วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU
<p> วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ มุ่งเน้นการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยของอาจารย์ นักการศึกษา นักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ในรูปแบบของบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทปริทัศน์หนังสือ ซึ่งนับว่าวารสารฉบับนี้จะเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัย แนวคิด ข้อมูล ข้อคิดเห็นทางวิชาการ องค์ความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ อันจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น</p>
North Bangkok University
th-TH
วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
3088-1056
-
รูปแบบภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/276392
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน 2) กำหนดองค์ประกอบรูปแบบภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสม ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานและบูรณาการผลของการวิจัยเข้าด้วยกัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จำนวน 333 คน ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยการเปิดตารางของ Krejcie and Morgan (1970) โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified random sampling techniques) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ในการสัมภาษณ์ จำนวน 9 คนและผู้ทรงคุณวุฒิสำหรับการสนทนากลุ่ม จำนวน 7 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการบริหารงานของโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ซึ่งใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และประเด็นการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ตัวแปรเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จำนวน 58 ตัวแปร 2) องค์ประกอบรูปแบบภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารหน่วยงานสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จำแนกได้ทั้งหมด 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ประกอบด้วย (1) ความสามารถในการจัดการเปลี่ยนแปลง (2) การส่งเสริมความร่วมมือในทีมงาน (3) ผู้บริหารดิจิทัล (4) ผู้นำสร้างองค์กรสู่นวัตกรรม (5) การนำแนวทางดิจิทัลไปสู่ความเป็นผู้นำ และ 3) แนวทางหลักและแนวทางย่อยในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารหน่วยงานในยุคดิจิทัล โดยเน้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก</p> <p> </p>
กานต์รวี ศรีประไพ
นิษฐ์วดี จิรโรจน์ภิญโญ
สมศักดิ์ จั่นผ่อง
รัชชัยย์ ศรสุวรรณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
1
12
-
ผลของการจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ดตามแนวคิดการสอนภาษาแบบตอบสนองด้วยท่าทาง เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กปฐมวัยสองภาษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/278792
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กปฐมวัยสองภาษาก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ดตามแนวคิดการสอนภาษาแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ประชากร ได้แก่เด็กปฐมวัยสองภาษาชายและหญิง อายุ 3 - 4 ปี ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จำนวน 4 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 64 คน ทุกห้องเรียนมีลักษณะคล้ายคลึงกัน กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม 1 ห้องเรียน จาก 4 ห้องเรียน จำนวน 16 คน ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 – 40 นาที รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ดตามแนวคิดการสอนภาษาแบบตอบสนองด้วยท่าทาง จำนวน 24 แผน ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และแบบทดสอบภาคปฏิบัติวัดความสามารถด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กปฐมวัยสองภาษา ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาคุณภาพของเครื่องมือได้แก่ ค่าความยากง่าย มีค่าระหว่าง 0.20 – 0.70 ค่าอำนาจจำแนก มีค่าระหว่าง 0.20 – 0.50 ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร KR - 20 มีค่าเท่ากับ 0.80 และสถิติในการทดสอบสมมติฐานคือ ค่าที ที่ไม่เป็นอิสระจากกัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยสองภาษาหลังได้รับการจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ดตามแนวคิดการสอนภาษาแบบตอบสนองด้วยท่าทางสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .50 ทั้งโดยภาพรวมและรายด้าน ทั้ง 4 ด้านได้แก่ ด้านที่ 1 ประเภททีพีอาร์ - ร่างกาย ด้านที่ 2 ประเภททีพีอาร์ - สิ่งของ ด้านที่ 3 ประเภททีพีอาร์ - รูปภาพ และด้านที่ 4 ประเภททีพีอาร์ - เรื่องราว จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การจัดกิจกรรมเกมเบ็ดเตล็ดตามแนวคิดการสอนภาษาแบบตอบสนองด้วยท่าทางสามารถส่งเสริมความสามารถด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งของเด็กปฐมวัยสองภาษาได้ทั้งในภาพรวมและจำแนกแบบรายด้าน</p>
กิ่งกมล คงเรือง
ปิยลักษณ์ อัครรัตน์
ศุภวรรณ์ เล็กวิไล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
13
24
-
การพัฒนาพฤติกรรมการมีมารยาทไทยของครูอนุบาลชาวต่างชาติโดยการฝึกอบรมมารยาทไทย โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/278481
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการมีมารยาทไทยของครูอนุบาลชาวต่างชาติ ที่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร ก่อนและหลังการฝึกอบรมมารยาทไทย และ2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของครูอนุบาลชาวต่างชาติต่อการฝึกอบรมมารยาทไทย โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร ประชากร คือ ครูอนุบาลชาวต่างชาติที่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 รวมทั้งสิ้น 5 คน ระยะเวลาในการทดลอง 8 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง วันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 09.00 น.-12.00 น. จำนวน 2 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการฝึกอบรมมารยาทไทย 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการมีมารยาทไทย 3) แบบประเมินความพึงพอใจของครูอนุบาลชาวต่างชาติต่อการฝึกอบรมมารยาทไทย สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการมีมารยาทไทยของครูอนุบาลชาวต่างชาติ ที่โรงเรียนอนุบาล นานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร หลังการฝึกอบรมมารยาทไทยสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมมารยาทไทยซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยคะแนนก่อนการฝึกอบรมมารยาทไทย มีค่าเฉลี่ย = 24.20 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 12.76 และหลังการฝึกอบรมมารยาทไทย มีค่าเฉลี่ย = 73.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.00 และ 2) ความพึงพอใจของครูอนุบาลชาวต่างชาติต่อการฝึกอบรมมารยาทไทย ที่โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเพรพ สาขาสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ คือ ความพึงพอใจของครูอนุบาลชาวต่างชาติต่อการฝึกอบรมมารยาทไทย อยู่ในระดับมากหรือมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย = 4.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.07 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านวิทยากร ด้านการให้บริการของเจ้าหน้าที่โครงการ และด้านความเข้าใจและการนำความรู้ไปใช้มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดเท่ากัน มีค่าเฉลี่ย = 5.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.00 ส่วนด้านสถานที่ / ระยะเวลา / อาหาร มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด มีค่าเฉลี่ย = 4.55 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.33 </p>
ชลธิชา สุนาคำ
ปิยลักษณ์ อัครรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
25
39
-
กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/280530
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้และศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจากนั้นนำมาออกแบบสร้างกิจกรรมซึ่งผนวกกับแนวคิดการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและเส้นทางการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล ออกแบบแผนกำกับกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการทดลองใช้ในขั้นต่อไป เครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจัดกลุ่มและสร้างข้อสรุป ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ใช้วิธีการทดลองเป็นการยืนยันผลการพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างในการทดลอง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนวัดเขียนเขต จำนวน 35 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนกำกับกิจกรรมการเรียนรู้ และแบบประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งเป็นข้อคำถามแบบประเมินค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทดสอบ paired sample t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย 1) รู้จักอาชีพและรู้จักตนเอง 2) รวบรวมข้อมูลอาชีพและการวิเคราะห์ตนเอง 3) ตรวจสอบตนเองกับอาชีพ 4) นำข้อมูลตนเองสู่การวางแผน 5) พิจารณาเลือกแนวทางจากข้อมูล 6) ตัดสินใจเลือกประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ กิจกรรมการเรียนรู้นี้ผ่านการประเมินตรวจสอบคุณภาพอย่างมีฉันทามติจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน สำหรับผลการนำกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้ พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินการคิดอย่างมีวิจารณญาณในการตัดสินใจประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อของนักเรียนสูงกว่าก่อนการใช้กิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจน กิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนออกแบบเองสามารถสะท้อนการวางแผนเป้าหมายอนาคตของตนเองได้อย่างเหมาะสม ภายใต้ข้อกำหนดที่ครูผู้สอนและนักเรียนกำหนด บทบาทการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของนักเรียนและการประเมินผลจากใบงานสะท้อนข้อมูลในเชิงคุณภาพว่า ทั้งครูและนักเรียนเกือบทั้งหมดมีระดับความพึงพอใจมากต่อการใช้กิจกรรมการเรียนรู้</p>
ธนัชลักษณา ฤทธิ์แดง
วรัทยา ธรรมกิตติภพ
ภัทรา วยาจุต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
40
56
-
อิทธิพลของกระแสเงินสดและสภาพคล่องทางการเงินต่อมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET100
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/276938
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อิทธิพลของกระแสเงินสดต่อมูลค่ากิจการ 2) อิทธิพลของสภาพคล่องทางการเงินต่อมูลค่ากิจการ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET100 เป็นวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ข้อมูลจากรายงานทางการเงินของบริษัท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 - 2566 รวมเป็นระยะเวลา 3 ปี จำนวน 58 บริษัทคิดเป็น 174 ตัวอย่าง โดยใช้การวิเคราะห์ค่าสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน มีอิทธิพลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ มีอิทธิพลเชิงลบต่อมูลค่ากิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว และอัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ ไม่มีอิทธิพลต่อมูลค่ากิจการ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p>
ปวีณา กัณตา
อรวรรณ เชื้อเมืองพาน
ปานฉัตร อาการักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
57
66
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการระบบขนส่งสินค้าของบริษัทขนส่งสินค้าในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/280451
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) และการตัดสินใจใช้บริการระบบขนส่งสินค้าของบริษัทขนส่งสินค้าในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 2) เปรียบเทียบการตัดสินใจใช้บริการระบบขนส่งสินค้า โดยจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ของผู้ใช้บริการ และ 3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการระบบขนส่งสินค้าในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.972 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 100 ราย คำนวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane (1967) ค่าความคลาดเคลื่อนเท่ากับ .05 ใช้การสุ่มตัวอย่างโดยบังเอิญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) และการตัดสินใจใช้บริการอยู่ในระดับมาก 2) การตัดสินใจใช้บริการระบบขนส่งสินค้าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อพิจารณาจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของการตัดสินใจใช้บริการได้ร้อยละ 69.3 โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ ด้านลักษณะทางกายภาพ รองลงมา คือ ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านบุคคลผู้ให้บริการ ตามลำดับ</p>
ปัญญวัฒน์ จุฑามาศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
67
79
-
ทักษะการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มพื้นที่การศึกษา เขตตรวจราชการที่ 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน: การศึกษาภาพเชิงอนาคต
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/278763
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เสนอทักษะเชิงอนาคตของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มพื้นที่การศึกษา เขตตรวจราชการ 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาทักษะเชิงอนาคตของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มพื้นที่การศึกษา เขตตรวจราชการ 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพ ศึกษาเชิงอนาคตโดยใช้เทคนิคเดลฟาย โดยตั้งประเด็นคำถามเพื่อค้นหาคำตอบตามวัตถุประสงค์ สอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน ที่ถูกเลือกอย่างเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จากนั้น สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ฐานนิยม และพิสัยระหว่างควอไทล์ ของโอกาสที่จะเกิดขึ้น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มพื้นที่การศึกษา เขตตรวจราชการ 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีแนวโน้มทักษะเชิงอนาคต 8 ด้าน ได้แก่ ทักษะภาวะผู้นำทักษะความคิดรวบยอด ทักษะการศึกษาและการสอน ทักษะมนุษย์ ทักษะด้านเทคนิคและเทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะการรู้คิด ทักษะการสื่อสาร และทักษะชุมชนสัมพันธ์และการสร้างเครือข่าย และ 2) แนวทางการพัฒนาทักษะเชิงอนาคต มี 3 ด้าน ได้แก่ การสนับสนุนพัฒนา และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมและปลูกฝังค่านิยมหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และการสนับสนุน พัฒนา และส่งเสริมทักษะดิจิทัล</p>
ปิยะ ลิ้มฉาย
นิษฐ์วดี จิรโรจน์ภิญโญ
สมศักดิ์ จั่นผ่อง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
80
97
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบคล่องตัวกับการบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/280149
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบคล่องตัว (Agile leadership) ของผู้บริหาร และระดับการบริหารงานตามพันธกิจสถาบัน อุดมศึกษา(Higher education mission administration) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำแบบคล่องตัว และระดับการบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษา ของผู้บริหารในมุมมองของอาจารย์ จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา สาขาวิชาที่จัดการศึกษา และอายุ และหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบคล่องตัว กับการบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษาเอกชนของผู้บริหารมหาวิทยาลัยไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนไทย จำนวน 377 คน เครื่องมือคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ mean, t-test, one-way ANOVA, Pearson’s simple correlation moment product</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ภาวะผู้นำแบบคล่องตัวของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนไทย อยู่ในระดับสูง 2) การบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษาของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนไทย อยู่ในระดับสูง 3) ภาวะผู้นำแบบคล่องตัว ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนไทย ในมุมมองของอาจารย์ จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา และอายุไม่แตกต่างกัน 4) การบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษาของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนไทย ในมุมมองของอาจารย์ จำแนกตาม เพศ และระดับการศึกษา ไม่แตกต่างกัน 5) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบคล่องตัว กับการบริหารงานตามพันธกิจสถาบันอุดมศึกษาของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเอกชนไทย พบว่า มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ แต่เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างด้าน พบว่า ภาวะผู้นำแบบคล่องตัว ด้านความคล่องตัวต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีความสัมพันธ์ กับ การบริหารงานตามพันธกิจการบริหารองค์กร อยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ .712 </p>
ปิยะดา วรรธนะสาร
พูลสุข กิจรัตน์ภร
สวนา พรพัฒน์กุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
98
113
-
การพัฒนารูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนบ้านฉลุง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/277564
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนโรงเรียนบ้านฉลุง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล 2) พัฒนารูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ 3) ตรวจสอบผลการใช้รูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ด้วยการเปรียบเทียบ ดังนี้ 3.1 การใฝ่เรียนรู้ 3.2 ความพึงพอใจของนักเรียน 3.3 ความพึงพอใจของผู้ปกครอง 3.4 ความพึงพอใจของครู และ 3.5 ความพึงพอใจของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 255 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ซี่งเป็นแบบสำรวจ 3 ฉบับ แบบสังเกตพฤติกรรมใฝ่เรียนรู้ 1 ฉบับ แบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1 ฉบับ และแบบสอบถามความพึงพอใจ 4 ฉบับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการทดสอบทีแบบสองกลุ่มอิสระ เปรียบเทียบผลการสังเกตพฤติกรรมและความพึงพอใจโดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ และเปรียบเทียบความพึงพอใจของคณะกรรมการสถานศึกษาโดยใช้วิธีวินคอกซอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า <br />1. ความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เห็นว่ามีความต้องการจำเป็นให้พัฒนารูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด <br />2. รูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการใฝ่เรียนรู้และยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ระบบนิเวศการเรียนรู้ภายในและภายนอกห้องเรียน 2) รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) ครอบครัวและสังคม ซึ่งมีความเชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นวงจรด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ได้รูปแบบการปฏิบัติงานที่สอดคล้องและส่งผลร่วมกันให้เกิดการใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนบ้านฉลุง ผลการพิจารณารูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด <br />3. ผลการตรวจสอบรูปแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ ด้วยการเปรียบเทียบพบว่า การใฝ่เรียนรู้ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ (NT) มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความพึงพอใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ไลลา บินโส๊ะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
114
126
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะความสามารถในการรับส่งลูกฟุตบอลในกีฬาฟุตซอลโดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/277359
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนซึ่งได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยเปรียบเทียบ 2 ลักษณะ คือ ก่อนเรียนกับหลังเรียน 2) เปรียบเทียบความสามารถในการรับส่งลูกฟุตบอลในกีฬาฟุตซอล กับเกณฑ์ 75 % รูปแบบการวิจัยเป็นแบบ One group pre-test post-test กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566โรงเรียนบ้านขามเฒ่า อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 12 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จากประชากร จำนวน 34 คน ที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านไพ อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 22 คน และจากโรงเรียน บ้านขามเฒ่า อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการรับส่งลูกฟุตบอลในกีฬาฟุตซอล โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งผลการตรวจสอบคุณภาพมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />=469, S.D.=0.45) 2 ) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 ถึง 1.00 มีค่าความยาก (P) ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.77 มีค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.41 ถึง 0.77 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.86 3) แบบประเมินความสามารถในการรับส่งลูกฟุตบอลในกีฬาฟุตซอล มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.78 ค่าสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบ t (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 <br />2. คะแนนความสามารถในการรับส่งลูกฟุตบอลในกีฬาฟุตซอล สูงกว่าเกณฑ์ 75 % อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
วรปรัชญ์ หวังกลาง
จันทร์ ติยะวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
127
136
-
ผลของการจัดกิจกรรมแบบคาดคะเน สังเกต อธิบายที่มีต่อทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยโรงเรียนเทพวิทยา เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/277763
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแบบคาดคะเน สังเกต อธิบาย (POE) โรงเรียนเทพวิทยา เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ประชากรได้แก่ เด็กปฐมวัยชายและหญิงที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทพวิทยา สำนักงานเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จำนวน 4 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 100 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1 ห้องเรียน เป็นเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2/1 จำนวน 25 คน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ใช้แบบแผนการวิจัย 1 กลุ่ม ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 30 - 50 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย1) แผนการจัดกิจกรรมแบบคาดคะเน สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain: POE) 32 แผน 2) แบบทดสอบทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยที่มีค่าความเชื่อมั่นด้านการสังเกตที่ .74 ด้านการจับคู่และเปรียบเทียบที่ .72 ด้านการจัดหมวดหมู่ที่ .70 ด้านการเรียงลำดับเหตุการณ์ที่ .66 ด้านการคาดคะเนที่ .70 ด้านการอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้นที่ .70 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที แบบ dependent</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยมีทักษะการคิดหลังการจัดกิจกรรมแบบคาดคะเน สังเกต อธิบาย (Predict observe explain: POE) สูงกว่าก่อนการทดลอง ทั้งโดยภาพรวม และในแต่ละด้านได้แก่ ด้านการสังเกต ด้านการจับคู่และเปรียบเทียบ ด้านการจัดหมวดหมู่ ด้านการเรียงลำดับเหตุการณ์ ด้านการคาดคะเน ด้านการอธิบายเชื่อมโยงสาเหตุและผลที่เกิดขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
วิชชุดา ตรีศรี
อัญชลี ไสยวรรณ
ศศิธร โสภารัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
137
149
-
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อสินค้าและความตั้งใจซื้อสินค้าเครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/277107
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุทัศนคติต่อสินค้าและความตั้งใจซื้อสินค้าเครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติต่อสินค้าและความตั้งใจซื้อเครื่องสําอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่เคยซื้อเครื่องสำอางออนไลน์ภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา และพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 220 คน ด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบสะดวก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่การวิเคราะห์โมเดลสมการเชิงโครงสร้าง <br />ผลการวิจัย พบว่า <br />1. โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 ด้าน ด้านการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ ด้านการตลาดเชิงเนื้อหา ด้านการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพล ด้านสุนทรียภาพ ด้านทัศนคติต่อสินค้า และ ด้านความตั้งใจซื้อ สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี โดยพิจารณาจากค่าสถิติไคสแคว์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&space;X^{2}" alt="equation" />) เท่ากับ 86.124, ค่า CMIN/df เท่ากับ 1.230, ค่าองศาอิสระ (df) เท่ากับ 70, ค่า GFI เท่ากับ 0.959, ค่า IFI เท่ากับ 0.995, ค่า TLI เท่ากับ 0.988, ค่า RMR เท่ากับ 0.012, ค่า RMSEA เท่ากับ 0.032, ค่า AGFI เท่ากับ 0.901 <br />2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อทัศนคติต่อสินค้าเครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปัจจัยด้านการตลาดเชิงเนื้อหาและปัจจัยด้านการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพล ตามลำดับ ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความตั้งใจซื้อสินค้าเครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในกรุงเทพมหานครได้แก่ปัจจัยด้านทัศนคติต่อสินค้า ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจซื้อสินค้าเครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปัจจัยด้านการตลาดเชิงเนื้อหา ดังนั้น ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคเพื่อให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อสินค้าและเพื่อให้เกิดความตั้งใจซื้อในครั้งต่อไปเพื่อเสริมสร้างความภักดี<br />ต่อแบรนด์ในระยะยาว</p>
วิรัลพัชร อสัมภินพงศ์
พัชร์หทัย จารุทวีผลนุกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
150
164
-
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจใช้ ChatGPT อย่างต่อเนื่องของ Gen Z ในประเทศไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/278566
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้งาน ChatGPT ของ Gen Z ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และ 2) ศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติ บรรทัดฐานทางสังคม และการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรม ของ Gen Z ที่ส่งผลต่อการใช้งาน ChatGPT อย่างต่อเนื่อง กลุ่มตัวอย่างคือ Gen Z จำนวน 463 คน โดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง (PLS-SEM)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) Gen Z ในประเทศไทยมีแนวโน้มใช้งาน ChatGPT อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการเรียนรู้ การทำงาน และกิจกรรมส่วนตัว และ 2) ปัจจัยด้านทัศนคติ บรรทัดฐานทางสังคม และการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรม มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจใช้งาน ChatGPT อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยด้านทัศนคติมีอิทธิพลมากที่สุด (β = .373, p < .01) รองลงมา คือ บรรทัดฐานทางสังคม (β = .139, p < .01) และการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรม (β = .261, p < .05)</p> <p> </p>
ศรัจจันทร์ พลอยบุศต์
พรทิพย์ ตันติวิเศษศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
165
175
-
รูปแบบการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการ PLC ในการนำนโยบายสู่การจัดการคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 2
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/276730
<p>ปัจจุบัน ปัญหาการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการ PLC ในการนำนโยบายสู่การจัดการคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาพิษณุโลกเขต 2 2) พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการ PLC ในการนำนโยบายสู่การจัดการคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 2 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการ PLC ในการนำนโยบายสู่การจัดการคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 2 วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าสภาพปัจจุบันในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนโยบายใหม่ส่งผลให้ผู้บริหารและบุคลากรยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ PLC ผลการตรวจสอบยืนยันรูปแบบ ทุกด้านยืนยันอยู่ในระดับมากที่สุด ผลจากการนำไปปฏิบัติ พบว่า การมีส่วนร่วมในการจัดการคุณภาพการศึกษาของผู้บริหารและคณะครูต่อกระบวนการ PLC ได้แก่ นโยบายการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม, การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาไทย, การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระคณิตศาสตร์, การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ, การจัดเตรียมความพร้อมระดับปฐมวัย, ก้าวไกลเทคโนโลยี, มีทักษะอาชีพตามวัย, การส่งเสริมสุขอนามัยนักเรียน, การยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ และการพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา ตามลำดับ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการ PLC ในการนำนโยบายสู่การจัดการคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
ศิริวรรณ ภูริวัฒนธรรม
ประจวบ จันทร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
176
194
-
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/280589
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร 2)ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ 4) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนจำนวน 366 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการคำนวณของยามาเน่ วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิและการสุ่มแบบง่ายโดยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ประกอบด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณแบบ Stepwise</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง (r<sub>txy</sub> = .921) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 4) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร ประกอบด้วย ด้านการจัดการเรียนการสอน (X<sub>2</sub>) ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&space;" alt="equation" />=.529) ด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการของโรงเรียน (X<sub>3</sub>) (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&space;" alt="equation" /> =.448) โดยทั้ง 2 ปัจจัย ดังกล่าวร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ได้ร้อยละ 91.42 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Y = .519+.810X<sub>3</sub>+.070X<sub>2</sub> , สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ZY = +.904X<sub>3</sub>+.064X<sub>2</sub></p>
สมนึก การีเวท
ทรงยศ แก้วมงคล
สมศักดิ์ คงเที่ยง
นิษรา พรสุริวงษ์
สุวรรณา ยุทธภิรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
195
205
-
ผลของการใช้การปรึกษาแบบกลุ่มแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุบ้านพักคนชรา แห่งหนึ่ง จังหวัดราชบุรี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/NBU/article/view/278488
<p>ผลของการใช้การปรึกษาแบบกลุ่มแบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุบ้านพักคนชรา แห่งหนึ่ง จังหวัดราชบุรี การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุกลุ่มทดลองก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการให้การปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการ และ 2) เปรียบเทียบความผาสุกทางจิตวิญญาณภายหลังการทดลอง ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมที่ได้รับการให้คำแนะนำตามปกติ</p> <p>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราจังหวัดราชบุรี จำนวน 16 คน ที่มีคะแนนความผาสุกทางจิตวิญญาณต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 และสมัครใจเข้าร่วมการทดลอง โดยสุ่มแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวัดความผาสุกทางจิตวิญญาณ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .87 และ 2) โปรแกรมการให้การปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการเพื่อเสริมความผาสุกทางจิตวิญญาณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ การทดสอบวิลคอกซัน และการทดสอบแมนวิทนีย์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภายหลังการทดลอง ผู้สูงอายุกลุ่มทดลอง ที่ได้รับโปรแกรมการให้การปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการ มีความผาสุกทางจิตวิญญาณ <br />เพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ภายหลังการทดลอง ผู้สูงอายุกลุ่มทดลอง ที่ได้รับโปรแกรมการให้การปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการ มีความผาสุกทางจิตวิญญาณสูงกว่าผู้สูงอายุกลุ่มควบคุมที่ได้รับการให้คำแนะนำตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p>
เอนกพงค์ รัตนวิเชียรโชติ
สุขอรุณ วงษ์ทิม
นิธิพัฒน์ เมฆขจร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-29
2025-06-29
14 1
206
214