Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU <p>วารสารนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นวารสารวิชาการของคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งตีพิมพ์บทความทางวิชาการและบทความวิจัยทางด้านกฎหมาย จากบุคคลทั้งภายในและภายนอกของมหาวิทยาลัย</p> <p>จัดพิมพ์วารสารราย 6 เดือน </p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>ปัจจุบันกำลังเปิดรับบทความ </strong></p> <p>&gt; วารสารอยู่ใน TCI กลุ่มที่ 3 <a href="https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=201">https://tci-thailand.org/detail_journal.php?id_journal=201</a></p> <p>&gt;&gt; มีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความอย่างน้อย 3 คน</p> <p>&gt;&gt;&gt; ไม่มีค่าส่งบทความ</p> <p> </p> <p>คู่มือการใช้งานระบบ ThaiJO </p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1CdPHDgAQnd9MSngcZ8TFdZR2tTRPKfE_/view">https://drive.google.com/file/d/1CdPHDgAQnd9MSngcZ8TFdZR2tTRPKfE_/view</a></p> th-TH lawpridijournal@dpu.ac.th (กองการจัดการ) lawpridijournal@dpu.ac.th (๋Jeeranan Thongsaneh) Thu, 01 May 2025 11:24:09 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ส่วนหน้า https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/280578 <p>ส่วนหน้า</p> ศรีสุรักษ์ สีวันนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/280578 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 สารบัญ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/280700 <p>สารบัญ</p> ศรีสุรักษ์ สีวันนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/280700 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาทางกฎหมายการบังคับใช้มาตรการลดหย่อนโทษในความผิดเกี่ยวกับการตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจอื่นในตลาดเดียวกัน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268825 <p>การตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจอื่นในตลาดเดียวกัน (Cartel) เป็นการทำลายการแข่งขันในตลาดอย่างร้ายแรง เป็นการบิดเบือนและแทรกแซงกลไกตลาดส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแข่งขันในตลาดอย่างเสรี จำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าซึ่งเป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าต้องมีการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจจับการกระทำความผิดดังกล่าว</p> <p>จากการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าใช้ในการคุมกฎกติกา การตรวจสอบและกำกับดูแลการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจอื่นในตลาดเดียวกัน ยังไม่มีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าใช้มาตรการใดเป็นพิเศษที่เพียงพอต่อการสร้างแรงจูงใจผู้กระทำผิดเปิดเผยข้อมูลการกระทำผิดได้ ปัญหาการขาดอำนาจในการฟ้องคดีของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าในฐานะที่เป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการให้มีกระบวนการคัดค้านอนุกรรมการสอบสวน ปัญหาเหล่านี้นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า</p> <p>ผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 60 โดยให้มีการนำหลักเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนโทษไปบัญญัติไว้เพื่อให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าสามารถนำมาตรการลดหย่อนโทษไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพิจารณา ข้อพิพาทเกี่ยวกับการตกลงร่วมกันของ<br />ผู้ประกอบธุรกิจอื่นในตลาดเดียวกัน แก้ไขพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 25 โดยให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าในฐานองค์กร ผู้เชี่ยวชาญมีอำนาจฟ้องคดีได้และยกเลิกระเบียบคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่าด้วยการ ร้องเรียนและการแสวงหาข้อเท็จจริง และการดำเนินคดีทางอาญาหรือคดีทางปกครอง พ.ศ. 2562 ข้อ 18 เหตุคัดค้านอนุกรรมการสอบสวน ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวจะใช้ให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า บังคับใช้กฎหมายในการจัดการปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับการตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจอื่น ในตลาดเดียวกันได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> ฐิตินันท์ สตสมุทรจิตร์, สมชาย รัตนชื่อสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268825 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 การตรวจสอบการใช้อำนาจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268634 <p>บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศึกษาอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ทั้งในยามปกติและในยามที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่มีผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ ภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 2) ศึกษากลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐจากตัวบทกฎหมายทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ และ 3) จัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขบทบัญญัติอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. และเพิ่มกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจของ กอ.รมน. ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นในเรื่องหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และหน่วยงานที่ตรวจสอบและการถูกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตามกฎหมายดังกล่าว รวมถึงคำสั่ง ข้อบังคับของ กอ.รมน.ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเอกสารเป็นหลัก จากผลการศึกษาพบว่า <strong>กรณีในสถานการณ์ปกติ</strong> กอ.รมน. จำเป็นต้องถูกตรวจสอบการใช้อำนาจจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เช่น ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ตามมาตรา 230 และมาตรา 231 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามมาตรา 234 (2) หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตามมาตรา 240 (5) เป็นต้น <strong>กรณีในสถานการณ์ไม่ปกติ</strong> ในการออกคำสั่งของ กอ.รมน. ควรมีการตรวจสอบให้มีการใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น หากพบว่ามีการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ ควรนำพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาบังคับใช้ และให้ศาลปกครองเป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยคำสั่งทางปกครองที่อาจเข้าข่ายมิชอบด้วยกฎหมายของ กอ.รมน.<br />โดยผู้วิจัยเสนอแนะแนวทางเพิ่มเติมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังนี้ 1) ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 51/2560 2) เพิ่มเติมบทบัญญัติเพื่อกำหนดบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ 3) ควรให้มีการพิจารณาคดีทางปกครองในกรณีที่เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ใช้ดุลยพินิจในการดำเนินการตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นผลทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อให้ศาลปกครองวินิจฉัยความถูกต้อง เหมาะสม และจำเป็นของการใช้คำสั่งนั้น และ 4) ให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เข้าไปตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน. โดยใช้มาตรฐานเช่นเดียวกับการตรวจสอบส่วนราชการอื่นๆ และให้มีรายงานเผยแพร่ผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเพิ่มบทบาทให้กับรัฐสภาในการรับรองและพิจารณาทบทวนอำนาจหน้าที่ภายในหมวด 2 โดยการเข้าไปตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน. ผ่านกลไกของกรรมาธิการ</p> สาวิตตรี กิจประกายมุข, สุธี อยู่สถาพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/268634 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 ความรับผิดทางอาญาของแพทย์ กรณีศึกษา การกระทำโดยประมาท https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269695 <p>วิชาชีพเวชกรรมเป็นวิชาชีพที่ต้องกระทำการรักษาพยาบาลต่อร่างกายของผู้ป่วยและมีความเสี่ยงต่อความผิดพลาด เกิดความเสียหาย และการฟ้องร้องดำเนินคดี สำหรับประเทศไทยการพิจารณาความรับผิดทางอาญาของแพทย์ใช้ประมวลกฎหมายอาญาในการพิจารณาเช่นเดียวกับการกระทำโดยประมาททั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่ ที่กำหนดว่า “กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่” ในการวินิจฉัยความรับผิดของแพทย์ โดยปกติการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ต้องกระทำต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ป่วย แต่การกระทำของแพทย์ได้รับการยกเว้นความผิดทางอาญาตามหลักเรื่องความยินยอม และแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ภายใต้ ความสามารถและข้อจำกัดตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ดังนั้นปัญหาว่าการกระทำของเเพทย์เป็นการประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้นต้องพิจารณาอย่างมาตรฐานของผู้มีวิชาชีพ สำหรับวิชาชีพแพทย์ต้องใช้ความระมัดระวังเช่นเดียวกับผู้มีวิชาชีพซึ่งอยู่ภายใต้วิสัยและพฤติการณ์เช่นเดียวกันกับแพทย์ผู้กระทำนั้น เหตุการยกเว้นความรับผิดทางอาญาของแพทย์ในประเทศไทยไม่ได้ระบุให้การกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงยิ่งกว่าประมาทเลินเล่อในทางแพ่งที่ต้องรับผิดทางอาญาเท่านั้น</p> <p>เมื่อความเสียหายที่ร้ายแรงในการตรวจรักษาของแพทย์ถึงขนาด กฎหมายจะบัญญัติให้บุคคลนั้นต้องรับผิดทางอาญาด้วย โดยความผิดอาญาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นฐานความผิดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอื่นๆ บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อกระทำโดยเจตนาแต่การกระทำในบางลักษณะ แม้จะเกิดขึ้นจากความประมาท แต่ก็ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือสังคมโดยส่วนรวม ในกรณีเช่นนี้กฎหมายจะกำหนดเป็นฐานความผิดอาญาด้วย โดยเรื่องที่เกิดขึ้นและนำมาสู่การร้องเรียนหรือฟ้องร้องส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากการกล่าวหาแพทย์ว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ป่วยตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 หรือได้รับอันตรายแก่กาย ดังนั้นปัญหาว่าการกระทำของเเพทย์เป็นการประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้นต้องพิจารณาอย่างมาตรฐานของผู้มีวิชาชีพ</p> <p>ความรับผิดทางอาญาของแพทย์ในประเทศที่ใช้ระบบคอมมอนลอว์ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษนั้นต้องมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (Gross Negligence or Recklessness) มากกว่าประมาทเลินเล่อในทางแพ่ง ต่างกับประเทศที่ใช้ระบบซีวิลลอว์รวมทั้งประเทศไทย แม้กระทำโดยประมาทเลินเล่อก็ถือเป็นความผิดทางอาญาได้ การพิจารณาความรับผิดทางอาญาของระบบกฎหมายคอมมอนลอว์พิจารณาจากความตระหนักรู้ในทางอัตวิสัยโดยพิจารณาว่าตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงหรือภยันตรายนั้น ต่างกับระบบกฎหมายซีวิลลอว์รวมทั้งประเทศไทยพิจารณาจากภาวะวิสัย (Objective) ประเทศไทยนั้นใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสี่ พิจารณาการกระทำโดยประมาท ว่าบุคคลได้ใช้ความระมัดระวังต่ำกว่าความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์หรือไม่ หากบุคคลอื่นตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกัน</p> <p>มาตรฐานความระมัดระวังที่ใช้ในการพิจารณาการกระทำโดยประมาท โดยการพิจารณาความระมัดระวังตามวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพและพฤติการณ์ สถานการณ์สภาวะแวดล้อมในขณะนั้นใช้ความระมัดระวังได้เพียงใด อีกทั้งเปรียบเทียบกับแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะสาขา ประสบการณ์ในการทำงานเดียวกัน หากใช้ความระมัดระวังต่ำกว่ามาตรฐานความระมัดระวังก็ต้องรับผิดทางอาญา เมื่อความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ทั้งต่อชีวิต ร่างกาย แต่หากแพทย์ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์แล้วไม่ถือว่าแพทย์ผู้นั้นกระทำโดยประมาท ดังนั้น ผู้เขียนเห็นว่าการพิจารณาความรับผิดทางอาญาของแพทย์ในประเทศไทยเหมาะสมแล้ว แต่อาจพิจารณาร่วมกับหลักความได้สัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งอาจใช้วิธีอื่นๆ ในการบรรเทาความเสียหายและลดการฟ้องร้องคดี เช่น การใช้วิธีการแก้ไขข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution) โดยการกำหนดให้มีกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและชดใช้ค่าเสียหายที่เหมาะสมและเป็นธรรมมาใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นผู้เสียหายอันเป็นการยุติเรื่องก่อนข้อพิพาทจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในชั้นศาล</p> หทัยรัตน์ ณ ระนอง, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269695 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย: ศึกษากรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตายก่อนร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัว https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/270117 <p>ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ ถือว่าเป็นความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนเท่านั้น โดยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือสังคมแต่อย่างใดและเป็นความผิดที่ต้องคำนึงถึงเจตจำนงของผู้เสียหายเป็นสำคัญ กล่าวคือ ผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเสียก่อนพนักงานอัยการจึงจะมีอำนาจในการฟ้องคดีได้ แต่หากผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว พนักงานอัยการย่อมไม่อาจฟ้องร้องดำเนินคดีแก่แทนผู้เสียหายได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายก่อนร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิด อันยอมความได้ เนื่องจากไม่มีบุคคลใดสามารถเข้ามาดำเนินคดีแทนผู้เสียหายได้ เพราะกฎหมายกำหนดให้การร้องทุกข์เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายที่บุคคลอื่นไม่อาจดำเนินการร้องทุกข์แทนผู้เสียหายได้ที่ส่งผลให้บุคคลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 ไม่อาจเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้ตายได้ เพราะไม่ใช่กรณีที่ผู้เสียหายที่ผู้เสียหาย “ยื่นฟ้องแล้วตายลง” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 ซึ่งผู้วิจัยถือว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้เสียหายในการดำเนินคดีอาญาในความผิดต่อส่วนตัว เนื่องจากได้มี คำพิพากษาฎีกาวางหลักว่าในกรณีที่ผู้เสียหายร้องทุกข์แล้วตายลงในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ให้ทายาทของผู้เสียหายมีสิทธิในการถอนหรือแก้คำร้องทุกข์ของผู้เสียหายได้ แต่ในทางกลับกันหากผู้เสียหายถึงแก่ความตายก่อนร้องทุกข์แล้ว กฎหมายกลับไม่ให้สิทธิแก่ทายาทของผู้เสียหายในการร้องทุกข์แทนผู้เสียหายได้ และนอกจากนี้ผู้วิจัยเห็นว่ากรณีดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในกระบวนยุติธรรมทางอาญา เนื่องจากผู้กระทำความผิดไม่ถูกนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายอันส่งผลทำให้ผู้กระทำความผิดอาจไปกระทำความผิดต่อบุคคลอื่นซ้ำอีกได้</p> <p>จากการศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายอาญาของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายซีวีลลอว์แล้วพบว่าทั้งสองประเทศได้มีการกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน โดยให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายสามารถเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้เสียหายได้ทั้งในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายก่อนร้องทุกข์</p> <p>ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยกำหนดให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายสามารถเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้เสียหายได้ในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายก่อนร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัว</p> อนวรรษ เงินพูลทรัพย์, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/270117 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาการจับกรณีความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา: ศึกษาเฉพาะความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ กรณีพบเพียงทรัพย์ผิดกฎหมาย ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวของเจ้าของทรัพย์ผิดกฎหมาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/270283 <p>จากการศึกษาพบว่า ปัญหาการจับกรณีความผิดซึ่งหน้า ความหมายคำว่า “ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ” ในประเทศไทยมีแนวคิดในการตีความแบ่งออกเป็น 2 แนวคิด คือ แนวคิดที่ยึดหลักการตีความตามตัวอักษรและหลักการตีความโดยเคร่งครัด หมายถึง การรับรู้การกระทำความผิดโดยการมองเห็นด้วยตาของเจ้าพนักงานเท่านั้น และต้องเป็นการเห็นว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดขึ้นจริงๆ มีการกระทำเกิดขึ้นจริงทางกายภาพ โดยเป็นการเห็นกำลังกระทำความผิดลงตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา และแนวคิดที่ยึดหลักการตีความแบบขยายความ หมายถึงการรับรู้โดยประสาทสัมผัสอื่นๆ ด้วยนอกเหนือจากตาของเจ้าพนักงาน กำลังกระทำนั้นย่อมรวมถึงในกรณีการครอบครองทรัพย์ผิดกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องถือเป็นการกระทำความผิดอยู่ตลอดเวลา และแม้ว่าจะไม่เห็นตัวผู้กระทำความผิดก็ถือว่าเห็นกำลังกระทำจึงทำให้ให้ยากที่จะอธิบายได้ว่า ในกรณีที่เจ้าพนักงานพบทรัพย์ผิดกฎหมายเพียงอย่างเดียว โดยเจ้าของทรัพย์ผิดกฎหมายอยู่ห่างออกไปจากทรัพย์ผิดกฎหมายเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือไม่</p> <p>ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรใช้หลักการตีความกฎหมายตามตัวอักษรและหลักการตีความกฎหมายโดยเคร่งครัด โดยให้มีความหมายเพียงกรณีที่เจ้าพนักงานจะต้องเห็นการกระทำความผิดกำลังกระทำขึ้นด้วยตาของเจ้าพนักงานเท่านั้น และควรพิจารณาถึงลักษณะของการครอบครอง หากเป็นการครอบครองในลักษณะที่เป็นการยึดถือ พกพาติดตัวกับผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นในระยะที่ไม่ห่างจากผู้เป็นเจ้าของในรัศมีที่<br />ผู้ครอบครองสามารถเอื้อมถึงหรือหยิบจับได้ จึงจะเป็นความผิดซึ่งหน้ากรณีความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการจับกรณีความผิดซึ่งหน้าของประเทศไทยปราศจากการใช้อำนาจจับของเจ้าพนักงานอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องแก้ไขตัวบทกฎหมาย จึงควรตีความยึดตามหลักการตีความตามตัวอักษรและเจตนารม์และหลักการตีความโดยเคร่งครัด การพยายามตีความกฎหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วให้มีความหมายตรงกันข้ามนั้นไม่น่าจะถูกต้อง</p> ธาม สิทธิกรณ์, จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/270283 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 แนวทางปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของพยานบุคคลในคดีอาญา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269379 <p>การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาแนวคิด หลักการ ความเป็นมา และความสำคัญของการคุ้มครองพยานบุคคลในคดีอาญา และการคุ้มครองพยานเด็กในการพิจารณาคดีอาญา (2) เพื่อศึกษาบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดความรับผิดทางอาญาของผู้กระทำความผิดต่อพยานบุคคลในคดีอาญา ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (3) เพื่อวิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองพยานเพื่อคุ้มครองสิทธิพยานบุคคลในคดีอาญาของประเทศไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ (4) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองพยานของประเทศไทย บทความวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เอกสาร หนังสือ งานวิจัย กฎหมาย ตลอดถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเด็นที่เกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของพยานบุคคลในคดีอาญา และทำการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) รัฐให้ความสำคัญกับการคุ้มครองพยานบุคคลทั้งในด้านความปลอดภัย ด้านวิธีพิจารณาความ และการได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม (2) กฎหมายสหรัฐอเมริกากำหนดความรับผิดทางอาญาที่กระทำต่อพยานบุคคลไว้อย่างครบถ้วนกว่าประเทศไทย ส่วนในประเทศอังกฤษบางกรณีกำหนดให้พยานเด็กที่เคยให้การชั้นสอบสวนไม่ต้องมาเบิกความในคดีเพศในชั้นศาลอีก (3) ศึกษากฎหมายประเทศไทยพบว่ายังกำหนดความรับผิดทางอาญาไม่ครอบคลุมรูปแบบความผิดที่อาจกระทำต่อพยานบุคคล ส่วนพยานบุคคลยังไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมจากรัฐ และพยานเด็กยังต้องมาเบิกความซ้ำซ้อนในชั้นศาล (4) สมควรแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 กำหนดความรับผิดทางอาญาให้ครอบคลุมการฆ่า ทำร้าย ขู่เข็ญ สะกดรอย หรือคุกคามต่อพยานบุคคล รวมถึงแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิและต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่พยานบุคคลที่มาให้การในชั้นสืบสวนสอบสวน และแก้ไขวิธีการสืบพยานเด็กว่า หากจำเลยให้การปฏิเสธ ให้ศาลเปิดสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานเด็กในชั้นสอบสวน หรือชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ก่อนเริ่มสืบพยาน แล้วจึงให้ศาลหรือคู่ความถามพยานเด็กเพิ่มเติมเท่าที่ไม่ซ้ำซ้อนกับที่เคยให้การไว้แล้ว แต่หากจำเลยให้การรับสารภาพ ให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การในชั้นสอบสวน หรือชั้นไต่สวนมูลฟ้องแทนคำเบิกความ</p> พุทธชาติ จันทร์ณธาดา, วรรณวิภา เมืองถ้ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269379 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาการใช้มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269283 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการ และบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ทางเพศหรือคดีอุกฉกรรจ์ที่ร้ายแรงมาบังคับใช้ (2) ศึกษาเปรียบเทียบหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำตามพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง<br />พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยและต่างประเทศ (3) วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการใช้มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง (อุกฉกรรจ์) มาบังคับใช้ในกฎหมายของประเทศไทย (4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาการใช้มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ทางเพศหรือคดีอุกฉกรรจ์ที่ร้ายแรง<br />ที่เหมาะสมกับประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม รวมถึงสามารถสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยแก่ผู้เสียหายและสังคมได้อย่างแท้จริง</p> <p>การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการศึกษาวิจัยด้วยเอกสารเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง (อุกฉกรรจ์) ด้วยวิธีค้นคว้าจากเอกสาร ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศในรูปแบบของหนังสือตำรา วิทยานิพนธ์ สาระนิพนธ์ ตัวบทกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกา คำสั่ง ข้อกำหนด ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทความจากวารสารต่าง ๆ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) แนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง (อุกฉกรรจ์) มุ่งเน้นให้ความสำคัญถึงประโยชน์ในป้องกันสังคมจากการกระทำความผิดซ้ำที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ตั้งแต่กระบวนการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดเฉพาะราย ตลอดจนการนำวิธีการเพื่อความปลอดภัยมาใช้เพื่อเฝ้าระวังและคุมขังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษที่มีความเสี่ยงสูงที่จะกระทำความผิดซ้ำ แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมและสอดคล้องกับทฤษฎีในการควบคุมตัวบุคคลที่เป็นอันตราย หลักสิทธิมนุษยชน และการนำวิธีการเพื่อความปลอดภัยมาใช้ (2) การศึกษาเปรียบเทียบกับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำของประเทศออสเตรเลีย และประเทศฝรั่งเศส พบว่าในต่างประเทศมีการกำหนดขอบเขตของกฎหมายที่บังคับใช้ ตลอดจนขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ ไว้ในกฎหมายอย่างอย่างครอบคลุมและชัดเจน (3) ประเทศไทยประสบปัญหาจากการที่นักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง หวนกลับมากระทำความผิดซ้ำอีกครั้งหนึ่งภายหลังพ้นโทษ สาเหตุหนึ่งมาจากมาตรการนำนักโทษออกจากเรือนจำเพื่อแก้ไขปัญหานักโทษล้นเรือนจำ ส่งผลให้ระยะเวลาเพื่อความปลอดภัยของสังคมและระยะเวลาในการแก้ไขฟื้นฟูปรับปรุงพิสัยผู้กระทำความผิดสั้นเกินไป และกฎหมายของประเทศไทยพบว่ายังมีความไม่ครอบคลุมและไม่ชัดเจนของบทบัญญัติ ส่งผลให้ยากต่อการนำมาบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4) เสนอแนะให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565 ให้มีประสิทธิภาพและมีความชัดเจนสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นไปตามมาตรฐานสากล</p> ณัฐวดี เชี่ยวธัญญกิจ, วรรณวิภา เมืองถ้ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269283 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700 การตรวจสอบคำสั่งไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกาของพนักงานอัยการในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269405 <p>การศึกษาค้นคว้าอิสระมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษา แนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการ และบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมาย ในการตรวจสอบดุลพินิจของพนักงานอัยการ กรณีพนักงานอัยการสั่งไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 (2) เปรียบเทียบกฎหมายไทยกับกฎหมายต่างประเทศเกี่ยวกับการตรวจสอบดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการ (3) ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค ข้อควรปรับปรุงแก้ไข ในการทำความเห็นของพนักงานอัยการ ในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งไม่อุทธรณ์ หรือฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 (4) เสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 ในส่วนของการตรวจสอบดุลพินิจของพนักงานอัยการกรณีสั่งไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกาเพื่อให้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป</p> <p>ผลการการวิจัยพบว่า (1) แนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบคำสั่งไม่อุทธรณ์ หรือไม่ฎีกาของพนักงานอัยการในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 นั้นมีขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการสั่งคดีของพนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการสั่งคดีด้วยความ ชอบธรรม ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เป็นการป้องกันการใช้อำนาจการสั่งคดีตามอำเภอใจของพนักงานอัยการ อีกทั้งยังเป็นหลักการถ่วงดุลตรวจสอบการใช้อำนาจในการสั่งคดีของพนักงานอัยการ (2) จากการศึกษาเปรียบเทียบกับการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการประเทศญี่ปุ่นและประเทศเยอรมัน พบว่าในต่างประเทศมีการกำหนดองค์กรและวิธีการตรวจสอบดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน แล้วแต่กรณี (3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 และมาตรา 145/1 มีปัญหาอยู่มาก เช่น การไม่มีกำหนดระยะเวลาให้องค์กรตำรวจหรือผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบคำสั่งของพนักงานอัยการภายในระยะเวลาเท่าใด ปัญหาเรื่องการไม่มีกำหนดรายละเอียดแห่งปัญหาสมควรให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดกรณีต่างจังหวัด ตรวจสอบดุลพินิจการสั่งไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาของพนักงานอัยการ ปัญหาเรื่ององค์กรที่ตรวจสอบดุลพินิจการสั่งไม่อุทธรณ์ไม่ฎีกาของพนักงานอัยการเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสำนวนการสอบสวน ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในหลาย ๆ ด้านทั้งในเรื่องความล่าช้าและความจำเป็นในการที่จะต้องตรวจสอบคำสั่งไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาของพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 และมาตรา 145/1 (4) เสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 และมาตรา 145/1 วรรคท้าย ความว่า “บทบัญญัติในมาตรานี้ ให้นำมาบังคับในการที่พนักงานอัยการจะถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา และกรณีที่พนักงานอัยการจะไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา โดยอนุโลม เว้นแต่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเต็มตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ รวมถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเต็มตามคำฟ้องอุทธรณ์ของพนักงานอัยการ”</p> ชัยพัฒน์ อุชุกร, วรรณวิภา เมืองถ้ำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Pridi Banomyong Law Journal Dhurakij Pundit University https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/LAW_DPU/article/view/269405 Thu, 01 May 2025 00:00:00 +0700