วารสารศึกษิตาลัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ <p><strong><img src="https://so01.tci-thaijo.org/public/site/images/sjmcunk/185191296_213102410382646_5958403632020282334_n.png" width="115" height="90" /><br /><br /></strong> วารสารศึกษิตาลัย ISSN: 2730-3330 (Print) ISSN: 2822-1168 (Online) เป็นวารสารวิชาการของวัดศรีสุมังคล์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานสร้างสรรค์ และผลงานวิชาการของนักวิชาการ ในมิติทางด้านพุทธศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> วัดศรีสุมังคล์ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย 43100 th-TH วารสารศึกษิตาลัย 2730-3330 <p><strong>สงวนสิทธิ์โดย</strong> วารสารศึกษิตาลัย วัดศรีสุมังคล์ <br /><strong>เลขที่</strong> 962 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย<br /><strong>โทร.</strong> 086-8894578 <br /><strong>E-mail : <a href="mailto:[email protected]">[email protected]</a><br />Website :<a href="https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ">https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ</a></strong></p> แนวคิดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสังคมในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/273446 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมาย สาระสำคัญของธรรมจักกัปปวัตตนสูตร และวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสังคมในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ สาระสำคัญของพระสูตรนี้ ประกอบด้วยความเมามัวการหมกมุ่นในกามคุณอันน่าใคร่ น่าพึงพอใจ ที่ปิดบังใจให้เป็นทุกข์ และการทำตนให้ลำบากอันเป็นเหตุแห่งความกระวนกระวายกระสับกระส่าย อึดอัด ขัดเคือง ทั้งกายและใจ เพราะที่สุดโต่งทั้งสอง เป็นความต้องการปรารถนา เป็นความเชื่อที่พยายามแสวงหาลาภยศสรรเสริญและความสุขเพื่อครอบครองให้มากที่สุดตามความปรารถนา และอีกอย่าง การทรมานตนเองเพื่อต้องการความปรารถนาด้วยการทุ่มเท แม้กระทั้งชีวิตเพื่อให้พ้นจากทุกข์ และพุทธองค์ทรงแสดงความจริงสูงสุด ได้ทางออกคือทางสายกลาง ได้แก่ ปัญญา ศีล และสมาธิตามลำดับ ซึ่งเป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ และทรงแสดงสัมมาปฏิบัติอันเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่เรียกกันว่า อริยมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า ทางออกจากทุกข์ที่ถูกต้อง ทางสายนี้เป็นอิสระจากเชิงบวกหรือเชิงลบ เรียกว่าทางสายกลาง คือการไม่ติดทั้งบวกและลบ ทางที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ จึงเป็นทางสายใหม่ที่ถูกต้อง มีความปลอดภัย เป็นทางนำไปสู่ความสิ้นความอยาก ได้อิสระ ท่านโกณทัญญะหนึ่งในปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โดยท่านได้รู้แล้ว มีดวงตาเห็นธรรม และพระพุทธเจ้าทรงบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษยชาติเป็นอันมาก ถือว่าเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อสังคมชาวโลกอย่างแท้จริง</p> เจษฎา มูลยาพอ พระครูภาวนาธรรมโฆสิต พระมหาประทีป อภิวฑฺฒโน พระวันชัย ภูริทตฺโต Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 1 14 แนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/271071 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของความจงรักภักดีต่อองค์กรของครู 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูจำนวน 266 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริงของความจงรักภักดีต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า สภาพที่เป็นจริงมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าสภาพที่พึงประสงค์เป็นรายด้านทุกด้าน โดยความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของครู เรียงลำดับองค์ประกอบที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด ลำดับที่ 1 ได้แก่ ด้านพฤติกรรมที่แสดงออกต่อองค์กร (PNI<sub>Modified </sub>= 0.517) ลำดับที่ 2 ได้แก่ ด้านการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร (PNI<sub>Modified </sub>= 0.512) ลำดับที่ 3 ได้แก่ ด้านการรับรู้เป้าหมายและค่านิยมขององค์กร (PNI<sub>Modified </sub>= 0.489) และลำดับที่ 4 ได้แก่ ด้านความรู้สึกผูกพันต่อองค์กร (PNI<sub>Modified </sub>= 0.432) ผลการศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรของครูที่สำคัญ ดังนี้ 1) การมอบหมายงานพิเศษให้เหมาะกับบุคคล มีพี่เลี้ยงกำกับในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารให้คำปรึกษา มีการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ 2) ผู้บังคับบัญชาเป็นแบบอย่างที่ดี ยึดถือประโยชน์ของส่วนรวม 3) กำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กร มีการสะท้อนผล และ 4) คณะครูและผู้บริหารมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน มีคำสั่งแต่งตั้งการทำงาน พิจารณาความดีความชอบอย่างเท่าเทียม</p> จักรพันธ์ บุญญะรัง ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 15 28 แนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบึงกาฬ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/271073 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู 2) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 278 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเครซีและมอร์แกน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของโรงเรียน ระยะที่ 1 เป็นการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.990 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ และจัดเรียงลำดับความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง กลุ่มเป้าหมายจำนวน 5 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า สภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการออกแบบการเรียนรู้เชิงรุก ค่าความต้องการจำเป็น พบว่า ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการใช้และพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ แนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู คือ 1) ส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน การจัดอบรม และสนับสนุนการจัดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) สนับสนุนการเรียนการสอนวิชาการศึกษาค้นคว้าอิสระ พัฒนาเจตคติของครูให้เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียน 3) สนับสนุนงบประมาณ อุปกรณ์ สถานที่ ติดตั้งอินเตอร์เน็ต 4) ส่งเสริมให้ครูใช้วิธีการ เครื่องมือที่หลากหลาย ส่งเสริมให้ครูทำวงจรบริหารคุณภาพ</p> ระวิวรรณ คำทะริ ทนงศักดิ์ คุ้มไข่น้ำ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 29 42 การพัฒนาชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยโดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐานสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/273134 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านระหว่างก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเนินตาล จังหวัดตราด 42 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยโดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ชื่อกิจกรรม คำชี้แจง สื่อ การดำเนินกิจกรรม และการประเมินผล 2) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการอ่านภาษาไทย จำนวน 10 แผน รวม 20 ชั่วโมง 3) แบบวัดทักษะการอ่านภาษาไทย ชนิดปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ จำนวน 16 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ สถิติพื้นฐาน 1) ค่าเฉลี่ย 2) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1) การคำนวณประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ 2) ค่าความตรงเชิงเนื้อหา 3) ค่าความยากง่ายของแบบวัดทักษะรายข้อ 4) ค่าความเชื่อมั่น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาไทยโดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.09/85.96 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 2) นักเรียนที่มีทักษะการอ่านภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน 3) นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.98 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.15</p> มาเต็ม พิศศรี เยาวเรศ ใจเย็น วิวัฒน์ เพชรศรี Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 43 56 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/270584 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย 2) เพื่อศึกษาระดับความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย และ 4) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ตัวแทนครัวเรือนของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย ประชากร จำนวน 1,981 คน และกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 333 คน โดยคำนวณได้จากสูตรของทาโร ยามาเน ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย โดยรวม อยู่ในระดับมาก 2) ระดับความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .783 (R = .783) ตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตามได้เท่ากับร้อยละ 61.3 มีค่า R<sup>2</sup> = .613 และมีค่า F = 103.779 ซึ่งแสดงว่า ตัวแปรอิสระส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย 4) ข้อเสนอแนะต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของประชาชนในตำบลหนองฝ้าย คือ ควรมีการส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ พร้อมกับสนับสนุนการสร้างตลาดการซื้อขายอาหารที่ปลอดภัย ควรมีการจัดทีมสายตรวจ ออกตรวจตราในพื้นที่เวลาวิกาล</p> ภาวิณี เถื่อนกุล รังสรรค์ อินทน์จันทน์ สิทธิพรร์ สุนทร Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 57 70 ปัญหาและความต้องการของประชาชนที่ส่งผลต่อถนนสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/271391 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับปัญหาของประชาชนต่อถนนสาธารณะ 2) เพื่อศึกษาระดับความต้องการของประชาชนต่อถนนสาธารณะ 3) เพื่อศึกษาระดับถนนสาธารณะ 4) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการของประชาชนที่ส่งผลต่อถนนสาธารณะ และ 5) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาและความต้องการของประชาชน ต่อถนนสาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ตัวแทนครัวเรือนของประชาชนในตำบลหนองลู ประชากร จำนวน 6,357 คน และกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 377 คน โดยคำนวณได้จากสูตรของทาโร ยามาเน ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง โดยวิธี Enter ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัญหาของประชาชนต่อถนนสาธารณะ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับความต้องการของประชาชนที่ส่งผลต่อถนนสาธารณะ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ระดับถนนสาธารณะ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 4) มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .888 (R = .888) ตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตามได้เท่ากับร้อยละ 78.90 มีค่า R<sup>2</sup> = .789 และมีค่า F = 172.310 ซึ่งแสดงว่า ตัวแปรอิสระส่งผลต่อถนนสาธารณะ 5) ข้อเสนอแนะต่อแนวทางในการแก้ไขปัญหาและความต้องการของประชาชนต่อถนนสาธารณะ คือ ควรมีการสำรวจความต้องการเส้นทางจากประชาชนภายในตำบลก่อนการก่อสร้าง ควรมีการออกแบบการก่อสร้างถนนให้เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่</p> จิระวัฒน์ ศรีบัวทอง รังสรรค์ อินทน์จันทน์ เสาวลักษณ์ นิกรพิทยา Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 71 84 ความสัมพันธ์ของปัญหากับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เขตการเลือกตั้งเขต 6 จังหวัดนครปฐม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/271428 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 2) เพื่อศึกษาระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัญหากับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และ 4) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ในเขตการเลือกตั้งเขต 6 จังหวัดนครปฐม ประชากรจำนวน 121,137 คน และกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน โดยคำนวณได้จากสูตรของทาโร ยามาเน ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่าง อย่างง่าย ด้วยการจับสลาก ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง โดยวิธี Enter ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) ระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง เท่ากับ .769 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .815 (R = .815) ตัวแปรอิสระทั้งหมดสามารถอธิบายการผันแปรของตัวแปรตามได้เท่ากับร้อยละ 66.5 มีค่า R<sup>2</sup> = .665 และมีค่า F = 155.685 ซึ่งแสดงว่าตัวแปรอิสระส่งผลต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 4) ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน คือ ควรเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ควรมีการลดค่าสาธารณูปโภค นักการเมืองควรมีการลงพื้นที่ให้เหมือนกับช่วงการหาเสียง</p> พรรุ่ง วงษ์น้อย เสาวลักษณ์ นิกรพิทยา รังสรรค์ อินทน์จันทน์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 85 98 การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางนิเวศวิทยาชุมชนลำน้ำห้วยหลวงในจังหวัดหนองคาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/273050 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ระบบนิเวศวิทยาชุมชนลำน้ำห้วยหลวงในจังหวัดหนองคาย 2. เพื่อศึกษาการพัฒนาแหล่งเรียนรู้นิเวศวิทยาชุมชนลำน้ำห้วยหลวงในจังหวัดหนองคาย 3. เพื่อศึกษาการถ่ายทอดแหล่งเรียนรู้นิเวศวิทยาชุมชนลำน้ำห้วยหลวงในจังหวัดหนองคาย 4. เพื่อศึกษาการสร้างเครือข่ายแหล่งเรียนรู้นิเวศวิทยาชุมชนลำน้ำห้วยหลวงในจังหวัดหนองคาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก และเก็บข้อมูลภาคสนาม จากกลุ่มประชากร จำนวน 30 รูป/คน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบนิเวศวิทยาชุมในชุมชนที่อยู่ในอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ทั้ง 4 ชุมชนนั้นมีการดำเนินชีวิตมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง การเลี้ยงสัตว์ ชุมชนจึงให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม มีกิจกรรมประเพณีที่เกี่ยวกับลำน้ำ 2) การพัฒนาแหล่งชุมชนได้ร่วมกันดำเนินการผ่านวัฒนธรรมของชุมชนและความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ผู้ที่ถือครองที่ดินที่ติดกับลำน้ำ ต้องเรียนรู้ระบบนิเวศวิทยา และวัดเป็นสถานที่ประชาสัมพันธ์หลักของชุมชนทั้งภายนอกและภายใน 3) รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ร่วมแสดงความคิดเห็น วางแผนในการจัดการแหล่งน้ำ มีการอนุรักษ์ลำน้ำห้วยหลวง ซึ่งเป็นการอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ 4) ส่งเสริมเครือข่ายระดับบุคคล มีการสร้างลำรางสาธารณะในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ของประชาชน เพื่อใช้ในการผันน้ำจากลำน้ำห้วยหลวง มีการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ลำน้ำแก่เยาวชนจากโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อให้เห็นความสำคัญของลำน้ำห้วยหลวงในการดำเนินชีวิต</p> อนันต์ คติยะจันทร์ เจษฎา มูลยาพอ ภัณฑิลา น้อยเจริญ เดชขจร ภูทิพย์ จำนงค์ ผมไผ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 99 112 แนวทางการตลาดดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชนในพื้นที่ทะเลบัวแดง จังหวัดอุดรธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/271732 <p> <strong>บทคัดย่อ </strong> </p> <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการตลาดดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชน และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของชุมชน 2) เสนอรูปแบบสื่อดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชน 3) ประเมินผลความพึงพอใจการใช้รูปแบบสื่อดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม โดยใช้สถิติการวิจัยแบบการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประชากรกลุ่มเป้าหมายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวในพื้นที่ทะเลบัวแดง หรือผู้สนใจซื้อสินค้า และกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าชุมชนในพื้นที่ทะเลบัวแดง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 400 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) แนวทางการตลาดดิจิทัลเพื่อการประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าของชุมชนได้รับความสนใจ โดยรวมในระดับมาก จำนวน 4 ประเภท ได้แก่ การตลาดเชิงเนื้อหา การครองหน้าแรก เครือข่ายสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ ส่วนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มีความสนใจ โดยรวมในระดับเฉย ๆ สำหรับการตลาดเชิงเนื้อหา ผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุดที่ 3.99 2) รูปแบบสื่อดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชน คือ เว็บไซต์ โดยใช้การตลาดเชิงเนื้อหาเป็นกลยุทธ์การทำการตลาด สื่อการตลาดดิจิทัลนี้ช่วยให้ลูกค้าได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อสินค้า ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นที่รู้จัก และลูกค้าหันมาสนใจสินค้ามากขึ้น ขายสินค้าได้มากขึ้น ผู้ประกอบการสินค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น 3) ความพึงพอใจการใช้รูปแบบสื่อดิจิทัลเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าของชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ประกอบด้วยด้านเนื้อหาการนำเสนอ ด้านการออกแบบ ด้านประชาสัมพันธ์ และด้านช่องทางจัดจำหน่าย</p> อาภาภรณ์ โพธิ์กระจ่าง นฤมล ชลโฉม อรพรรณ เดชา Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 113 126 ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/272715 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคม การควบรวมกิจการ หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคม อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานเกี่ยวกับการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคม ทั้งของประเทศไทยและของต่างประเทศ และวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทย โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตำรา กฎหมาย หนังสือ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคม ได้กำหนดในประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จะพบปัญหาในการตีความของคำว่าการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน เนื่องจากการรวมธุรกิจระหว่างบริษัทดังกล่าว เป็นการรวมธุรกิจตามคำนิยามในข้อ 3(1) ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมแล้ว แต่ กสทช. มีมติเสียงข้างมากรับทราบรายงานการรวมธุรกิจเท่านั้น มติดังกล่าวจึงมิใช่การอนุญาตหรือไม่อนุญาต และเมื่อศึกษาอำนาจหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคมจะพบว่า กสทช. เป็นหน่วยงานเดียวที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคม จึงควรที่จะมีระบบคานอำนาจระหว่างหน่วยงานในการพิจารณาอนุญาตให้ควบรวมกิจการโทรคมนาคม</p> กรกฎ ผมงาม อัจฉราพร สีหวัฒนะ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-28 2024-04-28 5 1 127 140