https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/issue/feed T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 2025-06-30T10:39:46+07:00 กองบรรณาธิการ vintc03@gmail.com Open Journal Systems <p><span style="text-decoration: underline;"><strong>วัตถุประสงค์/ขอบเขต ของวารสารวิชาการ T-VET Journal</strong></span></p> <p> 1. เพื่อเป็นสื่อกลางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ นักศึกษา ครู อาจารย์ นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป ได้มีโอกาสเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการ และผลงานวิจัย รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความคิดเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยี ในด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการบริหารจัดการ และด้านอื่นๆ ที่มีลักษณะทั้งเป็นรูปแบบ วิธีการ หรือสื่อสิ่งประดิษฐ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีวศึกษา และการศึกษา เพื่อที่จะนำไปสู่การพัฒนาสถานประกอบการ ชุมชน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ต่อไป</p> <p> 2. เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้ในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษา ครู อาจารย์ ในด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการนำผลวิจัยไปบูรณาการในการจัดการเรียนรู้ และการฝึกอบรมวิชาชีพให้ได้ประโยชน์สูงสุด</p> <p><strong>ขั้นตอนการส่งบทความ </strong></p> <p>1. ให้ผู้แต่งดำเนินการกรอก แบบฟอร์มการนำส่งบทความเพื่อเผยแพร่</p> <p>2. ให้ผู้แต่ง ศึกษาข้อมูลการเขียนบทความตามรูปแบบฟอร์มที่วารสารกำหนด </p> <p>3. ขอให้ผู้แต่งจัดส่งไฟล์บทความ ในรูปแบบ ไฟล์ .Word และ .Pdf </p> <h2 class="media-heading"><a href="https://drive.google.com/file/d/11O5S_GEWhwy6a8cGtbXURxkpMSB-aiuI/view?usp=sharing">คู่มือการเขียนบทความ T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3</a></h2> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/16FzqXjJQZHaW-szUkV61UcsDnJZAc5DT/view?usp=sharing">- แบบฟอร์มการเขียนบทความ T-VET Journal PDF</a></p> <p><a href="https://docs.google.com/document/d/1AoCSvbFnus_1xLmypNM0vvWddGq8k7Lf/edit?usp=drive_link&amp;ouid=102749468583574600338&amp;rtpof=true&amp;sd=true">- แบบฟอร์มการเขียนบทความวิจัย</a></p> <p><a href="https://docs.google.com/document/d/1fVJ_P_sBbt5UlyUN6-rVjBGIyugkVV69/edit?usp=drive_link&amp;ouid=102749468583574600338&amp;rtpof=true&amp;sd=true">- แบบฟอร์มการเขียนบทความปริทัศน์-วิชาการ</a></p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1046S6BdI-lFSVfsrbcNwToUWImF3UQwc/view?usp=drive_link">- แบบนำส่งบทความเพื่อเผยแพร่ วารสาร T-Vet</a></p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/280781 แนวทางการพัฒนาส่วนประสมทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์งานฝีมือ ของชุมชนปากโทก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 2025-05-23T10:52:59+07:00 ธนเดช แป้นโพธิ์กลาง kfish696927@gmail.com ศิริณย์ ณัฐศรัณย์กุล kfish696927@gmail.com ปรีชา ตั้งสุขขีย์ศิริ kfish696927@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชุมชนปากโทก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาส่วนประสมทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชุมชนปากโทก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามลูกค้าที่เข้ามาซื้องานฝีมือในชุมชน จำนวน 400 ชุด</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการพัฒนาส่วนประสมทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์งานฝีมือของชุมชนปากโทก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ผลิตภัณฑ์ควรมีความทันสมัย และมีการเพิ่มหรือปรับแต่งสีสันให้มีความสวยงามและดูทันสมัย อีกทั้งควรมีผลิตภัณฑ์งานฝีมือให้เลือกหลากหลายอาทิ กระเป๋า พวงกุญแจ พรมเช็ดเท้า เป็นต้น ในส่วนของราคา ควรมีการกำหนดราคาที่สอดคล้องกับกลไกของตลาด รวมไปถึงกำหนดราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า อีกทั้งควรมีการจัดร้านที่สวยงาม ทันสมัย สามารถหาสินค้าได้ง่ายและจัดเรียงสินค้าให้สะดุดตาผู้ซื้อ และที่สำคัญมีป้ายบอกการเดินทางที่ชัดเจนเพื่อความสะดวกในการเข้ามาเยี่ยมชมหรือซื้อผลิตภัณฑ์ในแหล่งชุมชน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/278618 ปัจจัยการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ กรณีวิทยาลัยการอาชีพวัดโฆสมังคลาราม 2025-04-17T10:43:44+07:00 นิพล แก้วกาหลง kaewkahlongnipol@gmail.com ธวัชชัย ไพใหล tawatchai25040103@gmail.com ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์ tawatchai25040103@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำครูเพื่อการจัด การเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ 2) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ 4) ศึกษาผลการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยผู้วิจัยจำนวน 1 คน ผู้ร่วมวิจัยเป็นครูและบุคลากร จำนวน 9 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารวิทยาลัย จำนวน 1 คน ตัวแทนนักเรียน จำนวน 10 คน และตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 31 คน ดำเนินการวิจัยแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมดำเนินการวิจัย 2 รอบ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 วินิจฉัย ขั้นที่ 2 ดำเนินการ ขั้นที่ 3 วัดผล ขั้นที่ 4 สะท้อนผล</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <p> 1. องค์ประกอบของภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ของวิทยาลัยการอาชีพวัดโฆสมังคลารามมี 5 องค์ประกอบ 32 ตัวบ่งชี้ประกอบด้วย 1) ภาวะผู้นำเชิงทักษะวิชาชีพ 2) ความรู้ด้านวิชาการ 3) เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ 4) การทำงานเป็นทีมและการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ 5) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรม</p> <ol start="2"> <li>สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ของวิทยาลัยการอาชีพวัดโฆสมังคลาราม พบว่า ปัญหาประกอบด้วย 1) ครูมีความรู้ด้านวิชาการน้อย 2) ครูขาดทักษะวิชาชีพ 3) ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้น้อย 4) ครูส่วนมากขาดความเป็นบุคคลแห่ง การเรียนรู้ 5) ครูยังไม่มีการทำงานเป็นทีม ความต้องการจำเป็น เรียงตาม(Participatory Action Research) พบว่าลำดับดังนี้ 1) ความรู้ด้านวิชาการ 2) ทักษะวิชาชีพ 3) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรม 4) เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ 5) การทำงานเป็นทีมและ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้</li> </ol> <p> 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ของวิทยาลัยการอาชีพวัดโฆสมังคลารามดำเนินการ 5 โครงการ 19 กิจกรรมดังต่อไปนี้ 1) โครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม 2) โครงการพัฒนาความรู้ด้านวิชาการ ประกอบด้วย 3 กิจกรรม 3) โครงการพัฒนาบุคลากรให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม 4) โครงการพัฒนาการทำงานเป็นทีมและการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม 5) โครงการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรม ประกอบด้วย 4 กิจกรรม การพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ของวิทยาลัยการอาชีพวัดโฆสมังคลาราม ผลการพัฒนาภาวะผู้นำครูโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.70) พบว่า ครูมีการพัฒนาภาวะผู้นำครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ตามวิถีปกติใหม่ มีการพัฒนาตนเอง ทำงานเป็นทีมและการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้รวมกับเพื่อนร่วมงานพัฒนาการจัดการเรียนรู้ มีการออกแบบการเรียนการสอนใหม่ ๆ มีความหลากหลายเพื่อกระตุ้นและพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพ วางแผนการเรียนรู้และประเมินผลตามสภาพจริง ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรมเพื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ทำให้น่าสนใจ เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/279624 แนวทางการบริหารงานกิจการนักเรียน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง 2025-04-08T11:55:16+07:00 กมล โพธิโชติ 65036004@kmitl.ac.th ฐิยาพร กันตาธนวัฒน์ 65036004@kmitl.ac.th อัคพงศ์ สุขมาตย์ 65036004@kmitl.ac.th <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สร้างและประเมินแนวทางการบริหาร งานกิจการนักเรียนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัย ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้ารวมจำนวน 6 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 2 คน หัวหน้างานกิจการนักเรียนจำนวน 2 คน ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และ นักจิตวิทยาโรงเรียนจำนวน 2 คน ผู้ประเมินใช้กลุ่มประชากร ทั้งหมดจำนวน 51 โรงเรียน รวมจำนวน 102 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 51 คน และหัวหน้างานกิจการนักเรียนจำนวน 51 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินแนวทาง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาแบบสร้างข้อสรุป วิธีการวิเคราะห์โดยการทำตารางเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ของข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการบริหารงานการกิจการนักเรียนเพื่อเสริมสร้าง ความเข้มแข็งทางใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีองค์ประกอบสำคัญ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการและเหตุผล 2) วัตถุประสงค์ 3) แนวทางการดำเนินงานที่ครอบคลุม กับ 6 ภารกิจ ได้แก่ 1) การวางแผนงานกิจการนักเรียน 2) การบริหารงานกิจการนักเรียน 3) การส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม 4) การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5) การดำเนินการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน 6) การประเมินผล การดำเนินงานกิจการนักเรียน ในแต่ละภารกิจมีองค์ประกอบความเข้มแข็งทางใจ 3 ด้าน ได้แก่ พลังอึด พลังฮึด และพลังสู้ เมื่อนำไปให้กลุ่มประชากรประเมิน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.54, σ = 0.57) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.56, σ = 0.58) ความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับ มากที่สุด (μ = 4.56, σ = 0.57) และความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด (μ = 4.5, σ = 0.57) ตามลำดับ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/274316 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่ใช้ชุดฝึกระบบนิวแมติกส์ควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ในรายวิชาวิชาการควบคุมอัตโนมัติระบบของไหลกำลัง 2025-04-24T11:47:04+07:00 อุดมศักดิ์ พยัคฆเดช udpa111@gmail.com เจริญ ทองหาญ Charoen.tonghan@gmail.com ธรรมนูญ ขำจิตต์ thammanoon.hmee@gmail.com กิตติชัย นุ่นโต thammanoon.hmee@gmail.com จรินทร์ เจนจิตต์ thammanoon.hmee@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างชุดฝึกระบบนิวแมติกส์ควบคุมด้วย โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ 2) เพื่อหาประสิทธิภาพ 3) เพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ชุดฝึกระบบนิวแมติกส์ควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ ที่ได้ผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน และแบบสอบถามความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีเครื่องกล วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดฝึกระบบนิวแมติกส์ควบคุมด้วย โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพภาคทฤษฎีมีค่าเฉลี่ยเป็นร้อยละ 81.67/80.83 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนดไว้ที่ 80/80 ภาคทฤษฎี แสดงว่าชุดฝึกมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่าคะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละจากแบบทดสอบก่อนเรียน E<sub>pre</sub> มีค่าเป็น 64.17 คะแนนเฉลี่ยเป็นร้อยละจากแบบทดสอบหลังเรียน E<sub>post</sub> มีค่าเป็น 80.83 แสดงว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อชุดฝึกระบบนิวแมติกส์ควบคุมด้วยโปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ในระดับพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/280026 การพัฒนาชุดสาธิต เรื่อง แรงปฏิกิริยาที่จุดรองรับของ คานแบบหาค่าไม่ได้ทางสถิตยศาสตร์ สำหรับการศึกษาระดับปริญญาตรี 2025-04-08T10:12:00+07:00 สฤษฏ์มงคล พูลสงวน saritmonkol@gmail.com สุรวุฒิ ยะนิล saritmonkol@gmail.com เมธา อึ่งทอง saritmonkol@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพชุดสาธิต เรื่อง แรงปฏิกิริยาที่จุดรองรับของคานแบบหาค่าไม่ได้ทางสถิตยศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดสาธิตที่พัฒนา ใบทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการสร้างและพัฒนาชุดสาธิต ได้ชุดสาธิตแรงปฏิกิริยาที่จุดรองรับของคานแบบหาค่าไม่ได้ทางสถิตยศาสตร์ ชนิดคานต่อเนื่องมีจุดรองรับแรงปฏิกิริยาสามตำแหน่ง สามารถสาธิตแรงที่กระทำบนคานแบบเป็นจุด แรงกระทำแบบกระจายสม่ำเสมอ และแรงกระทำแบบผสม มีขนาดกว้าง 0.4 เมตร ยาว 1.3 เมตร สูง 0.4 เมตร 2) ผลการหาประสิทธิภาพชุดสาธิต พบว่าค่าเฉลี่ยร้อยละของความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ของแรงปฏิกิริยาที่รองรับทั้งสามตำแหน่งอยู่ที่ 2.763 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์แม่นยำสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าค่าที่ได้จากการทดลองมีความสอดคล้องกับค่าทางทฤษฎีในระดับที่ยอมรับได้ จึงสรุปได้ว่าชุดสาธิตที่พัฒนานี้มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ในบริบททางการศึกษา</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/275951 การพัฒนาชุดฝึกทักษะการตรวจสภาพชิ้นส่วน แก้ไขข้อขัดข้องระบบไฟสัญญาณ วิชางานไฟฟ้ารถยนต์ สำหรับนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างยนต์ 2025-02-27T15:28:26+07:00 ประเสริฐ ทวีโชติ prasert.t@ptl.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ออกแบบชุดฝึกทักษะการตรวจสภาพชิ้นส่วน แก้ไขข้อขัดข้องระบบไฟสัญญาณ วิชางานไฟฟ้ารถยนต์ 2)สร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกทักษะการตรวจสภาพชิ้นส่วน แก้ไขข้อขัดข้องระบบไฟสัญญาณ วิชางานไฟฟ้ารถยนต์ 3) ใช้ชุดฝึกทักษะการตรวจสภาพชิ้นส่วน แก้ไขข้อขัดข้องระบบไฟสัญญาณ วิชางานไฟฟ้ารถยนต์ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ จำนวน 1 ห้อง จำนวน 22 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มกลุ่ม เครื่องมือ ประกอบด้วย ชุดฝึกทักษะ ใบปฏิบัติงานชุดฝึกทักษะ แบบทดสอบ สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที (t-test for one sample) ผลวิจัยพบว่า ความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการตรวจสภาพชิ้นส่วน แก้ไขข้อขัดข้องระบบไฟสัญญาณ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะ 83.74/85.70 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 นักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านความรู้ เฉลี่ยมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะเฉลี่ย มากกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/280623 การประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษาคุณธรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีวีรพัฒน์ 2025-05-16T09:25:57+07:00 วิทวัส สูญยี่ขันธ์ akkarat_p@rmutt.ac.th อัคครัตน์ พูลกระจ่าง akkarat_p@rmutt.ac.th รินรดี ปาปะใน akkarat_p@rmutt.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินการบริหารจัดการสถานศึกษาคุณธรรม สำหรับวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน 2) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการสถานศึกษาคุณธรรม สำหรับวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน กลุ่มเป้าหมายในการจัดทำแผนการบริหารสถานศึกษาคุณธรรม คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้าสาขาวิชา วิทยาลัยเทคโนโลยีวีรพัฒน์ รวมจำนวน 21 คน และกลุ่มเป้าหมายในการประเมินการบริหารสถานศึกษาคุณธรรม คือ ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีวีรพัฒน์ จำนวน 4 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการทางสถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการเปรียบเทียบความแตกต่าง ผลการวิจัยพบว่า การประเมินการจัดทำแผนการบริหารสถานศึกษาคุณธรรม มีผลการเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการทำแผนการบริหารสถานศึกษาคุณธรรมหลังจัดกิจกรรมสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และการประเมินความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาคุณธรรมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความเหมาะสมและประสิทธิภาพของการบริหารสถานศึกษาคุณธรรม ส่งผลให้สถานศึกษาสามารถพัฒนาทั้งในมิติของคุณธรรมและการบริหารจัดการได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/278403 การประเมินหลักสูตรสถานศึกษาแผนการเรียนวิทยาการดิจิทัล (Digital Science) ของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 2025-02-11T13:55:16+07:00 ครรชิต สีสาวรรณ bsg.khanchit@gmail.com สามารถ สว่างแจ้ง bsg.khanchit@gmail.com ชัยวิชิต เชียรชนะ bsg.khanchit@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรสถานศึกษาแผนการเรียนวิทยาการดิจิทัล (Digital Science) ของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวนในการประเมิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินหลักสูตรสถานศึกษาในขั้นระหว่างดำเนินการประเมิน (Formative Evaluation) แผนการเรียนวิทยาการดิจิทัล (Digital Science) ของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 2) วินิจฉัยและตัดสินใจถึงความคุ้มค่าของหลักสูตรสถานศึกษาในขั้นประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) แผนการเรียนวิทยาการดิจิทัล (Digital Science) ของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แยกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบสอบถาม จำนวน 5 ชุด มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหาร 8 คน ครูผู้สอนในหลักสูตร 15 คน ครูผู้สอนนอกหลักสูตร 45 คน นักเรียนในหลักสูตร 150 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นการวิเคราะห์จากเอกสารหลักสูตร ข้อมูลผลการเรียน แบบบันทึกพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และแบบบันทึกข้อมูลผลงานการแข่งขัน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแจกแจงความถี่ และร้อยละผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรแผนการเรียนวิทยาการดิจิทัลมีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของทางโรงเรียน จุดประสงค์ของหลักสูตร และการเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ 2) การประเมินเนื้อหาสาระของหลักสูตรพบว่าด้านโครงสร้างหลักสูตรโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ด้านเนื้อหาสาระและประสบการณ์การเรียนรู้โดยรวมของโครงสร้างหลักสูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การประเมินกระบวนการใช้หลักสูตรพบว่าด้านความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด ด้านขั้นตอนการใช้หลักสูตรและการวัดและประเมินผลมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) การประเมินคุณภาพผู้เรียน พบว่าคุณภาพผู้เรียนโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก นักเรียนในแผนการเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่ร้อยละ 80 มีพฤติกรรมที่ดีโดยไม่ปรากฏข้อมูลพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และได้รับรางวัลจากการแข่งขันทั้งระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง 5) ผลการประเมินความพึงพอใจตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร พบว่าหลักสูตรมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและมีความเหมาะสม สมควรดำเนินงานต่อเป็นอย่างยิ่ง</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/280633 ศึกษาและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 โดยใช้ชุดการสอน 2025-04-30T10:19:32+07:00 สิทธิพร แจ่มสุวรรณ sittipornchamsuwan@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดการสอน รายวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างผลการเรียนปีการศึกษา 2565 กับปีการศึกษา 2566 ที่เรียนด้วยชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม ประเภทวิชาอุตสาหกรรม หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 โดยใช้ชุดการสอน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ที่ลงทะเบียนเรียน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดการสอน วิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 มีส่วนประกอบ ดังนี้ เอกสารประกอบการเรียน สื่อการเรียนรู้ แบบฝึกหัด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li> ชุดการสอนวิชาวัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 มีประสิทธิภาพ 84.81/88.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ได้แก่ 80/80</li> <li>การสอนโดยใช้ชุดการสอนวิชา วัสดุก่อสร้าง 2 รหัสวิชา 20108 – 2107 ในปีการศึกษา 2566 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงกว่าปีการศึกษา 2565 (ที่ไม่ได้ใช้ชุดการสอน) ร้อยละ 18.13</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุดการสอน ผลปรากฏว่า มีความแตกต่างโดยผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 </li> </ol> <p> 4. ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดการสอน ภาพรวมและรายด้านมีความพึงพอใจมากที่สุด</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/278421 การพัฒนารูปแบบการบริหารวิชาการแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะ เซนต์คาเบรียล เขตภาคกลาง 2025-02-11T13:51:10+07:00 จำรัส แก้วอำคา p_jamrus_bsg@hotmail.com สามารถ สว่างแจ้ง s6402061810522@email.kmutnb.ac.th ชัยวิชิต เชียรชนะ s6402061810522@email.kmutnb.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ: (1) สำรวจสภาพปัจจุบันของการบริหารวิชาการแบบมีส่วนร่วมในโรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย เขตภาคกลาง (2) พัฒนารูปแบบการบริหารวิชาการแบบมีส่วนร่วมที่เหมาะสมกับโรงเรียนเหล่านี้ และ (3) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครองและศิษย์เก่า โรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย เขตภาคกลาง ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 5,199 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบไปด้วยผู้บริหาร ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครองและศิษย์เก่า โรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย เขตภาคกลาง ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลมี ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า: 1. สภาพปัจจุบันของการบริหารวิชาการแบบมีส่วนร่วมโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมิติที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ขณะที่มิติที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคือ การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและประเมินผล 2. รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ด้าน และองค์ประกอบย่อย 14 ด้าน ครอบคลุมมิติต่าง ๆ ของการบริหารวิชาการแบบมีส่วนร่วม 3. ผลการประเมินรูปแบบดังกล่าวมีความเหมาะสมในระดับสูงมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.77 และมีความเป็นไปได้ในระดับสูงมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.59</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/TVETJournal_IVEN3/article/view/278910 พลิกโฉมการเรียนรู้: การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา 2025-04-17T10:47:05+07:00 เฉลิมเกียรติ ถีอาสนา chalermgiatth@kktech.ac.th ศิริ ถีอาสนา chalermgiatth@kktech.ac.th <p> บทความวิชาการเรื่องนี้นำเสนอความสำคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในยุคดิจิทัล ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผสมผสานเทคโนโลยี การคิดเชิงวิพากษ์ และการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง บทความอธิบายแนวคิดพื้นฐานของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ พร้อมทั้งนำเสนอวงจรการวิจัย ได้แก่ การวางแผน การดำเนินการ การสังเกต และการสะท้อนผล นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของกระบวนการวิจัยที่ช่วยให้ครูพัฒนาการสอนและผู้เรียนพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะดิจิทัลและการทำงานร่วมกัน</p> <p> การศึกษานี้ยังกล่าวถึงความท้าทาย เช่น การขาดแคลนทรัพยากร และเสนอแนวทางแก้ไขผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การสนับสนุนการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานและชุมชน รวมถึงการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 T-VET Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3