วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ <p>สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายวิชาการภูมิสถาปัตยกรรม 10 สถาบันการศึกษา ที่มีการเรียนการสอนในสาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรม ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้ดำเนินงานจัดทำวารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ ผลงานวิจัย และผลงานสร้างสรรค์ ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพงานวิชาการ และนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรม เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม</p> <p> </p> <p>ในปี พ.ศ. 2566 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง เปลี่ยนชื่อวารสาร จากเดิม วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรม ฉบับที่ 1-4 (2562-2565) ISSN: 2697-553X เป็น วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง ISSN: 3027-8503 (Online) และในปี พ.ศ. 2568 วารสารได้เปิดรับบทความตลอดปี มีกำหนดการเผยแพร่ ปีละ 1 ฉบับ มกราคม-ธันวาคม โดยบทความที่ผ่านกระบวนการของวารสารและได้รับการพิจารณาตอบรับการตีพิมพ์ จะได้รับการเผยแพร่ทันที</p> <p> </p> <p>วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผังเปิดรับบทความวิจัย บทความปริทัศน์ และบทวิจารณ์หนังสือ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ด้านการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง ประวัติศาสตร์และทฤษฎีภูมิสถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์วัฒนธรรม การอนุรักษ์ภูมิสถาปัตยกรรม นิเวศวิทยาภูมิทัศน์ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล เทคโนโลยีและนวัตกรรม การจัดการภูมิสถาปัตยกรรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับผู้สนใจ นักวิชาการ นักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยสามารถศึกษารายละเอียดและส่งบทความได้ที่</p> <p>https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ</p> <p> </p> <p>บทความที่ได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาเบื้องต้นโดยกองบรรณาธิการ และได้รับการกลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน ในรูปแบบ Double-blind Peer Review</p> <p> </p> <p>* วารสารไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ผู้สนใจสามารถส่งบทความได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ *</p> <p> </p> <p>สมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย</p> <p>เลขที่ 12 ถนนพระราม 9 (ปากซอยพระรามเก้า 36) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240</p> <p>โทร 662 369 3006</p> <p>ติดต่อสอบถาม</p> <p>E-mail: jlap@tala.or.th</p> Thai Association of Landscape Architects (TALA) en-US วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง 3027-8503 แนวทางการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาชุมชนเมืองคอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ/article/view/281822 <p><span class="fontstyle0">การศึกษานี้มุ่งเน้นการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นกับกระบวนการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในชุมชนเมืองคอง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์ด้านวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความสัมพันธ์เชิงลึกกับสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิปัญญาการจัดการน้ำด้วยระบบเหมืองฝาย การเกษตรที่อิงฤดูกาลและการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนร่วมกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ วัตถุประสงค์ของการศึกษาคือ (1) ศึกษาภูมิปัญญา ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมของชุมชนเมืองคอง และ (2) พัฒนาแนวทางการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าสู่กระบวนการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม โดยคำนึงถึงมิติด้านวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน–ธันวาคม พ.ศ. 2567 ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสำรวจภาคสนาม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้นำชุมชน 6 คน และประชาชน 30 คน รวม 36 คน ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีสุ่มเฉพาะเจาะจงและแบบโควตา เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่ ผลการศึกษา พบว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนเมืองคองสะท้อนผ่านการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มเครือญาติที่จัดวางเรือนพักอาศัยล้อมลาน กลางบ้าน (ข่วง) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นที่กิจกรรมร่วมกัน ทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรมประจำปี เช่น พิธีสืบชะตาและไหว้ผี ป่า พื้นที่อยู่อาศัยถูกออกแบบให้สัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศเชิงเขา โดยมีการยกพื้นบ้านเพื่อรองรับฝนตกหนักและน้ำไหล เชี่ยวในฤดูฝน อีกทั้งยังเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติและวัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่และไม้เนื้ออ่อน ในโครงสร้างที่สามารถถอด ประกอบและซ่อมแซมได้ง่าย การจัดการทรัพยากรน้ำและป่าไม้มีความเป็นระบบ ผ่านการใช้ระบบเหมืองฝาย (Muang Fai) ที่ชุมชนจัดเวรใช้น้ำอย่างเป็นธรรมผ่านกลไก “แก่ฝาย” ซึ่งสอดรับกับฤดูกาลเพาะปลูก และการรักษาป่าชุมชนที่เป็นทั้งแหล่ง อาหาร แหล่งยาสมุนไพร และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ความเชื่อเรื่องผีป่า–ผีเขา โดยมีพิธีกรรมควบคู่เพื่อแสดงความเคารพและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ภูมิปัญญาเหล่านี้แสดงถึงการบูรณาการอย่างแนบแน่นระหว่างภูมิประเทศ วัฒนธรรม ความเชื่อ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์เป็นแนวทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยสามารถจำแนกออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ (1) มิติด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชุมชน (2) มิติด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (3) มิติด้านสังคมและการมีส่วนร่วมของชุมชน แนวทางที่พัฒนาขึ้นนี้มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และธำรงไว้ซึ่ง อัตลักษณ์ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับการพัฒนาเมืองในบริบทชุมชนชาติพันธุ์เชิงนิเวศเช่นเมืองคอง</span> </p> อัมพิกา อำลอย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-14 2025-10-14 7 1 1 17 การศึกษาความคิดเห็นของประชาชนต่อรูปแบบของสะพานลอยและอุโมงค์ลอดใต้ถนน: กรณีศึกษาถนนลงหาดบางแสน ตำบลแสนสุข จังหวัดชลบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ/article/view/274825 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการสอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้เส้นทางเกี่ยวกับความเหมาะสมของที่ตั้งของรูปแบบสะพานลอยและอุโมงค์ลอดใต้ถนนที่ออกแบบตามหลักการออกแบบอย่างสากล ณ ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ทำการเลือกจุดที่เหมาะสมกับการสร้างสะพานลอยและอุโมงค์ลอดใต้ถนน 3 จุด ประกอบด้วย ทางแยกถนนลงหาดบางแสนตัดกับถนนมิตรสัมพันธ์ (แยกรังเร) ทางแยกถนนลงหาดบางแสนตัดกับถนนบางแสนสาย 2 (แยกจรินทร์) และวงเวียนบางแสนที่ถนนลงหาดบางแสนตัดกับถนนบางแสนสาย 1 (วงเวียนบางแสน) ทำการออกแบบรูปแบบตามแนวคิดของสะพานลอยและอุโมงค์ลอดใต้ถนนให้ตามหลักการออกแบบอย่างสากล จัดทำเป็นคลิปวีดิทัศน์แสดงรายละเอียดของรูปแบบสะพานลอยและอุโมงค์ลอดใต้ถนน แล้วเผยแพร่ผ่านทางช่องยูทูป และสอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้เส้นทางโดยผ่านกูเกิลฟอร์ม ผลการศึกษาพบว่า บริเวณแยกรังเรและแยกจรินทร์ สะพานลอยมีความเหมาะสมมากกว่าอุโมงค์ ส่วนบริเวณวงเวียนบางแสน อุโมงค์มีความเหมาะสมมากกว่าสะพานลอย ผลการศึกษายังพบว่า ความเหมาะสมของสะพานลอยต่อแยกรังเร ประเด็นที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความสะดวกสบายในการใช้งาน (3.56) และความเหมาะสมของอุโมงค์ต่อแยกรังเรมีประเด็นที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ การไม่กีดขวางทางเท้า (3.29) ความเหมาะสมของสะพานลอยที่แยกจรินทร์มีประเด็นค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ อุปกรณ์ที่สอดคล้องกับการออกแบบอย่างสากล (ลิฟต์ ทางเลื่อนสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ) (3.45) ส่วนความเหมาะสมของอุโมงค์ต่อแยกจรินทร์ ประเด็นที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ การไม่กีดขวางทางเท้า (3.35) ในขณะที่ความเหมาะสมของอุโมงค์บริเวณที่วงเวียนบางแสน ประเด็นที่ค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ความสะดวกสบายในการใช้งาน (3.31) ข้อเสนอแนะเพื่อความปลอดภัย ควรติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อบันทึกภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง และอุปกรณ์ขอความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ให้เปิดใช้อุโมงค์เฉพาะช่วงเวลาทำการคือ ตั้งแต่ 08.00-18.00 น. ในวันทำการ แต่อาจเปิดใช้งานได้ 24 ชั่วโมงในช่วงวันหยุดยาว</p> ดนัย บวรเกียรติกุล ณัฐวัตร คิดสุข ดนุพล สังขปรีชา รจฤดี โชติกาวินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 7 1 18 40 การศึกษาแนวทางในอนาคตของระบบชลประทานเหมืองฝายในพื้นที่เมืองจังหวัดเชียงใหม่: การศึกษาและทบทวนวรรณกรรม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ/article/view/280733 <p>ระบบเหมืองฝายเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการจัดการน้ำของชุมชนในภาคเหนือของประเทศไทยที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และระบบนิเวศชุมชนของผู้คนในภาคเหนือของประเทศไทย บทความนี้ต้องการศึกษาแนวทางในอนาคตของระบบเหมืองฝาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ทบทวนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบเหมืองฝายในด้านต่าง ๆ 2. ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบเหมืองฝายในตัวเมืองเชียงใหม่ 3. นำเสนอแนวทาง รูปแบบและกระบวนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวทางของระบบเหมืองฝายในอนาคต โดยการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับระบบเหมืองฝายในมิติต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ (Systematic Review) จากการศึกษาพบว่าประเด็นที่มีการศึกษาเกี่ยวกับระบบเหมืองฝาย สามารถอธิบายได้จาก 5 ประเด็นดังนี้ 1. ภูมิศาสตร์ 2. ประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม 3. เศรษฐกิจ 4. กฎหมาย 5. ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ระบบเหมืองฝายมีจุดแข็งในฐานะระบบจัดการน้ำที่มีต้นทุนต่ำ มีประสิทธิภาพสูงในการใช้น้ำในระดับชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบเหมืองฝายในตัวเมืองเชียงใหม่ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม วิถีชีวิต การขยายตัวของเมืองและปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงนโยบายภาครัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของระบบเหมืองฝาย บทความนี้นำเสนอช่องว่างขององค์ความรู้เกี่ยวกับระบบเหมืองฝายที่ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม และแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทสังคมสมัยใหม่ เช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ระบบภูมิสารสนเทศ และการส่งเสริมองค์ความรู้ให้ชุมชน เพื่อให้ระบบเหมืองฝายสามารถดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับยุคสมัยและบริบทสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต</p> ปวร มณีสถิตย์ ชัยสิทธิ์ ด่านกิตติกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 7 1 41 62 ลักษณะการใช้งานสวนขนาดเล็กและสวนหมู่บ้าน กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ/article/view/282955 <p>สวนสาธารณะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเมือง ทั้งเป็นพื้นที่ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นพื้นที่ออกกำลังกายที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าบริการ ซึ่งเป็นพื้นที่เพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะทั้งในมิติด้าน สุขภาพกาย จิต และสังคม แต่สภาวการณ์ปัจจุบันการสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการพัฒนากลายเป็นเมืองและการพัฒนาของพื้นที่จากความหนาแน่นของประชากร ดังนั้น การสร้างสวนสาธารณะขนาดเล็กจึงมีความเป็นไปได้มากกว่าในการสร้างและพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองเพื่อประชาชน โดยสวนสาธารณะขนาดเล็กที่สุด 2 ระดับ ตามการจำแนกประเภทสวนสาธารณะโดยกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สวนขนาดเล็กและสวนหมู่บ้าน ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและเปรียบเทียบลักษณะการใช้งานและกิจกรรมในสวนขนาดเล็ก 3 สวน และสวนหมู่บ้าน 3 สวน เพื่อนำไปสู่ข้อควรคำนึงถึงในการออกแบบและพัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะขนาดเล็ก ในการส่งเสริมสุขภาพและกิจกรรมทางกายของชุมชน โดยใช้การสำรวจและสังเกตลักษณะการใช้งานในสวนสาธารณะผ่านระบบการสังเกตการเล่นและนันทนาการในชุมชน (SOPARC) ผลการศึกษา พบว่า ผู้ใช้งานสวนสาธารณะขนาดเล็กส่วนมากเข้าใช้งานในช่วงเย็น โดยผู้ใช้งานสวนหมู่บ้านนิยมประกอบกิจกรรมการเดินเป็นหลัก ต่างจากสวนขนาดเล็กที่ใช้สำหรับการนั่งพัก ทั้งนี้ระดับกิจกรรมทางกาย พบว่าทั้งสวนทั้งสองระดับ มีสัดส่วนระดับกิจกรรมทางกายจากมากไปน้อย ดังนี้ กิจกรรมทางกายระดับเบา ระดับเนือยนิ่ง และระดับปานกลางถึงหนัก นอกจากนี้ปัจจัยด้านความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนผู้ใช้งานในช่วงเวลากลางคืน ผลการศึกษานี้ได้นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในข้อควรพิจารณาเพื่อนำไปสู่แนวทางการออกแบบสวนสาธารณะขนาดเล็กที่ส่งเสริมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะที่เหมาะสมและตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้งานต่อไป</p> นิติ ธรรมจิตต์ สิกิต อริฟวิโดโด นัฐศิพร แสงเยือน นิสา เหล็กสูงเนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-19 2025-11-19 7 1 63 82 การทบทวนวรรณกรรมการศึกษาผักพื้นเมืองภาคเหนือของนักวิชาการไทย พ.ศ. 2528–2568 เพื่อพัฒนาแนวทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชุมชนบนฐานภูมิปัญญาพื้นถิ่น https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAJ/article/view/283283 <p>ผักพื้นเมืองภาคเหนือเป็นทรัพยากรชีวภาพที่มีความสำคัญในหลายมิติ ทั้งด้านอาหาร สุขภาพ วัฒนธรรม และภูมิทัศน์ โดยสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาอย่างยาวนานผ่านการบริโภค การปรุงอาหาร และการใช้สมุนไพร งานวิชาการในช่วง พ.ศ. 2528–2568 ครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจและบันทึกความรู้ดั้งเดิม การศึกษาด้านโภชนาการและสุขภาพ ตลอดจนการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร อย่างไรก็ตาม งานที่มุ่งสังเคราะห์คุณค่าผักพื้นเมืองในมิติการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมยังมีจำกัด บทความปริทัศน์นี้จึงมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ได้แก่ (1) ทบทวนวรรณกรรมการศึกษาผักพื้นเมืองภาคเหนือของนักวิชาการไทยในช่วง 4 ทศวรรษ (พ.ศ. 2528–2568) และ (2) สังเคราะห์แนวทางการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชุมชนบนฐานภูมิปัญญาพื้นถิ่น วิธีการศึกษาใช้การทบทวนวรรณกรรม โดยรวบรวมผลงานวิชาการคัดสรรจากฐานข้อมูลคุณภาพ เช่น Thai Digital Collection (TDC), Thai Journals Online (ThaiJO), สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รวมถึงบทความในวารสารวิชาการ โดยกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกที่ชัดเจน ผลการสังเคราะห์แบ่งออกเป็น 4 มิติ ได้แก่ (1) สุขภาพและโภชนาการ (2) ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม (3) เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และ (4) ความหลากหลายทางชีวภาพและการอนุรักษ์พันธุ์พืช ผลการศึกษาพบว่า งานวิชาการเกี่ยวกับผักพื้นเมืองพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการบันทึกเชิงชีวภาพสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมทั้งสะท้อนโอกาสในการบูรณาการกับการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชุมชน ตัวอย่างเช่น การสร้างสวนสุขภาพชุมชน การออกแบบสวนเมี่ยง–สวนเครื่องเทศ และการพัฒนาลานอาหารวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงคุณค่าด้านอาหาร สุขภาพ และวัฒนธรรมเข้ากับพื้นที่ใช้สอยในชุมชน ข้อเสนอของบทความนี้ คือ การบูรณาการผักพื้นเมืองภาคเหนือสู่การออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชุมชนบนฐานภูมิปัญญาพื้นถิ่น ไม่เพียงเป็นแนวทางในการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังสามารถสร้างคุณค่าทางสุขภาพ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต</p> อัมพิกา อำลอย ปวร มณีสถิตย์ ศศิพิมพ์ ปรีชม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการภูมิสถาปัตยกรรมและการวางผัง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-02 2025-12-02 7 1 83 105