https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/issue/feed วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา 2024-03-31T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์ [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา จะครอบคลุมเนื้อหา ด้านการวิจัย ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการอุตสาหกรรม ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านบริหารการศึกษา ด้านจิตวิทยาและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทางการวิจัยการบริหารการพัฒนา</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/269711 ผลกระทบของผลแตกต่างทางภาษีที่ส่งผลต่อคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 2023-11-01T10:53:22+07:00 ดารณี เอื้อชนะจิต [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลกระทบของผลแตกต่างทางภาษี (Book-Tax Differences: BTDs) ที่ส่งผลต่อคุณภาพกำไร (2) ศึกษาผลกระทบของผลแตกต่างทางภาษีที่ส่งผลต่อตัววัดค่าการลงทุนประกอบด้วย 2 ตัวแปรคือ กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อหุ้นต่อราคาตามบัญชีต่อหุ้น (PB) ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในงบการเงินย้อนหลัง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2561 - 2564 กลุ่มตัวอย่างคือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่ม SET100 ที่มีข้อมูลครบถ้วนจำนวน 63 บริษัท ได้ข้อมูลทั้งสิ้น 252 รายบริษัทรายปี ใช้สถิติทางพรรณนาและการวิเคราะห์สมการถดถอยทางพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผลแตกต่างทางภาษีส่งผลกระทบทางบวกต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น และผลแตกต่างทางภาษีส่งผลกระทบทางบวกต่ออัตราส่วนราคาตลาดต่อหุ้นต่อราคาตามบัญชีต่อหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามผลการวิจัยพบว่าผลแตกต่างทางภาษีไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพกำไร</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273008 การจัดการการท่องเที่ยวของธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อยกระดับสู่มาตรฐานสากล 2024-03-25T10:23:17+07:00 สมใจ ตุ้งกู [email protected] มณีกัญญา นากามัทสึ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการจัดการการท่องเที่ยวของธุรกิจท่องเที่ยว 6 ด้าน เพื่อยกระดับสู่มาตรฐานสากลโครงการต้นแบบจังหวัดภูเก็ต และ 2) แนวทางการส่งเสริมกิจกรรมการจัดการการท่องเที่ยวของธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อยกระดับสู่มาตรฐานสากลโครงการต้นแบบจังหวัดภูเก็ต เป็นการวิจัย<br />เชิงผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือนักท่องเที่ยวที่เข้าพักโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตทั้งในประเทศและผู้เดินทางมาจากต่างประเทศจำนวน 8 โรงแรม ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน สูตรที่ใช้ในการคำนวณ Cochran จำนวน 399 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน การทดสอบค่า t-test และ F-test และสมการถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน จัดการสนทานากลุ่ม 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 มี 5 ท่านและกลุ่มที่ 2 มี 7 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการจัดการการธุรกิจท่องเที่ยวทั้ง 6 ด้าน ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดได้แก่ ที่พักอาศัย รองลงมาอาหาร การสื่อสาร <br />ความปลอดภัย การประชาสัมพันธ์ และบริการของภาครัฐ ตามลำดับ และ 2) แนวทางการส่งเสริมกิจกรรม โดยสรุปภาครัฐและทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันดำเนินการจัดทำโครงการและแผนงานโดยมอบหมายให้ภาครัฐเป็นเจ้าภาพ ในการขับเคลื่อนให้ภูเก็ตเป็นเมืองอัจฉริยะทั้ง 14 ด้าน คือ (1) การคมนาคม ทางบก เรือ อากาศ อัจฉริยะ (2) การบริการภาครัฐอัจฉริยะ (3) ความมั่นคงและความปลอดภัยอัจฉริยะ (4) เทคโนโลยีอัจฉริยะ (5) การจัดผังเมืองอัจฉริยะ (6) การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอัจฉริยะ (7) ศูนย์การศึกษาอัจฉริยะ <br />(8) ศูนย์สุขภาพอัจฉริยะ (9) การรักษาทรัพยากรธรรมชาติอัจฉริยะ (10) ศูนย์อาหารนานาชาติและอาหารท้องถิ่นอัจฉริยะ (11) ที่พักอาศัยอัจฉริยะในการให้บริการนักท่องเที่ยว (12) บุคลากรทุกสายอาชีพอัจฉริยะ (13) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ และ (14) การดำรงชีพอัจฉริยะ</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271683 กลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจน้ำพริกแกงสำเร็จรูปในจังหวัดเชียงใหม่ 2024-03-19T10:27:20+07:00 รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์ [email protected] ชนิตา พันธุ์มณี [email protected] พัชญ์ธน ทวีโชติธนพัชร์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับพฤติกรรมผู้บริโภคของธุรกิจน้ำพริกแกงสำเร็จรูป 2) ศึกษาระดับกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจน้ำพริกแกงสำเร็จรูป 3) ศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับกลยุทธ์ระดับธุรกิจของน้ำพริกแกงสำเร็จรูป และ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ของพฤติกรรมผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ทางการตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคจำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานด้วย ค่าที ค่าเอฟ ด้วยวิธีแอลเอสดี และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันโดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับของพฤติกรรมผู้บริโภคของธุรกิจน้ำพริกแกงสำเร็จรูปในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ระดับกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจน้ำพริกแกงสำเร็จรูปในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านเพศ ด้านอายุ ด้านสถานภาพสมรส ด้านอาชีพ ด้านภูมิลำเนาปัจจุบัน ด้านรสชาติน้ำพริกแกงสำเร็จรูป และด้านการตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่ต่างกัน มีกลยุทธ์ระดับธุรกิจที่ต่างกัน ส่วนความสัมพันธ์ของพฤติกรรมผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ระดับธุรกิจทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273034 แนวทางการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-03-25T10:12:21+07:00 ก่อวิท พรมจักร์ [email protected] พุฒิธร จิรายุส [email protected] <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้พักอาศัยในอาคารชุด ได้แก่ ด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความสะอาด ด้านการสื่อสารภายในอาคาร และด้านการบริหารจัดการ เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้พักอาศัยอาคารชุด 306 คน ใช้สูตรตาราง Krejcie และMorgan เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด จำนวน 10 คน จัดสนทนากลุ่ม 3 ครั้งกลุ่มละ 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดต่อความพึงพอใจของผู้พักอาศัย ควรประกอบด้วยหลัก 3 ประการ คือ (1) ต้องบริหารจัดการให้เป็นไปตาม พร.บ. ควบคุมอาคารชุด พ.ศ. 2522 และ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (2) ต้องบริหารจัดการด้วยการบริการที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และ (3) ต้องบริหารจัดการสาธารณูปโภคและปัจจัยที่เอื้ออาศัยต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และพร้อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ “หลัก 3 สุข” คือสันติสุข สงบสุข ปกติสุข และ 2) ความพึงพอใจต่อการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดภาพรวมทั้ง 5 ด้าน ในระดับมาก ด้านการสื่อสารภายในอาคาร อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือด้านการบริหารจัดการ ในระดับมาก ลำดับสาม ได้แก่ ด้านความสะอาด ในระดับปานกลาง ลำดับที่สี่ ได้แก่ ด้านความปลอดภัย ในระดับน้อย และลำดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271694 รูปแบบและกลไกการบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่ในการจัดการที่ดินและทรัพยากร โดยชุมชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เหมาะสมกับภูมินิเวศวัฒนธรรมแม่ฮ่องสอน 2024-03-19T11:12:37+07:00 ปณิธี บุญสา [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อวิเคราะห์บทเรียนขององค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นในการจัดการที่ดิน และทรัพยากรโดยชุมชน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2.เพื่อพัฒนารูปแบบและกลไกการบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่ในการจัดการที่ดินและทรัพยากรโดยชุมชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เหมาะสมกับภูมินิเวศวัฒนธรรมแม่ฮ่องสอน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงุณภาพใช้แนวคิด นิเวศวัฒนธรรม การพัฒนาเชิงพื้นที่ และการกระจายอำนาจ พื้นที่วิจัย คือ องค์กรบริหารส่วนตำบลแม่สวด เป็นพื้นที่ศึกษา กลุ่มเป้าหมาย คือ คณะทำงานการจัดการที่ดินและทรัพยากรโดยชุมชน ผู้แทนจากสภาองค์กรชุมชน จำนวน 20 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) รวบรวบข้อมูลผ่านผู้ให้ข้อมูลหลักคือคณะทำงานการจัดการที่ดินตำบล 2) จัดสนทนากลุ่มย่อยสังเคราะห์บทเรียน พร้อมทั้งสัมภาษณ์ผู้แทนสภาองค์กรชุมชน และ 3) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลไกคู่ขนานในการยกระดับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ และการออกข้อบัญญัติรองรับ 2) รูปแบบการพัฒนาเชิงพื้นที่ คือการบริหารที่เป็นการบูรณาการร่วมระหว่างหน่วยงาน ปัจจัยสำคัญคือ ระบบฐานข้อมูล GIS และนำใช้ในการจัดทำแผนพัฒนาทุกมิติโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ร่วมทั้งการจัดตั้งองค์กรชุมชนระดับตำบล ในการลดข้อจำกัดทางนโยบาย</p> <p>ข้อค้นพบสำคัญ คือ การพัฒนาภาคีหุ้นส่วนความร่วมมือในการใช้ประโยชน์ข้อมูล GIS ในการทำแผนพัฒนาภาพรวมการจัดการที่ดินและทรัพยากรโดยชุมชน และพัฒนาชุมชนต้นแบบเพื่อขยายผล <br />ส่วนรูปแบบคือการบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่ในลักษณะของกลไกคู่ขนาน </p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271764 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานคร 2024-03-19T11:25:43+07:00 สรัญญา สุทธิวรพงศ์ศรี [email protected] ธนกร พงษ์ภู่ [email protected] <p>เมื่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเป็นอย่างมากโดยเป็นกลไกสำคัญต่อการปฏิบัติงานให้บรรลุตามเป้าหมายขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานครกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและ 2.เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเครื่องมือในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1. ระดับความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานครพบว่า ปัจจัยแรงจูงใจด้านลักษณะของงานมีระดับความเห็นในระดับมากที่สุดและปัจจัยค้ำจุนด้านนโยบายและการบริหารงานมีระดับความเห็นในระดับมากที่สุดและ 2. การทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยแรงจูงใจโดยรวมส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานคร สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 76.10 และปัจจัยค้ำจุนโดยรวมก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิตในกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกัน สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 61.50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งผู้บริหารสามารถนําข้อมูลมาใช้ในการการบูรณาการเครื่องมือและนโยบายต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับปัจจัยแรงจูงใจและปัจจัยค้ำจุนมาเป็นแรงเสริมในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานประกันชีวิต<br />ในกรุงเทพมหานคร</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272947 รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 2024-03-22T13:12:03+07:00 จิราภรณ์ บุญยิ่ง [email protected] สุพัตรา ปราณี [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 2) อิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และ 3) พัฒนารูปแบบสำหรับเพิ่มความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร จำนวน 440 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบความน่าจะเป็น (Probability Sampling) รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนระดับดีเด่นในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 จำนวน 20 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำ การบริการจัดการ การมีส่วนร่วมของชุมชน และความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน 2 อยู่ในระดับมาก และระดับวัฒนธรรมองค์การเชิงสร้างสรรค์อยู่ในระดับปานกลาง 2) ภาวะผู้นำ การบริหารจัดการ วัฒนธรรมองค์การเชิงสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมของชุมชน มีอิทธิผลต่อความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) รูปแบบความสำเร็จขององค์กรวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน 2 ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมีชื่อว่า H2P Model เป็นรูปแบบในการส่งเสริมความสามารถของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการการดำเนินงาน ส่งผลต่อการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272984 แนวทางการพัฒนากิจการลูกเสือไทยยุคสังคมปกติใหม่ในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-03-22T13:09:51+07:00 ไตรรัตน์ ฉัตรแก้ว [email protected] ทวี แจ่มจำรัส [email protected] เจตน์สฤษฎิ์ อังศุกาญจนกุล [email protected] ปิยวดี จินดาโชติ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา1) ระดับของการพัฒนากิจการลูกเสือไทย นโยบายภาครัฐ ระบบการจัดองค์การ ระบบการฝึกและการรับรองมาตรฐาน 2) ปัจจัยเชิงสาเหตุของนโยบายภาครัฐ ระบบการจัดองค์การ ระบบการฝึกและการรับรองมาตรฐาน ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนากิจการลูกเสือไทยในยุคสังคมปกติใหม่ และ 3) แนวทางการบริหารและการพัฒนากิจการลูกเสือไทยในยุคสังคมปกติใหม่ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรทางการศึกษาที่เป็นผู้กำกับ/รองผู้กำกับลูกเสือ (ผู้อำนวยการโรงเรียน/รองผู้อำนวยการโรงเรียน) ครู-อาจารย์ในสถานศึกษา วิทยากรลูกเสือและเจ้าหน้าที่ลูกเสือ สังกัดสถานศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ตัวอย่าง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย ผู้เกี่ยวข้องกับนโยบายภาครัฐ ระดับกรรมการสภาลูกเสือไทย ผู้บริหารสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ครูและผู้กำกับลูกเสือทุกประเภทลูกเสือ รวมทั้งสิ้น 16 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจการลูกเสือไทยยุคสังคมปกติใหม่ การรับรองมาตรฐาน นโยบายภาครัฐ ระบบการจัดองค์การ และระบบการฝึก มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งหมด 2) การรับรองมาตรฐาน มีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อการพัฒนากิจการลูกเสือไทยในยุคสังคมปกติใหม่ มากที่สุด รองลงมาได้แก่ นโยบายของภาครัฐ ระบบการฝึก และระบบการจัดการองค์การ ตามลำดับ และ 3) รูปแบบประกอบด้วยการรับรองมาตรฐาน ที่มีอิทธิพลรวมมากที่สุดเป็นฐานผลักดันอยู่ล่างสุด นโยบายของภาครัฐ และระบบการฝึกอบรม อยู่ตรงกลาง และระบบการจัดองค์การ ส่งเสริมอยู่ในระดับบน</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/268174 ตัวแบบอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย 2023-11-22T12:12:05+07:00 หทัยพันธน์ สุนทรพิพิธ [email protected] นิพนธ์ โซะเฮง [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาตัวแบบสมการโครงสร้างอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย และ 2) นำเสนอแนวทางการลดกระแสอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสานเชิงอรรถาธิบาย และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนชาวไทยพุทธจากพื้นที่ตึงเครียดจำนวน 510 ตัวอย่าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนจำนวน 15 คน ด้วยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิเคราะห์ พบว่า 1) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุต่ออิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย ตัวบ่งชี้มีน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง .50 ถึง .91 และทุกตัวแปรบ่งชี้มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 แสดงว่าตัวบ่งชี้ทุกตัวเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของโมเดลอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย สมการโครงสร้างของตัวแบบปัจจัยเชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นพบว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก (Chi-square = 35.732, CMIN/df = 1.261, df = 68, p-value = 0.072, GFI = 0.98, CFI = 0.998, NFI = 0.990, RMSEA = 0.023, TLI = 0.996) และ 2) การนำเสนอแนวทางการลดกระแสอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย ผู้วิจัยพบว่าผลการวิจัยสนับสนุนตามทฤษฎีที่ได้ทำการศึกษาอย่างชัดเจนว่าการลดกระแสอิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย ควรให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านการรับรู้ภัยคุกคามระหว่างกลุ่มมากที่สุด รองลงมาเป็นด้านความรู้เกี่ยวกับอิสลาม ด้านการติดต่อระหว่างกลุ่ม และด้านความเคร่งศาสนาพุทธ เนื่องจากมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่ออิสลาโมโฟเบียในประเทศไทย ผลการวิจัยเชิงคุณภาพยังพบว่าปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อโรคกลัวอิสลามในประเทศไทยมีความสอดคล้องกับผลการวิจัยเชิงปริมาณในทุกประเด็น</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272985 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ 2024-03-22T13:10:26+07:00 ธวัช ชัยแก้ว [email protected] ทวี แจ่มจำรัส [email protected] สำเนียง มณีฉาย [email protected] ไปรพร แสงจันทร์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสำคัญการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ ภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นโยบายของภาครัฐการเสริมสร้างแรงจูงใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน 2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นโยบายของภาครัฐ การเสริมสร้างแรงจูงใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และตำบล ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 400 ตัวอย่าง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย นายก อบจ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ นายกเทศบาล นายก อบต. และ ตัวแทนภาคประชาชน รวมทั้งสิ้น 17 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเสริมสร้างแรงจูงใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนนโยบายของภาครัฐ และภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) นโยบายของภาครัฐมีอิทธิพล<br />เชิงสาเหตุรวมต่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด รองลงมาได้แก่ การเสริมสร้างแรงจูงใจ ภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ การมีส่วนร่วมของประชาชน ตามลำดับ และ 3) แนวทางการพัฒนาเมืองน่าอยู่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่มีลักษณะเป็นภาพแผนภูมิประกอบด้วย นโยบายของภาครัฐที่มีอิทธิพลรวมมากที่สุด เป็นฐานผลักดันอยู่ล่างสุด มีการเสริมสร้างแรงจูงใจ และภาวะผู้นำของผู้นำของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อยู่ตรงกลาง และการมีส่วนร่วมของประชาชนช่วยส่งเสริมอยู่ในระดับบน</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273014 กลยุทธ์ของนักลงทุนในอุตสาหกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อความสำเร็จของนักลงทุนรุ่นใหม่ในประเทศไทย 2024-03-25T09:51:14+07:00 สุมิตร์ อโรรา [email protected] มณีกัญญา นากามัทสึ [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของกลยุทธ์ 6 ด้าน ของนักลงทุนในอุตสาหกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของนักลงทุนรุ่นใหม่กับ กลยุทธ์ของนักลงทุนในอุตสาหกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 3) เพื่อเสนอแนวทางกลยุทธ์ของนักลงทุนในอุตสาหกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อความสำเร็จของนักลงทุนรุ่นใหม่ในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มผู้ที่เคยเทรดไม่เกิน 3 เดือน ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนใช้สูตรการคำนวณ W.G. Cochran จำนวน 395 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า T-test, F-test และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยนักลงทุนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดได้แก่ด้านสังคม รองลงมาได้แก่ด้านบริหารจัดการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านทัศนคติ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเทคนิค 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย 6 ด้านของนักลงทุนรุ่นใหม่กับกลยุทธ์ของนักลงทุนในอุตสาหกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อความ สำเร็จของนักลงทุนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และ 3) รัฐบาลควรให้ความสำคัญและเข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจนในการส่งเสริมสนับสนุนควบคุมอุตสาหกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยมีกฎหมายรองรับให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อควบคุมดูแลอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจังเพราะอุตสาหกรรมนี้หากดำเนินการให้ดีจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศและทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271830 การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในท้องถิ่นโดยใช้วัดเป็นฐาน ตามหลักไตรสิกขา ในภาคเหนือตอนบน 2024-03-19T11:43:11+07:00 พระครูสุนทรมหาเจติยานุรักษ์ [email protected] ณรงศักดิ์ ลุนสำโรง [email protected] จรูญศักดิ์ แพง [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในท้องถิ่น ในภาคเหนือตอนบน 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในท้องถิ่น ในภาคเหนือตอนบน 3) เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ และประเมินผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในท้องถิ่น โดยใช้วัดเป็นฐาน ตามหลักไตรสิกขาของผู้สูงอายุ ในภาคเหนือตอนบน กลุ่มตัวอย่างได้แก่เจ้าอาวาส พระผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประสานงาน ผู้รับผิดชอบกิจกรรมส่งเสริม พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุ อยู่ในเขต 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน รวมทั้งสิ้น 1,200 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบศึกษาเอกสาร สังเกต สัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม และแบบสอบถามความคิดเห็น ของผู้รับผิดชอบจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสังเคราะห์ข้อมูลเอกสาร สังเกต สัมภาษณ์ สนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และสถิติที่ใช้ได้แก่การหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติทดสอบ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ มีการดำเนินงานประสานกับ ชมรม สมาคม เครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุภาคเหนือ มีการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ ส่วนใหญ่ยังขาดครูจิตอาสา ยังไม่มีหลักสูตร และ วิธีการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ด้วยเครื่องมือที่ชัดเจน</p> <p>ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ จากการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมพบว่าด้านจุดแข็งอยู่ระดับมากที่สุดคือมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าอาวาสวัดที่ให้การสนับสนุน จุดอ่อนยังขาดการกำหนดกิจกรรมแก่ผู้สูงอายุในกลุ่มชมรมผู้สูงอายุหมู่บ้านบางหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ยังขาดการจัดทำหลักสูตร และการวัดผล ประเมินผลที่เป็นระบบชัดเจน ด้านโอกาสได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาพนอก และมีเครือข่าย จำนวนมาก ด้านปัญหาอุปสรรคผู้สูงอายุบางส่วนมีปัญหาสุขภาพไม่สามารถร่วมโครงการได้การกำหนดแนวทางปฏิบัติ และประเมินผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุผลการกำหนดแนวทางปฏิบัติการดำเนินงาน ประกอบด้วย 4 แนวทาง ภาพรวม (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.20, SD.= .43) สำหรับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุมีดัชนีชี้วัดจำนวน 4 ดัชนี ในภาพรวมมี ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.16, SD.= .42) </p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/270621 การพัฒนาการท่องเที่ยวทุ่งบัวแดงบึงละหาน อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2024-03-25T10:13:22+07:00 ณัฐฏิกา พิมพ์เมืองเก่า [email protected] โอชัญญา บัวธรรม [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยว 2) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อทรัพยากรการท่องเที่ยว และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในทุ่งบัวแดงบึงละหาน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้มีหน้าที่บริหารจัดการและพัฒนาการท่องเที่ยวโดยตรง จำนวน 15 คน ใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาในประเด็นสำคัญที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณคือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวทุ่งบัวแดงบึงละหาน จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นต่อศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ศักยภาพด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว และศักยภาพด้านความสามารถในการเข้าถึง ตามลำดับ 2) นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจต่อแหล่งท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความพึงพอใจด้านแหล่งท่องเที่ยว และความพึงพอใจด้านความสามารถในการเข้าถึง ตามลำดับ 3) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในทุ่งบัวแดงบึงละหานเรียงลำดับตามด้านที่ต้องพัฒนาเร่งด่วน ประกอบด้วย 6 ด้าน ดังนี้ (1) ด้านความสามารถในการเข้าถึง (2) ด้านที่พักแรม (3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (4) ด้านการจัดการและการบริการ (5) ด้านแหล่งท่องเที่ยว และ (6) ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/268886 ปัจจัยเชิงสาเหตุของการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้ที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของธุรกิจออนไลน์ในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2024-03-19T10:11:34+07:00 เบญจพร เชื้อแก้ว [email protected] วิชิต อู่อ้น [email protected] <p>การซื้อสินค้าทางเว็บไซต์เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นิยมมากที่สุดของอินเทอร์เน็ต แต่เหตุผลที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าทางเว็บไซต์ยังไม่ชัดเจน วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการขายสินค้าของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้ที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของธุรกิจออนไลน์ในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, และ 3) เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้ที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของธุรกิจออนไลน์ในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ โดยใช้วิธีการคำนวณกลุ่มตัวอย่างแบบ Krejcie &amp; Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 384 ราย และใช้วิธีวิเคราะห์ทางสถิติด้วยสมการโครงสร้าง (Structural Equation Model: SEM)</p> <p>ผลการวิเคราะห์สรุปได้ว่า ปัจจัยเชิงสาเหตุได้แก่ ระดับการรับรู้คุณค่าในการใช้งานส่งผลต่อการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้, การรับรู้คุณค่าในการใช้งานส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมผ่านการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้, การเข้าถึงของผู้ใช้งานส่งผลต่อการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้, การเข้าถึงของผู้ใช้งานส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมผ่านการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนอิทธิพลทางสังคมส่งผลต่อการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้, อิทธิพลทางสังคมส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมผ่านการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้, และการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรม โดยธุรกิจออนไลน์ สามารถระบุการนำเทคโนโลยีการขายมาใช้ได้ รวมถึงสามารถนำไปใช้ในการเพิ่มความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของลูกค้ามาซื้อสินค้าออนไลน์ และทำให้ธุรกิจออนไลน์สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่น ๆ</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/270392 ปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์การตลาดควอนตัมที่ส่งผลต่อสมรรถนะการตลาด ในภาคอุดมศึกษา 2024-03-28T10:19:02+07:00 กรกฎ พุคยาภรณ์ [email protected] วิชิต อู่อ้น [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดควอนตัมและสมรรถนะการตลาดในภาคอุดมศึกษา 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์การตลาดควอนตัมส่งผลต่อสมรรถนะการตลาดในภาคอุดมศึกษา และ 3) เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของกลยุทธ์การตลาดควอนตัมส่งผลต่อสมรรถนะการตลาดในภาคอุดมศึกษา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุด้านปัจจัยภายในองค์การ ด้านความต้องการของตลาด และการสื่อสารตราสินค้า ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดควอนตัมและสมรรถนะการตลาด 2) อิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุได้แก่ ปัจจัยภายในองค์การ ความต้องการของตลาด การสื่อสารตราสินค้าของกลยุทธ์การตลาดควอนตัมส่งผลต่อสมรรถนะการตลาดที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 3) นำผลการศึกษามาสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุ พัฒนาได้ตัวแบบจำลองกลยุทธ์การตลาดควอนตัมที่ส่งผลต่อสมรรถนะการตลาดว่า Quantum Marketing Strategy for Marketing Performance Model (หรือ QMSMP Model) ซึ่งสถานศึกษาประเภทอุดมศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างความตระหนักถึงกระบวนการในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดควอนตัมภายใต้กรอบการทำงานใหม่สำหรับโลกแห่งอนาคต</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271639 คุณภาพการให้บริการและความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการด้านการขนส่งสินค้าของลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก 2024-03-19T10:28:56+07:00 วงศกร อยู่มาก [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพการให้บริการด้านการขนส่งในเขตกรุงเทพมหานคร ฝั่งตะวันตก 2) ความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านการขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก 3) ความตั้งใจใช้บริการด้านการขนส่งสินค้าของลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก และ 4)คุณภาพการให้บริการและความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการด้านการขนส่งสินค้าของลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ เขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้บริโภคที่เคยที่ใช้บริการขนส่งสินค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก จำนวน 400 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการด้านการขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านการขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความตั้งใจใช้บริการด้านการขนส่งสินค้าของลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 4) คุณภาพการให้บริการและความได้เปรียบทางการแข่งขันส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการด้านการขนส่งสินค้าของลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันตก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/272949 บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง 2024-03-22T13:11:20+07:00 คมกฤช คชรักษา [email protected] ทวี แจ่มจำรัส [email protected] นลินี สุรดินทร์กูร [email protected] พลานันท์ ปะจายะกฤตย์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง ด้านคุณลักษณะ ด้านการบริหารจัดการ ด้านพฤติกรรมทางสังคม และด้านการเปลี่ยนแปลง 2) ขนาดอิทธิพลของด้านคุณลักษณะ ด้านการบริหารจัดการ ด้านพฤติกรรมทางสังคม และด้านการเปลี่ยนแปลงตนเอง ที่มีต่อการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ นายทหารนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจากหน่วยต่าง ๆ ทั่วประเทศ และกำลังเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยการทัพบก และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก จำนวน 400 ตัวอย่าง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก คือ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบก ชั้นนายพล ในตำแหน่งผู้บริหาร นายทหารบกระดับกลางชั้นยศพันเอก-พันเอก (พิเศษ) และชั้นยศพันตรี-พันโท รวม 16 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบการฝึกการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง พฤติกรรมทางสังคม คุณลักษณะ การบริหารจัดการ และ การเปลี่ยนแปลงตนเอง มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารจัดการมีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อของการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง มากที่สุด รองลงมาได้แก่ พฤติกรรมทางสังคม การเปลี่ยนแปลงตนเอง และ คุณลักษณะ ตามลำดับ และ 3) แนวทางของการพัฒนาภาวะผู้นำของนายทหารบกระดับกลาง มีลักษณะเป็นภาพแผนภูมิประกอบด้วย การบริหารจัดการ ที่มีอิทธิพลรวมมากที่สุดเป็นฐานผลักดันอยู่ล่างสุด พฤติกรรมทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงตนเอง อยู่ตรงกลาง และคุณลักษณะ ส่งเสริมอยู่ในระดับบน</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273085 บุพปัจจัยและภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2024-03-26T11:12:46+07:00 ชัชชฎา ถิระชัยกุล [email protected] ธนพล ก่อฐานะ [email protected] ชมภู สายเสมา [email protected] บัณฑิต ผังนิรันดร์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับระบบงาน การยอมรับเทคโนโลยี คุณภาพการให้บริการ นวัตกรรมการจัดการ และ ภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) ศึกษาอิทธิพลของ ระบบงาน การยอมรับเทคโนโลยี คุณภาพการให้บริการ และนวัตกรรมการจัดการที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 3) สร้างแบบจำลองภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ใช้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวกำหนดโดยใช้เกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้างส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคือเจ้าหน้าที่จากกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณะสุขที่เกี่ยวข้องกับการบริการแพทย์ทางไกล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการแพทย์ทางไกลโรงพยาบาลรัฐบาล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการแพทย์ทางไกลโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 13 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ระบบงาน การยอมรับเทคโนโลยี คุณภาพการให้บริการ และนวัตกรรมการจัดการมีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) ระบบงาน การยอมรับเทคโนโลยี คุณภาพการให้บริการ และนวัตกรรมการจัดการที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) แบบจำลองภาพลักษณ์การให้บริการแพทย์ทางไกลในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ผู้วิจัยพัฒนามีชื่อว่า “MSWTI Model” (M = Management Innovation, S = Service Quality, W = Work System, T = Technology Acceptance, I = Images of Telemedicine Services)</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273086 แบบจำลองประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ในประเทศไทย 2024-03-26T11:01:32+07:00 ภัทรพงศ์ จันทร์เจริญ [email protected] สุพัตรา ปราณี [email protected] บัณฑิต ผังนิรันดร์ [email protected] <p>วัตถุประสงค์ของวิจัยนี้เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การบริหารคุณภาพโดยรวม นวัตกรรม ความสามารถเชิงพลวัต ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจ 2) ศึกษาอิทธิพลของการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การบริหารคุณภาพโดยรวม นวัตกรรม ความสามารถเชิงพลวัต ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง บรรยากาศองค์กร ความพึงพอใจในงาน ความผูกพัน ต่อประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจ 3) พัฒนารูปแบบจำลองประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ จำนวน 420 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสนทนากลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารหรือผู้จัดการร้านสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การบริหารคุณภาพโดยรวม นวัตกรรม ความสามารถเชิงพลวัต ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) การบริหารคุณภาพโดยรวม นวัตกรรม และความได้เปรียบทางการแข่งขัน มีอิทธิผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) รูปแบบประสิทธิผลการดำเนินงานธุรกิจของพนักงานจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ในประเทศไทย ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นโดยมีชื่อว่า TIC ED Model (T = Total quality management, I = Innovation, C = Competitive Advantage, E = Entrepreneurial orientation, D = Dynamic Capability)</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273087 แบบจำลองนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2024-03-26T11:07:16+07:00 วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ [email protected] ธนพล ก่อฐานะ [email protected] บัณฑิต ผังนิรันดร์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นโยบายของภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน การมีส่วนร่วมของประชาชน และการยอมรับเทคโนโลยี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของ นโยบายของภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐาน การมีส่วนร่วมของประชาชน และการยอมรับเทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ <br />3) เพื่อสร้างแบบจำลองนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ ตัวแทนครัวเรือนในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 380 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้หลักเกณฑ์ 20 เท่าของตัวแปรสังเกต สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากกระทรวงพลังงาน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากกระทรวงคมนาคม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับข้อกับนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากจังหวัดภูเก็ต และตัวแทนภาคประชาชน รวมทั้งสิ้น 17 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ต มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนการยอมรับเทคโนโลยี การมีส่วนร่วมของประชาชน นโยบายของภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก 2) นโยบายของภาครัฐ มีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ต มากที่สุด รองลงมาได้แก่โครงสร้างพื้นฐาน การยอมรับเทคโนโลยี และ การมีส่วนร่วมของประชาชน ตามลำดับ และ 3) แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นคือ “GIT2P Model” เป็นแบบจำลองให้หน่วยงานที่สนับสนุนส่งเสริมนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ตเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มุ่งเน้นให้พัฒนาทางสิ่งแวดล้อมการบริหารจัดการภาครัฐ เศรษฐกิจ การเดินทางและการขนส่ง</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/270629 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์อาหาร สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 2024-03-19T11:04:17+07:00 อมรรัตน์ หมื่นจิตน้อย [email protected] กวิน สนธิเพิ่มพูน [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์อาหาร และ 2) วิเคราะห์หาปัจจัยหลักและปัจจัยย่อยในการเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์อาหารจากการประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด 10 คน ด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ 10 คน รวม 20 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น (Analytic Hierarchy Process: AHP) และเครื่องมือในการคำนวณใช้โปรแกรม Microsoft excel <br />ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์อาหาร คือ ลักษณะกายภาพของผลิตภัณฑ์, ราคาของโครงสร้างบรรจุภัณฑ์, กลุ่มเป้าหมาย, ลักษณะการนำไปใช้งาน, การขนส่ง และการเก็บรักษาอาหาร 2) ปัจจัยหลักและปัจจัยย่อยในการเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์อาหารจากการประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น พบว่าน้ำหนักความสำคัญของ 6 ปัจจัย โดยเรียงจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ลักษณะกายภาพของผลิตภัณฑ์ (แบบของเหลว,แบบกึ่งแข็งกึ่งเหลว,แบบเป็นชิ้นหรือก้อน) น้ำหนัก 0.2041,ราคาของโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ (ภาษีและค่าธรรมเนียม, ต้นทุนการจัดการส่ง,ต้นทุนวัตถุดิบ) น้ำหนัก 0.1879, กลุ่มเป้าหมาย (วัยเด็กเล็ก,วัยเด็กโต,วัยรุ่น,วัยผู้ใหญ่,วัยผู้สูงอายุ) น้ำหนัก 0.1721, ลักษณะการนำไปใช้งาน (สะดวกในการจัดเก็บและพกพา, สามารถนำไปใช้งานง่าย) น้ำหนัก 0.1580, การขนส่ง (สามารถวางซ้อนกันได้, สะดวกต่อการขนส่ง) น้ำหนัก 0.1451 และ การเก็บรักษาอาหาร (สามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของอาหาร, สามารถรักษาคุณภาพของอาหาร) น้ำหนัก 0.1332 และองค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางให้กับผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการรายย่อยนำไปประยุกต์ใช้ปัจจัยหลัก (เกณฑ์หลัก) และปัจจัยย่อย (เกณฑ์ย่อย) ช่วยในการตัดสินใจเลือกวัสดุของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อให้รองรับกับการแข่งขันของตลาดในปัจจุบันและเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาพความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/269435 การทดสอบเดือนกุมภาพันธ์และเมษายนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเดือนอื่นในตลาดหลักทรัพย์ไทย 2024-03-19T10:13:32+07:00 กัลยานี ภาคอัต [email protected] ชยงการ ภมรมาศ [email protected] คมวุธ วิศวไพศาล [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทย 2) ศึกษาผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในเดือนตุลาคมในตลาดหลักทรัพย์ไทย และ 3) ทดสอบเดือนกุมภาพันธ์และเมษายนที่ให้ผลตอบแทนของหลักทรัพย์สูงกว่าเดือนอื่นในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยศึกษาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ สำหรับระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 ถึงเดือนธันวาคม 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสมการถดถอยแบบอนุกรมเวลา</p> <p>ผลการวิจัยให้ข้อมูลว่า 1) ในภาพรวมการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทย (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: SET และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ: MAI) เป็นรูปแบบแนวโน้มในระยะสั้น ๆ ทั้งแนวโน้มขึ้นและแนวโน้มลง ที่เรียกว่าการเคลื่อนไหวในรูปแบบออกไปด้านข้าง โดยแนวโน้มขึ้นจะปรากฏในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ส่วนแนวโน้มลงจะปรากฏในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน หรือบางช่วงพบในเดือนมีนาคม 2) เดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ต่ำที่สุดทั้งใน SET และ MAI ในช่วงระยะเวลาเดือนมกราคม 2550 – ธันวาคม 2565 และเดือนมกราคม 2550 – ธันวาคม 2559 โดยผลตอบแทนประมาณร้อยละ -35.92 ในขณะที่เดือนมีนาคมจะมีผลตอบแทนต่ำที่สุดในช่วงเวลาเดือนมกราคม 2560 – ธันวามคม 2565 ด้วยผลตอบแทนเท่ากับร้อยละ -17.45 ใน SET และ -19.19 ใน MAI และ 3) ปรากฏการณ์เดือนกุมภาพันธ์และเมษายนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเดือนอื่นยังคงมีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาเดือนมกราคม 2550 – ธันวาคม 2565 และเดือนมกราคม 2550 – ธันวาคม 2559</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271003 การประศาสน์นโยบายสาธารณะในสมัยรัชกาลที่ 6 กรณีกองเสือป่า 2024-03-19T10:31:42+07:00 ฐนัตถ์ สุวรรณานนท์ [email protected] จรัส สุวรรณมาลา [email protected] เฉลิมพร เย็นเยือก [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมาของกองเสือป่าในเชิงกระบวนการนโยบายสาธารณะ 2) วิเคราะห์ปัญหา และ อุปสรรค ระหว่างกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ ความก้าวหน้าและการก่อตัวของนโยบายใหม่หลังจากที่การดำเนินกิจกรรมกองเสือป่ายุติลง โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากแหล่งข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และผลงานวิจัยจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาสรุปและวิเคราะห์ประกอบการพรรณนาตามวัตถุประสงค์การวิจัย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ความเป็นมาของกองเสือป่าในเชิงกระบวนการนโยบายสาธารณะ เป็นนโยบายสาธารณะที่แปลกใหม่เกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 100 ปี มีการทดลองนำนโยบายไปปฏิบัติบางส่วนที่เป็นต้นแบบของนโยบายสาธารณะใหม่ที่จริงจังและมีขนาดใหญ่ และ 2) ปัญหาและอุปสรรคเกิดจากการดำเนินงานที่มีความซับซ้อน ผู้กำหนดนโยบายอาจมุ่งเน้นเพียงผลขั้นปลายที่จะเกิดขึ้น โดยระหว่างทางของนโยบายจะมีประเด็นที่เป็นปัญหา และเป็นความท้าทายต่อผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ ดังนั้น เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของกองเสือป่า ผู้บริหารรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการตามนโยบายควรให้ความสำคัญในด้านการเป็นผู้นำ และการจัดองค์การขึ้นมารองรับ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และสามารถทำให้ลดปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินนโยบายในการทางการดำเนินนโยบายในอนาคต</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/271883 ประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู 2024-03-19T11:47:00+07:00 ชาญยุทธ หาญชนะ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงสาเหตุ ด้านสุขภาพร่างกายด้านจิตใจ ด้านสัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในเขตองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 500 ตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย คือแบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง และสถิติที่ใช้คือ path analysis ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยด้านจิตใจมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 2) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลโดยอ้อมต่อด้านประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุโดยส่งผ่านด้านจิตใจ 3) ปัจจัยด้านสัมพันธภาพทางสังคมมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและมีอิทธิพลโดยอ้อมโดยส่งผ่านด้านจิตใจ 4) ปัจจัยด้านสุขภาพร่างกายมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและมีอิทธิพลโดยอ้อมโดยส่งผ่านด้านสัมพันธภาพสังคมและด้านจิตใจและมีอิทธิพลโดยอ้อมโดยส่งผ่านด้านสัมพันธภาพสังคม 5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านจิตใจ 6) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านสัมพันธภาพทางสังคม 7) ปัจจัยด้านสัมพันธภาพทางสังคมมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านจิตใจ และ 8) ปัจจัยด้านสุขภาพร่างกายมีอิทธิพลโดยตรงต่อด้านสัมพันธภาพทางสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน โดยผู้วิจัยค้นพบว่า ปัจจัยด้านจิตใจมีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพการจัดการสวัสดิการทางสังคมด้านคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านสุขภาพร่างกาย<br />และสัมพันธภาพทางสังคม ตามลำดับ</p> <p>จากผลการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้ได้ข้อค้นพบที่สามารถนำไปสร้างเป็นแบบจำลองในการบริหารประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งระดับภูมิภาคและระดับประเทศต่อไป</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา