Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU <p>วารสารนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นวารสารวิชาการของคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งตีพิมพ์บทความทางวิชาการและบทความวิจัยทางด้านกฎหมาย จากบุคคลทั้งภายในและภายนอกของมหาวิทยาลัย</p> <p>จัดพิมพ์วารสารราย 6 เดือน </p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ปัจจุบันกำลังเปิดรับบทความ พ.ศ. 2566 </strong></p> <p>&gt; วารสารอยู่ใน TCI กลุ่มที่ 3 <a href="https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=201">https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=201</a></p> <p>&gt;&gt; มีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความอย่างน้อย 3 คน</p> <p>&gt;&gt;&gt; ไม่มีค่าส่งบทความ</p> <p>&gt;&gt;&gt;&gt; มีค่าตอบแทนเมื่อบทความได้รับการตีพิมพ์*</p> <p> </p> <p>คู่มือการใช้งานระบบ ThaiJO </p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1CdPHDgAQnd9MSngcZ8TFdZR2tTRPKfE_/view">https://drive.google.com/file/d/1CdPHDgAQnd9MSngcZ8TFdZR2tTRPKfE_/view</a></p> th-TH lawpridijournal@dpu.ac.th (กองการจัดการ) lawpridijournal@dpu.ac.th (๋Jeeranan Thongsaneh) Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สิทธิในการรับมรดกของบุตรโดยบิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268086 <p class="DPUSubHeading1"><span lang="TH">บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบัญญัติแห่งกฎหมายมรดกเรื่องสิทธิในการรับมรดกของบุตรโดยบิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่ อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของบิดามารดาต่อบุตรตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งกำหนดให้บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในขณะที่เป็นผู้เยาว์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งมีการกำหนดหน้าที่และความผิดของบิดามารดาไว้ แต่ตามกฎหมายมรดกของไทยได้บัญญัติเหตุที่ทายาทโดยธรรมจะเสียสิทธิในการรับมรดกไว้เพียง 4 ประการได้แก่ การถูกกำจัดมิให้รับมรดก การถูกตัดมิให้รับมรดก การสละมรดก และการเสียสิทธิการรับมรดกโดยผลของอายุความ หากเป็นกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีการทำพินัยกรรมไว้บิดาหรือมารดาผู้นั้นยังคงมีสิทธิในการรับมรดกในฐานะทายาทลำดับที่ 2 เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดให้บิดามารดาที่บกพร่องต่อหน้าที่เสียสิทธิในการรับมรดกไป ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเป็นไปตามหลักการตกทอดของมรดก </span></p> <p class="DPUSubHeading1"><span lang="TH">กฎหมายมรดกที่ประเทศไทยใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้รับการบัญญัติขึ้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 90 ปี แต่เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ความคิดของคนในสังคมเปลี่ยนแปลง การบังคับใช้กฎหมายมรดกของไทยตามแนวคิดและทฤษฎีที่มีอยู่ดั่งเดิม อาจทำให้การบังคับใช้กฎหมายหมายนั้นไม่สัมพันธ์กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ในขณะที่บางประเทศมีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการตัดสิทธิในการรับมรดกของบิดาหรือมารดาที่บกพร่องต่อหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามกฎหมาย ทำให้การแบ่งมรดกเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามหลัก </span>“<span lang="TH">ญาติสนิทตัดสิทธิญาติห่าง</span>”</p> <p class="DPUSubHeading1"><span lang="TH" style="letter-spacing: -.3pt;">บทความฉบับนี้จึงศึกษาเรื่องสิทธิในการรับมรดกของบุตรโดยบิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่ว่าควรแก้ไข</span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.2pt;">ให้มีบทบัญญัติกฎหมายที่มีผลเป็นการทำให้บิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่ว่าเสียสิทธิในการรับมรดกของบุตรที่</span><span lang="TH">ตนได้บกพร่องต่อหน้าที่ การกลับมามีสิทธิรับมรดก โดยทำการศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศ<span style="letter-spacing: -.2pt;">เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาถึงหลักเกณฑ์ในการกำจัดบิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่ และนำเสนอแนวทางการ</span>แก้ไขกฎหมายไทยให้ครอบคลุมถึงการจำกัดสิทธิในการรับมรดกของบุตรโดยบิดามารดาซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่</span></p> ปิยรัฐ กรพุกกะณะ, พินิจ ทิพย์มณี Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268086 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 ปัญหากฎหมายลิขสิทธิ์เกี่ยวกับงานที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ : กรณีศึกษาประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา และประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268191 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงบทบัญญัติและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องในการใช้กฎหมายลิขสิทธิ์กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของต่างประเทศและประเทศไทย เนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์ในปัจจุบันไม่ได้ให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ในส่วนที่เป็นงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงไม่ได้กำหนดตัวบุคคลที่เป็นผู้สร้างสรรค์ในงานดังกล่าวไว้ ส่งผลให้งานนั้นตกเป็นสาธารณสมบัติที่ประชาชนทั่วไปสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน อีกทั้ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติที่คุ้มครองชัดเจน หรือไม่เท่าทันต่อสภาวการณ์ของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย</p> <p>จากการศึกษากฎหมายของประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา และประเทศไทย พบว่าแม้ทั้งสี่ประเทศจะเป็นภาคีของข้อตกลงและอนุสัญญาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน แต่บทบัญญัติว่าด้วยผู้สร้างสรรค์และประเภทของงานอันมีลิขสิทธิ์ มีการกำหนดถึงรายละเอียดในการให้ความคุ้มครองที่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งประเทศไทยมีการกำหนดคำนิยามคำว่า “ผู้สร้างสรรค์” ต้องเป็นบุคคล ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แต่เมื่อพิจารณาของประเทศอังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา พบว่าไม่ได้มีการกำหนดคำนิยามของผู้สร้างสรรค์ไว้ชัดเจน สืบเนื่องจากความตกลงระหว่างประเทศให้ความคุ้มครองงานที่เกิดจากผู้สร้างสรรค์ที่เป็นมนุษย์ ส่งผลให้ประเทศที่เป็นสมาชิกแต่ละประเทศหากประสงค์จะให้ความคุ้มครองงานที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ จึงมีหน้าที่ต้องบัญญัติความหมายและหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองไว้ในกฎหมายภายในประเทศของตน</p> <p>ฉะนั้น ผู้เขียนจึงมีแนวความคิดเห็นควรให้มีการเพิ่มเติมคำนิยามในมาตรา 4 คำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” “งานสร้างสรรค์ที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์” และ “ผู้สร้างสรรค์ร่วม” และเสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 โดยเพิ่มเติมข้อความต่อท้ายว่า “รวมถึงงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์อาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างงานชิ้นนั้นขึ้นมาหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด” และควรกำหนดให้ผู้ยื่นขอลิขสิทธิ์ต้องเปิดเผยเมื่องานของผู้สร้างสรรค์มีเนื้อหาที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องและเป็นจริงถึงแหล่งที่มาของงานสร้างสรรค์ การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อหาแนวทาง ในการให้ความคุ้มครองงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์โดยกำหนดตัวผู้สร้างสรรค์ในงานให้มีความชัดเจน เพื่อให้ปรับใช้กฎหมายให้เหมาะสมรับกับการพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน</p> ศิริพิชชา กฤษฏิ์พงศ์, อังค์วรา ไชยอนงค์ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268191 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 มาตรการลงโทษทางอาญาที่เหมาะสมในการควบคุมผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถยนต์โดยสารประจำทาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268137 <p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับมาตรการลงโทษที่เหมาะสมในการควบคุมผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถยนต์โดยสารประจำทาง ซึ่งในปัจจุบันพบว่ายังไม่มีประสิทธิภาพ เพียงพอที่จะยับยั้งอุบัติเหตุ อันเกิดจากรถยนต์โดยสารประจำทางได้ ส่งผลให้ในปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นประเทศ<br />ที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นอันดับหนึ่งของโลก </p> <p>การเกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์โดยสารประจำทาง สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุ 2 ประการ คือเกิดจากสภาพของรถยนต์โดยสาร และเกิดจากสภาพร่างกายของผู้ขับขี่รถยนต์โดยสาร เนื่องจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุผู้กระทำมิได้เป็นผู้มีจิตใจเป็นอาชญากรโดยแท้ กฎหมายจึงกำหนดโทษไว้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศได้มีการนำแนวคิดเกี่ยวกับค่าเสียหายเชิงลงโทษมาใช้ลงโทษผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสาร<br />ด้วยรถยนต์โดยสารประจำทาง ในคดีอุบัติเหตุเพื่อให้ผู้กระทำหลาบจำ โดยศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นจำนวนที่สูงหลายเท่าเมื่อเทียบกับค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จึงทำให้การควบคุมการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์โดยสารประจำทาง มีประสิทธิภาพ ประเทศไทยมีการกำหนดให้นำมาตรการค่าเสียหายเชิงลงโทษมาใช้ เช่น ในคดีผู้บริโภคทั่วไป แต่มิได้มีการกำหนดเกี่ยวกับให้นำแนวคิดเรื่องค่าเสียหายเชิงลงโทษมาใช้ลงโทษ ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถยนต์โดยสารประจำทาง ในคดีอุบัติเหตุในกฎหมายเฉพาะ <br />และจากการศึกษาคำพิพากษาในคดีอุบัติเหตุพบว่าศาลได้กำหนดค่าความเสียหายไว้ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้<br />ไม่มีผลเป็นการยับยั้งการกระทำความผิด</p> <p>มาตรการการลงโทษโดยทั่วไป ขอเสนอให้เพิ่มเติมมาตรา 40 ตรี แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ใช้ หรือยินยอมให้ผู้ขับรถปฏิบัติหน้าที่ขับรถติดต่อกันเกินสี่ชั่วโมงนับแต่ขณะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ขับรถ แต่ถ้าในระหว่างนั้น ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถได้พักติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง ก็ให้ปฏิบัติหน้าที่ขับรถต่อไปได้อีกไม่เกินสี่ชั่วโมงติดต่อกัน ขอเสนอให้เพิ่มเติมมาตรา 138 ตรี ผู้ฝ่าฝืน มาตรา 40 ตรี ดังกล่าวต้องระวางโทษไม่เกินห้าหมื่นบาท ขอเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 127 ทวิ และมาตรา 127 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งจากเดิมมีการกำหนดโทษปรับไว้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยแก้ไขโทษ ดังกล่าวเป็น 50,000 บาท โดยนำหลักการเพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 ที่แก้ไขอัตราโทษของประมวลกฎหมายอาญามาใช้</p> เสฏฐพงศ์ สิงหวิริยะ, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268137 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 บทบาทของศาลในการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268173 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 (2) ศึกษาการเปรียบเทียบปัญหาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 ของกฎหมายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (3) ศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้การบังคับใช้พระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 (4) เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 หนังสือ ตำรา วิทยานิพนธ์ บทความทางวิชาการ งานวิจัย และข้อมูลสารสนเทศทางอินเตอร์เน็ต โดยผู้วิจัยทำการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากเนื้อหาที่ได้จากการวิจัยเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มีความชัดเจน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) ตามแนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาลหลบหนีไปทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลต้องล่าช้า ส่งผลกระทบต่อนโยบายในการป้องปรามอาชญากรรม สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการไม่มีเจ้าพนักงานกำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ศาลกำหนดเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้เมื่อเกิดการหลบหนีก็ไม่มีเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยเหล่านั้นกลับมาดำเนินคดี (2) การเปรียบเทียบปัญหาของกฎหมายในประเทศไทยและต่างประเทศ พบว่ามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ.2562 มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจทั้งที่คล้ายคลึงและแตกต่างกัน ของทั้งหน่วยงาน U.S. Marshals ประเทศสหรัฐอเมริกา และเครือรัฐออสเตรเลีย (3) ตามกฎหมายของประเทศไทย เน้นการปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันและหลักประกันมากกว่าการปล่อยชั่วคราวประเภทอื่น การกำหนดให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ศาลกำหนด โดยการประเมินความเสี่ยง การเป็นผู้สอดส่องดูแล รับรายงานตัว เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือภัยอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4) เห็นควรแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติเจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ. 2562 ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ให้มีหน้าที่และอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้อำนาจเจ้าพนักงานตำรวจศาลในการจับกุมจำเลยตามคำสั่งศาลได้โดยไม่ต้องอ้างเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ทันท่วงที เพื่อให้การปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการจับกุมจำเลยที่หลบหนีการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ณภัทร บุญญอารักษ์, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268173 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ภาค 2 การบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติด : ศึกษาปัญหาและการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการทางสาธารณสุข https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/267822 <p>ปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาที่มีผลกระทบในมุมกว้าง ที่ประเทศไทยมุ่งแก้ไขเสมอมา เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน เนื่องจากมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยาเสพติด หลายประเภทไม่ว่าจะเป็นผู้เสพยาเสพติดผู้ติดยาเสพติด หรือผู้ครอบครองไว้เพื่อเสพ ผู้รับจ้างขนยาเสพติดหรือผู้ค้ารายย่อย ผู้ค้ารายใหญ่หรือองค์กรอาชญากรรม ในอดีตการที่กฎหมายไม่เอื้อต่อระบบสาธารณสุขหรือระบบบำบัดฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติด ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการปรับใช้ในทางปฏิบัติ โดยมองว่าผู้ป่วยกลายเป็นอาชญากร รวมถึงการที่นักโทษยังคงมีประวัติอาชญากรติดตัวอยู่ ทำให้ไม่สามารถไปประกอบอาชีพได้ จึงต้องหวนคืนมาสู่กระบวนการบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติดซ้ำแล้วซ้ำเล่า</p> <p>ในสารนิพนธ์เล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งเน้นเฉพาะ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ภาค 2 การบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติด โดยศึกษาปัญหาและการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการทางสาธารณสุข เนื่องจากในส่วนของ ผู้เสพยาเสพติด เป็นกลุ่มคนที่เปราะบาง ต้องนำมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่การลงโทษทางอาญามาบังคับใช้ เนื่องจากในส่วนนี้เกี่ยวพันในเรื่องของสุขภาพ และมาตรการทางสาธารณสุข เป็นกลุ่มที่ไม่มีความชั่วร้ายในจิตใจ แต่อาจมีปัจจัยอื่นๆมาเกี่ยวข้อง ทั้งสภาพแวดล้อม สังคม การชักจูง หรือเรื่องในทางเศรษฐกิจมาเกี่ยวข้อง เป็นกลุ่มที่สามารถหลุดออกจากวงจรยาเสพติดได้ หากได้รับโอกาสจากสังคม ซึ่งจะเป็นผลดีแก่สังคมมากกว่าที่จะพลักเขาไปสู่กระบวนการลงโทษที่รุนแรงเสียทีเดียว จึงต้องนำวิธีการเพื่อการรักษาสุขภาพและการดำเนินการทางด้านสุขภาพและการดำเนินการทางด้านสาธารณสุขเป็นสำคัญ และต้องไม่นำการลงโทษทางอาญามาใช้บังคับ โดยควรยึดมาตรการทางสาธารณสุข บูรณาการกับกระทรวงยุติธรรมในส่วนของการปรับใช้กฎหมาย และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่กระบวนการแรก คือ กระบวนการคัดกรอง การบำบัดรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการฟื้นฟูสรรถภาพทางสังคม การติดตามภายหลังจากการบำบัดรักษาเสร็จสิ้นแล้ว โดยใช้การฟื้นฟูสภาพทางสังคมของผู้ติดยาเสพติด หรือ การบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้สารเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้บุคคลที่บำบัดรักษาผ่านแล้วสามารถกลับคืนสู่สังคมได้ ได้รับโอกาสจากสังคม และมีสิ่งแวดล้อมที่พร้อมให้การช่วยเหลือ ไม่ให้บุคคลดังกล่าวกลับไปสู่วงจรของยาเสพติดอีก</p> ขวัญพิชชา ดวงขวัญ, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/267822 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 การพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268914 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ และความเป็นมาเกี่ยวกับการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ (2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายของประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ (3) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายของมาตรการทางกฎหมายในการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ตามกฎหมายของประเทศไทยเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา และ(4) เพื่อศึกษาหาแนวทางแก้ไขและพัฒนามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) การพักการลงโทษจำคุกเป็นการปลดปล่อยนักโทษให้ได้รับอิสระก่อนครบกำหนดโทษที่แท้จริงตามคำพิพากษา เพื่อเป็นเครื่องจูงใจหรือเป็นรางวัลตอบแทน ในกรณีที่มีความประพฤติที่ดีขึ้น และเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐใช้แก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ โดยใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาพักการลงโทษจำคุกเดียวกันในทุกๆ ประเภทความผิด ไม่มีหลักเกณฑ์ในการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ไว้อย่างชัดเจน จึงยังไม่สอดคล้องกับทฤษฎีป้องกันสังคมจากการก่ออาชญากรรมหรือการกระทำความผิดซ้ำของนักโทษซึ่งมีสภาวะเป็นบุคคลที่มีความอันตราย (2) ประเทศฝรั่งเศส ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ความสำคัญกับการป้องกันสังคมและการกระทำความผิดซ้ำของผู้กระทำความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ โดยมีการกำหนดมาตรการทางกฎหมายไว้อย่างชัดเจน และครอบคลุมถึงการแก้ไขปัญหาในการก่ออาชญากรรมหรือการหวนกลับมากระทำความผิดซ้ำได้ (3) กฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ที่เกี่ยวกับการพักการลงโทษจำคุกของประเทศไทยพบปัญหาจากการที่นักโทษในคดีอุกฉกรรจ์ได้รับการปล่อยตัวเพื่อพักการลงโทษจำคุกก่อนกำหนดโทษหวนกลับมากระทำความผิดซ้ำ เนื่องจากมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อความปลอดภัยของสังคมเอาไว้สั้นเกินไป อีกทั้งมาตรการทางกฎหมายไม่มีความชัดเจน และองค์ประกอบของผู้มีอำนาจในการพิจารณาพักการลงโทษประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีศาลซึ่งทำหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาเพื่อบังคับโทษ และภาคประชาชน (4) แก้ไขปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ เช่น ประเทศฝรั่งเศส ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้การพักการลงโทษจำคุกในคดีอุกฉกรรจ์มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล</p> ปัทมาลัย วงศ์ปิง, วรรณวิภา เมืองถ้ำ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268914 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 มาตรการที่เหมาะสมในการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่าง การสอบสวนคดีอาญา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268993 <p>การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ และความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา (2) ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายของประเทศไทยกับกฎหมายของประเทศอังกฤษ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศญี่ปุ่นในเรื่องของการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา (3) ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายของมาตรการทางกฎหมายในการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา ตามกฎหมายของไทยเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศอังกฤษ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศญี่ปุ่น (4) ศึกษาหาแนวทางแก้ไขพัฒนากระบวนการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 133 ทวิ ให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) สิทธิของเด็กไม่ว่าในฐานะใดควรได้รับการปกป้องคุ้มครองดูแล การที่รัฐจะบัญญัติกฎหมายหรือการดำเนินการต่าง ๆ ทางกฎหมายที่จะคุ้มครองช่วยเหลือไม่ให้เด็กถูกละเมิดสิทธิ ต้องยึดถือประโยชน์ที่ดีที่สุดของเด็กเป็นสิ่งแรกในการพิจารณา สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเสมอภาค และเป็นธรรม (2) ประเทศอังกฤษ มีแนวปฏิบัติและมาตรการที่เหมาะสมในการซักถามเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานในระหว่างการสอบสวนคดีอาญา ส่วนประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศญี่ปุ่น สามารถสืบพยานที่บันทึกด้วยภาพและเสียงในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้โดยไม่ต้องนำตัวผู้เสียหายหรือพยานไปศาล (3) กฎหมายของประเทศไทยพบปัญหาในการถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็ก เช่น สถานที่ไม่เหมาะสมในการให้ปากคำ ต้องตอบคำถามที่เป็นการทำร้ายจิตใจ ตอบคำถามเรื่องเดิมมากครั้งเกินไป และต้องไปสืบพยานที่ศาลซ้ำอีก (4) ปรับปรุงมาตรฐานการคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้เสียหายในระหว่างการสอบสวน เช่นประเทศอังกฤษ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และประเทศญี่ปุ่น และแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133ทวิ เพื่อให้การถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล</p> รัตนาภรณ์ จุลหนองใหญ่, วรรณวิภา เมืองถ้ำ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268993 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700 การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269210 <p>การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความเป็นมา นโยบาย แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (2) ศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยและต่างประเทศได้แก่ ประเทศโปรตุเกส และประเทศสหรัฐอเมริกา (3) วิเคราะห์การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดของไทยและต่างประเทศ (4) เสนอแนะแนวทาง และแก้ไขการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นต่อไป</p> <p>การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิจัยจากเอกสาร ซึ่งผู้ศึกษาได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องจาก ตัวบทกฎหมาย วิทยานิพนธ์ หนังสือ บทความ งานวิจัย เอกสารทางวิชาการอื่นๆ และข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์ถึงการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำมาเป็นข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) ตามนโยบายแนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยให้ผู้ติดยาเสพติดเลิกยาเสพติดและไม่กลับไปกระทำความผิดซ้ำ (2) ประเทศไทยได้มีการบัญญัติประมวลกฎหมายยาเสพติด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศโปรตุเกสและประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วกฎหมายดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมหรือเหมาะสม (3) การใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการส่งตัวผู้กระทำความผิดเข้ารับการบำบัดไม่มีหน่วยงานอื่นถ่วงดุล ตรวจสอบ การกำจัดสิทธิในการเข้าสู่กระบวนการบำบัด หากผู้นั้นมีการกระทำความผิดอื่น หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นหรือสังคมที่เกิดจากอาการโรคจิต ประสาท หรือฤทธิ์จากการใช้ยาเสพติด (4) ผู้ศึกษาจึงขอเสนอการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพพผู้ติดยาเสพติดให้ครอบคลุมและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้เข้ารับการบำบัดรักษา สังคม และประเทศชาติในการแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป</p> ธัญญารัตน์ เกษามูล, วรรณวิภา เมืองถ้ำ Copyright (c) 2024 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269210 Wed, 30 Oct 2024 00:00:00 +0700