วารสารศึกษิตาลัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ <p>วารสารศึกษิตาลัย ISSN: 2730-3330 (Print) ISSN: 2822-1168 (Online) เป็นวารสารวิชาการของวัดศรีสุมังคล์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานสร้างสรรค์ และผลงานวิชาการของนักวิชาการ ในมิติทางด้านพุทธศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> วัดศรีสุมังคล์ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย 43100 th-TH วารสารศึกษิตาลัย 2730-3330 <p><strong>สงวนสิทธิ์โดย</strong> วารสารศึกษิตาลัย วัดศรีสุมังคล์ <br /><strong>เลขที่</strong> 962 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย<br /><strong>โทร.</strong> 086-8894578 <br /><strong>E-mail : <a href="mailto:Sjmcunk@gmail.com">Sjmcunk@gmail.com</a><br />Website :<a href="https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ">https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ</a></strong></p> อิทธิพลทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทตาเมือนธม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/280054 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบ ความหมาย พัฒนาการ และคติการสร้างปราสาทตาเมือนธม 2) ความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทตาเมือนธม และ 3) วิเคราะห์อิทธิพลทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทตาเมือนธม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวมรวบข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปราสาทตาเมือนธมเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15–17 ตัวปราสาทประกอบด้วยปราสาทประธานและอาคารบริวาร รวมทั้งบรรณาลัยและระเบียงคดล้อมรอบ มีลักษณะโดดเด่นคือ การหันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งแตกต่างจากปราสาทขอมทั่วไป ที่มักหันไปทางทิศตะวันออก พัฒนาการของปราสาทสะท้อนให้เห็นถึงการซ่อมสร้างซ้ำบนพื้นที่เดิม หรืออาจมีการนำชิ้นส่วนโบราณมาประกอบใหม่ตามคติความเชื่อและเหตุผลทางพิธีกรรม 2) ความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทตาเมือนธม พบจากจารึก ปรากฏคำว่า “คุณธรรม” และ “นรก” ซึ่งแม้ปราสาทจะมีฐานความเชื่อในศาสนาฮินดู แต่คำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะในแง่ของหลักกรรม วิบาก และโลกหลังความตาย และ 3) วิเคราะห์อิทธิพลทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในปราสาทตาเมือนธม แนวคิดเรื่อง “คุณธรรม” สามารถตีความได้ตามหลักมรรค 8 ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ขณะที่ “นรก” สื่อถึงผลแห่งการกระทำอันชั่วร้ายที่สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องนรกภูมิตามไตรภูมิ อันปรากฏทั้งในคติพุทธและฮินดู สะท้อนการหลอมรวมของความเชื่อทั้งสองศาสนาในพื้นที่ชายขอบอารยธรรมอย่างแนบเนียน</p> พระปลัดสมหมาย ใจงาม พระครูสุตธรรมาภิรัต พระครูสุตมัชฌิมานุกิจ พระครูสังฆรักษ์อนันต์กิตติ์ สจฺจญาโณ (พฤฒิรัตน์) พระมหาวิรุฬชิต นริสฺสโร (เช่นรัมย์) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 1 14 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางโดยใช้สื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนบ้านนาอ้อ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/282324 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทาง โดยใช้สื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาประวัติศาสตร์ 3) ทดลองใช้รูปแบบ 4) ประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน ระยะที่ 4 ประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบการวัดทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test ชนิด Dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นทั้ง 4 ด้าน ดัชนีความต้องการจำเป็นโดยรวม 0.32 เรียงลำดับความจำเป็นสูงสุด ได้แก่ ด้านทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (0.34) ด้านขั้นตอนการสอนประวัติศาสตร์ (0.32) ด้านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อจัดการเรียนรู้ (0.32) และด้านเนื้อหาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (0.29) 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้น มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อจัดการเรียนรู้ (4) ขั้นตอนการสอนประวัติศาสตร์ (5) เนื้อหาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และ (6) การวัดและประเมินผล มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบโดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) ) 88.29/86.29 4) ผลการประเมินรูปแบบ ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 ความพึงพอใจผู้ส่วนเกี่ยวข้องที่มีต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อมรรัตน์ พลดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 15 28 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดนครพนม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/280297 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระบบการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดนครพนม 2) พัฒนากระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ 3) พัฒนาชุดการเรียนรู้และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และ 4) พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์สำหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในพื้นที่ศึกษา การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ประกอบด้วย การวิจัยเชิงเอกสาร การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และการวิจัยและพัฒนา โดยใช้เครื่องมือวิจัยหลากหลาย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหาร ครูผู้สอน และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตอำเภอธาตุพนม รวมทั้งสิ้น 114 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบการเรียนรู้ออนไลน์ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นนิยมใช้มากที่สุด คือ Google Site และ Google Classroom ซึ่งช่วยสนับสนุนการเรียนรู้แบบ Blended Learning และ Self-Directed Learning การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนออนไลน์สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการจัดทำเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ ตลอดจนการวัดผลที่เหมาะสม ส่วนการพัฒนาชุดการเรียนรู้และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ออกแบบจากบริบทท้องถิ่น พบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และช่วยเสริมความสามารถทางภาษาอังกฤษและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ นักเรียนยังมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมในระดับมาก ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยสูง (x̄ = 3.90) แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมออนไลน์ สามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวได้ว่า การวิจัยครั้งนี้ยืนยันว่าการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษา สอดคล้องกับบริบทของจังหวัดนครพนม และเป็นแนวทางสำคัญในการจัดการเรียนการสอนยุคดิจิทัลต่อไป</p> ศตพล ใจสบาย ศศิธร ล่องเลิศ ปภังกร สายบัว มาวิน โทแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 29 42 ผลการใช้ผังกราฟิกประกอบการจัดกิจกรรมการเล่านิทานที่มีต่อความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย กรณีศึกษาโรงเรียนวัดบางไกรนอก จังหวัดนนทบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/282668 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ผังกราฟิกประกอบการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ ได้แก่ เด็กอนุบาลชั้นปีที่ 3 อายุ 5-6 ปี จำนวน 15 คน โรงเรียนวัดบางไกรนอก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 จังหวัดนนทบุรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ (1) แผนการจัดประสบการณ์โดยใช้ผังกราฟิกประกอบการเล่านิทาน เพื่อส่งเสริมความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย และ (2) แบบวัดความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ซึ่งเครื่องมือนี้ผ่านการหาคุณภาพเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน โดยค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ที่ 0.67 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ค่าสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมการใช้ผังกราฟิกประกอบการเล่านิทาน สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างชัดเจน ด้านการพูดเล่าเรื่อง มีคะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยมีคะแนนก่อนการทดลองเท่ากับ 56 คะแนน คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.73 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.40 และคะแนนหลังการทดลองเท่ากับ 148 คะแนน คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.87 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.00 และด้านการพูดสนทนาโต้ตอบ คะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองโดยมีคะแนนก่อนการทดลองเท่ากับ 74 คะแนน คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.93 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.58 และคะแนนหลังการทดลองเท่ากับ 165 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 11.00 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.17</p> เพ็ญนภา พันพินิจ กัญจนา ศิลปกิจยาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 43 56 ความสัมพันธ์ของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/279033 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี 2) ระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี 3) ความสัมพันธ์ของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี และ 4) ข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ เกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี คำนวณหากลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane ได้จำนวน 393 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง โดยวิธี Enter ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหากับแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี มีความสัมพันธ์โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ เท่ากับ .457 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .556 (R = .556) ตัวแปรอิสระทั้งหมดอธิบายการผันแปรของตัวแปรตามได้เท่ากับร้อยละ 31.0 มีค่า R<sup>2</sup> = .310 และมีค่า F = 28.7620 และ 4) ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเขตการเลือกตั้งที่ 5 จังหวัดสุพรรณบุรี คือ ควรมีการควบคุมราคาสินค้ากลุ่มปุ๋ยไม่ให้ราคาสูงเกินไป ควรมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลดต่ำลงอีก</p> ภานรินทร์ อินสกุล สมเกียรติ เกียรติเจริญ รังสรรค์ อินทน์จันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 57 70 ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพของประชาชนในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/279031 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ 2) ระดับการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ และ 4) ข้อเสนอแนะต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพของประชาชนในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ หัวหน้าครัวเรือนหรือตัวแทนหัวหน้าครัวเรือนในตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม คำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่าง ตามวิธีการของ Yamane ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 370 คน ทำการสุ่มด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง โดยวิธี Enter ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ในการวิเคราะห์ข้อมูล </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) ระดับการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพ โดยรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง มีค่าเท่ากับ .830 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .837 อธิบายการผันแปรของตัวแปรได้เท่ากับร้อยละ 70.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ข้อเสนอแนะต่อการรับรู้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพของประชาชนในเขตตำบลบ่อพลับ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พบว่า ควรมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับสิทธิการรักษาพยาบาล ควรให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่มีการขยายเพิ่มเติม โดยเฉพาะสิทธิการรักษาโรคร้ายแรง หรือโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง</p> ธรินญาดา เหลาพรม รังสรรค์ อินทน์จันทน์ วัชรินทร์ สุทธิศัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 71 84 ปัญหาในการจัดการของตกค้างจากการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางระบบรางตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/279763 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดการของตกค้างจากการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายศุลกากรในการปฏิบัติเกี่ยวกับของตกค้างของต่างประเทศ 3) เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดการของตกค้างจากการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงศึกษาเอกสาร มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการศึกษาค้นคว้าจากตำรา หนังสือ บทความ งานการศึกษาอิสระ ระเบียบ ประกาศคำสั่งที่เกี่ยวข้องและคำพิพากษาของศาลทั้งของไทยและต่างประเทศและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในอินเทอร์เน็ตแล้วนำมาศึกษาการศึกษาอิสระทางกฎหมายในเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ เพื่อเปรียบเทียบและหาข้อสรุป</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การเกิด “ของตกค้าง” จากการขนส่งสินค้าทางระบบราง เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความยุ่งยากและซับซ้อนของกระบวนการศุลกากร ความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงปัญหาด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขาดการประสานงานและข้อตกลงที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของตกค้าง ที่เกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน โดยสาเหตุดังกล่าว เกิดจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ยังขาดความชัดเจน โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเป็นของตกค้างทางรางไว้โดยเฉพาะ ทั้งในด้านการจัดการของตกค้าง รวมถึงการตีความข้อกฎหมายที่แตกต่างกัน ในระดับระหว่างประเทศ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในการดำเนินการทางศุลกากร การศึกษานี้ได้นำเสนอข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงกฎหมายศุลกากรให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับสถานการณ์จริง รวมถึงการพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาของตกค้างจากการขนส่งสินค้าทางระบบราง</p> ฐิติพงษ์ ฌานอภิรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 85 98 มาตรการในการส่งคำสั่งเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/282327 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการในการเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ 2) วิเคราะห์หลักกฎหมายและวิธีปฏิบัติในการส่งคำสั่งเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำของไทยและต่างประเทศ 3) เสนอแนวทางแก้ไขข้อกฎหมายและกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเอกสาร โดยศึกษากฎหมาย แนวคิด ทฤษฎี และเปรียบเทียบกับระบบกฎหมายของต่างประเทศ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้อำนาจของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน โดยมีวิธีส่งคำสั่ง 2 วิธีคือ ส่งด้วยบุคคลหรือไปรษณีย์ด่วน หากผู้ถูกเรียกไม่มาชี้แจงโดยไม่มีเหตุผล อาจมีความผิดตามมาตรา 105 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 2) การศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการส่งคำสั่งเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พบว่า แม้มีกฎหมายรองรับ แต่ยังขาดกลไกคุ้มครองสิทธิ เช่น การแจ้งสิทธิ การโต้แย้ง หรือพิจารณาเจตนา ส่งผลให้การดำเนินคดีอาญาอาจละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน อีกทั้งวิธีส่งคำสั่งแบบเดิมยังมีข้อจำกัด เช่น ที่อยู่ไม่ตรงตามทะเบียน ไม่มีระบบติดตามหรืออุทธรณ์ ต่างจากต่างประเทศที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงควรปรับปรุงกระบวนการให้เป็นธรรมและสอดคล้องมาตรฐานสากล 3) เสนอแนวทางแก้ไขข้อกฎหมายและกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ ประกอบด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการส่งคำสั่งที่ทันสมัย เช่น อีเมล แอปพลิเคชัน และระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล การจัดทำกระบวนการให้ชี้แจงเหตุขัดข้อง และการกำหนดบทลงโทษเป็นลำดับขั้น เพื่อความเป็นธรรมและสอดคล้องกับหลักกฎหมาย</p> ธีระพล พันธไชย บัณฑิต ขวาโยธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 99 112 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านจัดการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบบรรยายในวิชากฎหมายอาญา 1 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/280055 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนแบบบรรยาย 2) พัฒนาการจัดการเรียนรู้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนแบบบรรยาย และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนแบบบรรยาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชากฎหมายอาญา 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 44 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม แบบแผนการวิจัยดำเนินการทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลสอบก่อนและหลังการทดลอง และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแผนการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชากฎหมายอาญา 1 โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับการสอนบรรยาย แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนในวิชาหลักกฎหมายอาญา 1 และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบที แบบกลุ่มไม่เป็นอิสระต่อกัน </p> <p>ผลวิจัยพบว่า การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับการการสอนบรรยายในวิชากฎหมายอาญา 1 จากการทำแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการสอนบรรยายในระดับมาก </p> อุมาพร กาฬแสน อุษณีย์ ตันสูงเนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 113 126 แนวทางการนำข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปใช้เป็นหลักในสำนวนการสอบสวนหรือไต่สวนและการพิจารณาทางปกครอง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/SJ/article/view/282330 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการไม่นำข้อเท็จจริงตามรายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปใช้ประกอบในสำนวนการสอบสวน ไต่สวน หรือการพิจารณาทางปกครอง ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดเป็นมาตรการไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยมุ่งวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางปฏิบัติขององค์กรตรวจสอบต่างประเทศ เพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายและกฎหมายในการปรับปรุงมาตรการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยการศึกษาตำราและวรรณกรรมทางกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการวิเคราะห์เปรียบเทียบกฎหมาย พร้อมใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ช่วยในการจัดโครงสร้าง สังเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง พบว่าแนวคิดสำคัญประกอบด้วย หลักนิติธรรม การใช้ดุลพินิจโดยชอบ ธรรมาภิบาลภาครัฐ หลักฟังความทุกฝ่าย และหลักความเป็นอิสระและเป็นกลาง ซึ่งสนับสนุนแนวคิดในการนำข้อเท็จจริงจากรายงานตรวจสอบไปใช้เพื่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม 2. แม้จะมีกฎหมายบัญญัติให้นำรายงานการตรวจสอบไปเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนตามมาตรา 7, 88 และ 99 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 แต่ยังไม่มีบทลงโทษหรือมาตรการบังคับใช้ที่ชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดการละเลยหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ 3. แนวทางจากประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ใช้กลไกการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ การติดตามผล และแรงกดดันทางสังคมอย่างเข้มข้น ซึ่งทำให้รายงานผลการตรวจสอบที่แม้จะไม่ผูกพันทางกฎหมาย แต่กลับมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งแนวทางเหล่านี้ควรนำมาปรับใช้ในไทย ควบคู่กับการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน</p> สุรนนท์ ขัติยนนท์ บัณฑิต ขวาโยธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษิตาลัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 6 2 127 140