วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR <p>วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา จะครอบคลุมเนื้อหา ด้านการวิจัย ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการอุตสาหกรรม ด้านรัฐศาสตร์ ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านบริหารการศึกษา ด้านการเงิน การบัญชี และธนาคาร ด้านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านนวัตกรรมการจัดการ</p> th-TH <div class="item copyright"> <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณาจารย์ท่านอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div> </div> Touch_life@outlook.co.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์) journal.jdar@gmail.com (นายอภิชาติ ปามา) Thu, 31 Oct 2024 21:07:48 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวทางการสร้างนวัตกรรมของห่วงโซ่อุปทานธุรกิจผักอินทรีย์ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274750 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ห่วงโซ่อุปทานผักอินทรีย์กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) บทบาทของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ด้านการปลูกผักอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 3) แนวทางการสร้างนวัตกรรมห่วงโซ่อุปทานผักอินทรีย์กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี โดยใช้แนวคิดของตัวแบบการปฏิบัติงานโซ่อุปทานกระบวนการ SCOR model เป็นแนวทางในการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง 385 ราย เป็นผู้บริโภคผักอินทรีย์กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วย นักวิชาการเกษตรในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 2 คน เกษตรอำเภอในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 1 คน ประธานชมรมของกลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 1 คน ผู้ปลูกผักอินทรีย์ จำนวน 10 คน ผู้จำหน่ายผักอินทรีย์ จำนวน 1 คน ผู้บริโภคผักอินทรีย์ จำนวน 2 คน จำนวน 17 คน คัดเลือกเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ (1) แบบสอบถาม (2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ห่วงโซ่อุปทานผักอินทรีย์กลุ่มเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย (1) การวางแผนการดำเนินงานในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานผักผักอินทรีย์ (2) การจัดการโซ่อุปทานผักอินทรีย์ (3) การจำหน่ายผักอินทรีย์ (4) การปลูกผักอินทรีย์ (5) ปัญหาของการปลูกผักอินทรีย์ (6) การพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักอินทรีย์และ (7) เกษตรกรผู้ปลูกผักอินทรีย์ได้เข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์<strong> </strong>2) บทบาทของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ด้านการปลูกผักอินทรีย์ คือ การสนับสนุนละส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการปลูกผักอินทรีย์ภายใต้ระบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกผักอินทรีย์มีประสบการณ์หรือมีระยะเวลาในการปลูกผักอินทรีย์ภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์มากขึ้น 3) แนวทางการสร้างนวัตกรรมห่วงโซ่อุปทานผักอินทรีย์ คือ (1) ควรมีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการซื้อขายผักอินทรีย์ตามแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ เพื่อใช้ในการซื้อขายผักอินทรีย์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อนําไปใช้งาน (2) ควรมีการพัฒนาระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม และ (3) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือกับภาคเอกชนในการสื่อสารการตลาดสินค้า PGS กับผู้บริโภคมากขึ้น</p> วิชุดา จันทร์เวโรจน์, ณฐ สบายสุข Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/274750 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุมชนเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275139 <p>จากแนวโน้มพฤติกรรมนักท่องเที่ยวปัจจุบันให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ และจังหวัดเพชรบุรียังได้รับการจัดเป็นพื้นที่นำร่องเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของชุมชน 2) พัฒนารูปแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างสร้างสรรค์ของผู้สูงอายุ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุในชุมชนย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำเพชรบุรี โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสำรวจ การสัมภาษณ์ และการประชุมกลุ่มย่อยจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาทดลองเส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) ศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของชุมชนย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำเพชรบุรี มีความโดดเด่นด้านวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม<br />2) รูปแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างสร้างสรรค์ของผู้สูงอายุกลุ่มคุณภาพตามหลักกิจกรรม 5 อ. โดยการประเมินและเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ระดับการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาปลาย ภูมิลำเนาภาคกลาง มีอาชีพธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย รายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน เคยเดินทางมามากกว่า 3 ครั้ง เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ และสนใจกิจกรรมสร้างสรรค์เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้รับรู้ข้อมูลมาจากเพื่อน/ครอบครัวและญาติ ส่วนการประเมินกิจกรรม 5 อ. อยู่ที่ระดับมากที่สุด งานวิจัยนี้มีความแตกต่างโดยได้ต้นแบบผลการประเมินการพัฒนาชุมชนซึ่งพบว่า ชุมชนเมืองเก่าเหมาะที่จะเป็นต้นแบบแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมเชิงสุขภาพ เพื่อผู้สูงอายุ</p> มลทิชา โอซาวะ, มธุรส ปราบไพรี, พิมพ์ระวี โรจน์รุ่งสัตย์, อัจฉราวรรณ เพ็ญวันศุกร์, นงลักษณ์ กลิ่นพุดตาล, วรรณวณัช นงนุช Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275139 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 A Success Model of Hotel and Lodging Business Operations for tourism in Thailand https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275401 <p>Nowadays, there is a hugely competitive rate in hotel and lodging business operations, so entrepreneurs should plan and define the operational strategies for their business growth and achievement. This research was aimed to; 1) study the level of entrepreneurship focus, digital marketing strategy, innovative capability, competitive advantage, and success of hotel and lodging business operations; 2) study the entrepreneurship focus, digital marketing strategy, innovative capability, and competitive advantage affecting the success of hotel and lodging business operations; and 3) develop a success model of hotel and lodging business operations in Thailand. There were 340 sample groups comprised of entrepreneurs, managing directors, assistant managing directors, and general managers using cluster sampling. The quantitative research data were gathered by using the questionnaire and the qualitative research data were gathered by using the interview. The questionnaire for gathering data of the qualitative research and the interview for gathering data of the quantitative research comprised 5 sections by the observation variables. Quantitative research analysis by using the structural equation and qualitative research using focus groups.</p> <p>The findings revealed that; 1) the level of entrepreneurship focus, digital marketing strategy, innovative capability, competitive advantage, and success of hotel and lodging business operations were at a high level; 2) the entrepreneurship focus, digital marketing strategy, innovative capability, and competitive advantage affecting the success of hotel and lodging business operations; and 3) a success model of hotel and lodging business operations in Thailand that the researcher has developed, “B-F DIC Model” was the quality model of hotel and lodging business operations with entrepreneurship focus on using the management strategies in the digital era responding to the consumer needs and providing competitive advantage to other entrepreneurs.</p> Supatta Pranee, Patsiri Suwannapirom Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275401 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 Alternative Renewable Energy for Airports in United Arab Emirates https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275443 <p>This research aimed 1) to explore alternative renewable energy solutions for airports in the United Arab Emirates (UAE), 2) to assess the feasibility of integrating renewable energy into UAE airport infrastructure, and 3) to analyse the potential of Piezoelectricity as an alternative energy source for airports. The research examined current renewable energy adoption in the UAE aviation sector, evaluating factors such as environmental impact, economic viability, and scalability. A comprehensive analysis of renewable technologies was conducted, followed by a SWOT analysis to assess their application within airport operations.</p> <p>The findings indicate that 1) Piezoelectricity is a viable alternative energy source for airports, with benefits such as minimal environmental impact, low maintenance, and versatile implementation in airport applications like runways; 2) Circuit simulations confirmed Piezoelectricity’s potential, though challenges remain, including the need for more durable materials and optimized energy conversion efficiency. 3) In comparison to solar, wind, and hydropower, Piezoelectricity presents unique advantages in airport settings, though further research is needed to enhance its efficiency and scalability. The study provides valuable insights for stakeholders and policymakers, providing a roadmap for the sustainable integration of renewable energy in airports and aligning with the UAE’s sustainability objectives for the aviation industry.</p> Mohammed Adel Mohammed Sharif Karimpour, Waraporn Temkaew , Areerat Sensod Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/275443 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการดำเนินธุรกิจนวดแผนไทยอย่างยั่งยืน: กลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/270264 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ 2) เพื่อศึกษาทักษะในการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิให้มีความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการผสานวิธีการรวบรวมข้อมูล ด้วยแบบสอบถามโดยการสุ่มตัวอย่างจากผู้ใช้บริการนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ จำนวน 250 คน ด้วยวิธีเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง และใช้แบบสัมภาษณ์ ในการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการธุรกิจนวดแผนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจนวดแผนไทย จำนวน 20 คน ด้วยวิธีเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงและให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิมีผู้เข้ามาใช้บริการจำนวน 3-4 ครั้งต่อเดือน วัตถุประสงค์การใช้บริการนวดแผนไทยเพื่อดูแลและส่งเสริมสุขภาพ ส่วนใหญ่เลือกใช้บริการนวดประคบสมุนไพร ช่วงเวลาที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นช่วงเย็น ระยะเวลาในการใช้บริการ 2 ชั่วโมง และมีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการต่อครั้งประมาณ 200-500 บาท</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ทักษะในการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ พบว่า ทักษะในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์</span><span style="font-size: 0.875rem;">มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ และทักษะด้านเทคนิค ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. แนวทางการดำเนินงานธุรกิจนวดแผนไทยในกลุ่มเบญจบูรพาสุวรรณภูมิให้มีความยั่งยืน พบว่า ผู้ประกอบการควรมีความรู้ในศาสตร์ด้านการบริหารจัดการ และศาสตร์การนวดแผนไทย พัฒนาฝีมือของพนักงานให้บริการที่ได้คุณภาพและมีมาตรฐาน การประชาสัมพันธ์และการตลาด การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการลูกค้า และการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังของรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง</span></p> สินีนาถ เริ่มลาวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/270264 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 Service Satisfaction with the National Sports Development Fund of Stakeholders https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276598 <p>The objective of this research is to study the factors influencing satisfaction with the services that impact the repeated service usage of the National Sports Development Fund. This study was quantitative research. The sample consisted of 604 individuals who have contacted/used the services of the National Sports Development Fund. The sample size was determined using Taro Yamane 's, sample size calculation formula at a confidence level of 95 percent. The research utilized a multi-stage random sampling method. The research tool was a questionnaire. The statistics used in this study were multiple regression analysis.</p> <p>The findings indicated that the stakeholders were highly satisfied in all aspects and every item. The highest satisfaction was with the service provider staff, followed by facilities, service quality, and the service process, in that order. Positive perspectives on various service aspects were reflected, including having knowledge in the field, providing good advice, being attentive in service, giving importance to everyone equally, and having multiple communication channels, among others. When analyzing the multiple regression model, it was found that overall satisfaction with the services influencing the repeated service usage of the National Sports Development Fund, all four aspects, predicted the repeated usage behavior (Y). The satisfaction with service process had the most significant influence, followed by satisfaction with convenience facilities and satisfaction with service quality, in that order. While, satisfaction with service provider staff had no statistically significant influence on the repeated service usage of the National Sports Development Fund.</p> Tanapol Kortana Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276598 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาศักยภาพตำรวจสันติบาลสู่ความเป็น สันติบาลมืออาชีพในระดับสากล https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273460 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพของตำรวจสันติบาลสู่ความเป็นสันติบาลมืออาชีพในระดับสากล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ<br />35 ท่าน ประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 ท่าน กองบัญชาการตำรวจสันติบาล 30 ท่าน<br />และ นักวิชาการทางรัฐประศาสนศาสตร์ 1 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นเครื่องมือและวิธีการในการรวบรวมข้อมูล และนำมาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า แนวทางการการพัฒนาศักยภาพที่สำคัญของตำรวจสันติบาลสู่ความเป็นมืออาชีพในระดับสากล คือ การพัฒนาระบบการเรียนการสอน หลักสูตรการอบรม การจัดการความรู้ การแลกเปลี่ยนความรู้ หรือ การพัฒนาบุคลากร การยึดมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ สุจริต การส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงด้านการบังคับใช้กฎหมาย และการส่งเสริมการสร้างความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและหน่วยงานต่างประเทศ ดังนั้น ข้อเสนอสำคัญแนวทางการพัฒนาศักยภาพตำรวจสันติบาลสู่ความเป็นมืออาชีพในระดับสากล จึงมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาปัจจุบันและปฏิบัติตามมาตรฐานในระดับประเทศและสากล โดยได้จำแนกเป็น 3 ระยะ รวม 11 แผนงาน ประกอบด้วย ระยะเร่งด่วนดำเนินการโดยเร็วที่สุด จำนวน 7 แผนงาน ระยะกลาง ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี จำนวน 2 แผนงาน และระยะยาว ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี จำนวน 2 แผนงาน เป็นแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีคุณค่าต่อไป</p> เกศสุตารินท์ ธนารุ่งไพลิน, ณัฐวัฒน์ สิริพรวุฒิ, สถิตย์ นิยมญาติ, กมลพร กัลยาณมิตร Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273460 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืน ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273461 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (2) ศึกษาองค์ประกอบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (3) หาแนวทางกำหนดนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลจำนวน 26 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องภาคเอกชน จำนวน 11 ท่าน กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องภาครัฐ จำนวน 8 ท่าน และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการการจัดระเบียบข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใน 4 ด้าน คือ ด้านการบำรุงรักษา ด้านการอนุรักษ์ ด้านการฟื้นฟูทรัพยากร และด้านการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน สภาพการมีส่วนร่วมของชุมชนมีการห้ามกระทำการใด ๆ ในที่จับสัตว์น้ำที่อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ การจัดทำแนวเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำ การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ การวางซั้งกอ ธนาคารปูม้า และการควบคุมเฝ้าระวังการทำการประมงผิดกฎหมาย (2) องค์ประกอบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ใน 4 ด้าน คือ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์การมีส่วนร่วมในการประเมินผล ความต้องการในการมีส่วนร่วมของชุมชนมีความต้องการมีส่วนร่วมทุกด้าน และ (3) แนวทางกำหนดนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบว่าความยั่งยืนของทรัพยากรประมงอยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนประมงในการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมและการบำรุงรักษา ดูแลอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรหน้าบ้าน และโครงการต่างๆ จากการสนับสนุนของรัฐและเอกชน ดังนั้นการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการทำประมงชายฝั่งแบบยั่งยืนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน และทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง</p> ณฐกร สุวรรณธาดา, ณัฐวัฒน์ สิริพรวุฒิ, สถิตย์ นิยมญาติ, กมลพร กัลยาณมิตร Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/273461 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของวัฒนธรรมองค์การและการรับรู้ความสามารถของตนเอง ในฐานะตัวแปรคั่นกลางที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการปฏิบัติงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276653 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวแปรด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเอง และความสามารถในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อมของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการปฏิบัติงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ จำนวน 12 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา 2) การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง 440 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามรูปแบบออนไลน์จากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน วิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง และวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ตัวแปรทุกตัวมีความเข้ากันได้ดีและเป็นไปตามเกณฑ์ สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ได้แก่ (1) ด้านภาวะผู้นำมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อวัฒนธรรมองค์การ การรับรู้ความสามารถของตนเองและความสามารถในการปฏิบัติงาน (2) ด้านวัฒนธรรมองค์การมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการรับรู้ความสามารถของตนเองและความสามารถในการปฏิบัติงาน และ (3) ด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสามารถในการปฏิบัติงาน และ 2) ภาวะผู้นำมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อความสามารถในการปฏิบัติงาน โดยมีรับรู้ความสามารถของตนเอง และวัฒนธรรมองค์การเป็นตัวแปรส่งผ่านและพบว่าวัฒนธรรมองค์การมีอิทธิพลทางอ้อมเชิงบวกต่อความสามารถในการปฏิบัติงาน โดยมีการรับรู้ความสามารถของตนเองเป็นตัวแปรส่งผ่านและสามารถพยากรณ์ความสามารถในการปฏิบัติงาน ได้ร้อยละ 41 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> ปิยะนุช เงินชูศรี Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/JDAR/article/view/276653 Mon, 04 Nov 2024 00:00:00 +0700