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา จำแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การศึกษาเปรียบเทียบการบริหารหลักสูตรสถานศึกษา, การบริหารสถานศึกษา, การบริหารหลักสูตรสถานศึกษา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278244
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสื่อสารการตลาดออนไลน์กับการตั้งใจซื้อซ้ำสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นซีในประเทศไทย
2025-10-24T00:39:03+07:00
ชุติกร ปรุงเกียรติ
chutikorn.turnitin@gmail.com
ปิยะ แก้วบัวดี
Piya1_dee@hotmail.com
นภาพร วงษ์วิชิต
Napaporn.wo@rmuti.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้การสื่อสารการตลาดออนไลน์กับการตั้งใจซื้อซ้ำสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นซีในประเทศไทย และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ การสื่อสารการตลาดออนไลน์กับการตั้งใจซื้อซ้ำสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นซีในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดการสื่อสารการตลาดออนไลน์เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริโภคเจเนอเรชั่นซีในประเทศไทย จำนวน 384 คน ใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1) การรับรู้การสื่อสารการตลาดออนไลน์โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านป้ายโฆษณาผ่านเว็บไซต์ รองลงมาคือ ด้านการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเตอร์เน็ต และด้านการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ ตามลำดับ ส่วนการตั้งใจซื้อซ้ำโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำอีกครั้งในอนาคต รองลงมาคือแนวโน้มว่าจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการเพิ่มขึ้น และต้องการซื้อจะเลือกจากร้านค้าออนไลน์ก่อนเสมอ ตามลำดับ 2) การรับรู้การสื่อสารการตลาดออนไลน์ทุกด้านมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับการตั้งใจซื้อซ้ำสินค้าออนไลน์ การวิเคราะห์ถดถอยด้านการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเตอร์เน็ต ด้านการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ และด้านกลยุทธ์การติดตาม มีผลต่อการตั้งใจซื้อซ้ำสินค้าออนไลน์ องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้นำไปสู่การกำหนดการสื่อสารการตลาดออนไลน์ที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นซี</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276999
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน
2025-10-24T00:43:57+07:00
นิธิมา ยืนยง
Nithima@ptu.ac.th
<p> </p> <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน 2) เพื่อศึกษาความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test F-test สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน รวมทุกด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) เพศ รายได้ของผู้ปกครองต่างกัน ระดับความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยทั้ง 8 ปัจจัย มีความสัมพันธ์ต่อความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ ปัจจัยด้านเงินทุน (X<sub>2</sub>) ด้านทักษะการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Startup (X<sub>1</sub>) ด้านเศรษฐกิจ (X<sub>5</sub>) ด้านประสบการณ์ (X<sub>3</sub>) และด้านเทคโนโลยี (X<sub>7</sub>) สามารถทำนายความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ Start Up ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (ร้อยละ 60.3)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284056
ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดกับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
2025-10-24T13:21:40+07:00
ฉมพร มีชนะ
rarin.k@rmutsv.ac.th
ระริน เครือวรพันธุ์
rarin.k@rmutsv.ac.th
กรรณิกา บัวทองเรือง
rarin.k@rmutsv.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดกับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยใช้ตัวแปรด้านความสามารถในการทำกำไร ได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ กำไรต่อหุ้นและอัตราส่วนกำไรสุทธิ ข้อมูลที่ใช้เป็นเป็นข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2567 โดยทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณผลการวิจัยพบว่า อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และ กำไรต่อหุ้น มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในขณะที่ อัตราส่วนกำไรสุทธิและกระแสเงินสด ไม่มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างเงินทุน นอกจากนี้ยังพบว่า ขนาดบริษัทและโอกาสในการเติบโต มีบทบาทต่อการกำหนดโครงสร้างทุนมากกว่าตัวแปรด้านกำไรสุทธิหรือกระแสเงินสดเพียงอย่างเดียว ข้อเสนอแนะจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์และการสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงด้านโครงสร้างทุน ขณะเดียวกันนักลงทุนสามารถนำตัวชี้วัดด้าน อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และ กำไรต่อหุ้น มาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์โครงสร้างทุนในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และสำหรับงานวิจัยในอนาคต ควรขยายช่วงเวลาการศึกษาและพิจารณาตัวแปรอื่น ๆ เช่น การกำกับดูแลกิจการและโครงสร้างผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำและความสมบูรณ์ของผลการศึกษา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284071
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการคิดขั้นสูง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
2025-10-24T12:23:08+07:00
กิตติพิชญ์ วรโชติสุพัฒภาคิน
kittipit.wutdy@gmail.com
เมตตา มาเวียง
kittipit.wutdy@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) สร้างและหาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ฯ และ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน ฯ โดยการวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 24 คน โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ฯ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะการคิดขั้นสูง แบบทดสอบวัดสมรรถนะการคิดขั้นสูง สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสถิติที (t – test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการสร้างและหาคุณภาพของรูปแบบ ฯ 1.1) รูปแบบ ฯ ที่พัฒนาขึ้น มีองค์ประกอบหลัก 5 ด้าน คือ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) เนื้อหา (4) กิจกรรมการเรียนการสอน และ (5) การวัดและประเมินผล โดยกระบวนการเรียนการสอน มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นความคิด ขั้นที่ 2 การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ขั้นที่ 3 การสังเกต ค้นพบ และวิเคราะห์ ขั้นที่ 4 การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการปฏิบัติ ขั้นที่ 5 การประเมินและสะท้อนผล โดยบูรณาการทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสต์ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ทฤษฎีกระบวนการประมวลข้อมูล และทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม 1.2) ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบ ฯ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D. = 0.60) 3) ผลการใช้รูปแบบ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการคิดขั้นสูง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ย 87.16 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 100</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284288
การพัฒนางานนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอน ของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4
2025-10-31T08:56:11+07:00
ธัญมัย แฉล้มเขตต์
triamtan@gmail.com
อรรถพล อารยเขมกุล
triamtan@gmail.com
<p>การพัฒนางานนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ เป็นการวิจัยที่มีความวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนากระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ และศึกษาผลการใช้กระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ด้วยวิธีการวิจัยและพัฒนา ผู้วิจัยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้รับการนิเทศ (สอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน) จำนวน 3 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ จำนวน 233 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินโครงร่างกระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอน แบบสัมภาษณ์เพื่อทราบปัญหาและความต้องการการนิเทศ</p> <p>ภายในด้านการจัดการเรียนการสอน แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของครูผู้รับการนิเทศ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบใช้สถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวที่ไม่เป็นอิสระจากกัน และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ </p> <ol> <li class="show">ผลการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ พบว่า กระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ มีความเหมาะสมในการนำไปใช้นิเทศอยู่ในระดับมาก โดยแต่ละองค์ประกอบมีความสอดคล้องเกี่ยวข้องกัน และกระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ มี 6 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน (Management by data : M) ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนการนิเทศ (Planning : P) ขั้นตอนที่ 3 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ(Informing : I) ซึ่งประกอบด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอน 5 ขั้น คือ 1) การสร้างเสริมแรงบันดาลใจ 2) การใช้ผังมโนทัศน์ 3) การถ่ายโยงการเรียนรู้ 4) การเรียนรู้จากการปฏิบัติ 5) การสร้างความชำนิชำนาญ ขั้นตอนที่ 4 การจัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources : A) ขั้นตอนที่ 5 การปฏิบัติงานตามแผน (Doing : D) และขั้นตอนที่ 6 การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Assessing Process : A)</li> <li class="show">ผลการใช้กระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ พบว่า</li> </ol> <p> 2.1 สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนของครูผู้รับการนิเทศอยู่ในเกณฑ์ ระดับดี</p> <p> 2.2 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 2.3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยครูผู้รับการนิเทศ อยู่ในเกณฑ์ระดับมากซึ่งมีค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจแตกต่างจากค่าเฉลี่ยที่เป็นค่าเกณฑ์ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่เป็นเกณฑ์</p> <p> 2.4 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 มีผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาภาษาต่างประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ</p> <p> 2.5 ครูผู้รับการนิเทศมีความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ อยู่ในเกณฑ์ ระดับมาก</p> <p> การพัฒนางานนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ เป็นกระบวนการนิเทศการจัดการเรียนการสอนวิธีการหนึ่งที่ควรนำไปขยายผล เพื่อประยุกต์ใช้ในการนิเทศการจัดการเรียนการสอนของครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ต่อไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284286
The Evolution of Private Label Brands and the Adoption of Sustainability Concepts in Thailand’s Retail Landscape
2025-10-31T08:37:38+07:00
Thittapong Daengrasmisopon
thittapong.daengrasmisopon@stamford.edu
<p>The trajectory of private label (PL) brands has witnessed a remarkable change over the last several decades, transitioning from cost-driven alternatives to national brands into sophisticated, strategically positioned offerings that increasingly incorporate sustainability as a core value proposition. This paper undertakes a comprehensive review of extant scholarly literature, industry analyses, and empirical data, with a particular focus on the Thai retail environment, to elucidate the historical evolution of PL brands and their recent pivot towards sustainability-oriented branding. The review synthesizes multidimensional drivers including regulatory frameworks, consumer behavioral dynamics, and supply chain innovations that collectively underpin the adoption. Finally, the study outlines potential directions for future research, emphasizing the need for culturally contextualized, interdisciplinary inquiry into the evolving role of private labels in fostering sustainable consumption within emerging markets.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284278
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย
2025-10-30T20:35:53+07:00
ภาวัช รุจาฉันท์
bmsitthiwat@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และนวัตกรรมการจัดการที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย (2) วิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ (3) พัฒนาแบบจำลองเชิงโครงสร้าง SI3W Model เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปรสำคัญดังกล่าว การวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างพนักงานอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 380 คน ใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) และการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจำนวน 14 คน พบว่า (1) ตัวแปรด้านนวัตกรรมการจัดการ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และการจัดการความปลอดภัยอยู่ในระดับมากที่สุด ขณะที่การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์อยู่ในระดับมาก (2) การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ นวัตกรรมการจัดการ การจัดการความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ (3) แบบจำลอง SI3W ที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างเหมาะสม (χ²/df = 1.85, GFI = 0.92, RMSEA = 0.041) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การบริหารจัดการแบบบูรณาการโดยเน้นทรัพยากรมนุษย์ ความปลอดภัย และนวัตกรรมในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของแรงงานในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของไทย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284277
การเรียนรู้เชิงพื้นที่ผ่านการศึกษาการปกครองท้องถิ่นเปรียบเทียบ: การสร้างความเข้าใจใหม่ของนักศึกษาต่อบทบาทขององค์กรปกครองท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-10-30T20:27:27+07:00
สุพัฒพงศ์ แย้มอิ่ม
Suphatpong.yam@sru.ac.th
ณพงศ์ธัช ชยุตพรเลิศผล
Suphatpong.yam@sru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษารูปแบบและบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีในฐานะแหล่งเรียนรู้เชิงพื้นที่ของนักศึกษา (2) วิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้เชิงพื้นที่ผ่านการศึกษาการปกครองท้องถิ่นเชิงเปรียบเทียบ และ (3) ประเมินการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของนักศึกษาหลังการเรียนรู้เชิงพื้นที่ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเก็บข้อมูลจากนักศึกษา เจ้าหน้าที่ อปท. และอาจารย์ผู้สอน ผลการวิจัยพบว่า อปท. มีบทบาทสำคัญในฐานะแหล่งเรียนรู้เชิงพื้นที่ ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูล วิทยากร และผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ นักศึกษามีทัศนคติในระดับมากต่อบทบาทของ อปท. (ค่าเฉลี่ย 4.16) โดยเฉพาะด้านการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชน ในด้านกระบวนการเรียนรู้ อาจารย์ออกแบบกิจกรรมโดยเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงและการใช้ชุมชนเป็นฐาน ส่งผลให้นักศึกษามีประสบการณ์การเรียนรู้เชิงพื้นที่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.14) และสามารถเชื่อมโยงทฤษฎีกับสถานการณ์จริงได้อย่างมีความหมาย การเรียนรู้ดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสามระดับ คือ (1) ความรู้ นักศึกษามีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทของ อปท. ในมิติต่าง ๆ (2) ทัศนคติ เกิดจิตสำนึกสาธารณะและมุมมองเชิงบวกต่อการทำงานของท้องถิ่น และ (3) พฤติกรรม มีแนวโน้มมีส่วนร่วมและติดตามกิจกรรมของชุมชนเพิ่มขึ้น</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าความรู้ ทัศนคติ และการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ของนักศึกษามีค่าสูงกว่าค่ากลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) โดยเฉพาะการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อทัศนคติ (β=.486) ผลการศึกษายืนยันว่า “การเรียนรู้เชิงพื้นที่” ผ่านการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความเข้าใจใหม่ของนักศึกษาต่อบทบาทของ อปท. และเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาการเรียนการสอนด้านการปกครองท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280878
รูปแบบพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมธัญพืช ในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
2025-05-03T19:18:32+07:00
เตวิช พฤกษ์ปีติ
tewit.pt@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภคที่ตัดสินใจเลือกดื่มผลิตภัณฑ์นมธัญพืชในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นมธัญพืช ในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้แก่ประชากรในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างได้แก่กลุ่มผู้บริโภคที่มาซื้อผลิตภัณฑ์นมธัญญพืชที่ซุปเปอร์มาเก็ตในเขตหนองแขม โดยแบ่งเป็น4 แห่งคือ ฟูดแลนด์ เพชรเกษม, บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ เพชรเกษม1,บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์, และแมคโคร เพชรเกษม แห่งละ 100 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 400 คน ใช้สูตรคำนวณของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า </span><span style="font-weight: 400;">T-test</span><span style="font-weight: 400;"> สถิติ </span><span style="font-weight: 400;">F-test</span><span style="font-weight: 400;"> การวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว </span><span style="font-weight: 400;">(One Way ANOVA)</span><span style="font-weight: 400;"> การทดสอบความแตกต่างรายค่า </span><span style="font-weight: 400;">LSD</span><span style="font-weight: 400;"> พบว่า ความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคล ด้าน เพศ อายุ การศึกษา ที่แตกต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการดื่มผลิตภัณฑ์นมธัญพืช แตกต่างกัน ในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นมธัญพืชของผู้บริโภคในเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05</span></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284209
การประเมินฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดหน่อกะลาและการห่อหุ้มสารสกัดด้วยระบบนำส่งนีโอโซมเพื่อเตรียมใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
2025-10-27T13:42:00+07:00
พนิดา แสนประกอบ
panida@pnru.ac.th
เกศศิริรินทร์ แสงมณี
panida@pnru.ac.th
นพวรรณ์ พรศิริ
panida@pnru.ac.th
<p>หน่อกะลามีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ <em>Alpinia nigra </em>(Gaertn.) Burtt เป็นพืชพื้นเมืองของชาวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เจริญเติบโตในพื้นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์และเป็นพืชตระกูลเดียวกับขิงและข่า การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินฤทธิ์การทางชีวภาพของสารสกัดหน่อกะลาและนำสารสกัดหน่อกะลามาพัฒนาในรูปแบบนีโอโซมเพื่อนำไปตั้งตำรับสูตรเซรั่มสำหรับผิวที่เป็นสิวง่าย โดยทำการสกัดหน่อกะลาด้วยตัวทำละลายเฮกเซนและนำไปทดสอบฤทธิ์การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย <em>Staphylococcus aureus</em> (S. <em>aureus</em>) และ <em>Propionibacterium acnes</em> (P. <em>acne</em>s) ด้วยวิธีการแพร่ (disc diffusion) พบว่าในวิธี Disc diffusion สารสกัดหน่อกะลามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย S. <em>aureus</em> ได้ แต่ไม่พบฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P. <em>acne</em> ส่วนวิธี Broth dilution พบว่าสารสกัดหน่อกะลาในความเข้มข้นระดับต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ ผลการทดสอบการออกฤทธิ์ของสารสกัดหน่อกะลามีค่า MIC ของเชื้อ S.<em> aureus</em> เท่ากับ 6.25 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และค่า MIC ของเชื้อ P. <em>acne</em> เท่ากับ 3.13 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร สรุปได้ว่าเมื่อมีการใช้สารสกัดหน่อกะลาที่ความเข้มข้นที่สูงขึ้น มีฤทธิ์การยับยั้งที่เท่าเดิม มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC<sub>50 </sub>เท่ากับ 0.1±0.15 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมด้วยวิธี folin ciocalteu reagent โดยใช้กรดแกลลิกเป็นสารละลายมาตรฐาน พบว่าสารสกัดหน่อที่มีความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมเท่ากับ 89.777 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมของสารสกัด วิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ของสารสกัดหน่อกะลาที่ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรพบว่ามีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดเท่ากับ 85.25±0.002 มิลลิกรัมสมมูลของเควอเซตินต่อกรัมของสารสกัด และเมื่อทดสอบการนำส่งนีโอโซมเพื่อศึกษาการห่อหุ้มการจัดเรียงตัวเป็นชั้น โดยใช้สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุต่างกัน ได้แก่ span 40, span 60 และ span 80 พบว่าสารลดแรงตึงผิว span 60 มีการห่อหุ้มและจัดตัวเรียงเป็นชั้นดีที่สุด สรุปได้ว่าสารสกัดหน่อกะลามีฤทธิ์การยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ และ span 60 มีคุณสมบัติการห่อหุ้มการจัดเรียงตัวเป็นชั้นได้ดีที่สุด ทำให้สารสกัดหน่อกะลามีคุณสมบัติเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในเครื่องสำอางพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในรูปแบบเซรั่ม ซึ่งถือเป็นองค์ความรู้ที่ได้มาพัฒนาต่อยอดให้มีมูลค่าเพิ่มให้แก่หน่อกะลาซึ่งเป็นพืชท้องถิ่น</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284211
The Causal Relationship of Factors Affecting the Performance of University Professors in Guangxi Province People's Republic of China
2025-10-27T14:38:36+07:00
Li Jing
wachiraporn.research@gmail.com
Napawan Netpradit
42127385@qq.com
Thatphong Awirothananon
42127385@qq.com
<p>This study aimed to analyze the causal relationship of factors affecting the performance of university professors in Guangxi Province. A variety of theoretical concepts and statistical analyses, such as Structural Equation Model Analysis (SEM), are used to measure and evaluate the impact of these factors on teacher performance in multiple dimensions, such as research outcomes, teaching quality, and academic roles in the professional community. Therefore, this research aims to use quantitative and qualitative research methodologies (Mixed Methods) with data collected from a sample of professors from universities of science in Guangxi Province. A total of 10 institutions with a total of 500 respondents and conducted in-depth interviews to obtain comprehensive data both statistically and qualitatively.</p> <p>The results of the study showed that the factors of emotional management Knowledge management and benefit perception all have a direct and significant impact on the performance of teachers. Whether it is teaching, research, and self-development. In addition, the organization of learning acts as an intermediary variable that enhances the potential to integrate these factors into effective linkages. Promote cooperation, knowledge exchange, and continuous academic adaptation. As a result, personnel are ready to create quality work and drive the development of science and technology in Guangxi to be more advanced. </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281443
Analysis and Research on Winning Factors of Chinese Olympic Women Weightlifting Champion
2025-05-30T13:43:55+07:00
Feiyu Jiang
feiyujiang.02@gmail.com
Ekasak Hengsuko
ekasak.he@udru.ac.th
Jakrin Duangkam
ekasak.he@udru.ac.th
<p>This article portrays the Olympic women's weightlifting champions of China in their successful factors and their reasons for having excelled in the Olympic Games since. Utilized methods like collect information from the literature, ask experts, and case studying so as to analyze from multiple perspectives the personal abilities, coaching methods, mental conditions, nutrition and recovery, and the national sports system support that the athletes have.</p> <p>The study finds that systematic training associated with the scientific mode of talent selection and nurturing as well as unparalleled support from national sports policies are the main contributory factors to the remarkable performance of Chinese women in weightlifting. Their record-breaking and first-class psychological qualities and strategy also differ from those of the losers. Meanwhile, proper nutrition and scheduled recovery during the competitions will naturally assure the athletes' constant top-level performance.</p> <p>This paper then introduces a theoretical model consisting of three main factors (the conditioning, core, and supporting system) and 8 secondary indicators, along with a list of 22 tertiary factors, which build the dependent variable of women's weightlifting performance in the Olympics.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284287
การดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 4
2025-10-31T08:46:29+07:00
ธัญมัย แฉล้มเขตต์
bmsitthiwat@gmail.com
อรรถพล อารยเขมกุล
triamtan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ 2) เพื่อทราบปัญหาและข้อเสนอแนะ ของการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ และ 3) เพื่อทราบความพึงพอใจของครูที่มีต่อการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน โดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารและครูโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 82 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน โดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้บริหารและครูที่มีต่อการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทร เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (µ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายขั้นตอน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกขั้นตอน โดยขั้นตอนที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ขั้นตอนการเตรียมการก่อนการประกันคุณภาพ และพบว่า ผลการประเมินตนเองตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 1-3 อยู่ในระดับยอดเยี่ยม</p> <p>2) ปัญหาและข้อเสนอแนะของการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE พบว่า โรงเรียนมีโครงการและกิจกรรมมากแต่มีเวลาค่อนข้างจำกัด บุคลากรที่เป็นคณะทำงานมีงานสอนประจำมาก BD4 QA ONLINE เป็นระบบใหม่ครูจึงยังมีปัญหาในการใช้งาน ครูยังใช้งานระบบออนไลน์ไม่คล่อง ควรให้ความรู้การใช้งานเทคโนโลยีในปัจจุบันแก่ครูอย่างสม่ำเสมอ</p> <p>3) ผู้บริหารและครูมีความพึงพอใจต่อการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโดยใช้ระบบ BD4 QA ONLINE โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ พบว่า อยู่ในระดับมาก</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283057
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิต ในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา
2025-10-13T15:42:17+07:00
รดารัตน์ ยุมิมัย
yuiiyooomimai@gmail.com
พรรณี สมานญาติ
yuiiyooomimai@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา และ <br />3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูแนะแนว ครูที่ปรึกษา และครูระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวน 346 คน โดยใช้แบบสอบถาม การตรวจสอบร่างรูปแบบฯ โดยการสนทนากลุ่ม จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และ การประเมินรูปแบบฯ จากผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา จำนวน 50 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีองค์ประกอบ 2 ส่วน ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประกอบด้วย 1) การวางแผน 2) การจัดองค์กร 3) การจัดบุคลากรปฏิบัติงาน 4) การอำนวยการ 5) การประสานงาน และ 6) การรายงาน และองค์ประกอบที่ 2 การดำเนินการตามระบบการดูแลช่วยเหลือ ประกอบด้วย 1) การส่งเสริม พัฒนา สร้างภูมิคุ้มกัน 2) การป้องกัน แก้ไข เยียวยา 3) การส่งต่อ 4) การประเมิน และ 5) การวิจัยและวางแผน โดยผลการประเมินรูปแบบฯ ภาพรวมมีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281448
สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 2
2025-10-25T10:41:50+07:00
พรทิพย์ แผ้วสะอาด
fon.phonthip.2536@gmail.com
พิมพ์ปวีณ์ สุวรรโณ
fon.phonthip.2536@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาและการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน ประสบการณ์ทำงาน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 2 จำนวน 316 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ตามขนาดโรงเรียน และทำการสุ่มอย่างง่าย ตามสัดส่วนประชากรในแต่ละชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าเอฟ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา ภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ยกเว้นด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต อยู่ในระดับมาก (2) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ขนาดโรงเรียน ประสบการณ์ทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ .05 ยกเว้นตามตำแหน่ง ไม่แตกต่างกัน การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน ประสบการณ์ทำงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ .05 (3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา กับการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ อยู่ในระดับปานกลาง (r = 0.535) และมีความสัมพันธ์ในทิศทางบวก อย่างมีนัยสำคัญ .05</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281442
การศึกษาทักษะซอฟต์สกิล วิธีการพัฒนา และแนวทางการพัฒนาสำหรับพนักงานโรงแรม ในประเทศไทย ในบริบทยุคอุตสาหกรรม 5.0 มุมมองของพนักงาน ผู้จัดการ และนักวิชาการ
2025-10-26T14:02:44+07:00
อลี ติงหวัง
ale.tingvong@gmail.com
ภาวิณี เพชรสว่าง
pawpetch@gmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทักษะซอฟต์สกิลที่จำเป็นสำหรับพนักงานโรงแรมในประเทศไทยภายใต้บริบทของอุตสาหกรรม 5.0 (2) ศึกษาวิธีการพัฒนาทักษะซอฟต์สกิลในบริบทของอุตสาหกรรม 5.0 และ (3) เสนอแนวทางการพัฒนาทักษะซอฟต์สกิลจาก 3 บทบาท พนักงานโรงแรม ผู้จัดการ และนักวิชาการ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษา ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง (semi-structured interviews) จากผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 18 คน ใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต อุดรธานี และเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพนักงานระดับพนักงาน ผู้จัดการแผนก และนักวิชาการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบหาแก่นสาระ (thematic analysis)</p> <p> ผลการวิจัยค้นพบทักษะซอฟต์สกิลที่จำเป็นในยุคอุตสาหกรรม 5.0 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ (1) ทักษะการสื่อสารแบบปรับตามบริบท (contextual communication skills) (2) ทักษะการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจในบริบทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (critical thinking & decision-making in tech-driven hospitality) (3) ทักษะความเข้าใจและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (skills in understanding and utilizing artificial intelligence) และ (4) ทักษะการทำงานร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและข้ามสายงาน (cross-department & cross-cultural adaptability skills)</p> <p> วิธีการพัฒนาทักษะซอฟต์สกิลที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย (1) การเรียนรู้ผ่านระบบพี่เลี้ยงในสถานที่ทำงาน (peer-mentored experiential learning) (2) การฝึกอบรมข้ามสายงานร่วมกับสถานการณ์จำลอง (cross-functional training with scenario-based simulation) (3) ระบบการให้ข้อมูลย้อนกลับและการโค้ชอย่างต่อเนื่อง (constructive feedback and coaching for continuous soft skill development) และ (4) การฝึกอบรมแบบผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ (blended learning with digital tools & human facilitation)</p> <p> แนวทางความร่วมมือในการพัฒนาทักษะซอฟต์สกิลจาก 3 บทบาท ได้แก่ (1) การวางแผนฝึกงานระยะเริ่มต้นเพื่อเชื่อมโยงหลักสูตรกับโลกการทำงาน (bridging academia and industry through early-stage internship planning in hospitality curricula) (2) ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมผ่านการฝึกงานแบบมีโครงสร้างและระบบติดตามผลด้วย E-Portfolio (strengthening university–industry partnerships through structured internships and E-Portfolio tracking) และ (3) การพัฒนาสมรรถนะพนักงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกด้วยการใช้แผนพัฒนารายบุคคล (PDPs) และตัวชี้วัดความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) (performance alignment in hospitality: using PDPs and CSAT to meet global service expectations)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283416
พลังแห่งสภาวะตนเอง : การสร้างแรงจูงใจและศักยภาพของผู้หญิงในการเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติ
2025-10-16T21:02:40+07:00
ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์
thanikan.p66@rsu.ac.th
<p>การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน แม้ผู้หญิงไทยมีความก้าวหน้าทางการศึกษาและอาชีพ แต่การมีตัวแทนในสภานิติบัญญัติยังคงต่ำกว่าร้อยละ 20 วรรณกรรมส่วนใหญ่มุ่งเน้นศึกษาโครงสร้างทางการเมืองและมาตรการนโยบาย ขณะที่มิติ "สภาวะตนเอง" (Self) ในกรอบแนวคิด “สามพลังเพื่อความยั่งยืน : สภาวะ-สถาบัน-สถานการณ์ (3ส)” หรือ Self-Structure-Situation (3S) ยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างเป็นระบบ</p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายองค์ความรู้ในมิติสภาวะซึ่งเป็นหนึ่งในสามองค์ประกอบของกรอบแนวคิด 3ส โดยวิเคราะห์ด้านสภาวะตนเอง ในสองมิติหลัก ได้แก่ (1) ปัจจัยทางจิตวิทยา ผ่านทฤษฎีลำดับความต้องการของมาสโลว์ ทฤษฎีการกำหนดตนเอง ทฤษฎีจิตวิทยาอาชีพ และ (2) ปัจจัยศักยภาพภาวะผู้นำ ผ่านทฤษฎีการบรรจบกันของอัตลักษณ์ ทฤษฎีทุนมนุษย์ ทฤษฎีพฤติกรรมผู้ลงคะแนน เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเข้าสู่การเมืองของผู้หญิง</p> <p>การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าสภาวะตนเองนับเป็นรากฐานของการเสริมพลังของผู้หญิงทางการเมือง โดยประกอบด้วยการสร้างแรงจูงใจส่วนบุคคล และการพัฒนาศักยภาพผู้นำ ซึ่งสามารถถูกกระตุ้นและพัฒนาผ่านกระบวนการเป็นระบบและเครื่องมือที่เหมาะสม บทความนำเสนอโมเดลสภาวะแบบพหุมิติ ที่ประกอบด้วยห้ามิติหลัก (SELF-5D) ได้แก่ มิติแรงจูงใจ มิติความเชื่อมั่น มิติความยืดหยุ่น มิติภาวะผู้นำ และมิติการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาสนับสนุนแนวคิดที่ว่า การเสริมพลังผู้หญิงในเวทีการเมืองจำเป็นต้องเริ่มจากการพัฒนาสภาวะตนเองเป็นลำดับแรก ก่อนจะขยายไปสู่การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างสถาบัน (Structure) และการพิจารณาบริบทสถานการณ์ (Situation)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283137
Development of a Strategic Management Model for Effective Procurement Internal Control of Hubei Engineering University, China
2025-10-25T12:04:51+07:00
Mingxing Ai
aistar7905@outlook.com
Saichol Jinjo
saichol.j@dru.ac.th
Nithipattara Balsiri
nithipat798@yahoo.com
<p>The objectives of this research were:1) To investigate the needs and expectations of faculty, staff, and administrative staff towards effective procurement internal control of Hubei Engineering University, China. 2)To construct strategic management model based on PDCA Cycle for effective procurement internal control of Hubei Engineering University, China, and 3) To evaluate the effectiveness of strategic management model based on PDCA Cycle for effective procurement internal control of Hubei Engineering University, China. The samples were 284 faculty staffs and 179 administrative staffs of Hubei Engineering University using the Yamane (1967)’s formula. The research instrument used in this research were questionnaire and interview methods, and the questionnaire contained 55 questions, and interview contained 20 questions. The research methodology included population and samples, research instruments, data collection, data analysis, each had 3 phase: Investigate the needs; The focus group meeting; and model evaluation. A five-point scale was used to evaluate the needs and expectations of effective procurement internal control of Hubei Engineering University. Subsequently, this study used questionnaire survey and interview methods to survey 284 teachers and 179 administrative staff of Hubei Engineering University as samples. The questionnaire was verified by 5 experts, using the PDCA management model, and setting four dimensions of planning, doing, checking, and acting. The data were analyzed and by frequency, percentage, mean, and standard deviation etc.</p> <p>The results of this research showed that: 1) The needs and expectations of the faculty staff and administrative staff of Hubei Engineering University regarding procurement internal control were collected. The expectations were at a relatively high level. 2) A strategic management model for effective procurement internal control of Hubei Engineering University was constructed. The strategic management model was based on the PDCA cycle and can be continuously improved and perfected through internal control measures. 3)The strategic management model was evaluated by 5 experts through SWOT analysis, COSO framework and PESTLE analysis. The scores were 3, 2, 3, 3; 3, 3, 2, 3; and 3, 3, 2, 3 respectively. The evaluation values indicate a relatively high level. Practical application shows that this management model has played a significant role in improving the procurement efficiency of Hubei Engineering University, strengthening procurement internal control, and preventing and controlling procurement risks.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283113
Guidelines for the Development of Small and Medium-Sized Enterprises in the Trade Sector within the Eastern Economic Corridor under the Transformation of the Digital Economy Era
2025-10-08T14:32:09+07:00
Chainat Pansantie
chainat.p@fba.kmutnb.ac.th
<p>SMEs in the trade sector create works, occupations, and income. It’s the key part to stimulate the country which are facing operational challenges due to the transition into digital era. This effects a decline in the number of entrepreneurs. This research aims to identify guidelines for the development of SMEs in the trade sector to be able to operate its business during the ongoing changes.</p> <p>This research is quantitative research by collecting survey data from entrepreneurs operating SMEs in the trade sector. The research instrument is a questionnaire using Multivariate statistical techniques for the Second-order Confirmatory Factor Analysis (S-CFA) and followed by a Structural Equation Model (SEM).</p> <p>The developed structural equation model demonstrated a good fit with the empirical data, with p-value = 0.149, CMIN/DF = 1.109, GFI = 0.964, and RMSEA = 0.015, all statistically significant at the 0.001 level, meeting the established criteria. Regarding the analysis of variables within the newly developed model, the overall influence analysis revealed that: Change leader had the strongest direct influence on organization management = 0.77. Organization management had a direct influence on personal potential = 0.67. Change leader directly influenced Product Innovation = 0.64. Personal potential had a direct influence on customer experience = 0.54. Product innovation had a direct influence on customer experience = 0.36. Change leader had a direct influence on personal potential = 0.25. Personal potential had a direct influence on product innovation = 0.22, respectively.</p> <p>This research can be used to formulate strategic guidelines for the trade sector as well as other business sectors to adapt to the changes in the digital era. The strategies mentioned in this study are important factors that help organizations to remain competitive and sustain their presence in the market.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281529
An Implementation Strategic of Environmental, Social and Governance of Waste Materials in the BCG Model from Tobacco, Tobacco Authority of Thailand
2025-10-25T10:42:55+07:00
Chargarn Pattpai
chargarn.p@mail.rmutk.ac.th
Chattrarat Hotrawaisaya
wissawa.au@ssru.ac.th
Wissawa Aunyawong
wissawa.au@ssru.ac.th
<p>Implementing Environmental Social Governance principles for waste materials in the Bio-Circular-Green Economy Model from Tobacco at the Tobacco Authority of Thailand will boost sustainability, improve the organization’s reputation, and favorably impact environmental and social welfare. By implementing waste reduction, recycling, and responsible governance, Tobacco Authority of Thailand can provide a more sustainable and ethical operational framework while promoting a culture of responsibility and accountability.</p> <p>The research instrument was a questionnaire, and it was used for data collection. Key informants included the Deputy Director of the Tobacco Authority of Thailand (Production Division), the Director of Production Division, and the Head of the Bureau of Quality, Safety, and Environment. Descriptive statistics were mean, and standard deviation. The production supervisor must have a minimum of 7 years professional experience in waste material production and management, as well as maximum value addition. The outcomes derived from the SEM (Structural Equation Modeling) investigation are Chi-Square (CMIN) = 58.827, df = 44, p-value = 0.067, RMSEA = 0.028, GFI =0.982, AGFI = 0.951. The purpose of the research was analyzing the ESG performance of waste materials based on the Bio-Circular-Green Economy concept and examine the correlation between ESG development and the performance of the TAOT. Summary of findings; Environmental: Mitigating waste and pollution from tobacco cultivation can alleviate environmental repercussions, including the diminishment of soil and water contamination, Social: Establishing accountability for communities and stakeholders by minimizing waste and pollution, which includes generating employment in the recycling sector or utilizing waste materials, Governance: Enhancing internal systems for transparency and reporting outcomes to stakeholders, so fostering confidence in sustainable operations. Minimizing waste from tobacco manufacturing through a sustainability strategy for waste materials can enhance firms' ESG outcomes and generate long-term value, encompassing environmental and social responsibility.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281244
Impact Factors on Sustainable Development of Modernization for the Construction Site at Nanchang, China
2025-10-25T11:45:20+07:00
Meilin Li
wipawee180646@gmail.com
วิภาวี จิตรนอก
wipawee180646@gmail.com
<p>The main purpose of this study is to analyze the key factors of the modernization of construction sites in Nanchang, and their impact on sustainable development, and to make suggestions to improve the level of sustainable development. The construction industry plays a key role in urban development, life improvement and economic growth, but faces challenges such as inefficient management, poor technology lag, low construction efficiency and safety issues. The research methods include literature review, questionnaire survey and case analysis, taking Nanchang city as a case, focusing on the impact of project management on project modernization and sustainable development. The study found that factors such as dynamic ability, knowledge innovation, quality improvement and operational development have a positive impact on project modernization, and market reputation plays an intermediary role between dynamic capability and sustainable development. Finally, the study makes feasible suggestions to improve the level of project modernization and sustainable development.</p> <p>This study is crucial to the modernization and sustainable development of the construction industry in Nanchang, providing scientific strategic and policy advice for the government, enterprises and employees, and promoting the construction industry to the direction of sustainable, efficient and innovative. At the same time, it also provides a foundation for future research in related fields, and has academic value. Despite some limitations, this study has an important reference value for promoting the modernization of the construction industry.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279943
Guidelines for Developing an Internal Quality Assurance System According to the Standards of the National Early Childhood Development Center, under the local administrative organization of Surin Province
2025-10-17T14:56:10+07:00
Piyanun Phulsopha
piyanun1407@gmail.com
Sirilak Vanaporn
Sililak.w@srru.ac.th
Chanaphat Kamparak
Ksp22496@gmail.com
Pacharawit Chansirisira
pacharawit05@gmail.com
Chatwilai Surinchopoo
Chatwilaitukta@gmail.com
<p>This research aimed to 1) study the current condition and desirable condition of the internal quality assurance system according to the standards of the National Standard for Early Childhood Care Development of early childhood development centers under local administrative organization located in Surin Province. 2) study needs, and 3) create guidelines for developing internal quality assurance regarding National Standard for Early Childhood Care Development. The research has 3 steps as follows: 1) Study the current and desired conditions. The sample group is 122 Child Development Centers, using a multi-stage random sampling method. The research instrument is a questionnaire. And study the multiple cases by in-depth interviews at 3 model child development centers in Surin Province. 2) Study the needs of the sample group of 122 Child Development Centers, using a multi-stage random sampling method. The research instrument used a questionnaire. 3) Create guidelines for developing an internal quality assurance system. Target group: 10 people, choose specifically the research instrument used an assessment form, using statistics such as mean, standard deviation, Priority Needs Index (PNImodified). The research results found 1. Current condition of work operation of internal quality assurance regarding National Standard for Early Childhood Care Development was at medium level to high-level, and desirable condition was in the highest level. 2. Priority needs of operation of internal quality assurance regarding National Standard for Early Childhood Care Development was at highest level, following by creating education development plan for early childhood development center. The third is about following up the work results to develop institutes to reach education quality standards, and the last one is education quality development with continuity. 3. The guideline for developing internal quality assurance regarding National Standard for Early Childhood Care Development consists of 7 compositions with 50 guidelines and quality evaluation results were at highest level in every composition.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281261
การประยุกต์ใช้และพัฒนาศิลปะสื่อใหม่ในการแสดงเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของวัฒนธรรมเทพเซียนในลัทธิเต๋า: กรณีศึกษา “เผิงไหล”
2025-10-19T09:40:46+07:00
เหวินเทา หวง
skzllab@gmail.com
บุญชู บุญลิขิตศิริ
skzllab@gmail.com
รสา สุนทรายุทธ
skzllab@gmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมเทพเซียนในลัทธิเต๋าแห่งเผิงไหล วิเคราะห์การประยุกต์ใช้และแนวทางการสร้างสรรค์ศิลปะสื่อใหม่ในการแสดงเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเสนอแนวทางในการยกระดับการนำเสนอวัฒนธรรมดังกล่าวให้สอดคล้องกับบริบทของยุคดิจิทัล โดยอาศัยกรอบแนวคิดจากทฤษฎีการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมและทฤษฎีสัญศาสตร์ละครเวทีควบคู่กับแนวคิดด้านศิลปะสื่อใหม่</p> <p>การวิจัยประกอบด้วยการวิจัยทางเอกสาร การศึกษาแนวปฏิบัติจากกรณีตัวอย่าง และการสำรวจภาคสนามในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเผิงไหล ผลการวิจัยพบว่า แม้เผิงไหลจะมีรากฐานวัฒนธรรมเทพเซียนที่มั่นคง แต่รูปแบบการนำเสนอในปัจจุบันยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ งานวิจัยจึงเสนอแนวทางพัฒนา เช่น โรงละครแบบดื่มด่ำ “เตาหลอมยา” การแสดงโดรนกลางทะเล และการฉายภาพแสงสีแบบ 3D Mapping บนวัดเผิงไหลเก๋อ ซึ่งใช้เทคโนโลยีศิลปะสื่อใหม่เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวให้มีมิติและคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของศิลปะสื่อใหม่ในการสื่อสารและผลิตซ้ำวัฒนธรรมดั้งเดิมให้มีชีวิตในยุคสมัยใหม่ อีกทั้งยังสามารถเป็นแนวทางเชิงปฏิบัติในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมอื่น ๆ ในบริบทของวัฒนธรรม–ท่องเที่ยว 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278427
Factors Influencing Student Engagement in the Flexible Learning of Foreign Language in Higher Education
2025-10-04T17:52:01+07:00
Menghan Xu
s64584945059@ssru.ac.th
Chalermpol Tapsai
chalermpol.ta@ssru.ac.th
<p>This study aims to: 1) create a factor model of flexible learning that influences student engagement based on the related theories and concepts, 2) test the flexible learning factor model for the relationships between variables, and 3) explain and deepen our understanding of the influencing factors affecting student engagement. The research employs a mixed-methods design, drawing on theories such as learning theory, constructivism, online learning, e-learning, hybrid learning, flexible learning, the technology acceptance model, and motivation. Conducted at Suan Sunandha Rajabhat University, Thailand, the study includes 4,173 students enrolled in foreign language courses in 2023, with a sample of 366 students selected via clustered random sampling.</p> <p>Two instruments were used: 1) a structured questionnaire for quantitative analysis and 2) a semi-structured interview for qualitative research. Quantitative data were analyzed with basic statistics, factor analysis, and structural equation modeling (SEM), while qualitative data were analyzed through content analysis.</p> <p>The findings develop a flexible learning factor model and identify various factors that directly and indirectly impact student engagement. The results explain the causes behind these factors and provide a foundation for developing flexible learning models that meet students' needs.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281754
การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น
2025-10-18T22:30:45+07:00
ชฎาธาร คำเนียม
shadatanc@g.swu.ac.th
ลัดดา หวังภาษิต
shadatanc@g.swu.ac.th
สุวิชา วันสุดล
shadatanc@g.swu.ac.th
<p>งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความฉลาดรู้ทางการเงินของ</p> <p>นักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น 3) ศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 30 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น 2) แบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ และตัวบ่งชี้ของความฉลาดรู้ทางการเงิน 3) แบบประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงิน 4) แผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงิน 5) แบบทดสอบวัดความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (𝑥̄)และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า t-test แบบ dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น มีองค์ประกอบออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ทางการเงิน ด้านทักษะทางการเงิน ด้านเจตคติทางการเงิน และด้านพฤติกรรมทางการเงิน ซึ่งองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของความฉลาดรู้ทางการเงิน มีความเหมาะสมในระดับมาก (𝑥̄ = 4.27 , S.D. = 0.65) 2) ผลการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (𝑥̄ = 4.19, S.D.=0.71) 3) ผลการหาประสิทธิผลของหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยของแแบบทดสอบ</p> <p>วัดความฉลาดรู้ทางการเงิน ด้านความรู้ทางการเงิน และด้านทักษะทางการเงิน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และนักเรียนส่วนใหญ่มีความฉลาดรู้ทางการเงิน ด้านเจตคติทางการเงิน อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด (𝑥̄ = 2.67, S.D.= 0.45) รวมถึงนักเรียนส่วนใหญ่มีความฉลาดรู้ทางการเงินด้านพฤติกรรมทางการเงิน อยู่เป็นประจำ (𝑥̄ = 2.74, S.D.= 0.41)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280638
ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา
2025-10-17T13:57:58+07:00
กิตติศักดิ์ สินธุวงศานนท์
seiryoku_nhow@utd.ac.th
เอื้อมพร หลินเจริญ
kittisaksi@nu.ac.th
ปกรณ์ ประจันบาน
kittisaksi@nu.ac.th
อนุชา กอนพ่วง
kittisaksi@nu.ac.th
<p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา 2) ประเมินประสิทธิผลความเป็นประโยชน์ของแบบการบริหารจัดการเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครู จำนวน 33 คน นักเรียนจำนวน 12 คน กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง จำนวน 12 คน ปราชญ์ชาวบ้านภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวน 12 คน ของโรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ ปีการศึกษา 2567 ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1)แบบสอบถาม 2)การสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1. รูปแบบการบริหารจัดการเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในโรงเรียนมัธยมศึกษามีผลการพัฒนาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ =4.62, S.D.=0.33) โดยครูมีภาพรวมในระดับมากที่สุด (𝑥̅ =4.67, S.D.=0.31) คณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองมีภาพรวมในระดับมากที่สุด (𝑥̅ =4.67,S.D.=0.44) ปราชญ์ชาวบ้านภูมิปัญญาท้องถิ่นมีภาพรวมในระดับมาก (𝑥̅ =4.45, S.D.=0.24)</p> <p>2. รูปแบบมีความเป็นประโยชน์โดยครู นักเรียน ปราชญ์ชาวบ้านภูมิปัญญาท้องถิ่นคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองได้มีบทบาทเข้ามามีส่วนร่วมในการบริการจัดการเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการบูรณาการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ามาในหลักสูตรการเรียนการสอน มีการใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยี ในการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในโรงเรียนมัธยมศึกษาเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์และทันสมัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน และการอนุรักษ์ภูมิปัญญาให้คงอยู่ ชุมชนไม่เพียงเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ แต่ยังเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่น</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280675
แนวทางการจัดการหนี้สินครัวเรือนของศูนย์จัดการกองทุนชุมชนบ้านโคกแซะ หมู่ที่ 6 ตำบลนางหลง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
2025-10-25T11:41:17+07:00
ธณัฐกมล สุขราม
natworakan@gmail.com
วันชัย ธรรมสัจการ
natworakan@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การจัดการหนี้สินครัวเรือนของศูนย์จัดการกองทุนชุมชนบ้านโคกแซะ หมู่ที่ 6 ตำบลนางหลง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นศูนย์ที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการหนี้สินของครัวเรือนในระดับชุมชน โดยมุ่งสร้างวินัยทางการเงิน ลดภาระหนี้ และส่งเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานราก การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับคณะกรรมการศูนย์จัดการกองทุนชุมชน จำนวน 3 คน เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน 3 คน และสมาชิกศูนย์ฯ 3 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือหลักในการวิจัย ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เพื่อสังเคราะห์แนวทางการจัดการหนี้สินครัวเรือนอย่างมีระบบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ศูนย์จัดการกองทุนชุมชนบ้านโคกแซะมีแนวทางหลักในการจัดการหนี้สินครัวเรือน 3 ประการ ได้แก่ 1) การจัดการหนี้แบบ “หนึ่งครัวเรือน หนึ่งสัญญา” โดยมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหลือเพียงสัญญาเดียวต่อครัวเรือน เพื่อความสะดวกในการชำระหนี้และลดภาระดอกเบี้ย 2) การส่งเสริมอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย โดยสนับสนุนให้ครัวเรือนเป้าหมายมีอาชีพที่มั่นคงและสามารถพึ่งตนเองได้ และ 3) การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน ลดการกู้ซ้ำซ้อน และเสริมสร้างแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างพอประมาณและมีเหตุผล จากผลการศึกษา พบว่าการจัดการหนี้สินครัวเรือนโดยใช้กลไกของชุมชนร่วมกับการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการพัฒนาอาชีพ เป็นแนวทางที่สามารถช่วยลดปัญหาหนี้สินเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนและชุมชนได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282407
การวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายสำหรับธุรกิจทรายแมว ในเขตอำเภอเมืองขอนแก่น ด้วยกระบวนการสุนทรียสาธกและการวิเคราะห์ซออาร์ กรณีศึกษา: แบรนด์มงคลทรายแมว
2025-10-18T20:20:42+07:00
วันวิสา พลทอง
wanwisa.pol@kkumail.com
อัจฉริยะ อุปการกุล
wanwisa.pol@kkumail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็น งานวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาประสบการณ์เชิงบวกและความประทับใจของผู้เลี้ยงแมวที่มีต่อการซื้อทรายแมวในเขตอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และ (2) พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายของธุรกิจทรายแมว โดยใช้กระบวนการ สุนทรียสาธก (Appreciative Inquiry) และการวิเคราะห์ SOAR (Strengths, Opportunities, Aspirations, Results) เป็นกรอบแนวคิดหลัก กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพได้แก่ ผู้เลี้ยงแมวจำนวน 15 คน ซึ่งคัดเลือกโดย วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ตรงกับการใช้ผลิตภัณฑ์และมีความถี่ในการซื้อสูง ทำการ สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เพื่อค้นหาประสบการณ์เชิงบวกและความคาดหวัง ขณะที่ในส่วนเชิงปริมาณได้เก็บข้อมูลจากผู้บริโภคจำนวน 120 คน ด้วยแบบสอบถามออนไลน์เพื่อวัดระดับความพึงพอใจและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ Kasty รองลงมาคือ Pettosan และ Me-O โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของทรายแมว เช่น การเก็บกลิ่น การจับตัวเป็นก้อน และฝุ่นน้อย ราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 200–299 บาท (ขนาด 10 ลิตร) ช่องทางซื้อแบ่งเป็นหน้าร้านและออนไลน์ โดยบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรงและกันความชื้นเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบจุดร่วมที่สะท้อนความต้องการพื้นฐานคล้ายกัน และจุดต่างที่แสดงความชอบเฉพาะบุคคล จากการบูรณาการผลการวิเคราะห์ SOAR และแนวคิด 4Es (Experience, Exchange, Everyplace, Evangelism) ได้พัฒนา 3 โครงการกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ “ลองแล้วรักเลย” (ทดลองฟรี), “บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก”, และ “ชุมชนพลังบวกของคนรักแมว” ผลการทดลองใช้แนวทางพบว่า ผู้บริโภคมีความพึงพอใจในระดับมาก โดยเฉพาะด้านบรรจุภัณฑ์ และมีการมีส่วนร่วมบนสื่อสังคมออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283503
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียด้วยชุดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) สำหรับใช้ ในการสอน การอ่าน การเขียน และคิดวิเคราะห์ ด้านภาษาไทยสำหรับประถมศึกษาของครูในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี
2025-10-13T16:10:16+07:00
ทรงศักดิ์ สุริโยธิน
songsak03051978@gmail.com
ปรัชญา ใจภักดี
songsak03051978@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาสื่อมัลติมีเดียในรูปแบบชุดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) สำหรับการสอนการอ่าน การเขียน และการคิดวิเคราะห์ด้านภาษาไทยระดับประถมศึกษา (2) ทดลองใช้สื่อมัลติมีเดียดังกล่าวในกลุ่มครูสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และ (3) ติดตามและประเมินผลการใช้สื่อเพื่อศึกษาประสิทธิภาพและทัศนคติของครูต่อการจัดการเรียนการสอนเชิงดิจิทัล การวิจัยเป็นแบบวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ประชากรคือครูภาษาไทยระดับประถมศึกษา 1,200 คน จาก 34 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 68 คนได้จากการสุ่มแบบเจาะจงและแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบประเมินคุณภาพสื่อ แบบทดสอบก่อน–หลังเรียน และแบบสอบถามทัศนคติของครูผู้สอนต่อการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ชุดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพในระดับดีมากทั้งด้านเนื้อหา การออกแบบ การนำเสนอ และการใช้งานจริง ครูผู้สอนที่ใช้สื่อมีพัฒนาการด้านทักษะการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการใช้เทคโนโลยีในการสอนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อีกทั้งมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนการสอนภาษาไทยอยู่ในระดับมาก สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1–6 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่าน การเขียน และการคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยรวม ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การใช้สื่อมัลติมีเดียในรูปแบบ e-book สามารถยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนและเพิ่มประสิทธิภาพการสอนของครูได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงดิจิทัลในระดับประถมศึกษา และสามารถประยุกต์ต่อยอดไปสู่กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่อไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283512
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูในยุคดิจิทัลของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2025-10-13T15:59:51+07:00
บดี ทะนอก
bodeemutd@gmail.com
เพลินพิศ ธรรมรัตน์
bodeemutd@gmail.com
จิณณวัตร ปะโคทัง
bodeemutd@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการของครูในยุคดิจิทัล ของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบ และ 3) ตรวจสอบประสิทธิผลของรูปแบบ การดำเนินการวิจัย มี 3 ระยะ 7 ขั้นตอน ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนโรงเรียนมัธยมศึกษา ในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 22,974 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 45 คนและครู จำนวน 360 คน จากโรงเรียนมัธยมศึกษา ในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมจำนวน 405 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการของครูในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การพัฒนาตนเองและวิชาชีพในยุคดิจิทัล การจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล การบูรณาการเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล การออกแบบนวัตกรรมหลักสูตรในยุคดิจิทัล 2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) ความมุ่งหมาย 3) เนื้อหา 4) กระบวนการพัฒนา 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 6) การวัดและประเมินผล โดยภาพรวม ด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของครูในยุคดิจิทัล พบว่า มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรวมมีค่าเฉลี่ยการประเมินครั้งที่ 8 (\bar{X} = 4.53) สูงกว่าครั้งที่ 1 (\bar{X} = 2.39) โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.14 มีร้อยละความก้าวหน้า เท่ากับ 81.85 เมื่อพิจารณาเป็นด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย พบว่า การบูรณาการเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัลพัฒนาเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 88.09 รองลงมาคือ การออกแบบนวัตกรรมหลักสูตรในยุคดิจิทัล ร้อยละ 83.73 การพัฒนาตนเองและวิชาชีพในยุคดิจิทัล ร้อยละ 79.77 และการจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนในยุคดิจิทัล ร้อยละ 77.78</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283616
การพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย
2025-10-13T16:02:20+07:00
จุไรรัตน์ กีบาง
benchaya1977@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้เข้าร่วมการวิจัยประกอบด้วยบุคลากรของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย และผู้ปกครองเด็ก จำนวน 38 คน การดำเนินการวิจัยประกอบด้วย 1) ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และปัญหา การกำหนดรูปแบบการดำเนินงานในพื้นที่ 2) มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ประชากร และการเก็บรวบรวมข้อมูล 3) การวางแผน 4) การดำเนินงาน 5) การติดตามและประเมินผล 6) การเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ ร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า บุคลากรศูนย์ฯและผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปี สูงขึ้น มีส่วนร่วมในกระบวนการส่งเสริมพัฒนาการเด็กตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป ได้แก่ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ การมีส่วนร่วมวางแผนการดำเนินงาน การสังเกตการณ์ การประเมิน และการมีส่วนร่วมในการสะท้อนผล/สะท้อนข้อมูล หลังการพัฒนา เด็กปฐมวัยได้รับการคัดกรองพัฒนาการ 100%, 91.67% มีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย, 8.33% สงสัยว่ามีพัฒนาการล่าช้า, และ 100% ได้รับการส่งต่อ, 100% ได้รับการติดตามและกระตุ้นพัฒนาการ, 100% ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283785
นโยบายการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย
2025-10-18T19:13:11+07:00
ธนัฐสิทธิ์ ราชธา
tanutsit.r@outlook.com
พภัสสรณ์ วรภัทร์ถิระกูล
Tanutsit.r@outlook.com
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ความเสียหายของประชาชนที่เกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศไทย ปัจจุบันมีการดำเนินการ มีการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2) ศึกษาถึงปัญหาอุปสรรค จุดแข็ง จุดอ่อน ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรอิสระ ในการดำเนินการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศไทย 3) ศึกษานโยบายในการป้องกัน ปราบปราม และการบังคับใช้กฎหมายกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศไทย งานวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 บุคคล ประกอบด้วย ผู้ให้ข้อมูลภาครัฐ จำนวน 8 บุคคล และผู้ให้ข้อมูลภาคเอกชนและองค์กรอิสระ จำนวน 4 บุคคล และการสนทนากลุ่ม จำนวน 15 บุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ถึง วันที่ 15 ธันวาคม 2567 ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์ปัจจุบันสร้างความเสียหายต่อประชาชน ที่เกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการกระทำผิด ในช่องทางต่างๆ และหลอกลวงด้วยเทคนิคหลากหลายปัจจัย รูปแบบและพฤติกรรมการกระทำผิดที่ได้รับการพัฒาตลอดเวลา และช่องทางช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ยังมีความล่าช้า 2) ปัญหา อุปสรรค จุดแข็ง จุดอ่อน ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องและตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านยังมีข้อจำกัด ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านกฎหมาย ด้านการร่วมมือระหว่างประเทศ 3) นโยบายและมาตรการต่างๆรวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย ใน การป้องกัน ปราบปราม แก๊งอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ มีการดำเนินการ มีการบูรณาการร่วมกัน แต่ประชาชนก็ยังตกเป็นเหยื่อรายวัน และ 4) RACHATA MODEL เป็นการบูรณาการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการป้องกัน ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย (1) การบูรณาการด้านข้อมูลและกฎหมาย (2) การสร้างความรู้เท่าทัน (3) การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคีเครือข่าย (4) การประสานงานที่ชัดเจนระหว่างหน่วยงาน (5) การมีระบบติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล (6) การใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัย (7) การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283816
ภูมิปัญญาอาหารอัตลักษณ์ ไท-ยวนของชุมชน ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
2025-10-25T11:56:01+07:00
ชลธิชา พันธ์สว่าง
miss_a-o-m@hotmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภูมิปัญญาอาหารอัตลักษณ์ไท-ยวนของชุมชนตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มุ่งเน้นการเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผู้ให้ข้อมูลหลักคือปราชญ์ชาวบ้านด้านอาหารไทย-ยวนจำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง การสังเกตภาคสนาม และการสนทนากลุ่ม โดยดำเนินการร่วมกับนักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชาการดำเนินงานและการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภูมิปัญญาอาหารไทย-ยวนในชุมชนตำบลรางบัวมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ การเลือกใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น ผักพื้นบ้าน เห็ดป่า ปลาแม่น้ำ และสมุนไพร เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้านวิธีการปรุงอาหารยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิม เช่น การนึ่ง การย่าง การตำ และการหมัก โดยใช้อุปกรณ์พื้นบ้าน เช่น หม้อดิน เตาฟืน และครกหิน เมนูอาหารที่ได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้ง ได้แก่ ข้าวแคบ แกงบอน น้ำพริกถั่วเน่า และขนมเกลือ ซึ่งล้วนมีความหมายเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรรม การจัดสำรับอาหารในงานบุญ เช่น งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ และงานทำบุญประจำปี มักใช้ขันโตกในการต้อนรับแขก แสดงถึงความเคารพและความเอื้ออาทร การถ่ายทอดองค์ความรู้เกิดขึ้นผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในครัวเรือน โดยมีผู้สูงอายุเป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ของ Kolb (1984) และแนวคิดบริบททางสังคมของการเรียนรู้ของ Vygotsky (1978) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ได้แก่ การจัดทำฐานข้อมูลภูมิปัญญาอาหารไทย-ยวนในรูปแบบเอกสารและสื่อดิจิทัล การส่งเสริมกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้ การบูรณาการภูมิปัญญาเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านผลิตภัณฑ์อาหารและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐในการขึ้นทะเบียนอาหารไทย-ยวนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ภูมิปัญญาอาหารไทย-ยวนเป็นองค์ความรู้ที่มีคุณค่าในหลายมิติ ทั้งด้านวัฒนธรรม สุขภาพ เศรษฐกิจ และการศึกษา ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและสืบสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282589
เทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล 4.0
2025-10-12T10:03:13+07:00
กฤตศิกาญจน์ ธีระโชคสวัสดิ์
kitsikan8@gmail.com
ภัทธีรา ประพฤติธรรม
pattira.puyy@gmail.com
พงศธร ฤทธิรงค์
pongsathornr@sau.ac.th
สุรัตน์ ดีรอด
surad@sau.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการสำรวจและวิเคราะห์บทบาทของเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล โดยครอบคลุมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลักได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT),ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Automation and Robotics), การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) และเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud Technology) ในมิติของการบริหารจัดการ การผลิต และการควบคุมคุณภาพ บทความนี้ ได้นำเสนอแนวคิดและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการจัดการอุตสาหกรรมตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึง Industry 4.0 พร้อมทั้งเจาะลึกถึงประเด็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในด้านต่างๆ ของอุตสาหกรรม รวมถึงผลกระทบต่อการบริหารจัดการโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ตลอดจนการยกระดับกระบวนการควบคุมคุณภาพให้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากบริบทความเข้าใจในการบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อสร้างโรงงานอัจฉริยะและการผลิตที่ยั่งยืน บทสรุปของบทความได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับตัวขององค์กรและบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พร้อมทั้งนำเสนอข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในเวทีโลก</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283914
Exploring the “Technology–Process–Performance” Framework: An AIGC Application Model in Photography Courses at Universities in Shanxi, China
2025-10-25T11:58:19+07:00
Yali Fan
45234610@qq.com
Xizhe Zhang
xizhez@sau.ac.th
<p>In the context of the rapid development of Artificial Intelligence Generated Content (AIGC), this study, based on the Technology Acceptance Model, Organizational Support Theory, and Industry Integration Logic, constructs a causal model of “Technology Adaptation – Teaching Process – Curriculum Performance” to examine its role in photography curriculum management at universities in Shanxi, China. A mixed-methods approach was adopted, using PLS-SEM to analyze 455 valid questionnaires, complemented by interviews with 21 teachers, students, and industry representatives. Findings indicate that AIGC Technology Adaptation, Resource Assurance, Cost Investment, and Industry Integration indirectly affect curriculum performance through the mediating roles of the Teaching Process and Industry Identity, which also exert significant direct effects. The study reveals that the impact of AIGC on curriculum performance follows multiple mediating pathways rather than a linear process. It further proposes practical strategies for “AIGC-empowered curriculum performance,” offering theoretical support and practical guidance for the intelligent transformation of art and design education in higher education.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282076
ตัวแบบแนวทางในการเพิ่มประสิทธิผลการให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย
2025-10-13T09:08:15+07:00
ปิ่นฤทัย สุธีรพงศ์
sau657281006@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
sau657281006@gmail.com
ทวี แจ่มจำรัส
sau657281006@gmail.com
<p style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ การยอมรับเทคโนโลยี นวัตกรรมการจัดการ และคุณภาพการให้บริการที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทยการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ใช้บริการระบบการแพทย์ทางไกลในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย จำนวน 300 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณะสุขที่เกี่ยวข้องกับการบริการแพทย์ทางไกล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการแพทย์ทางไกลโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ผู้ใช้บริการระบบการแพทย์ทางไกลในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมการจัดการ ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อประสิทธิผลการให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลมากที่สุดรองลงมาคือ การยอมรับเทคโนโลยี และคุณภาพการให้บริการ ลำดับ และ 2) แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการให้บริการระบบการแพทย์ทางไกลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">MT<span lang="TH">2</span>S Model” <span lang="TH">ที่มุ่งเน้นการให้บริการอย่างเท่าเทียม การให้บริการอย่างรวดเร็วทันเวลา การให้บริการอย่างเพียงพอ และการให้บริการอย่างก้าวหน้า</span></span></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282072
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย
2025-10-13T09:13:20+07:00
ณิชาภา ลีธีระโชติ
sau6672810016@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
sau6672810016@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์การตลาด กลยุทธ์การบริหารจัดการ และ นวัตกรรมและการจัดการองค์กรที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย จำนวน 340 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วยจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการส่งออก ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในไทย รวมทั้งสิ้น 13 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจง รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การตลาด ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย มากที่สุดรองลงมาคือกลยุทธ์การบริหารจัดการ และ นวัตกรรม ตามลำดับ และ 2) แนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย กลยุทธ์การตลาด เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “MOIS Model”” เป็นรูปแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจผลิตผลไม้กระป๋องในประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการเงิน ความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้วส่วนเสีย กระบวนการจัดการภายใน และ การเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282074
ตัวแบบประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีกับท่าเรือแหลมฉบัง
2025-10-17T13:03:39+07:00
เทียนชัย ดาวรรณวงศ์
sau6672810017@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
sau6672810017@gmail.com
<p style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 30.95pt; tab-stops: 1.0cm 42.55pt 2.0cm 70.9pt 3.0cm 99.25pt 4.0cm 127.6pt; margin: 0cm 0cm 0cm 4.5pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของส่วนประสมทางการตลาด การบริหารจัดการขนส่ง คุณภาพการให้บริการ ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีกับท่าเรือแหลมฉบัง 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีกับท่าเรือแหลมฉบัง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้ใช้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีไปท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 440 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก เจ้าหน้าที่จากการรถไฟแห่งประเทศไทย ตัวแทนผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับการสัมปทานในเส้นทางทางลาดกระบังไอซีดีไปท่าเรือแหลมฉบัง และตัวแทนผู้ใช้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีไปท่าเรือแหลมฉบัง รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ส่วนประสมทางการตลาดที่มีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุดรองลงมาคือการบริหารจัดการขนส่ง และคุณภาพการให้บริการลำดับ และ 2) เป็นแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งระบบรางเชิงพาณิชย์ระหว่างเส้นทางลาดกระบังไอซีดีกับท่าเรือแหลมฉบัง หรือเป็นแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นหรือเรียกว่า “</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">MTSE Model” <span lang="TH">ที่มุ่งเน้นคุณภาพ ปริมาณงาน เวลา ค่าใช้จ่าย และวิธีการ</span></span></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282083
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย
2025-10-17T13:10:44+07:00
บุญชัย อาสอภิสิทธิ์
sau6672810030@gmail.com
นนท์ สหายา
sau6672810030@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการแข่งขันทางธุรกิจ ห่วงโซ่คุณค่า และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย และ2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย จำนวน 340 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย จำนวน 3 คน ตัวแทนผู้ประกอบการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) การแข่งขันทางธุรกิจ ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยมากที่สุด รองลงมาคือห่วงโซ่คุณค่า และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ลำดับ และ 2) แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “BVHT Model” ที่มุ่งเน้นคุณภาพ ปริมาณงาน เวลา ค่าใช้จ่าย และวิธีการ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282078
แบบจำลองความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
2025-10-17T13:07:01+07:00
วิริยะ ภิญโญ
sau657281008@gmail.com
บันลือ เครือโชติกุล
sau657281008@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ กลยุทธ์การตลาด คุณภาพการให้บริการ และนวัตกรรมการจัดการ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 380 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ตัวแทนของเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารไทยในในลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การตลาดที่มีค่าอิทธิพลรวมต่ความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา มากที่สุดรองลงมาคือ คุณภาพการให้บริการ และความสามารถในการแข่งขัน ตามลำดับ และ 2) แนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจร้านอาหารไทยในลอสแอนเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า ““MSCB Model” ที่มุ่งเน้นการเงิน ลูกค้า และการเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282085
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย
2025-10-17T13:11:21+07:00
สมนี สมไทยสกุล
sau6672810023@gmail.com
นนท์ สหายา
sau6672810023@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของคุณลักษณะของผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นตลาด ผ่านนวัตกรรม ที่อิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย และ 2) เพื่อนำเสนอแนวการพัฒนาความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคืผู้บริหารโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย จำนวน 300 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้ประกอบการโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย และ ผู้จัดการโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การมุ่งเน้นตลาด ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่ความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย มากที่สุดรองลงมาคือคุณลักษณะของผู้ประกอบการ และนวัตกรรม ตามลำดับ และ 2) แนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “MCIB Model” ที่มุ่งเน้นการเงิน ลูกค้า และการเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282073
ตัวแบบความสำเร็จของธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในประเทศไทย
2025-10-13T09:44:06+07:00
พงศ์พรรณ์ พลเยี่ยม
sau6672810020@gmail.com
นนท์ สหายา
sau6672810023@gmail.com
<p style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ ความสามารถในการบูรณาการการสื่อสารทางการตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ และการให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้าที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในในประเทศไทย และ 2) เพื่อเสนอแนวทางเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในในประเทศไทย การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในประเทศไทย จำนวน 300 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในประเทศไทย ตัวแทนพนักงานจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อมากที่สุดรองลงมาคือ ความสามารถในการบูรณาการการสื่อสารทางการตลาด และการให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้า ลำดับ และ 2) แนวทางเสริมสร้างความสำเร็จของธุรกิจจำหน่ายสินค้าทางโทรศัพท์ในในประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">HIGB Model” <span lang="TH">ที่มุ่งเน้น การเงิน ลูกค้า กระบวนการจัดการภายใน และ การเรียนรู้และการพัฒนา</span></span></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282075
แบบจำลองความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก
2025-10-13T09:47:16+07:00
อุษา ศิระสากร
sau6672810021@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
sau6672810021@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างคุณค่าร่วม และการปรับตัวขององค์กรที่ส่งผลต่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ 2) เพื่อเสนอแนวทางความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกที่มีดำเนินกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างคุณค่าร่วม จำนวน 240 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วยตัวแทนผู้ประกอบการ ของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ผู้จัดการฝ่ายโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร จำนวนรวมทั้งสิ้น 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างคุณค่าร่วม ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก มากที่สุดรองลงมาคือ ความรับผิดชอบต่อสังคม และการปรับตัวขององค์กร ลำดับ และ 2) แนวทางการพัฒนาความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “CO2S Model” ที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282079
การวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้างของความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพ และปริมณฑล
2025-10-17T13:07:30+07:00
อนุสรณ์ โฉมนภาเพ็ญ
sau6672810011@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
sau6672810011@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นตลาด ผ่านความสามารถทางนวัตกรรม ที่อิทธิพลต่อความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพและปริมณฑล และ 2) เพื่อนำเสนอแนวการพัฒนาความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพและปริมณฑล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการธุรกิจไมซ์ที่เข้าร่วมจัดงานประชุมไมซ์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 240 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 15-20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) จำนวน 3 คน ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจไมซ์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 คน ผู้ประกอบการธุรกิจไมซ์ในเขตปริมณฑล รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การมุ่งเน้นตลาด ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพและปริมณฑล มากที่สุดรองลงมาคือการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และความสมารถทางนวัตกรรม ตามลำดับ และ 2) แนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพและปริมณฑล เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “2MEI Model” เป็นรูปแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางการเสริมสร้างคความสำเร็จธุรกิจไมซ์ในกรุงเทพและปริมณฑล ที่มุ่งเน้นการเงิน ลูกค้า กระบวนการจัดการภายใน และ การเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282082
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-10-13T09:55:46+07:00
ยุวลักษณ์ คณะเจริญ
sau6672810026@gmail.com
นนท์ สหายา
sau6672810026@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของพฤติกรรมของผู้บริโภค การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าผ่านส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 2) เพื่อเสนอแนวการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดของศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 320 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจร ตัวแทนผู้จัดการฝ่ายการตลาดธุรกิจศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจร รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้า ที่มีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุดรองลงมาคือ พฤติกรรมของผู้บริโภค และส่วนประสมทางการตลาดลำดับ และ 2) แนวทางกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดของศูนย์ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบครบวงจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “2C2M Model” ที่มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน และกลยุทธ์การเจาะจง</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283412
การศึกษาองค์ประกอบดิจิทัลแพลตฟอร์มการจัดการเรียนการสอนของครู สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก
2025-10-16T10:12:40+07:00
อุรชา สารสรรค์
uracha1411@gmail.com
ชัยวิชิต เชียรชนะ
chaiwichit.c@fte.kmutnb.ac.th
ศจีมาจ ณ วิเชียร
sageemas.n@cit.kmutnb.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนของครูสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก และ 2) ศึกษาองค์ประกอบดิจิทัลแพลตฟอร์มการจัดการเรียนการสอนของครูสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ ผู้บริหารฝ่ายวิชาการ ครูสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก โดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่มีความเหมาะสม ระหว่าง 5-25 คน ผู้วิจัยเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 13 คน เป็นตัวแทนตามเกณฑ์ขั้นต่ำการกำหนดผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีการเจาะจง (Purposive Sampling) (Creswell, 2018)</p> <p>เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) ผลการวิจัย มีดังนี้</p> <p>ผลการวิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนของครูสาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก สรุปได้ 6 ประเด็น ดังนี้ 1) ความเข้าใจและบริหารจัดการระบบทวิภาคี 2) การประสานงานระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการ 3) แผนการฝึกและการจัดการเรียนรู้ 4) ความรู้และทักษะของครูผู้สอนและครูฝึก 5) ทักษะการจัดการตนเองของผู้เรียน 6) การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจค้าปลีก</p> <p>ผลการศึกษาองค์ประกอบดิจิทัลแพลตฟอร์มการจัดการเรียนการสอนของครูสาขาวิชาการจัดการธุรกิจ ค้าปลีก มี 5 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ศูนย์ข้อมูล 2) ห้องเรียนออนไลน์ 3) สื่อการสอน 4) ห้องทดสอบ 5) องค์ประกอบเสริม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276874
การยอมรับและใช้สกุลเงินดิจิทัลของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-06-16T09:19:38+07:00
ภัทรพร จิตร์มั่น
musicpp975@gmail.com
ทิฆัมพร พันลึกเดช
tikhamporn.pu@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการยอมรับและใช้สกุลเงินดิจิทัลของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีผลต่อการยอมรับและใช้สกุลเงินดิจิทัลของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ทำการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural equation modeling: SEM) ด้วยวิธีกำลังสองน้อยที่สุด (Partial Least Square: PLS-SEM) โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง ทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง จาก 50 เขต โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) ด้วยกำหนดค่าความเชื่อมั่นไว้ที่ ร้อยละ 95</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการยอมรับการใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นไปตามสมมติฐาน กล่าวคือผู้ใช้จะมีความตั้งใจใช้ เมื่อมีเกิดปัจจัยด้านการตระหนักรู้การใช้งาน ที่ส่งผลต่อการรับรู้ความง่ายในการใช้ การรับรู้ประโยชน์ และได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างและการรับรู้ความน่าเชื่อถือ และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตั้งใจใช้สกุลเงินดิจิทัลโดยมีความสัมพันธ์กันในระหว่างตัวแปรเป็นไปตามสมมติฐาน ได้แก่ ปัจจัยด้านการตระหนักรู้ การรับรู้ความง่ายในการใช้งาน การรับรู้ประโยชน์ อิทธิพลของคนรอบข้าง และการรับรู้ความน่าเชื่อถือ ที่จะส่งผลต่อการตั้งใจใช้สกุลเงินดิจิทัล</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281487
พลวัตทางการเมืองในการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2535-2565
2025-10-04T21:48:44+07:00
มั่นคง เสถียรถิระกุล
mankhng.se@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทและที่มาของการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2535–2565 <br />และ 2) ศึกษาปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงในการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติของอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) <br />และการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 28 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 บริบทและที่มาของการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2535–2565 สามารถจำแนกได้เป็น 4 ยุค ได้แก่ 1) ยุคตื่นตัวจากกระแสสิ่งแวดล้อมโลก (พ.ศ. 2535–2549) 2) ยุคเงียบ (พ.ศ. 2549–2551) 3) ยุคแห่งการกลับมาของประชาธิปไตย (พ.ศ. 2551–2557) และ 4) ยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พ.ศ. 2557–2565) โดยในแต่ละยุค การกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมได้รับอิทธิพลจากข้อตกลงระหว่างประเทศ อาทิ Earth Summit, Kyoto Protocol และ Paris Agreement ซึ่งถูกถ่ายทอดมาเป็นนโยบายภายในผ่านกลไกราชการ เช่น พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และ 2561 ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงในการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ซึ่งมีลักษณะควบคุมแบบ Top-Down และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ 2) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคม ซึ่งมีลักษณะควบคุมและตรวจสอบถ่วงดุล และ 3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนกับภาคประชาสังคม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ภาคเอกชนกับชาวไร่อ้อยที่มีลักษณะผลประโยชน์ร่วม ภาคเอกชนกับชาวบ้านที่มีลักษณะอุปถัมภ์ และภาคเอกชนกับ NGOs ที่มีลักษณะขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283913
The Causal Model and Development Strategies of Personalized Education in Shanxi University, China
2025-10-25T11:57:50+07:00
Xinyu Fan
649787463@qq.com
Xizhe Zhang
xizhez@sau.ac.th
<p>This dissertation aims to analyze a causal model of the influencing factors of Personalized Education in universities in Shanxi Province, China, and based on the results of this analysis, to discuss and propose strategies for the development of personalized education for contemporary university students. The research adopts a mixed-method approach, combining both quantitative and qualitative research methodologies. Data were collected using surveys and interviews, with a sample of 368 university students from various higher education institutions in Shanxi Province. The study examines four key factors—students, teachers, the university education strategies, and family education strategies—and explores their influence on personalized education.</p> <p>The research findings indicate that students' individual learning abilities and needs are crucial determinants in the success of personalized education. Furthermore, the teaching practices and pedagogical competencies of instructors play a significant role in the development of personalized education. The structure and effectiveness of the educational management system within universities have a substantial impact on the level of personalized education offered. Additionally, family education is found to be an important factor influencing students' personalized learning experiences.</p> <p>Based on the above findings, the dissertation identifies the current challenges and status of personalized education in Shanxi Province's universities. It then proposes specific strategies aimed at improving and promoting personalized education in higher education institutions, with a focus on the four influencing factors—students, teachers, the education management system, and family education.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281565
Guidelines for Solving the Financial Problems of Students in the Lower Central Region
2025-10-25T10:43:01+07:00
Kamonwan Pimpat
kamonwan.p@rmutp.ac.th
Pinya Magtanaroong
pinya.m@rmutp.ac.th
Kawin Magtanaroong
kawin.m@rmutp.ac.th
Chinapratha Sitikornchayarpong
chinapratha.s@rmutp.ac.th
Kunnika Jakor
kunnika.j@rmutp.ac.th
<p>This study investigates the internal factors influencing financial planning behavior among university students in Thailand’s lower central region. Grounded in Maslow’s hierarchy of needs and the theory of emerging adulthood, the research examines the effects of basic needs, higher-order psychological needs, and age. Using a quantitative design, data were collected via a structured questionnaire from 418 undergraduates. Descriptive statistics and simple linear regression were applied. Results reveal that all three variables significantly and positively affect financial planning behavior (p < .01), with the model explaining 24.4% of the variance (R² = 0.244). These findings support theories in behavioral economics and developmental psychology, highlighting the role of need fulfillment and psychological maturity in fostering financial responsibility. Theoretically, the study affirms the relevance of motivation-based and developmental models in understanding youth financial conduct in emerging economies. Practically, it offers a foundation for developing targeted financial literacy programs, personalized counseling, and institutional policies to enhance resilience among emerging adults.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280021
Study on the Achievement Factors Affecting China High Level Javelin Thrower Competition
2025-10-12T11:13:55+07:00
Qianqian Guo
ekasak.he@udru.ac.th
Ekasak Hengsuko
ekasak.he@udru.ac.th
Kreeta Promthep
ekasak.he@udru.ac.th
<p>This study aims to analyze the factors influencing the success of high-level javelin throwers in China. Using a qualitative research method with a case study approach, the research focuses on the competition experiences of Chinese Olympic javelin athletes who have won Olympic gold medals. This study conducts an in-depth analysis of the factors affecting the success of javelin athletes in China. The research methodology includes interviews with six experts and coaches, as well as individuals involved with China’s Olympic javelin athletes, who serve as the primary sources of information for this study. The research tools include in-depth interviews and case analysis, and qualitative data analysis methods are used to process and synthesize the collected data.The key factors influencing the success of high-level javelin throwers in China are identified as four main factors: physical, technical, psychological, and social. These factors work together to determine the athletes' performance in competitions.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282335
Research on the Inheritance and Development of Contemporary Shaolin Kung Fu in the Context of Telling China's Story Well
2025-10-25T12:12:14+07:00
Yongtai SUN
yts1979@jmu.edu.cn
Sastra Laoakka
hugna.studio@gmail.com
<h3 style="margin-bottom: .0001pt; text-align: justify;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; font-weight: normal;">As an integral part of Chinese traditional culture, Shaolin Kung Fu traces its origins back to 495 AD, when it was introduced to the Shaolin Temple by the Indian monk Bodhidharma, and gradually evolved into a unique cultural phenomenon blending Zen Buddhism and martial arts. This article analyzes the historical origins, transmission patterns, modern development, and global cultural status of Shaolin Kung Fu. Traditionally, Shaolin Kung Fu was transmitted through master-disciple relationships, while modern methods include educational institutions, digital technology, and the cultural industry for broader dissemination. Shaolin Kung Fu is not only a symbol of China's excellent traditional culture but also demonstrates its influence on the international stage through films, sports competitions, and cultural performances. However, its dissemination faces challenges such as the simplification and performance-oriented nature of its cultural content. Future research should further explore these issues from the perspectives of Zen-martial arts philosophy, digital dissemination, cross-cultural translation, and AI-enabled innovation. </span></h3>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281828
Agentic AI Adoption in the Tourism Sector: Global Practices, Workforce Implications, and Potential for Thailand’s Business Transformation
2025-10-17T13:47:47+07:00
Thittapong Daengrasmisopon
thittapong.daengrasmisopon@stamford.edu
Sarinya L. Suttharattanagul
sarinya.s@bu.ac.th
Sumet Jirakasemwat
sarinya.s@bu.ac.th
<p>This systematic review explores the transformative impact of agentic artificial intelligence (AI) on the global tourism sector, with a particular focus on its potential to reshape Thailand’s tourism industry. Agentic AI, characterized by autonomous decision-making and interactive capabilities, is revolutionizing customer engagement, operational efficiency, and workforce dynamics across travel, hospitality, and leisure domains. Drawing on insights from leading consulting firms and academic literature, the paper examines global best practices, emerging technologies, and strategic frameworks for AI adoption in the tourism sector. The review concludes that Thailand, as a major tourism destination, can harness agentic AI to enhance competitiveness, resilience, and visitor satisfaction—provided that stakeholders collaborate on inclusive, ethical, and future-ready strategies.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280008
Study on the Effect of Health Promotion Program on Physical Health Students in Changchun Normal University
2025-10-12T11:12:50+07:00
Tong Tong
mr.tongtong1993@gmail.com
Eksask Hengsuko
ekasak.he@udru.ac.th
Kreeta Promthep
ekasak.he@udru.ac.th
<p>This study aims to explore the impact of a physical fitness promotion program on the physical fitness of college students who failed the physical fitness test. The research sample consists of 885 students. Through G-Power software and restricted stratified sampling, 76 students were selected and divided into two groups as the final experimental subjects. After a 12-week exercise intervention, within-group one-way ANOVA and between-group T-test were conducted using SPSS data statistics software. The results show that the physical fitness promotion program can effectively improve the physical fitness of college students who failed the physical fitness test, and the exercise intervention effect of the experimental group is significantly better than that of the control group. This study provides a theoretical and practical basis for improving the physical fitness of college students who failed the physical fitness test. Based on the above findings, several suggestions for promoting the physical fitness of college students who failed the physical fitness test are proposed.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280673
Enhance English Reading Skills with the Techniques of Guessing Vocabulary Meaning from the Context by using Scanning of Students at RMUTL, Chiang Rai Campus
2025-10-19T10:47:44+07:00
Usitara Juntawieng
usitara@outlook.co.th
Sirichom Pichedboonkiat
usitara_CR@rmutl.ac.th
<p>This research aimed to 1). Enhance English reading skills with the technique of guessing vocabulary meaning from context by scanning for first year undergraduate student at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus 2). Evaluate proficiency of guessing vocabulary meanings from context by using Scanning for first year undergraduate students at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus 3) Study the satisfaction of first year undergraduate students at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus to the technique of guessing vocabulary meanings from the context by using scanning. The research sample was 30 students who enrolled in Fundamental English courses in the academic year 2023, the academic affairs registration system of Chiang Rai Educational Division. The research tools were instructional activity plans, tests, and progress tests. Research statistic includes frequency distribution, percentages, averages, standard deviations, and t-tests. Research results (1). Enhance English reading skills with the technique of guessing vocabulary meaning from context by scanning for first year undergraduate student at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus. It was found that the students had higher score of English reading with the technique of guessing vocabulary meaning by using scanning in post-learning than pre-learning for all three units. (2). Evaluate proficiency of guessing vocabulary meanings from context by using scanning for first year undergraduate students at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus. For guessing vocabulary meaning from context by using scanning achievement presented that students had higher score of guessing vocabulary meaning from context by using scanning in post-learning than pre-learning with statistical significance at a level of .01. (3). The satisfaction of first year undergraduate students at Rajamangala University of Technology Lanna, Chiang Rai Campus to the technique of guessing vocabulary meanings from the context by using scanning. It was found that majority of students expressed extremely satisfied with the overall technique of guessing vocabulary meaning from context by using scanning with an average of 3.66<strong>. </strong></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281357
The Constitutional Court of Thailand: Preserving the Deep State and Judicial Ideology
2025-10-19T09:28:20+07:00
William J Jones
william.jon@mahidol.ac.th
<p>The Constitutional Court of Thailand was instituted as part of the broader constitutional reforms during the 1990s, with the intent of establishing an autonomous judicial body insulated from political influence. Designed to function as a critical counterbalance to both Executive and Legislative authority, the Court was envisioned as a guardian of constitutional order. Over the past seventeen years, Thailand has experienced recurring political turbulence, marked by cycles of unrest, two military interventions, and judicial interventions that have significantly shaped the political landscape. Amid this protracted contestation, the Constitutional Court has evolved into a pivotal instrument wielded by elite factions to consolidate power and neutralize political adversaries. This article examines two landmark rulings issued by the Court in August 2024, arguing that these decisions reflect the institution’s transformation into a moral adjudicator and de facto safeguard against the authority of elected officials.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282030
Professional Learning Communities Model for Higher Vocational Colleges in Shaanxi Province
2025-10-25T21:55:02+07:00
Xiaoqing Liu
lxq94202239@gmail.com
ธดา สิทธิ์ธาดา
Thada.si@ssru.ac.th
สุทธิพงศ์ บุญผดุง
suttipong.bo@ssru.ac.th
<p>The objectives of this research were to 1) investigate the current level of professional learning communities (PLC) among teachers in higher vocational colleges in Shaanxi Province, 2) identify and validate the core dimensions of PLC through empirical and qualitative analysis, and 3) develop a comprehensive PLC model suitable for vocational education institutions. The sample consisted of 606 teachers from representative vocational colleges, and nine administrative leaders were selected for in-depth interviews. The research instruments included structured questionnaires and semi-structured interviews. A mixed-methods approach was employed, combining confirmatory factor analysis (CFA) to test the measurement model and thematic content analysis to interpret the qualitative interview data. The findings revealed that Shared Goals and Vision, Teacher Motivation, and Industry-Education Integration exerted the strongest influence on PLC engagement. The PLC model comprises eight critical dimensions: 1) Leadership Support, 2) School Support, 3) Shared Goals and Vision, 4) Collaborative Culture, 5) Teacher Motivation, 6) Teacher Cognition, 7) Industry-Education Integration, and 8) Professional Development Opportunities.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282142
การสร้างชุดแบบฝึกหัดการเล่นเปียโนแจ๊สจากการวิเคราะห์เสียงประสาน และการอิมโพรไวส์ของบีจี อแดร์ สำหรับผู้เรียนเปียโนแจ๊สระดับกลาง
2025-10-18T21:09:12+07:00
จารุทัศน์ กิจสอาด
jarutaskitsaad@gmail.com
นัฏฐิกา สุนทรธนผล
arutaskitsaad@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1.เพื่อสร้างแบบฝึกหัดการเล่นเปียโนแจ๊สสำหรับผู้เรียนเปียโนแจ๊สระดับกลาง 2.เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางทักษะการเล่นเปียโนแจ๊สจากการเรียนด้วยชุดแบบฝึกหัด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือผู้เรียนเอกเปียโนแจ๊สในระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ลงทะเบียนเรียนในวิชาปฏิบัติเครื่องมือเอก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวนทั้งหมด 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1.แบบฝึกหัดการเล่นเปียโนแจ๊ส 2. แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบฝึกหัด 3. แบบประเมินทักษะการเล่นเปียโนแจ๊สก่อนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ t-test แบบ (Dependent Sample Test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.ได้ชุดแบบฝึกหัดการเล่นเปียโนแจ๊สสำหรับผู้เรียนเปียโนแจ๊สระดับกลางประกอบไปด้วยชุดแบบฝึกหัดการใช้เสียงประสาน 4 บท และชุดแบบฝึกหัดการอิมโพรไวส์ 3 บท รวมทั้งหมดจำนวน 7 บท โดย1 บทเรียน 2 สัปดาห์ ทั้งหมด 7 บทรวมระยะเวลาเรียนทั้งหมด 14 สัปดาห์ 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดแบบฝึกหัดการวิเคราะห์เทคนิคการใช้เสียงประสานและการอิมโพรไวส์ของบีจี อแดร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281503
แนวทางการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสามารถเชิงตัวเลขของนักเรียนประถมศึกษา
2025-10-25T10:42:14+07:00
จิตติมา จันทรายุวัฒน์
jittima.jtyw@gmail.com
อัมพร ม้าคนอง
jittima.jtyw@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสามารถเชิงตัวเลขของนักเรียนระดับประถมศึกษา 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสามารถเชิงตัวเลขของนักเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษากรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนการสอนของครูทั้ง 4 ด้าน โดยภาพรวมเฉลี่ยการปฏิบัติอยู่ในระดับ “มาก” โดยเรียงลำดับรายด้านตามการปฏิบัติจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านการเตรียมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามลำดับ ส่วนปัญหา พบว่า ครูขาดการเตรียมสถานการณ์ในบริบทชีวิตจริง นักเรียนขาดความรู้คณิตศาสตร์ในการจัดการสถานการณ์ ครูขาดความชำนาญในการใช้สื่อที่เชื่อมโยงความสามารถเชิงตัวเลข ทักษะการอ่านของนักเรียนส่งผลต่อการตีความข้อมูลคณิตศาสตร์ ทำให้ประเมินผลคลาดเคลื่อน 2) แนวทางการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ 2.1) ครูควรกำหนดสถานการณ์ในชีวิตจริง 2.2) ครูควรจัดกิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ใช้ความสามารถเชิงตัวเลข 2.3) ครูควรใช้สื่อการเรียนการสอนที่นักเรียนได้ใช้ความสามารถเชิงตัวเลข 2.4) ครูควรวัดและประเมินผลตามองค์ประกอบความสามารถเชิงตัวเลขโดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบรูบริก</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281120
ข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพแพทย์แผนไทยของนักศึกษาแพทย์แผนไทยระดับอุดมศึกษา
2025-10-25T11:44:45+07:00
ชมพากาญจน์ ทองสี
choomphakan@gmail.com
สุกัญญา รุจิเมธาภาส
r.sukunya@uru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะวิชาชีพแพทย์แผนไทยของนักศึกษาแพทย์แผนไทยระดับอุดมศึกษา และ 2) เพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพแพทย์แผนไทยของนักศึกษาแพทย์แผนไทยระดับอุดมศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและระดับบุคคลรูปแบบการวิจัยเป็นเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดสมรรถนะวิชาชีพเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือหลักสูตรแพทย์แผนไทยระดับอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ จำนวน 90 คน และนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 1,050 คน ใช้วิธีคัดเลือกสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) การสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะวิชาชีพแพทย์แผนไทยภาพรวม ระดับบุคคลและระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในระดับมาก มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ Chi square= 448.988, df = 251, /df=1.79 RMSEA =0.027 CFI =0.963, TLI = 0.955 SRMRw = 0.042 , SRMRb =0.259</p> <p>ปัจจัยระดับมหาวิทยาลัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะวิชาชีพแพทย์แผนไทย พบว่า จิตวิญญาณความเป็นครูขนาดอิทธิพลมีค่า 1.000 การรับรู้ความสามารถของครู มีค่า 2.401 การบริหารจัดการสถานศึกษา มีค่า 1.000 การบริหารหลักสูตร มีค่า 0.429 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ มีค่า 0.454</p> <p>ปัจจัยระดับบุคคล พบว่า เจตคติต่อการเรียน ขนาดอิทธิพลมีค่า 1.000 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีค่า 1.471 ความเชื่อมั่นอำนาจภายในตนเอง มีค่า 2.059 การสนับสนุนทางสังคม มีค่า 1.000 การจัดการเรียนการสอน มีค่า 0.973 ผู้ปฏิบัติงานบริการ มีค่า 1.000 การดำเนินการบริการ มีค่า 0.689 สภาพแวดล้อมการบริการ มีค่า 0.877</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281002
บุพปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง
2025-10-04T21:29:38+07:00
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการและประชาชนผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง จำนวน 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้ประกอบการอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง รวมจำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำ เครือข่าย ความคิดสร้างสรรค์ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง อยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำ เครือข่าย ความคิดสร้างสรรค์ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่มีผลต่อการเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) รูปแบบตัวแบบสมการโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนั้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์แบบ Perfect Fit และมีความแม่นยำในการพยากรณ์ร้อยละ 41 นอกจากนี้ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นสอดคล้องกับความสัมพันธ์เชิงอิทธิพลระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบาย หรือกลยุทธ์ของสถานประกอบการอื่น ๆ ที่มีความสอดคล้องกับบริบทที่ผู้วิจัยทำการศึกษา ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าตัวแบบสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ c<sup>2</sup> = 210.636, df = 80, p-value = 0.000, c<sup>2</sup> / df = 2.633, GFI = 0.916, NFI = 0.921, IFI = 0.950, TLI = 0.933, CFI = 0.949 และ RMSEA = 0.074 ซึ่งตีความได้ว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์แบบสมบูรณ์ดี (Perfect Fit) ตามเกณฑ์มาตรฐานตามที่ Hair et al. (2010) ส่วนผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ตัวแปรอิสระทุกตัวมีการเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการอาหารทะเลแปรรูปในจังหวัดระนอง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 0.01 0.001 ทั้งนี้ตังแปรอิสระที่ผู้วิจัยได้ทบทวนวรรณกรรมยังสามารถร่วมกันพยากรณ์ระดับของ ได้ร้อยละ 41</p> <p><strong> </strong></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282124
ความตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย
2025-10-12T10:56:03+07:00
ชิตพล อัศวปกรณ์
chitpon08@gmail.com
ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์
Chitpon08@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ พัฒนามาตรการทางภาษีและเทคโนโลยีในการประเมินความเสี่ยงในการชำระภาษีของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้สำนักงานบัญชีในประเทศไทย มีความตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือกลุ่มผู้บริหารกรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่สรรพากรในส่วนงานตรวจสอบภาษีอากร กลุ่มละ 3 คน รวม 6 คน คัดเลือกหน่วยตัวอย่างจากผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจสอบการทำบัญชี และการตรวจสอบภาษีอากรของสำนักงานบัญชี ไม่น้อยกว่า 15 ปี โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และดำเนินการเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาองค์กรสู่ความตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย สามารถพัฒนามาตรการทางภาษีได้ 6 มาตรการ และการใช้เทคโนโลยีในการประเมินความเสี่ยงในการชำระภาษี เพื่อส่งเสริมให้สำนักงานบัญชีและผู้ประกอบการ มีความตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคล</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283110
ความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps กับการตัดสินใจซื้อสินค้า ในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในชุมชนบางกรวย
2025-10-08T15:24:47+07:00
ชุลีรัตน์ เกิดศรี
6631602003@bkkthon.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับกลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps ของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในชุมชนบางกรวย 2) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค และ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคจำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ และ 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps กับการตัดสินใจซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในชุมชนบางกรวย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาดบริการ 7Ps ของ Kotler และ Keller (2016) และแนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจงและสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยให้ความสำคัญกับ ช่องทางการจัดจำหน่ายสูงสุด รองลงมาคือ กระบวนการให้บริการ และ ราคา กับ ลักษณะทางกายภาพ ตามลำดับ</li> <li>ระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความจำเป็นในการใช้สินค้าในชีวิตประจำวัน ความภักดีต่อร้านค้าเดิม และการยังคงเลือกซื้อจากร้านเดิมแม้มีคำแนะนำจากผู้อื่น</li> <li>การเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า เพศไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ อายุ มีผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 31–40 ปี ที่มีการตัดสินใจซื้อสูงกว่ากลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี</li> <li>กลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับปานกลางค่อนข้างสูง (r = 0.625, p < 0.001)</li> </ol> <p>องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้คือ กลยุทธ์การตลาดบริการ 7Ps มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในชุมชนบางกรวย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการร้านค้าในการนำไปปรับปรุงและพัฒนาแผนการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายและรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279349
รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
2025-10-12T11:15:29+07:00
โชติวิทย์ ธรรมสุจิตร
chotivit.tumsujit@g.swu.ac.th
ภูมิ มูลศิลป์
Chotivit.tumsujit@g.swu.ac.th
ชลวิทย์ เจียรจิตต์
Chotivit.tumsujit@g.swu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความคาดหวังเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน และ 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน แบ่งงานวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ คณะผู้บริหาร อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครอง และศิษย์เก่า จำนวน 364 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ระยะที่ 2 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษาหรือการประกันคุณภาพการศึกษาที่เป็นบุคคลภายนอกองค์กร และผู้ที่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารภายในโรงเรียน รวมจำนวน 19 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 3 มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จำนวน 30 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปลายปิดมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาพรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันเกี่ยวกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของนักเรียนมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก ผู้ปกครองมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง ศิษย์เก่ามีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย และคณะกรรมการบริหารโรงเรียนและอาจารย์มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีองค์ประกอบหลัก 2 องค์ประกอบ คือ การสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และกระบวนการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 3) การสร้างเครือข่ายผู้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยทั้งภาพรวมและรายด้านทุกด้าน มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด กระบวนการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีความเหมาะสม และความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282347
แนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-10-18T20:26:35+07:00
ณัฏฐชัย จันทร์ทิพย์
natthchaycanthrthiphy@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลสมการโครงสร้างของอิทธิพลที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเป็นผู้อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า โมเดลประกอบด้วย 4 ปัจจัยสำคัญมีความคิดเห็นระดับมากทั้งหมด และมีอิทธิพลตามลำดับ ได้แก่ ความต้องการของผู้สูงอายุ ความพร้อมของผู้สูงอายุ ความสามารถถ่ายทอดพฤติกรรม และบทบาทของภาครัฐ โดยโมเดลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (p = 0.053, CMIN/DF = 1.21, CFI=0.99, GFI=0.96, AGFI=0.94, RMSEA=0.023, RMR=0.008, SRMR=0.015, CN=434) โดยปัจจัยทั้งสี่มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน และสามารถอธิบายอิทธิพลได้ร้อยละ 90 ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุในการกลับเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281839
เหตุผลของความเหงาในนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลบ้านในภาวะปกติใหม่
2025-10-25T10:47:18+07:00
ณัฐรินทร์ ลือชัย
nattharinluechai@gmail.com
ณฐวัฒน์ ล่องทอง
krithaporn_lue@cmu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) อธิบายความเหงาของนักศึกษาที่อยู่ไกลบ้านในภาวะปกติใหม่ และ (2) ทำความเข้าใจสาเหตุของความเหงาของนักศึกษาที่อยู่ไกลบ้านในภาวะปกติใหม่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 6 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ที่เคยเรียนแบบออนไลน์เต็มรูปแบบในชั้นปีที่ 1 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกลับมาเรียนแบบพบหน้าในชั้นปีที่ 2 อาศัยอยู่ในหอพัก มีความเหงาในระดับปานกลางถึงมาก การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยคำถามแบบกึ่งโครงสร้าง โดยให้ผู้ให้ข้อมูลระลึกถึงประสบการณ์ในอดีต (retrospective study) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) และนำเสนอผลในลักษณะพรรณนา ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามวัตถุประสงค์ พบว่า ความเหงาของนักศึกษาที่อยู่ไกลบ้านในภาวะปกติใหม่มีลักษณะจำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ (1) ความเหงาจากการปรับตัวต่อการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเสื่อมถอยของทักษะทางสังคม ความไม่มั่นใจในการพูดคุยหรือเข้าสังคม และความเคยชินกับการอยู่ลำพัง (2) ความเหงาจากการขาดความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีความหมาย แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนในมหาวิทยาลัยแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยว และ (3) ความเหงาที่สัมพันธ์กับสุขภาพจิต เช่น ความเหนื่อยล้า ความวิตกกังวล อาการทางกายที่สะท้อนภาวะทางอารมณ์ ส่วนสาเหตุของความเหงาแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยภายในประกอบด้วย (1) ความไม่มั่นใจในการเข้าสังคม (2) การด้อยค่าตนเอง (3) การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น และ (4) ความไม่ไว้วางใจผู้อื่น ซึ่งล้วนส่งผลต่อการปลีกตัวและหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์ ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ (1) สภาพแวดล้อมทางสังคมที่ไม่เอื้อต่อการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ และ (2) ผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งจำกัดโอกาสในการสร้างเครือข่ายและพัฒนาความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ความเหงาของนักศึกษาที่อยู่ไกลบ้านในภาวะปกติใหม่มีลักษณะเฉพาะที่เกิดจากบริบทหลังโควิด-19 และควรได้รับการดูแลส่งเสริมทั้งในด้านจิตใจ ทักษะทางสังคม และการออกแบบกิจกรรมสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยอย่างเหมาะสม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283111
ศักยภาพของผู้สอบบัญชี กระบวนการตรวจสอบบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการรายงาน การตรวจสอบบัญชี ของสหกรณ์ในประเทศไทย
2025-10-13T16:13:42+07:00
ดารณี เอื้อชนะจิต
yuwadee.s.saithan@gmail.com
อัมมราภรณ์ เพชรวารี
a.phetwalee@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างศักยภาพของผู้สอบบัญชีต่อประสิทธิภาพของการรายงานการตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการตรวจสอบบัญชีต่อประสิทธิภาพของการรายงานการตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ในประเทศไทย ผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้คือผู้ตรวจสอบบัญชี กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 7,387 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratitied Random Sampling) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยแบบสอบถาม จำนวน 380 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression) เพื่อยืนยันผลการวิจัยเชิงปริมาณ และผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ศักยภาพของผู้สอบบัญชีมีผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของการรายงานการตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ และกระบวนการตรวจสอบบัญชีมีผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพของการรายงานการตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ของสหกรณ์ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการรายงานการตรวจสอบบัญชี คือ ความชัดเจน ความถูกต้อง ความทันเวลา และ การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตัวแปรทุกตัวมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.01 ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้สำหรับการประเมินและประสิทธิภาพรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีสหกรณ์ได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281676
การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TGT) ร่วมกับแบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2025-10-18T22:57:26+07:00
ทิพย์สุดา พันบล
thipsuda.pan029@hu.ac.th
เก็ตถวา บุญปราการ
Thipsuda.pan029@hu.ac.th
อริสรา บุญรัตน์
Thipsuda.pan029@hu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3.เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 รูปแบบการวิจัยเป็น การวิจัยแบบผสานวิธี ใช้แนวคิดเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TGT) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 2 (บ้านหาดใหญ่) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 กลุ่มตัวอย่างของประชากรจะสุ่มหลายขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 สุ่มโรงเรียน โดยการสุ่มอย่างง่ายจับฉลากแบบไม่ใส่กลับคืนได้นักเรียนโรงเรียนเทศบาล 2 (บ้านหาดใหญ่) ขั้นตอนที่ 2 สุ่มแบบกลุ่มจับฉลากห้องเรียนแบบไม่ใส่กลับคืนโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ได้แก่ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/5 จำนวน 30 คน แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TGT) แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ จำนวน 6 บท และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (TGT) ร่วมกับแบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่ามีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด จากการค้นพบงานวิจัยนี้ การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ได้อย่างมีนัยสำคัญ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280656
ความสัมพันธ์ระหว่างผลการประเมิน ESG และผลการดำเนินงาน ด้านการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-10-11T18:39:16+07:00
ธนภณ วิมูลอาจ
thanwim@kku.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลการประเมิน ESG และผลการดำเนินงานทางด้านการเงิน โดยศึกษาผ่านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในพ.ศ 2563 – พ.ศ. 2567 ที่ได้รับการประเมิน ESG โดย Refinitiv ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 430 ตัวอย่าง การศึกษานี้ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณผ่านแบบจำลองสมการถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>โดยผลการวิจัยพบว่าผลคะแนนการประเมินด้านสังคม และด้านบรรษัทภิบาล มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์กับผลคะแนนการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่บริษัทคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและมีระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดีขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและกำไรของบริษัทเติบโตขึ้น อีกทั้งการดำเนินงานที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาลที่ดี จะช่วยเพิ่มมูลค่าขององค์กร ส่งผลให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282162
การพัฒนามาตรวัดความสำเร็จในงานบัญชีของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย
2025-10-13T15:24:29+07:00
ธรารินทร์ ใจเอื้อพลสุข
Tararinnint@gmail.com
ดารณี เอื้อชนะจิต
Tararinnint@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนามาตรวัดความสำเร็จในงานบัญชีของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารสำนักงานบัญชีในประเทศไทย จำนวน 3 คน และผู้ใช้บริการสำนักงานบัญชี จำนวน 3 คน รวม 6 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า มาตรวัดความสำเร็จในงานบัญชีของสำนักงานบัญชีในประเทศไทย มี 8 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ด้านจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี มิติที่ 2 ด้านคุณภาพบริการบัญชี มิติที่ 3 ด้านความตั้งใจให้บริการ มิติที่ 4 ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มิติที่ 5 ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มิติที่ 6 ด้านความสามารถในการแข่งขัน และ มิติที่ 7 ด้านความเป็นมืออาชีพทางบัญชี มิติที่ 8 ด้านความสำเร็จในงานบัญชี โดยสามารถนำไปใช้เพื่อส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพบัญชีไทยให้เข้มแข็ง สร้างความน่าเชื่อถือ และขับเคลื่อนการกำกับดูแลในระดับนโยบายได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280690
กลยุทธ์การส่งเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ให้บริการขนส่งพัสดุในประเทศไทย
2025-10-19T10:27:28+07:00
ธัญลักษณ์ สุภาเนตร
tanyaluk.su@ssru.ac.th
ชณิชา หมอยาดี
chanicha.mo@ssru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ให้บริการ ที่ส่งผลต่อศักยภาพผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของสมรรถนะการให้บริการด้านโลจิสติกส์ (LSC) นวัตกรรม (INV) และศักยภาพผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน (CPA) และ 3) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์การส่งเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ให้บริการขนส่งพัสดุในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ใช้แนวคิด การวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (SEM) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของโมเดล และตามด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ จำนวน 6,772 แห่งในประเทศไทย จำนวน 435 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบวิธีการสุ่มแยกตามภูมิภาค เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วย การสร้างและพัฒนาเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง 2) เครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์เนื้อหาและจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า (1) ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุในประเทศไทยมีระดับความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่ในระดับสูง ส่งผลโดยตรงต่อการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ให้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (2) ผลการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง (SEM) พบว่า นวัตกรรม (INV) มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน (CPA) ผ่านศักยภาพผู้ให้บริการ (SPP) ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่เชื่อมโยงผลของนวัตกรรมและสมรรถนะไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3) ผลการวิเคราะห์สังเคราะห์แนวทางกลยุทธ์พบว่า การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันควรเน้นพัฒนาด้านนวัตกรรมเป็นหลัก และการเสริมสร้างสมรรถนะการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสริมศักยภาพของบุคลากร เพื่อเพิ่มความคล่องตัว รวดเร็ว และประสิทธิภาพในการบริการ องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ เพิ่มขีดความสามารถขององค์กร และเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong> </strong></p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279412
การพัฒนาหลักสูตรเสริมเพื่อสร้างทักษะการทำงานแห่งอนาคตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-10-04T19:35:21+07:00
นวภัทร น้ำใจ
nawaphat.n@ku.th
วราภรณ์ คำทับทิม
nawaphat.n@ku.th
สันติ ศรีสวนแตง
nawaphat.n@ku.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นด้านทักษะการทำงานแห่งอนาคตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรเสริมเพื่อสร้างทักษะการทำงานแห่งอนาคตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรเสริมเพื่อสร้างทักษะการทำงานแห่งอนาคตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา (R&D) พื้นที่วิจัยคือ โรงเรียนวัดโชติการาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนวัดโชติการาม จำนวน 30 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แบบสอบถาม 3) แบบประเมินทักษะการทำงานแห่งอนาคตของนักเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติเพื่อหาความต้องการจำเป็นคือ PNI <sub>modified </sub> </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคตที่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ประกอบการกล่าวถึงมากที่สุด 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะด้านความฉลาดทางสังคม ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการปรับตัว ทักษะด้านความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับสูง ทักษะด้านความคิดเชิงคอมพิวเตอร์ และทักษะด้านความสามารถในการทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมเสมือน 2) ผลการพัฒนาหลักสูตรเสริมฯ พบว่า หลักสูตรเสริมฯ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ โครงสร้างเนื้อหา กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล การพัฒนาหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่า หลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรเสริมฯ พบว่า นักเรียนที่เข้าร่วม 30 คน มีพัฒนาการด้านทักษะการทำงานแห่งอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเพิ่มขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาทักษะในระดับสูง และนักเรียนประเมินว่ากิจกรรมดังกล่าวมีประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการในระดับมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความเหมาะสมของเนื้อหาและกระบวนการจัดการเรียนรู้ภายหลังจากการทดลองใช้หลักสูตร</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281642
การประเมินความต้องการจำเป็นการส่งเสริมครูของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์
2025-10-25T10:44:00+07:00
ปรัชญา ประเสริฐผล
prachyap60@nu.ac.th
ชนัดดา ภูหงษ์ทอง
Chanaddap@nu.ac.th
อนุชา กอนพ่วง
Anuchako@nu.ac.th
ณัฏฐ์ รัตนศิริณิชกุล
Natr@nu.ac.th
<h1>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นการส่งเสริมครูของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 305 คน ได้มาโดยการเปิดตาราง เครจซี่และมอร์แกน แล้วดำเนินการเลือกอย่างง่ายโดยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือได้แก่ ประเมินความต้องการจำเป็นการส่งเสริมครูของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีลักษณะเป็นแบบมาตราประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าดัชนีลำดับความสำคัญ Priority Needs Index (PNI<sub>modified</sub>) โดยการประเมินความต้องการจำเป็นโดยใช้วิธีการหาค่าผลต่างระหว่างสภาพที่ควรจะเป็น (I) กับสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน (D) โดยใช้หลักการกำหนดความต้องการจำเป็นจากสภาพที่เป็นจริง พรรณนา)</h1> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริงในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการคิดสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านหลักสูตร และสภาพที่ควรจะเป็นในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา รายด้าน พบว่าด้านการสร้างแรงบันดาลใจ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านสื่อและนวัตกรรม ในส่วนค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น พบว่า ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ .409 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านหลักสูตร มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุด (.439) รองลง คือ ด้านสื่อและนวัตกรรม (.435) ส่วนลำดับสุดท้าย คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ (.376)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281390
อิทธิพลของคุณภาพการบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นพลเมืองของลูกค้าที่ใช้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า
2025-10-19T09:22:14+07:00
พงษ์เพชร ชุติธนานนท์
jiw.phongphet@gmail.com
ทิพย์รัตน์ เลาหวิเชียร
jiw.phongphet@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นพลเมืองของลูกค้าที่ใช้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีความผาสุกในชีวิตของลูกค้าเป็นตัวแปรส่งผ่าน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาจากผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเคยใช้บริการสถานีชาร์จ จำนวน 245 คน ใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการศึกษา พบว่า คุณภาพการบริการมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการเป็นพลเมืองของลูกค้า และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการเป็นพลเมืองของลูกค้าโดยมีความผาสุกในชีวิตของลูกค้าเป็นตัวแปรส่งผ่าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยคุณภาพการบริการและความผาสุกในชีวิตของลูกค้าสามารถอธิบายพฤติกรรมการเป็นพลเมืองของลูกค้าได้ร้อยละ 67.60 ผลการศึกษาครั้งนี้สร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการศึกษาคุณภาพการบริการของสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และพฤติกรรมความเป็นพลเมืองของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของไทย แล้วยังเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าทั้งของรัฐบาลและเอกชน สามารถนำผลการศึกษาไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการพัฒนาคุณภาพบริการให้เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าแสดงพฤติกรรมเชิงบวกอันจะส่งผลให้ธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282449
โมเดลเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำวิชาการยุคดิจิทัล บรรยากาศโรงเรียน สมรรถนะครู ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในอนาคต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
2025-10-17T12:38:07+07:00
พนิดา ดีหลี
panida2027@gmail.com
จันทรัศม์ ภูติอริยวัฒน์
jantaphu@gmail.com
มารุต พัฒผล
marutp@swu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำวิชาการยุคดิจิทัล บรรยากาศโรงเรียน สมรรถนะครูที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในอนาคต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และ 2) เพื่อเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลเชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา โดยมีผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้างานวิชาการ ในปีการศึกษา 2567 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 320 โรงเรียน โดยใช้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเป็นหน่วยการสุ่ม โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบบันทึกการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ 2) แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำวิชาการยุคดิจิทัลส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพผู้เรียนในอนาคต และส่งผลทางอ้อมผ่านบรรยากาศโรงเรียนและสมรรถนะครู โดยมีอิทธิพลรวมสูงสุด (Beta = 0.97) และสมรรถนะครูมีอิทธิพลโดยตรงต่อคุณภาพผู้เรียนในอนาคตสูงสุด (Beta = 0.47) ส่วนบรรยากาศโรงเรียนมีอิทธิพลต่อสมรรถนะครู (Beta = 0.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) โมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของคุณภาพผู้เรียนในอนาคต (QL) ได้ร้อยละ 46 (R² = 0.46)</li> <li class="show">ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำวิชาการยุคดิจิทัล บรรยากาศโรงเรียน สมรรถนะครูที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในอนาคต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-Square/df = 1.84, SRMR = 0.04, RMSEA = 0.05, GFI = 0.94, AGFI = 0.93, CFI = 0.91 และ TLI = 0.91)</li> </ol>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281697
กรอบข้อบังคับสำหรับการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของเที่ยวบินภายในประเทศในประเทศไทย
2025-10-13T15:54:56+07:00
พัฐวัชร์ ถือทอง
pattawatpep01@gmail.com
วราภรณ์ เต็มแก้ว
waraporntung@gmail.com
อภิรดา จิตจริง
apirada@catc.or.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประเภทของมาตรการ (เช่น มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ และมาตรการสนับสนุน) วิเคราะห์ และเปรียบเทียบหลักการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเที่ยวบินภายในประเทศระหว่างประเทศไทย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา 2) เพื่อเสนอแนะกรอบข้อบังคับเชิงนโยบายและมาตรการที่บูรณาการ (Policy and Integrated Measures) ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงสำหรับการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเที่ยวบินภายในประเทศ โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำกับดูแลกิจการการบินพลเรือน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมการบิน และตัวแทนผู้ดำเนินการเดินอากาศที่มีเที่ยวบินประจำเส้นทางการบินภายในประเทศไทย โดยใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งสิ้นจำนวน 9 คน โดยวิเคราะห์ผลการสัมภาษณ์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ควบคู่กับการวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักการกำกับดูแลของประเทศไทยกับนานาชาติ เพื่อสะท้อนมุมมองต่าง ๆ ที่ได้จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ</p> <p>ผลการวิจัยเชิงเปรียบเทียบพบว่า ช่องว่างสำคัญ คือ ประเทศไทยยังขาดกรอบข้อบังคับด้านการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศโดยเฉพาะ ทั้งในระดับองค์กร หลักเกณฑ์ และมาตรการภาคบังคับและสนับสนุน ผู้วิจัยจึงมีแนวทางในการวางกรอบข้อบังคับได้ดังนี้ 1) ควรกำหนดนโยบายระดับชาติและกลไกการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน 2) กำหนดมาตรการทางภาษีหรือกลไกทางการตลาดที่เป็นภาคบังคับและภาคสนับสนุน 3) ส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) และ <br />4) ควรพัฒนาระบบการตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ (MRV) กลางที่แม่นยำ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280987
รูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาครูในการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิตเชิงบวก สำหรับนักเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 จังหวัดเลย
2025-10-19T10:05:41+07:00
พัทธยา ชนะพันธ์
pattayak.2512@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการพัฒนาตนเองของครูในการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิตเชิงบวกสำหรับนักเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 จังหวัดเลย 2) สร้างรูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาครูในการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิตเชิงบวกสำหรับนักเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 52 จังหวัดเลย 3) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้น 4) ประเมิน ความเป็นไปได้ของการนำรูปแบบไปใช้ และ 5) พัฒนาแนวทางการประยุกต์ใช้รูปแบบในโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับนักเรียนด้อยโอกาสหรือมีลักษณะใกล้เคียง</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ประกอบด้วย 5 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการพัฒนาตนเองของครู โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากแบบสอบถามกับครูกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน รวมทั้งจาก การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร ครู และนักวิชาการ จำนวน 9 คน ระยะที่ 2 สร้างรูปแบบการบริหาร โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากระยะที่ 1 เพื่อยกร่างรูปแบบการบริหาร และตรวจสอบความเหมาะสมของร่างรูปแบบการบริหาร โดยการจัดสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบกับครูกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน จากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 27 จังหวัดหนองคาย ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วยแบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะการจัดกิจกรรม และแบบวัดเจตคติของครู วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบค่าที (t-test) ระยะที่ 4 ประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบ โดยสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูจำนวน 180 คน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ และข้อเสนอแนะในการนำรูปแบบไปใช้จริง ระยะที่ 5 สังเคราะห์แนวทางการประยุกต์ใช้รูปแบบในโรงเรียนที่มีบริบทใกล้เคียง โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) จากระยะที่ 1–4 เพื่อนำเสนอเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีความต้องการพัฒนาด้านความรู้ การออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ และการประเมินผลเชิงพฤติกรรม 2) รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการ (2) จุดมุ่งหมาย (3) ปัจจัยนำเข้า (4) กระบวนการดำเนินงาน (5) การประเมินผล (6) ผลลัพธ์ และ (7) ผลกระทบ 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบแสดงให้เห็นว่าครูมีพัฒนาการด้านความรู้สูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทักษะการจัดกิจกรรมของครูอยู่ในระดับดี และมีเจตคติของครูที่มีต่อการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิตเชิงบวกอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง 4) การประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารอยู่ในระดับสูงมาก และ 5) แนวทางการประยุกต์ใช้รูปแบบ ควรมุ่งเน้นการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) และการนิเทศติดตามแบบเสริมพลัง</p>
2025-11-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279711
การปรับใช้กลยุทธ์ 5 A's ให้เข้ากับธุรกิจ SMEs ไทย ในยุคดิจิทัลกรณีศึกษา SME ที่ขายสินค้าใน Modern trade ในเขต กรุงเทพมหานคร
2025-10-17T14:53:18+07:00
พิชิตใจ ถนอมทรัพย์
raygand-9999@hotmail.com
กิตติโชค นิธิเสถียร
raygand-9999@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการวางแผนธุรกิจ SMEs ไทย 2) เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ตัวแปรหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องในการวางแผนธุรกิจ SMEs ไทยในยุคดิจิทัล และ 3) เพื่อตกผลึกตัวแปรที่เหมาะสมในการนำมาใช้ออกแบบโมเดลแผนธุรกิจที่เหมาะสมกับการวางแผนธุรกิจ SMEs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการธุรกิจ ธุรกิจขายสินค้าใน Modern trade ในเขตกรุงเทพมหานคร วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการปรับตัว (Resilience) และความสามารถในการบริหารจัดการผลตอบแทน (Yield management) ที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจ (Efficiency) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนารูปแบบที่ชื่อว่า RAY Canvas ซึ่งจะนำไปใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์การบริหารจัดการในองค์กร โดยใช้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนาในประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์กร ผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการปรับตัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและสามารถนำมาใช้ออกแบบกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการของธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ทำให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานมากขึ้น อีกทั้งความสามารถในการบริหารจัดการผลตอบแทน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านทางการเงิน สะท้อนถึงสภาพคล่องของกิจการและความมั่นคงของกิจการนั้นๆ ทั้งสองปัจจัยสามารถนำมาใช้ประกอบกับเครื่องมือการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด 5A’s เพื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ผลการดำเนินงานของกิจการ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280770
ปัจจัยการรับรู้คุณค่า แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย
2025-10-19T10:16:31+07:00
พีรณัฐ บุญมาเลิศ
piranut.boo@krirk.ac.th
สราวุธ และซัน
sarawut.lae@krirk.ac.th
สุรพันธ์ อามินเซ็น
surapan.arm@krirk.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการรับรู้คุณค่า (Perceived Value) และแรงจูงใจ (Motivation) ต่อความตั้งใจมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลาง โดยมีทัศนคติ (Attitude) เป็นตัวแปรสื่อกลาง งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวจำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถามที่พัฒนาและตรวจสอบความเชื่อมั่นตามมาตรฐานทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้คุณค่าและแรงจูงใจมีอิทธิพลทางตรงต่อทัศนคติ และความตั้งใจมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ทัศนคติยังมีอิทธิพลทางตรงต่อความตั้งใจเดินทางเช่นกัน โดยโมเดลที่พัฒนาขึ้นสามารถอธิบายความแปรปรวนของความตั้งใจมาท่องเที่ยวได้ถึงร้อยละ 46 การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของปัจจัยด้านจิตวิทยาในการส่งเสริมการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลาง ภายใต้บริบทที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็ว การเสริมสร้างการรับรู้คุณค่า การกระตุ้นแรงจูงใจ และการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อจุดหมายปลายทางจึงเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับนานาชาติ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280709
การพัฒนารูปแบบการจัดการห่วงโซ่คุณค่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงเกษตรวิถีใหม่ จังหวัดสุพรรณบุรี
2025-10-20T20:35:05+07:00
เพ็ญพักร์ศิณา วิเชียรวรรณ
penpaksina_penpaksina@hotmail.com
รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์
penpaksina_wic@dusit.ac.th
วริษฐา แก่นสานสันติ
penpaksina_wic@dusit.ac.th
เตชิตา ภัทรศร
penpaksina_wic@dusit.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการห่วงโซ่คุณค่าในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรวิถีใหม่ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลัก 46 คน และการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามกับนักท่องเที่ยวจำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis) ผลการวิจัยพบว่ากระบวนการจัดการห่วงโซ่คุณค่าการท่องเที่ยวเชิงเกษตรวิถีใหม่สามารถพัฒนาได้เป็น 5 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (1) การคัดเลือกห่วงโซ่คุณค่าที่มีศักยภาพ โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานด้านการบริหารจัดการ การรองรับ การบริการ และการดึงดูดใจ (2) การวิเคราะห์บทบาทผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกแบบบริการ 4 มิติ คือ กิจกรรม การเดินทาง ที่พัก และอาหาร (3) การระบุทางเลือกในการพัฒนาโดยใช้แนวคิด 9Ps ซึ่งเน้นการพัฒนา Platform, People และ Partner (4) การประเมินกลยุทธ์ด้วยโมเดล 5A+1A เพื่อสะท้อนพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล และ(5) การกำหนดแนวทางดำเนินงานเชิงระบบที่บูรณาการเทคโนโลยี ชุมชน และการออกแบบประสบการณ์ที่มีคุณค่าและยั่งยืน ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในระดับพื้นที่ และสนับสนุนการกำหนดนโยบายส่งเสริมเมืองรองและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนในระดับประเทศ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282021
วัฒนธรรมคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ
2025-10-18T21:31:47+07:00
เรืองยศ ธนาธิบดี
pensri.2508@gmail.com
ธีรวุฒิ เอกะกุล
thanathibodee@gmail.com
ชวนคิด มะเสนะ
thanathibodee@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบวัฒนธรรมคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลองค์ประกอบวัฒนธรรมคุณภาพที่สร้างและพัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางวัฒนธรรมคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ<strong> </strong>ดำเนินการวิจัยโดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบวัฒนธรรมคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ จำนวน 18 โรงเรียน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 714 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ 0.887 ค่า SD =0.048อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมด้านภาษา = 4.452 อยู่ในระดับมาก วิเคราะห์ข้อมูลค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมคุณภาพโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ<strong> </strong>กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยการลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีสถิติบรรยาย และการวิเคราะห์เนื้อหา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282080
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย
2025-10-17T13:08:02+07:00
ลินดา บูรณะชน
sau6672810015@gmail.com
ศิริพร กาฬกาญจน์
sau6672810015@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และการจัดการสภาพแวดล้อมภายในองค์กรที่มีอิทธิพต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ตัวแทนบริษัทกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลางและขนาดย่อมระดับผู้บริหารขึ้นไป จำนวน 340 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ตัวแทนจาก เจ้าหน้าที่จากสมาคม 3 สมาคม ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลาง ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดย่อม รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนมากที่สุดรองลงมาคือ การมุ่งเน้นผู้ประกอบการ และการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร ลำดับ และ 2) แนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจปุ๋ยเคมีขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “T3E Model” ที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ การสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283384
การพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานของนักบัญชีนิติวิทยาของไทย
2025-10-04T20:55:09+07:00
วัชรา เปียทอง
dashwatchara1@gmail.com
ดารณี เอื้อชนะจิต
dashwatchara1@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานของนักบัญชีนิติวิทยาของไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จำนวน 5 ท่าน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า คู่มือการปฏิบัติงานของนักบัญชีนิติวิทยาของไทย ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ (1) บทนำ (2) สมรรถนะหลักของนักบัญชีนิติวิทยา (3) ปัจจัยจูงใจในงานบัญชีนิติวิทยา (4) การก้าวสู่การเป็นนักบัญชีนิติวิทยา (5) ความเป็นมืออาชีพในงานบัญชีนิติวิทยา (6) วิธีการปฏิบัติงานของนักบัญชีนิติวิทยา (7) แบบประเมินความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีนิติวิทยาของไทย (8) บทสรุป โดยได้สรุปขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ครอบคลุมตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดทำรายงาน ไปจนถึงการนำเสนอข้อมูลในชั้นศาลอย่างมืออาชีพ รวมถึงประเมินความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีนิติวิทยา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนานักบัญชีนิติวิทยาให้มีความสามารถในการตรวจสอบพยานหลักฐานทางการเงินอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมีมาตรฐานสากล</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281636
การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากโครงการอบรมการตลาดผ่านสื่อ สังคมออนไลน์ เพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชน จังหวัดปทุมธานี สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์
2025-10-25T10:43:55+07:00
วันฤดี สุขสงวน
kob.wanrudee@gmail.com
เฉลิมพร เย็นเยือก
wanrudee.s@rsu.ac.th
อารีย์รัตน์ ส่งสกุลวัฒนา
wanrudee.s@rsu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรมที่มีต่อโครงการอบรมการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สำหรับวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับความรู้ก่อนเรียนกับการพัฒนาความรู้หลังเรียน และ 3) ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการแบบให้เปล่า สำหรับวิสาหกิจชุมชน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 70 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หลักสูตรการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ 2) แบบสอบถาม 3) แบบสัมภาษณ์ และ 4) เครือข่ายสังคมออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Descriptive Statistics, Pearson correlation, Dependent t-test / Paired t-test และ SROI Calculation ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้เข้ารับการอบรมมีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุดในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านวิทยากร และกิจกรรมฝึกปฏิบัติที่ช่วยพัฒนาทักษะการตลาดออนไลน์ 2) ไม่มีความสัมพันธ์ที่มีระดับนัยสำคัญ 0.05 ระหว่างระดับความรู้ก่อนเรียนกับการพัฒนาความรู้หลังเรียน 3) โครงการอบรมมีผลตอบแทนจากการลงทุน เท่ากับ 2.00 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการนี้มีความคุ้มค่าในการลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ทางสังคม</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการอบรมที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะให้แก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282071
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจของโรงแรมขนาด 3 ดาว ในภาคเหนือของประเทศไทย
2025-10-13T09:20:09+07:00
วิลาสินี ชัยวรรณ์
sau6472820005@gmail.com
นนท์ สหายา
sau6472820005@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของแบบจำลอง 7s McKinsey คุณภาพการให้บริการ และ การสื่อการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการกําหนดกลยุทธ์ธุรกิจของโรงแรมขนาด 3 ดาวในภาคเหนือของประเทศไทย และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการกําหนดกลยุทธ์ธุรกิจของโรงแรมขนาด 3 ดาวในภาคเหนือของประเทศไทยการวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการโรงแรม ในจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทยที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 380 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากหอการค้าหอการค้าจังหวัด ตัวแทนผู้ประกอบการโรงแรมขนาด 3 ดาวในภาคเหนือของประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ยคุณภาพการให้บริการ ที่มีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุดรองลงมาคือ 7s McKinsey และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ลำดับ และ 2) แนวทางการกําหนดกลยุทธ์ธุรกิจของโรงแรมขนาด 3 ดาวในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “SMIB Model” ที่มุ่งเน้นคุณภาพ ปริมาณงาน เวลา ค่าใช้จ่าย และวิธีการ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280650
การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอพิชัย
2025-10-25T11:40:12+07:00
ศักดา ศรีแย้ม
sakda.sr@psru.ac.th
นงลักษณ์ ใจฉลาด
sakda.sr@psru.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการคิด<br>เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอพิชัย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ สถานศึกษาในอำเภอพิชัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จำนวน 40 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูล จำนวนทั้งสิ้น 120 คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 40 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง และครู จำนวน 80 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น และการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นมาตราประมาณค่า <br>5 ระดับ ในรูปแบบการตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br>ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม<br>ของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอพิชัย ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ .270 เมื่อพิจารณา<br>รายด้าน พบว่า ด้านการร่วมมือ มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุดเป็นลำดับแรก รองลงมาคือ ด้านการคิดสร้างสรรค์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคิดเป็นภาพ ข้อค้นพบจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ สะท้อนถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการร่วมมือ ให้เกิดการมีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละบุคคล</p> <p> </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282157
วัฒนธรรมองค์กรต่อต้านการทุจริตส่งผลต่อความเชื่อมั่นในข้อมูลการรายงาน การตรวจสอบภายในและประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
2025-10-18T21:06:43+07:00
สุพัตรา ปรางบาง
supattra281979@gmail.com
ดารณี เอื้อชนะจิต
sakda.sr@psru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของวัฒนธรรมองค์กรต่อต้านการทุจริต ความน่าเชื่อถือของข้อมูลการตรวจสอบภายในที่ส่งผลต่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของวัฒนธรรมองค์กรต่อต้านการทุจริตส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลการตรวจสอบภายใน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประชากรคือบุคลากรภายในสำนักที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบภายในของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวนทั้งสิ้น 269 ราย เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้จำนวน 192 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า สมมติฐานที่ 1 และ 3 ได้รับการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ บทสรุปของการวิจัยนี้ชี้ว่าวัฒนธรรมองค์กรต่อต้านการทุจริต ความน่าเชื่อถือของข้อมูลการตรวจสอบภายใน ควรถูกกำหนดให้เป็นแกนกลางของนโยบายด้านบุคลากรและการบริหารองค์กรภาครัฐ เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการและวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมจริยธรรมและความยั่งยืนในทุกระดับขององค์กร</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279549
แบบจำลองการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม
2025-10-17T14:17:57+07:00
สิริวรรณ์ รัตนราษี
s63484945193@ssru.ac.th
สุพัตรา ปราณี
s63484945193@ssru.ac.th
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม (2) ศึกษาระดับความคิดเห็นที่มีต่อองค์ประกอบของการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม และ (3) นำเสนอแบบจำลองการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาระดับอธิการบดี ระดับรองอธิการบดี และระดับผู้อำนวยการกองหรือผู้อำนวยการสำนักหรือผู้อำนวยการศูนย์หรือตำแหน่งเทียบเท่า ที่เป็นผู้รับผิดชอบภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม จำนวน 535 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมและ/หรือด้านการวิจัยและพัฒนาของสถาบันอุดมศึกษาที่ถูกจัดให้อยู่กลุ่มที่ 2 กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน 5 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง รวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">องค์ประกอบของการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม มี 8 องค์ประกอบ คือ (1) การจัดการกระบวนการ (2) การมุ่งเน้นบุคลากร (3) การวางแผนกลยุทธ์ (4) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม (5) การมุ่งเน้นผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (6) การมุ่งเน้นผลลัพธ์ (7) การจัดการความรู้ และ (8) การจัดการทรัพยากร</li> <li class="show">ระดับความคิดเห็นที่มีต่อองค์ประกอบของการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณารายองค์ประกอบพบว่าทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">แบบจำลองการบริหารสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งความเป็นเลิศด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นภายใต้ IPO Model ซึ่งบูรณาการกันอย่างเป็นระบบผ่าน (1) กลุ่มปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย การมุ่งเน้นผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนได้ส่วนเสีย การมุ่งเน้นบุคลากร และการจัดการทรัพยากร (2) กลุ่มกระบวนการ ประกอบด้วย ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม การวางแผนกลยุทธ์ การจัดการกระบวนการ และการจัดการความรู้ และ (3) กลุ่มผลผลิต ประกอบด้วย การมุ่งเน้นผลลัพธ์<strong> </strong></li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> แบบจำลอง, การบริหารสถาบันอุดมศึกษา, ความเป็นเลิศ, การพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278753
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมมือสอง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-10-04T19:32:34+07:00
สุมาลี มาเจริญ
sumalee.maj@rmutr.ac.th
กอบกูล จันทรโคลิกา
s63484945193@ssru.ac.th
ถนอมศักดิ์ สุวรรณน้อย
s63484945193@ssru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมมือสองในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิจำนวน 441 คน วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและแบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ แรงจูงใจที่ยั่งยืน และแรงจูงใจที่สร้างสรรค์ส่งผลทางบวกต่อทัศนคติการซื้อ โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า การลดการใช้ทรัพยากร และการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่แรงจูงใจทางจริยธรรมและแรงจูงใจที่คิดถึงไม่มีอิทธิพลต่อทัศนคติ เนื่องจากผู้บริโภคเน้นปัจจัยด้านราคาและคุณภาพมากกว่า ทัศนคติส่งผลทางบวกต่อความตั้งใจซื้อ โดยได้รับอิทธิพลจากบรรทัดฐานส่วนตัว ประสบการณ์การซื้อ และการบริโภคอย่างยั่งยืน แต่การควบคุมพฤติกรรมไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการประเมินความแท้จริงของสินค้า ผลการศึกษาสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ที่คำนึงถึงความยั่งยืน คุณค่าทางเศรษฐกิจ และการแสดงออกทางเอกลักษณ์ส่วนตัว</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ; แรงจูงใจที่ยั่งยืน;แรงจูงใจด้านจริยธรรม;แรงจูงใจที่คิดถึง;แรงจูงใจที่สร้างสรรค์;ทัศนคต;บรรทัดฐานส่วนตัว;การควบคุมพฤติกรรม;ความตั้งใจซื้อ;ประสบการณ์การซื้อที่ผ่านมา;การซื้ออย่างยั่งยืน;การซื้อที่โดดเด่น;เสื้อผ้าแบรนด์เนมมือสอง</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280523
การศึกษาอิทธิพลของการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์ต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ในอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
2025-10-13T16:04:02+07:00
สุวัจนกานดา พูลเอียด
aj.ka.phuniat@gmail.com
สุมลมาลย์ อรรถวุฒิชัย
aj.ka.phuniat@gmail.com
สมใจ วงค์เทียนชัย
aj.ka.phuniat@gmail.com
เผด็จ ทุกข์สูญ
aj.ka.phuniat@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านสื่อออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์และอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่ระมาด จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 338 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติของการศึกษา ผู้วิจัยใช้สถิติพรรณนา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติอ้างอิง ประกอบด้วย วิธีการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และ การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ ประกอบไปด้วย การถ่ายทอดสด (Live) การนำเสนอภาพนิ่ง (Photo) ภาพเคลื่อนไหว (VDO) และ การถ่ายทอดเรื่องราว (Content) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ 0.01 ทั้งนี้ เฉพาะตัวแปรการรับรู้ข้อมูลผ่านภาพเคลื่อนไหว (VDO) เท่านั้น ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 ในขณะที่ การรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านการถ่ายทอดสด ภาพนิ่ง และ การนำเสนอเรื่องราว ไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้วิจัยเสนอแนะว่า การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นในหลากหลายรูปแบบ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282288
กลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยในอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
2025-10-18T20:42:01+07:00
เสาวณิต นุชน้อย
nid.jung20@gmail.com
สอาด บรรเจิดฤทธิ์
nid.jung20@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้บริการห้องเช่ามีผลต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า 4) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า และ 5) เพื่อศึกษากลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้ทฤษฎีกลยุทธ์การแข่งขัน ทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด และทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้บริการห้องเช่า จำนวน 384 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ประกอบการห้องเช้าและผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้บริการห้องเช่า จำนวน 15 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) .แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใชสถิติ ค่าร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวนทางเดียว ไคสแควร์ การถดถอยแบบพหูคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">กลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li class="show">ผู้บริโภคชาวไทยที่มีเพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า ไม่แตกต่างกัน</li> <li class="show">พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ใช้บริการห้องเช่า ได้แก่ ประเภทที่อยู่อาศัย จำนวนผู้เช่าพัก ระยะเวลาในการเช่า และวัตถุประสงค์ในการเช่า ไม่มีผลต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า</li> <li class="show">ส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านช่องทางในการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ มีผลต่อกลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</li> <li class="show">กลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่า พบว่า กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน และ กลยุทธ์การเจาะจงเฉพาะกลุ่ม เป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน</li> </ol> <p>องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ กลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ควรมีการประยุกต์ส่วนประสมการตลาด ได้แก่ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการ ด้านลักษณะทางกายภาพ มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจห้องเช่าที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน</p> <p><strong> </strong></p> <p> </p> <p> </p> <p> </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278940
คุณภาพการบริการ นวัตกรรมการบริการ การรับรู้คุณค่า ภาพลักษณ์ธุรกิจที่พัก และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยว ในธุรกิจแพที่พักแรมเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก
2025-10-04T19:24:51+07:00
โสภาวรรณ ตรีสุวรรณ์
sophawan.tr@ssru.ac.th
สุพัตรา ปราณี
supattra.pr@ssru.ac.th
<p>ธุรกิจแพที่พักแรมมีบทบาทความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญในการนำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศ การสร้างงาน ไปสู่ภูมิภาค การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับของตัวแปรคุณภาพการบริการ นวัตกรรมการบริการ การรับรู้คุณค่า ภาพลักษณ์ธุรกิจที่พัก ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และความภักดีของนักท่องเที่ยวในธุรกิจแพที่พักแรมเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรคุณภาพการบริการ นวัตกรรมการบริการ การรับรู้คุณค่า ภาพลักษณ์ธุรกิจที่พัก และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อความภักดีของนักท่องเที่ยว ในธุรกิจแพที่พักแรมเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก (3) เพื่อสร้างแบบจำลองความภักดีของนักท่องเที่ยว ในธุรกิจแพที่พักแรมเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการในธุรกิจแพที่พักแรมเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก จำนวน 400 คน โดยมี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผลการวิจัยพบว่า (1) ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในธุรกิจแพที่พักแรมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ความภักดีของนักท่องเที่ยว การรับรู้คุณค่า นวัตกรรมการบริการ ภาพลักษณ์ธุรกิจที่พัก และคุณภาพการบริการ ทุกด้านอยู่ในระดับมาก (2) นวัตกรรมบริการ ความพึงพอใจ และการรับรู้คุณค่า ส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อความภักดีของนักท่องเที่ยว มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 .001 และ .001 (3) แบบจำลองที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมามีชื่อว่า “SIISPL Model” โดย เมื่อนวัตกรรมบริการ ความพึงพอใจ และการรับรู้คุณค่าของนักท่องเที่ยวสูงขึ้นจะส่งผลให้ความภักดีของนักท่องเที่ยวสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่เมื่อคุณภาพบริการ นวัตกรรมบริการ และภาพลักษณ์ธุรกิจที่พักสูงขึ้นส่งผลให้การรับรู้คุณค่าและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวสูงขึ้นจนเกิดเป็นความภักดีที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการในธุรกิจแพที่พักแรมอีกครั้งตลอดจนการแนะนำให้ผู้อื่นมาใช้บริการ ส่งผลให้ธุรกิจแพที่พักแรมมีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป </p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281276
อิทธิพลของการมุ่งเน้นการตลาดที่มีผลต่อความสามารถทางนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจังหวัดสงขลา
2025-10-25T11:45:52+07:00
อรณิช สาครินทร์
aranid.sa@skru.ac.th
รัตนากรณ์ ภู่เจนจบ
rattakorn.po@skru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการมุ่งเน้นการตลาดที่มีผลต่อความสามารถทางนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสงขลา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดสงขลา จำนวน 398 คน โดยใช้สูตรของ Yamane′ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ คณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นของการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับทางวิชาการ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การมุ่งเน้นการตลาด ด้านการมุ่งเน้นลูกค้า ด้านการมุ่งเน้นคู่แข่งขัน และด้าน การมุ่งเน้นการประสานงานภายในองค์กร มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับความสามารถทางนวัตกรรมผลิตภัณฑ์โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนาการมุ่งเน้นทางการตลาดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อันนำไปสู่การตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าซึ่งทำให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275793
แบบจำลองเชิงสาเหตุของพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี
2025-10-12T09:53:54+07:00
อรรณพ ชัยวุฒิ
tunnop1@gmail.com
สุธีรา ศรีเบญจโชติ
tunnop1@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของความภักดีของแฟนฟุตบอลที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านเพศที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ แฟนฟุตบอลไทยลีกที่เข้าชมการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก ในปี พ.ศ. 2564 จำนวน 400 ราย ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา แบบจำลองโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความภักดีของแฟนฟุตบอลที่มีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี ซึ่งตัวแปรความภักดีของแฟนฟุตบอลมีอิทธิพลทางตรงต่อตัวแปรพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี สรุปได้ว่าพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดีสามารถอธิบายได้ด้วยตัวแปรชุมชนของแฟนฟุตบอล ตัวแปรความผูกพันกับแฟนฟุตบอล และตัวแปรความภักดีของแฟนฟุตบอล 2) เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดีไม่ความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สามารถอธิบายได้ว่าเพศชายและหญิงมีพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดีเท่าเทียมกัน จึงไม่มีความแตกต่างเมื่อพิจารณาโดยปัจจัยด้านเพศในพฤติกรรมการเป็นแฟนฟุตบอลที่ดี โดยองค์ความรู้จากการวิจัย พบว่า การสร้างชุมชนของแฟนฟุตบอลที่แข็งแกร่งต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การสร้างความผูกพันผ่านกิจกรรมและสื่อสังคมออนไลน์, การเสริมสร้างความภักดีของแฟนฟุตบอล และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในวงการฟุตบอล ปัจจัยเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างการสนับสนุนและความเชื่อมโยงที่ดีในชุมชนของแฟนฟุตบอล</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284380
กระบวนการนำนโยบายสาธารณะด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ไปปฏิบัติของประเทศไทย
2025-11-05T11:52:52+07:00
ภูริส จินตรานันท์
Purisjit2015@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรณีศึกษาและปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชันจากนโยบายสาธารณะด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่รัฐ และ <br>2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการนำนโยบายสาธารณะด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดไปปฏิบัติ<br>ในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2546–2567 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูล<br>จากการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 16 คน ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ เพื่อวิเคราะห์บทบาทและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ<br>ในระดับปฏิบัติการ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติการสามารถจำแนกออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ (1) แบบตั้งใจทำและทำสำเร็จ (2) แบบตั้งใจทำแต่ทำไม่สำเร็จ (3) แบบตั้งใจเบี้ยวและเบี้ยวสำเร็จ (4) แบบตั้งใจเบี้ยวแต่เบี้ยวไม่สำเร็จ ซึ่งรูปแบบพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลโดยตรง<br>ต่อความสำเร็จของนโยบาย โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมแบบเบี่ยงเบน ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์<br>ที่เป็นความเสียหายต่อระบบนโยบาย</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า ปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดการทุจริตคอร์รัปชันประกอบด้วย <br>6 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย ภูมิศาสตร์และประชากร สังคมและจิตวิทยา รวมถึงทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐระดับล่าง ทั้งนี้ การคอร์รัปชันมีผลในการบั่นทอนประสิทธิภาพของนโยบายและลด<br>ความน่าเชื่อถือของหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งยังส่งเสริมการเติบโตของเครือข่ายยาเสพติด</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่าปัญหาและอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การได้รับทรัพยากร<br>ไม่เพียงพอจากส่วนกลาง การขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน และการขาดการให้ความสำคัญของผู้นำ<br>ทุกระดับ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้การดำเนินนโยบายไม่บรรลุผล อีกทั้งยังพบว่า นโยบายด้านยาเสพติดในไทยมักได้รับอิทธิพลจากฝ่ายการเมืองที่เน้นเป้าหมายเชิงการเมือง มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานระดับล่าง และระบบสนับสนุนจากภาครัฐ ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยควรมุ่งเน้น<br>การสนับสนุนเชิงโครงสร้าง การเสริมสร้างจริยธรรมของบุคลากร และการลดอิทธิพลทางการเมือง<br>ต่อกระบวนการนโยบาย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284382
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567
2025-11-05T11:55:49+07:00
เกษมสันต์ จันทร์ทิม
kj.golf31@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาอุดมการณ์และเจตจำนงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 (2) เพื่อศึกษารูปแบบของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 <br>(3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์กลยุทธ์ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) โดยเก็บข้อมูลด้วยวิธีการศึกษาข้อมูลจากเอกสารสำคัญและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องจำนวน 8 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>อุดมการณ์และเจตจำนงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 (1) อุดมการณ์และเจตจำนงของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งหวังที่จะสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยอมรับในความแตกต่างอย่างแท้จริง โดยไม่เน้นสิทธิพิเศษแต่เน้นไปที่การยอมรับในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันกับผู้อื่นในสังคม และ (2) บริบทที่สำคัญที่ทำให้การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้น คือ ความไม่เสมอภาคที่เกิดจากการละเลยสิทธิและเสรีภาพของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในหลายกรณี กลุ่มนี้มักถูกกีดกันจากสังคมและระบบการเมือง โดยไม่ได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิในการดำเนินชีวิตตามความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นในด้านกฎหมาย การศึกษา การงาน หรือแม้กระทั่งในมุมมองทางสังคม</p> <p>รูปแบบของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 (1) การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยมุ่งเน้นการรวมกลุ่มและสร้างพลังเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงกฎหมายและสังคม โดยมีเป้าหมายให้กลุ่มนี้ได้รับการยอมรับและสิทธิที่เท่าเทียมในฐานะสมาชิกที่มีคุณค่าในสังคม (2) การสร้างโอกาสทางการเมืองและความสำเร็จของขบวนการเคลื่อนไหวกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย การศึกษา และระบบสังคม</p> <p>วิเคราะห์กลยุทธ์ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย พ.ศ. 2523-2567 (1) การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยจำเป็นต้องใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงในเชิงกฎหมายและนโยบาย รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการยอมรับและเคารพสิทธิของทุกคน และ (2) กลยุทธ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยได้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูล ความสามารถในการเชื่อมโยงคนหลายกลุ่มและกระตุ้นความตระหนักรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยสร้างแรงผลักดันเพื่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการสร้างความเท่าเทียม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284383
การเมืองของการต่อสู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย พ.ศ. 2554–2566
2025-11-05T11:58:38+07:00
ฐิตารีย์ ธาดาวิริยะโชติ
mata866988@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทและการวิเคราะห์ตัวแสดงแทนทางการเมืองของการต่อสู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2554–2566 2) เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ของตัวแสดงแทนทางการเมืองของการต่อสู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย พ.ศ. 2554–2566 3) เพื่อศึกษาปัญหาและข้อค้นพบใหม่ของการต่อสู้เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย พ.ศ. 2554–2566 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 ท่าน ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ข้อมูลที่เก็บมาจากการสัมภาษณ์จะได้รับการวิเคราะห์โดยวิธีการสรุปความสาระสำคัญและการศึกษาเอกสาร ซึ่งเอกสารที่ใช้แบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ (1) เอกสารชั้นต้น (Primary Data) เช่น ข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเอกสารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และ (2) เอกสารทุติยภูมิ (Secondary Data) ซึ่งรวมถึงงานวิจัย หนังสือ และบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการศึกษา เพื่อนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อเสริมความเข้าใจในการศึกษาครั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า การต่อสู้ทางการเมืองเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของกลุ่มต่าง ๆ เช่น ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และผู้บริโภค การขัดแย้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการตีความกฎหมายและนโยบายสุขภาพที่มีผลต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายได้ใช้อำนาจทางการเมืองในการควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว</p> <p>ผลการศึกษายังพบว่า ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2554–2566 มีผลต่อทิศทางนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลแต่ละชุดมีจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่ยังคงรักษาจุดยืนในภาพรวมว่า “บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” แม้จะมีการศึกษาในสภาฯ หลายครั้ง แต่ยังไม่มีรัฐบาลใดดำเนินการเชิงนโยบายอย่างจริงจัง ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 หน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจ มีบทบาทในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า แต่กระบวนการยังคงเผชิญปัญหาการบูรณาการ ขาดความชัดเจน และเผชิญข้อจำกัดในการควบคุมการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายที่แพร่หลายในตลาดมืด และผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ปัญหาสำคัญคือการไม่มี “กฎหมายเฉพาะ” สำหรับควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมการเข้าถึงในกลุ่มเยาวชน และการจัดเก็บภาษีของรัฐ อีกทั้งยังสร้างความสับสนแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานะของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ข้อค้นพบสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการออก “กฎหมายเฉพาะสำหรับบุหรี่ไฟฟ้า” เพื่อให้เกิดระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันผลกระทบทางสุขภาพ และลดการเข้าถึงของกลุ่มเยาวชน รวมถึงเพิ่มความชัดเจนในเชิงนโยบายของรัฐ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279658
การศึกษาเปรียบเทียบการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2
2025-11-05T09:32:08+07:00
พัชชา จันทร์คำ
vios2498@outlook.com
ณิรดา เวชญาลักษณ์
patcha.j@psru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบการบริหารจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาจำแนกตามขนาด และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการความปลอดภัย กลุ่มตัวอย่างคือสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 จำนวน 118 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลคือผู้บริหารและครูรวม 236 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.987 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ ANOVA</p> <p> ผลวิจัยพบว่า การบริหารจัดการความปลอดภัยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านอาคารสถานที่ปลอดภัยมีระดับสูงสุด ส่วนด้านการจัดการภัยพิบัติมีระดับต่ำสุด เมื่อเปรียบเทียบตามขนาดสถานศึกษาพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยโรงเรียนขนาดใหญ่มีระดับการจัดการดีที่สุด รองลงมาคือขนาดกลาง และขนาดเล็กมีระดับต่ำสุด ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกเสนอแนวทางพัฒนาในรูปแบบ “SPT Model” ประกอบด้วย Standard (การวางมาตรฐานเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน), Preparation (การจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ), และ Training (การอบรมเชิงปฏิบัติการแผนเผชิญเหตุ)</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong>การบริหารจัดการความปลอดภัย; SPT Model; สถานศึกษาปลอดภัย; การจัดการภัยพิบัติ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283989
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-10-15T16:14:27+07:00
ภูวิช ปัญญาสิทธิ์
phuvit.panyasit1@gmail.com
บันลือ เครือโชติกุล
phuvit.panyasit1@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของผู้ใบริการ และความไว้วางใจ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของคุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของผู้ใบริการ ความไว้วางใจ ที่มีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 320 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารภาพลักษณ์ขององค์กรของธนาคารพาณิชย์ เจ้าหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ ตัวแทนผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งสิ้น 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า 1) ความไว้วางใจ ความพึงพอใจของลูกค้า ความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร และคุณภาพการให้บริการ มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ คุณภาพการให้บริการ และ ความไว้วางใจ ตามลำดับ และ 3) แนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานครแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “CSTL Model” เป็นแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีของผู้ใช้บริการหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นความเข้าใจ ความรู้สึก พฤติกรรม และการกระทำ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/283991
แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง
2025-10-15T16:22:28+07:00
วิจารณ์ กุลชนะรัตน์
wijarn.kulchanarat1@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
wijarn.kulchanarat1@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ และมีส่วนร่วมของประชาชน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ และมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือนายกเทศมนตรี หัวหน้าสำนักปลัดหรือผู้ที่รักษาการในตำแหน่ง และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในเรื่องขยะมูลฝอยของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง จำนวน 255 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับการกำกับนโยบายการบริหารจัดการขยะของเทศบาล นายกเทศมนตรี และตัวแทนเอกชนที่จ้างเหมาการบริหารจัดการขยะของเทศบาล รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะโดยจ้างเหมาเอกชน การมีส่วนร่วมของประชาชน มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการบริหารจัดการ มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลางมากที่สุด รองลงมาคือ การบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามลำดับ และ 3) แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “TOPW Model” เป็นรูปแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเป็นแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะของเทศบาลโดยการจ้างเหมาบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จในภาคกลาง ที่มุ่งเน้นคุณภาพของงาน ปริมาณงาน เวลา และ ค่าใช้จ่าย</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284008
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรม ในภาคตะวันตก
2025-10-16T10:00:42+07:00
พรพิมล เส็งเจริญสุข
pornpimol.sau@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
pornpimol.sau@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก พฤติกรรมผู้บริโภค การบริหารจัดการองค์กร และนวัตกรรม 2) เพื่อศึกษา พฤติกรรมผู้บริโภค การบริหารจัดการองค์กร และนวัตกรรมที่มีอิทธิพลเชิงเชิงสาเหตุต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบโรงแรมในภาคตะวันตกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 320 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ผู้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดในภาคตะวันตก เจ้าหน้าที่สมาคมธุรกิจที่พักจังหวัดในภาคตะวันตก เจ้าหน้าที่จากหอการค้าจังหวัด ตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม รวมทั้งสิ้น 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรม ความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรม พฤติกรรมผู้บริโภค และการบริหารจัดการ มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2) พฤติกรรมผู้บริโภค ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก มากที่สุดรองลงมาคือการบริหารจัดการ และ นวัตกรรม ตามลำดับ และ 3) แนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก เป็นรูปแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นใหม่หรือเรียกว่า “COIS Model” เป็นรูปแบบจำลองให้ผู้ประกอบการใช้เป็นแนวทางการเสริมสร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการโรงแรมในภาคตะวันตก ที่มุ่งเน้นการเงิน ลูกค้า กระบวนการจัดการภายใน และ การเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282029
Influencing Factors on Self-efficacy for Teachers in Guangxi Universities
2025-10-25T12:08:19+07:00
Yongyi Qin
phenphak.sa@ssru.ac.th
Poramatdha Chutimant
Poramud.ch@ssru.ac.th
Thada Siththada
Thada.si@ssru.ac.th
<p>The self-efficacy in discipline construction refers to the self-efficacy perception of teachers in the field of discipline construction activities. In the discipline construction KAP mechanism, self-efficacy is formed by the external factors of discipline construction, the internal factors of the actors, and the interaction between people and the environment. This study shows that teachers' self-efficacy in discipline construction is significantly influenced by discipline construction knowledge, discipline construction attitude, and discipline construction behavior. Discipline construction attitude plays a certain mediating role in the KAP mechanism. Whether the discipline organization receives external policy support has no obvious regulatory effect on self-efficacy in the discipline construction mechanism. Therefore, policymakers can enhance teachers' self-efficacy through the application of the discipline construction KAP mechanism in the policy process, promoting the development of disciplines.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281827
นวัตกรรมการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-10-25T10:46:42+07:00
ฤทัยรัตน์ เวียงจันดา
ruethairatann1987@gmail.com
จิรศักดิ์ สุรังคพิพรรธน์
jirsu@hotmail.com
ละมุล รอดขวัญ
rodkhwan.la@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลที่ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างนวัตกรรมการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา และ 3) เพื่อประเมินนวัตกรรมการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี โดยมีสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย เป็นพื้นที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ครูที่ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ และครูที่ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา จำนวน 1,059 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้มีวุฒิการศึกษาระดับเอก สาขาการบริหารการศึกษา ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และความเชี่ยวชาญทางด้านการสร้างนวัตกรรมการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 9 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบประเมินนวัตกรรม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่านวัตกรรมการบริหารวัฒนธรรมองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสถานศึกษา มี 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านนวัตกรรมการบริหาร 2) ด้านการบริหารวัฒนธรรมองค์กร 3) ด้านวัฒนธรรมองค์กร 4) ด้านการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281784
Development of Perceived Value among Chinese Tourists toward Lanna Spa Tourism in Chiang Mai Province
2025-10-25T10:46:18+07:00
วิไลพรรณ ใจวิไล
sangkae.p62@gmail.com
แสงแข บุญศิริ
sangkae.p62@gmail.com
<p>This article aims to study the confirmatory factor analysis of Chinese tourists' perception of value towards Lanna spa tourism in Chiang Mai Province. The research design is quantitative research. The sample consists of 420 Chinese tourists by cluster sampling and convenience sampling. The research instrument is a questionnaire for confirmatory component analysis. The research results show that Chinese tourists' perception of value towards Lanna spa tourism in Chiang Mai Province has 3 sub-components and 14 questions. The developed structural relationship model is consistent with the empirical data.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280852
The Relationship between Personal Financial Planning and Saving Behavior on Self-Immunity and Enhancing Quality of Life of Students in the Faculty of Management Science, Buriram Rajabhat University
2025-10-19T10:13:34+07:00
Pakamat Butsalee
mon-noi@hotmail.com
Nipaphorn Pirapark
nipaphorn.pp@bru.ac.th
<p>This research aimed to study the relationship between personal financial planning and saving behavior and the self-immunity and quality of life enhancement of students in the Faculty of Management Science, Buriram Rajabhat University. The sample group comprised 313 students. Data were collected using a validated self-administered questionnaire and analyzed using descriptive and inferential statistics, including multiple correlation and regression analyses. Key findings revealed that 1) personal financial planning in terms of consumption had a statistically significant relationship with self-immunity; 2) financial planning regarding life goals was significantly associated with quality of life enhancement; 3) saving behavior in terms of attitude towards saving and saving discipline was significantly associated with self-immunity; and 4) saving behavior in terms of saving discipline was significantly associated with quality of life enhancement. The results highlight that financial planning and saving behavior are crucial for fostering resilience and enhancing life quality through disciplined saving.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278719
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
2025-10-04T22:51:00+07:00
นฤชิต สุนทรกิติ
naruchitbig@gmail.com
สโรชินี ศิริวัฒนา
srochinee.si@ssru.ac.th
ณัฐริกานต์ แก้วโกลฐาฏ์
nattarikarn.ka@ssru.ac.th
ชาญเดช เจริญวิริยะกุล
ch.chandej@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานในองค์กรภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 320 คน โดยขนาดของกลุ่มตัวอย่าง กำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ซึ่งสุ่มหา<br />กลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ได้รับอิทธิพลรวมจาก <br />ภาวะผู้นำของผู้บริหาร มากที่สุด รองลงมาคือ ความสุขในการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเฉพาะอิทธิพลทางตรง พบว่า ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน ได้รับอิทธิพลทางตรงจากความสุขในการทำงาน มากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นำของผู้บริหาร ตามลำดับขณะที่ สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยผลการวิจัยนี้ทั้งองค์ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอกนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถนำไปวิเคราะห์ วางแผน จัดตั้งนโยบาย และแผนการบริหารจัดการให้พนักงานในภาคอุตสาหกรรมนี้มีการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายของตนเองได้ รวมทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำการวิจัยครั้งนี้ไปพัฒนาต่อยอดนโยบายเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอกนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศชั้นนำได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278442
อิทธิพลของความพร้อมของผู้ประกอบการ ทรัพยากรมนุษย์ แนวโน้มของตลาด และนโยบายภาครัฐที่มีต่อประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย
2025-10-04T22:43:56+07:00
อนพัทย์ หนองคู
s63484945220@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.bu@ssru.ac.th
ชมภู สายเสมา
chompoo.sa@ssru.ac.th
ณธกร คุ้มเพชร
nathakorn.ku@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความพร้อมของผู้ประกอบการ ทรัพยากรมนุษย์ แนวโน้มของตลาด นโยบายภาครัฐและประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของตัวแปรความพร้อมของผู้ประกอบการ ทรัพยากรมนุษย์ แนวโน้มของตลาดและนโยบายภาครัฐที่มีต่อประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย 3) พัฒนารูปแบบประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย งานวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเล ผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำ/เรือนำเที่ยว และผู้ประกอบการท่องเที่ยวบริเวณชายหาด จำนวน 300 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเล ผู้แทนชุมชนที่มีการประกอบกิจการท่องเที่ยวทางทะเลและผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวรวมจำนวน 100 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพร้อมของผู้ประกอบการ ทรัพยากรมนุษย์ แนวโน้มของตลาด นโยบายภาครัฐและประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย อยู่ในระดับมาก 2) ความพร้อมของผู้ประกอบการ ทรัพยากรมนุษย์ แนวโน้มของตลาดและนโยบายภาครัฐที่มีต่อประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) รูปแบบประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีชื่อว่า “Operational Model for Advancing Net-Zero Carbon Marine Tourism in the Gulf of Thailand” นอกจากนี้ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่า ในการเพิ่มประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทย นั้น ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลต้องมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมและความเข้าใจในแนวคิดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ มีการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทักษะในการใช้เทคโนโลยีและการจัดการทรัพยากรในการดำเนินงาน มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ เอกชนและชุมชนท้องถิ่น มีนวัตกรรมสีเขียวในการทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้กลับมาดึงดูดนักท่องเที่ยว มีการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางกำหนดนโยบายในเพิ่มประสิทธิผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจการท่องเที่ยวทางทะเลคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในพื้นที่อ่าวไทยในอนาคตต่อไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/278822
Moderating Effect of Institutional Investors on the Relationship Between Borad Structure and Firm Performance: Evidence from Listed Companies on the Stock Exchange of Thailand
2025-11-01T12:20:49+07:00
Suwisa Chaisuwan
suwisa.c@rmutsv.ac.th
Arunya Jinachan
arunya.j@rmutsv.ac.th
Walaiporn Nuansa-ard
arunya.j@rmutsv.ac.th
<p>This study aimed to examine the influence of institutional investors on the relationship between board structure and firm performance, measured by return on assets (ROA), in listed companies on the Stock Exchange of Thailand during 2020–2022. The analysis utilized data from 1,148 companies retrieved from the SETSMART annual database. Multiple regression analysis was conducted to test the hypotheses. The findings indicate that board structure, specifically board size, has a negative relationship with firm performance, while institutional investors do not exhibit a statistically significant relationship with firm performance. However, the analysis of moderating variables reveals that the proportion of board management, in conjunction with institutional investors, has a statistically significant positive influence on firm performance. Conversely, the proportion of independent directors and board of auditors, when combined with institutional investors, shows a statistically significant negative influence on firm performance.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281115
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครู โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-10-14T11:18:47+07:00
พวงทอง ศรีวิลัย
phoungtongsri2509@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบ สภาพ และแนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา<br />ขั้นพื้นฐาน 4) เพื่อประเมินรับรองรูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 5) เพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีกลุ่มตัวอย่างเป็นครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 400คน โดยใช้การสุ่มแบบหลายขั้นตอน และมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครู โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามสภาพการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา และแบบสัมภาษณ์แนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา และการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.42, S.D. = 0.41) เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัล = 3.48, S.D. = 0.58) ด้านการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน = 3.44, S.D. = 0.53) และด้านการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน ( = 3.43, S.D. = 0.68) ตามลำดับ 2) แนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานรองรับการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ด้านการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน มี 2 แนวทาง ด้านการจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ทางเทคโนโลยีดิจิทัล มี 3 แนวทาง ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน มี 3 แนวทาง ด้านการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐานมี 3 แนวทาง และด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการปรับปรุงพัฒนา มี 3 แนวทาง</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284471
รูปแบบองค์ประกอบธุรกิจพิพิธภัณฑ์เอกชนในประเทศไทย
2025-11-11T19:26:56+07:00
ศุภานิช คำบุศย์
Supanich.kbs@gmail.com
รุ่งโรจน์ สงสระบุญ
Supanich.kbs@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์พิพิธภัณฑ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน 2) เพื่อค้นหารูปแบบธุรกิจของพิพิธภัณฑ์เพื่อนำเสนอผืนผ้าใบธุรกิจของพิพิธภัณฑ์โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพตามแนวทางทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญจำนวน 8 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารพิพิธภัณฑ์ ภัณฑารักษ์ และนักวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลการวิจัยพบว่า พิพิธภัณฑ์เอกชนไทยส่วนใหญ่ประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอ ขาดแผนธุรกิจที่ยั่งยืน และขาดการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ ส่งผลให้หลายแห่งต้องปิดดำเนินการหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19</p> <p>ผลการสังเคราะห์ข้อมูลนำไปสู่การพัฒนา “โมเดลธุรกิจแบบพึ่งพาตนเอง” (Self-Sustaining Model) ที่ผสานแนวคิด Business Model Canvas ของ Osterwalder & Pigneur (2010) เข้ากับแนวคิด Triple Bottom Line ของ Elkington (1997) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างคุณค่าทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ องค์ประกอบสำคัญของโมเดลนี้ประกอบด้วย 4 ช่องทางรายได้หลัก ได้แก่ บัตรเข้าชม ร้านค้าพิพิธภัณฑ์ พื้นที่เชิงพาณิชย์ และกิจกรรมสร้างรายได้ (Workshops / Collaboration) ตลอดจนการใช้กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ (Integrated Marketing Communication: IMC) เพื่อขยายฐานผู้ชมและสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในระยะยาว ข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนพิพิธภัณฑ์เอกชนแห่งชาติ (Matching Fund) การพัฒนาหลักสูตรด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อยกระดับพิพิธภัณฑ์เอกชนไทยให้เป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และ Soft Power แห่งชาติอย่างยั่งยืน</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284594
การประยุกต์หลักเศรษฐกิจพอเพียงในวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของชุมชน: กรณีบ้านหนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี
2025-11-17T11:15:06+07:00
ศุภาพิชญ์ ศิริพร ณ ราชสีมา
Suphapiech05@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มุ่งศึกษาการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในวิถีชีวิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนบ้านหนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์การดำเนินชีวิตและรูปแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนภายใต้การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการนำหลักดังกล่าวมาปรับใช้ในระดับครัวเรือนและระดับชุมชน และ 3) เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมวิถีพอเพียงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสนทนาและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้นำชุมชน กรรมการชุมชน และสมาชิกชุมชน รวมจำนวน 7 คน จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสังเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านหนองสาหร่ายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีทรัพยากรธรรมชาติเอื้อต่อการดำรงชีวิตแบบพอเพียง การประยุกต์หลักเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากการจัดทำ “แผนชีวิต” และการสำรวจข้อมูลครัวเรือนโดยผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทชุมชนอย่างแท้จริง ชุมชนได้นำหลัก “พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน” มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การปลูกผักบริโภค การเข้าร่วมกลุ่มอาชีพและโครงการพัฒนาชุมชน ส่งผลให้เกิดความเข้มแข็ง การพึ่งพาตนเอง ความร่วมมือภายในชุมชน และเกิดความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บทบาทเชิงรุกของผู้นำชุมชนและการมีส่วนร่วมของสมาชิกอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม สรุปได้ว่าชุมชนบ้านหนองสาหร่ายสามารถประยุกต์หลักเศรษฐกิจพอเพียงในวิถีชีวิตประจำวันและการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นกรณีตัวอย่างที่สามารถขยายผลสู่ชุมชนอื่นได้</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284460
The Causal Relationship on Retention Intention in Nursing Careers Affiliated with the University Hospital, Guangxi Province, China
2025-11-10T03:18:10+07:00
Dong Gao
251908600@qq.com
Napawan Netpradit
251908600@qq.com
Thatphong Awirothananon
251908600@qq.com
<p>This study aims to (1) examine the levels of transformational leadership, quality of work life, organizational commitment, adaptability, and intention to remain in the nursing profession among university hospital nurses in Guangxi Province, China; (2) investigate the causal factors influencing nurses' intention to remain in their profession within university hospitals in Guangxi Province, China; and (3) propose practical strategies to reduce nurse turnover rates in these institutions. A mixed-methods research approach was employed. For the quantitative study, data were collected from 935 nurses working in nine university hospitals affiliated with Guilin Medical University and Guangxi Medical University in Guangxi Province, China, through an online questionnaire. The data were analyzed using descriptive statistics and structural equation modeling to explore relationships between variables. For the qualitative study, semi-structured interviews were conducted with 27 nurses at junior, mid, and senior levels working in university hospitals in Guangxi Province, China. The collected data were analyzed using content analysis.</p> <p>The study’s findings are as follows: (1) All variables had high mean scores, with intention to remain in the profession having the highest mean, followed by transformational leadership, quality of work life, organizational commitment, and adaptability, respectively. (2) The results of the path analysis based on the hypothesized model indicated that the factors associated with nurses' intention to remain in the profession were consistent with empirical data (χ² = 1035.329; df = 106; Probability level = 0.146; CFI = 0.938; GFI = 0.905; AGFI = 0.831; RMSEA = 0.098; CMIN/DF = 10.058). The most influential factor affecting the intention to remain was work-life balance (β = 0.82, p-value < 0.05), followed by career advancement opportunities and job security (β = 0.77, p-value < 0.05), individualized consideration (β = 0.77, p-value < 0.05), and continuance commitment (β = 0.75, p-value < 0.05), respectively. The hypothesis testing confirmed that all causal relationship variables were significantly associated with the intention to remain in the nursing profession and were statistically consistent with empirical data at the 0.05 significance level.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284459
การปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม ในสถานการณ์ ส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงของบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติก: กรณีศึกษา บริษัท วาวา แพค จำกัด
2025-11-10T03:15:05+07:00
ศุภกิจ กะเชิญรัมย์
bussle@kku.ac.th
บุษกรณ์ ลีเจ้ยวะระ
bussle@kku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติก 2) เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดของบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติก 3) เพื่อศึกษาแนวทางการตลาดเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และเพิ่มลูกค้าใหม่ของบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติก: กรณีศึกษา บริษัท วาวา แพค จำกัด การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยผสมผสานวิธี ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามกับลูกค้าของบริษัท วาวา แพค จำกัด ซึ่งใช้บรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติก จำนวน 400 คน และเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับลูกค้า จำนวน 10 คน ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามเป้าหมาย SDGs ด้านการตลาดเชิงความสัมพันธ์ ด้านปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 สามารถทำนายความตั้งใจซื้อบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติกได้ร้อยละ 34.00 2) บริษัท วาวา แพค จำกัด ควรใช้จุดแข็งด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่เหนือกว่ามาเป็นรากฐานในการต่อยอดสู่การเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนโดยเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล ปรับเปลี่ยนการสื่อสารการตลาดเพื่อชูประเด็นความยั่งยืนควบคู่ไปกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 3) บริษัท วาวา แพค จำกัด ควรเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมโดยยกระดับจากการเป็นผู้ขายสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบสิ่งแวดล้อม พร้อมตอกย้ำคุณค่าความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์เดิมที่มีความทนทานสูง และเพิ่มลูกค้าใหม่โดยการใช้ความยั่งยืนเป็นจุดขายเชิงรุกผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่ม ECO ที่ใช้วัสดุรีไซเคิลอย่างชัดเจน สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการขอใบรับรองมาตรฐานสากล และเพิ่มขีดความสามารถให้ทีมขายสามารถนำเสนอคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284726
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-11-25T09:03:48+07:00
นันทวี พิทักษ์ธีระธรรม
bmsitthiwat@gmail.com
วิชากร เฮงษฎีกุล
bmsitthiwat@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแลง นวัตกรรมการจัดการ และขีดความสามารถในการแข่งขัน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแลง นวัตกรรมการจัดการ และขีดความสามารถในการแข่งขันที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ3) เพื่อเสนอแนวการเสริมสร้างความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารระดับกลางขึ้นไปขอธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 300 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข และตัวแทน ผู้ประกอบการธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ขีดความสามารถในการแข่งขัน มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนวัตกรรมการจัดการ และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2)นวัตกรรมการตจัดการ ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มากที่สุดรองลงมาคือ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ลำดับ และ 3) แนวทางความสำเร็จธุรกิจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล หรือเป็นแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นหรือเรียกว่า “MCTS Model” ที่ต้องมุ่งเน้นการเงิน ลูกค้า กระบวนการจัดการภายใน และการเรียนรู้และการพัฒนา</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284727
แบบจำลองสมการโครงสร้างที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาว ในประเทศไทย
2025-11-25T09:06:14+07:00
เลอเลิศ หวังเอกสกุล
bmsitthiwat@gmail.com
บันลือ เครือโชติกุล
bmsitthiwat@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของส่วนประสมทางการตลาด คุณค่าตราสินค้า และ คุณภาพการให้บริการ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาวในประเทศไทย และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการเสริมสร้างการตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาวในประเทศไทย การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวที่เคยจองโรงแรมขนาด 3 ดาวผ่านบริการออนไลน์ จำนวน 420 ตัวอย่าง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ <br />เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ตัวแทนจากตัวแทนสมาคมโรงแรมและท่องเที่ยว ผู้ประกอบการโรงแรมขนาด 3 ดาว และ ตัวแทนนักท่องเที่ยวที่เคยจองโรงแรมขนาด 3 ดาวผ่านบริการออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการ ที่มีค่าอิทธิพลรวมต่อการตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาวในประเทศไทยมากที่สุดรองลงมาคือ ส่วนประสมการตลาด และ คุณค่าตราสินค้า ลำดับ และ 2) แนวทางเสริมสร้างการตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาวในประเทศไทย “SBMD Model” S คือ คุณภาพการให้บริการ, B คือคุณค่าตราสินค้า M คือ กลยุทธ์การตลาด และ D= การตัดสินใจจองโรงแรมระดับ 3 ดาวในประเทศไทย ที่ต้องมุ่งเน้นการรับรู้ปัญหา การค้นหาข้อมูล ประเมินทางเลือก การตัดสินใจซื้อ และพฤติกรรมหลังการตัดสินใจซื้อ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/279354
การเตรียมความพร้อมด้านอาชีพของผู้ต้องขังก่อนการพ้นโทษ: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ
2025-02-28T11:29:04+07:00
รวิธร ฐานัสสกุล
ravi6469.t@gmail.com
ภัทรวรรธน์ จีรพัฒน์ธนธร
ravi6469.t@gmail.com
สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล
ravi6469.t@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ การเตรียมความพร้อมด้านอาชีพของผู้ต้องขังก่อนการพ้นโทษในประเทศไทย โดยคัดเลือกงานวิจัยที่ตีพิมพ์และเผยแพร่ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษและปีที่พิมพ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ถึงปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2016 ถึง ค.ศ. 2023) จากฐานข้อมูล 1) ฐานข้อมูลของ TCI 2) ฐานข้อมูลของ EBSCO 3) ฐานข้อมูลของ <a href="https://kasetsart.idm.oclc.org/login?url=https://intanin.lib.ku.ac.th">KU E-Thesis</a> และ 4) ฐานข้อมูลของ <strong><a href="https://kasetsart.idm.oclc.org/login?url=https://tdc.thailis.or.th/tdc/basic.php">TDC (ThaiLIS Digital Collection)</a> </strong>เครื่องมือที่ใช้ในการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็น ระบบนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ แบบคัดกรองงานวิจัย แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และตารางบันทึก ผลการสกัดข้อมูล ดำเนินการคัดเลือกงานวิจัยโดยผู้วิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์เชิงสรุปเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พบงานวิจัยรวมทั้งสิ้น 42 เรื่อง ผ่านเกณฑ์รวมทั้งสิ้น 7 เรื่อง โดยมีแนวทางการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพของผู้ต้องขังก่อนการพ้นโทษในประเทศไทย ดังนี้</p> <p>1) สํารวจความต้องการจากผู้ที่เกี่ยวข้อง</p> <p>2) วิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของรูปแบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านศูนย์การเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังสู่การประกอบอาชีพ</p> <p>3) ศึกษาดูงานเพิ่มเติมความรู้เรื่องศูนย์การเรียนรู้</p> <p>4) การออกแบบศูนย์การเรียนรู้ </p> <p>5) เติมทักษะ/เสริมความรู้เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังสู่การประกอบอาชีพ</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284136
The Impact of Perceived Stigma Labeling and Work-Related Rumination on Employees' Organizational Citizenship Behavior: Based on Stigma Labeling Theory and Cognitive-Affective Processing System Theory
2025-10-24T14:16:25+07:00
Peng Wang
peng.wa@stu.nida.ac.th
<p>This conceptual paper explores the cognitive and emotional mechanisms through which perceived stigma labeling influences employees’ organizational citizenship behavior (OCB), focusing on the mediating role of work-related rumination and the moderating role of self-efficacy. Drawing from Labelling Theory and Cognitive-Affective Processing Systems Theory, the paper develops an integrated analytical framework that examines how self-stigma and social stigma perceptions shape employees’ cognitive processing, emotional regulation, and behavioral outcomes. The discussion highlights how affective rumination intensifies burnout and reduces OCB, whereas problem-focused rumination can mitigate the negative effects of stigmatization through adaptive coping strategies. The study concludes by offering theoretical implications for organizational psychology and managerial practices aimed at fostering inclusive, resilient workplace environments.</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/284294
ความคิดทางการเมืองของนายมีชัย ฤชุพันธุ์
2025-10-31T10:16:44+07:00
ศุภาพิชญ์ ศิริพร ณ ราชสีมา
suphapiech@hotmail.com
สุรพล ราชภัณฑารักษ์
suphapiech@hotmail.com
จักรี ไชยพินิจ
suphapiech@hotmail.com
เกรียงชัย ปึงประวัติ
suphapiech@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเรียนรู้ทางสังคม บทบาทชนชั้นนำทางการเมือง และการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผลของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในบทบัญญัติต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญ ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้ทางสังคมของนายมีชัยเกิดจากประสบการณ์ทางสังคม ส่งผลให้นายมีชัยเกิดความมุ่งมั่นในการศึกษา สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และเพื่อนร่วมงาน ส่งผลให้เกิดการหล่อหลอมความคิด และพฤติกรรมของนายมีชัยให้เกิดการพัฒนาตัวตน ประสบความสำเร็จในชีวิต เกิดทักษะ และความชำนาญเฉพาะตัว นายมีชัยไม่ใช่กลุ่มชนชั้นนำในสังคม ด้วยศักยภาพ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายส่งผลให้ชนชั้นนำในสังคม สนับสนุน และส่งเสริมให้นายมีชัยเข้ามาปฏิบัติงานการเมืองจนรับตำแหน่งทางการเมือง ส่งผลให้นายมีชัยกลายเป็นชนชั้นนำในสังคม นายมีชัยร่วมร่างรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ ความคิดทางการเมืองกับการตัดสินใจเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผลของนายมีชัยในการบัญญัติกฎหมายในรัฐธรรมนูญมีความแตกต่างกันตามบริบททางการเมือง และสังคม กระบวนการตัดสินใจเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผลของนายมีชัยต้องผ่านขั้นตอนของการพิจารณาทางเลือกแต่ละทางเลือก ทั้งนี้ปัจจัยในการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นขึ้นอยู่กับปัจจัยความเชื่อ และความปรารถนา ผลประโยชน์ของตนเอง และส่วนรวม ข้อจำกัดของทางเลือกของนายมีชัย ได้แก่ การสั่งการของผู้มีอำนาจ การวางกรอบ กฎ กติกาให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปฏิบัติตาม ปัญหาทางสังคม การเมือง รวมถึงความต้องการ หรือความปรารถนาของนายมีชัย จึงเป็นข้อจำกัดที่นายมีชัยต้องนำมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด และนำมาซึ่งผลประโยชน์กับคนจำนวนมากที่สุด</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/280608
อไจล์กับการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์
2025-04-23T22:40:46+07:00
วัชธนพงศ์ ยอดราช
wattanapong.yod@rmutr.ac.th
พรรณทิพย์ อย่างกลั่น
Wattanapong.yod@rmutr.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาการนำแนวคิดอไจล์มาใช้ในการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจโดยการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานหรือวิธีการทำงานที่ผสานความนิยมและความเป็นไปได้ การสร้างแนวทางการวางแผนงานเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม การใช้อไจล์อาจมีผลที่น่าสนใจต่อต้นทุนและความสำเร็จของโครงการ อไจล์เป็นวิธีการทำงานที่เน้นการทำงานร่วมกัน การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการสร้างผลงานที่มีค่าต่อลูกค้า มีหลักการครอบคลุมหลายประการ เช่น "Scrum" ที่จัดการทำงานเป็นรอบสั้น ๆ ที่เรียกว่า "Sprints" และ "Kanban" ที่เน้นการจัดการกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง อไจล์มีความยืดหยุ่นที่ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้มีประสิทธิภาพ และสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ตามความเปลี่ยนแปลงของความต้องการและต้นทุนเชิงกลยุทธ์มีความสัมพันธ์กัน การบัญชีแบบอไจล์เป็นแนวคิดสมัยใหม่ที่นำมาปรับใช้การการจัดการต้นทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถบริหารจัดการต้นทุนและตัดสินใจได้ดีขึ้น ช่วยปรับบทบาทของผู้อำนวยการบัญชีและการเงินไปสู่ตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ที่สามารถคาดการณ์และปรับตัวเข้ากับความท้าทายในอนาคตได้ การนำอไจล์มาประยุกต์ใช้เป็นเรื่องที่องค์กรต้องพิจารณาบริบทขององค์กรร่วมกันหลายด้านเพราะอไจล์ไม่ได้เหมาะกับทุกองค์กรและทุกโครงการเสมอไป</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/281731
การตลาดในยุคสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกครอบครัว: กลยุทธ์สร้างคุณค่าและความผูกพันของผู้บริโภคยุคใหม่
2025-10-18T22:38:22+07:00
พัชร์หทัย จารุทวีผลนุกูล
pashatai.c@rsu.ac.th
วรพจน์ ศิริชาลีชัย
worapoj.s@rsu.ac.th
<p>บทความนี้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคจากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization) ซึ่งส่งผลต่อกลยุทธ์ทางการตลาดในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงสมัยใหม่ โดยใช้กรอบแนวคิดด้านจิตวิทยาผู้บริโภค การตลาดเชิงอารมณ์ และการสร้างแบรนด์ เพื่อเสนอแนวทางการตลาด 12 ประการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างคุณค่าและความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ ผ่านมุมมองความรักในสัตว์เลี้ยงและอัตลักษณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป</p> <p>จากการวิเคราะห์ดังกล่าว บทความจึงมีประโยชน์ในการวางรากฐานทางแนวคิดเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและกลยุทธ์การตลาดในยุค Pet Humanization โดยเฉพาะการบูรณาการมิติด้านอารมณ์ อัตลักษณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นกรอบสำหรับการวิจัยเชิงประจักษ์และการพัฒนากลยุทธ์แบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-11-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/282661
การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและการพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบส่งผลต่อผลลัพธ์การบริการที่มีคุณค่าของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในกรุงเทพมหานคร
2025-10-13T15:40:02+07:00
ภาวิณี ศรีเสวตร์
ploysawat2537@gmail.com
สุรศักดิ์ เครือวัลย์
ploysawat2537@gmail.com
ดารณี เอื้อชนะจิต
ploysawat2537@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและการพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบส่งผลต่อผลงานสอบบัญชีที่มีคุณภาพและผลลัพธ์การบริการที่มีคุณค่าของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในกรุงเทพมหานคร ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม <br>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ในประเทศไทย จำนวน 609 คน โดยใช้วิธีการของ Taro Yamane กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างประชากรจำนวน 90 คน ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)</p>
2025-10-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา