วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS
<p>เพื่อเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการหลักรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ บริหารการศึกษา พระพุทธศาสนาปรัชญา และนิติศาสตร์ ตลอดจนบทความวิชาการที่นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ และประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 6 ฉบับ </p>Learning Organization Network of Political Scienceth-THวารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ2730-2970บทความทางวิชาการ ภาวะผู้นำกับการบริหารงานภาครัฐ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275405
<p>การศึกษาภาวะผู้นำกับการบริหารภาครัฐผู้วิจัยค้นคว้าข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร พบว่า ผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญและความสามารถในการจัดการปัญหาทางการเมืองมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเสริมความสามัคคีในสังคม การบริหารงานภาครัฐที่ดีสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นระบบและมีความโปร่งใส ช่วยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม การมีระบบการเมืองที่มีความเป็นระบบและโปร่งใสช่วยเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำกับประชาชนช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมืองและสร้างการเข้าใจกันในสังคมในทางปฏิบัติการ ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองสามารถลดความขัดแย้งและสร้างการเข้าใจกันในสังคม ดังนั้น การมีผู้นำที่มีความสามารถและจริยธรรมทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยในปัจจุบัน</p>อานุภาพ ปัญญา
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-27818493การสื่อสารทางการตลาด และภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ อาหารทะเลแช่แข็งของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/278369
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารทางการตลาดและภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็งของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเพื่อศึกษาการสื่อสารทางการตลาดและภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็งของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ในกรณีที่ไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ซึ่งได้จากการคำนวณจากสูตร W.G. Cochran ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ค่าความคลาดเคลื่อน 5% โดยเครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทดสอบการแจกแจงแบบปกติด้วยวิธีของ Shapiro-Wilk การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยเชิงพรรณนาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงอายุระหว่าง 18-25 ปี มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000 – 20,000 บาท และอาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานครการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความต้องการของตนเองมากที่สุดมีระดับความคิดเห็นด้านการสื่อสารทางการตลาด (= 3.416) อยู่ในระดับมาก และระดับความเห็นด้านภาพลักษณ์ตราสินค้า (= 3.985) อยู่ในระดับมาก ส่วนผลการวิจัยเชิงอนุมานพบว่า การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ในด้านของภาพลักษณ์ตราสินค้ากับการตัดสินใจซื้อมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมนเท่ากับ 0.735 (r =0.735) มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง รองลงมาเป็นการสื่อสารทางการตลาดกับภาพลักษณ์ตราสินค้ามีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมนเท่ากับ 0.583 (r =0.583) และการสื่อสารทางการตลาดกับการตัดสินใจซื้อมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมนเท่ากับ 0.489 (r =0.489) มีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง ผลพบว่าทุกตัวแปรมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน โดยที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบว่า ภาพลักษณ์ตราสินค้าเป็นตัวแปรที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด เพราะมีค่าสัมประสิทธิ์ความถดถอยของตัวแปรอิสระในรูปของคะแนนมาตรฐาน (ᵦ= 0.708) มาก</p> <p>ที่สุดรองลงมาคือ การสื่อสารทางการตลาด (ᵦ= 0.101) แสดงว่า การสื่อสารทางการตลาดและภาพลักษณ์ตราสินค้า มีความสัมพันธ์เชิงทำนายกับการตัดสินใจซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การสื่อสารทางการตลาดและภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็งของผู้บริโภค สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตาม (การตัดสินใจซื้อ) ได้59.70% และส่วนที่เป็นผลมาจากปัจจัยอื่นๆ อีก 40.30% จึงพิจารณาค่า F จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ซึ่งเท่ากับ296.597 (F= 296.597) ผลพบว่ามีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>จันทนา สังวรโยธิน
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-01-112025-01-1181116พฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/278370
<p>งานวิจัยเรื่อง พฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจของการซื้อประกันชีวิตของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรีเป็นอย่างไร 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจการซื้อประกันของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรีเป็นอย่างไร และเป็นงานวิจัยแบบผสมผสานโดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 400 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ 16 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า1)ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าพฤติกรรมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของครัวเรือนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจาการเสียชีวิต มีจำนวนมากที่สุด มีจำนวน101 คน คิดเป็นร้อยละ 25.25 และมีพฤติกรรมการชำระเป็นก้อนมีจำนวน 145 คนคิดเป็น 36.25 และชำระเป็นงวด มีจำนวน 255 คน คิดเป็นร้อยละ 63.75 สามีหรือภรรยาที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตมากที่สุด มีจำนวน234 คนคิดเป็นร้อยละ58.5 พฤติกรรมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตได้แก่รายได้ไม่สอดคล้องกับการจ่ายเบี้ยประกัน มีจำนวนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 41.8 รองลงมาคือ ขาดความรู้ความเข้าใจ คิดเป็นร้อยละ 30.8 ส่วนไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพคิดเป็นร้อยละ18.8 และคิดว่าเป็นภาระในระยะยาวคิดเป็นร้อยละ8.8 2) สรุปผลการทดสอบแบบเชิงปริมาณปัจจัยทางการตลาดมีผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตของครัวเรือน ในจังหวัดนนทบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (T-test ของปัจจัยมีค่า Sig. น้อยกว่า 0.05) จึงยอมรับสมมติฐานทั้งหมด3) สรุปผลทดสอบเชิงคุณภาพมีผลเป็นไปในทิศทางเดียวกับกับผลทดสอบเชิงปริมาณ ซึ่งตีความได้ว่าได้แก่ การส่งเสริมการตลาด ลักษณะทางกายภาพ กระบวนการ ผลิตภัณฑ์ และ ราคา บุคคลากร และช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันชีวิต</p>จิรวุฒิ เชิญเกียรติประดับจันทนา สังวรโยธินพรรณวัสส์ โกศะโยดม
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-01-112025-01-11811734อิทธิพลของปัจจัยการทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/276881
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยการทำงานเป็นทีมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร 2) ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยการทำงานเป็นทีมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร และ 3) อิทธิพลของปัจจัยการทำงานเป็นทีมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากข้าราชการของกรมสรรพากร ประจำสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 1-30 จำนวน 325 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.892 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ในภาพรวม ข้าราชการของกรมสรรพากรมีความคิดเห็นต่อปัจจัยการทำงานเป็นทีมอยู่ในระดับมาก มีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับมาก มีการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การอยู่ในระดับมาก และมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร อยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยการทำงานเป็นทีมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่ส่งผลประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร มีความเหมาะสมสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกรมสรรพากร เกิดจากอิทธิพลทางตรงของปัจจัยการทำงานเป็นทีม (DE = 0.557) และอิทธิพลทางอ้อม (IE = 0.414) และได้รับอิทธิพลทางตรงของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (DE = 0.522) และอิทธิพลทางอ้อม (IE = 0.277) ขณะเดียวกันก็ได้รับอิทธิพลทางตรงจากการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ (DE = 0.361) ส่วนการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ ได้รับอิทธิพลทางตรงจากปัจจัยการทำงานเป็นทีม (DE = 0.143) และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (DE = 0.245) มีค่าอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 65.2 ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า การที่ข้าราชการของกรมสรรพากรมีความรู้ความสามารถที่ดี และมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี รวมทั้งการเข้าใจลักษณะงานและการบริหารจัดการที่ดีจะทำให้การทำงานประสบความสำเร็จและมีประสิทธิผล</p>ณฐิสิณี เต็งเที่ยงสิริวิภา บุญศิริมนต์ชัย ศรีเพชรนัยภาวัช รุจาฉันท์
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-27813550ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังด้วยหลักการ ABC (Activity-based costing) กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275197
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังด้วยหลักการ ABC (Activity-based costing) กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังด้วยหลักการ ABC (Activity-based costing) กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือหัวหน้าฝ่ายการผลิต กลุ่มสถานประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นในประเทศไทย จำนวน 203 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.875 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ผลตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุพบว่า มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ( = 104.31, /df = 1.511, p-value = 0.083, GFI = 0.987, AGFI = 0.974, RMR = 0.036, RMSEA = 0.028 และ CFI = 0.975) และ 2) การจัดการสินค้าคงคลังด้วยหลักการ ABC (Activity Based Costing) มีอิทธิพลทางตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.48 รองลงมาคือ ปัจจัยการจัดการสินค้าคงคลังมีอิทธิพลทางตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.37 และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.03 โดยการจัดการสินค้าคงคลังด้วยหลักการ ABC (Activity-based costing) ช่วยให้ผู้ประกอบการทราบถึงต้นทุนที่แท้จริง นำมาปรับปรุงบริหารต้นทุนและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลงได้อย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้เกิดกำไรเพิ่มขึ้น</p>พัฒนพงษ์ สุหญ้านางทิฆัมพร พันลึกเดชวิรุฬห์รัตน์ ผลทวีโชติสิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-27815164ทัศนคติ ความวิตกกังวลและการจัดการของผู้สอบ TOEIC ในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/277563
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับและเปรียบเทียบทัศนคติ ความวิตกกังวล และการจัดการความวิตกกังวล 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติ ความวิตกกังวล และการจัดการของผู้สอบโทอิคในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) พัฒนาแนวทางการสร้างความพร้อมให้กับผู้สอบโทอิคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สอบโทอิคในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสำรวจความคิดเห็น มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 และแบบสัมภาษณ์แนวทางการสร้างความพร้อมให้กับผู้สอบโทอิค สำหรับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทัศนคติ ความวิตกกังวล และการจัดการความวิตกกังวล ในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ค่าเฉลี่ย 3.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.64 และจากการเปรียบเทียบพบว่าอายุต่างกัน, สาขาวิชาเอกต่างกัน, จำนวนครั้งในการสอบต่างกัน, เกรดเฉลี่ยภาษาอังกฤษต่างกัน และประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษต่างกันในภาพรวมมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการศึกษาความสัมพันธ์พบว่า ทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความวิตกกังวลกับข้อสอบการฟังภาษาอังกฤษ (r = 0.460, p = .000) ความวิตกกังวลกับข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษ (r = 0.380, p = .000) การจัดการความวิตกกังวลกับข้อสอบการฟังภาษาอังกฤษ (r = 0.315, p = .000) และการจัดการความวิตกกังวลกับข้อสอบการอ่านภาษาอังกฤษ (r = 0.305, p = .000) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> <p> </p>ธีรเดช ชื่นประภานุสรณ์องค์อร สงวนญาติประกฤติ พูลพัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-27816583วัฒนธรรมองค์กรและทัศนคติในการทำงาน ที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน กรณีศึกษา : บริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275277
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานกรณีศึกษา : บริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของวัฒนธรรมองค์กรและปัจจัยของทัศนคติในการทำงานกับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน กรณีศึกษา : บริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ประชากร คือ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 192 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคลของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร และส่วนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติในการทำงาน และความผูกพันต่อองค์กรโดยมีค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหาด้วยวิธี CVR ของ ลอว์ชี่ ที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 14 ท่าน และค่าความเชื่อมั่นด้วยการตรวจสอบความสอดคล้องภายใน โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาสำหรับ ข้อคำถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร ดังนี้ วัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งอำนาจเท่ากับ .713 วัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งบทบาทเท่ากับ .868 วัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งงานเท่ากับ .721 และวัฒนธรรมองค์กรแบบมุ่งคนเท่ากับ .828 ข้อคำถามเกี่ยวกับทัศนคติในการทำงาน ดังนี้ องค์ประกอบด้านความคิดเท่ากับ .819 องค์ประกอบด้านความรู้สึกเท่ากับ .831 และองค์กระกอบด้านพฤติกรรมเท่ากับ .921 และข้อคำถามเกี่ยวกับความผูกพันต่อองค์กร ดังนี้ ความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจเท่ากับ .804 ความผูกพันต่อองค์กรด้านการคงอยู่เท่ากับ .849 และความผูกพันต่อองค์กรด้านบรรทัดฐานเท่ากับ .850 จากนั้นผู้วิจัยจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS for Windows (Statistical Package for the Social Sciences for Window)</p> <p>ผลการวิจัยมีดังนี้ พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 66.00 อายุตั้งแต่ 40 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 31.00 ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 70 คน คิดเป็นร้อยละ 70.00 ระยะเวลาการปฏิบัติงานต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 49.00 และรายได้ต่ำกว่า 9,000 บาท จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ 64.00 จากการศึกษา พบว่า คะแนนจากแบบสอบถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรมีระดับสูง คะแนนเฉลี่ยมีค่า 3.98 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .50 คะแนนจากแบบสอบถามเกี่ยวกับทัศนคติในการทำงานมีระดับสูง คะแนนเฉลี่ยมีค่า 4.03 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .42 และคะแนนจากแบบสอบถามเกี่ยวกับความผูกพันต่อองค์กร มีระดับสูง คะแนนเฉลี่ยมีค่า 4.04 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .56 จากการทดสอบสมมติฐานพบว่า จากการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ด้านอายุ และรายได้ ของพนักงานที่แตกต่างกันมีความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลของของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ด้านเพศ ระดับการศึกษา และระยะเวลาการปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานที่ไม่แตกต่างกัน 2) ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กรโดยรวม มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีความสัมพันธ์ระดับค่อนข้างสูง และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .743** และ3) ปัจจัยทัศนคติในการทำงานโดยรวมมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีความสัมพันธ์ระดับค่อนข้างสูง และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .796**</p>อุษา เทวารัตติกาลกาญชนก ผิวงามวิเชียร ปรีดาวงศากรสุบรรณ พัดเพ็ง
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-278194114แนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275707
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> งานวิจัยเรื่อง แนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี และ 2) ศึกษาแนวทางการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้ระเบียนวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 27 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี จำนวน 10 คน ผู้บริหารเครือข่าย OTOP ราชบุรี และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดราชบุรี จำนวน 17 คน เลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุป และตรวจสอบข้อมูลด้วยการตรวจสอบแบบสามเส้า</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ OTOP ผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี (1) ควรมุ่งเน้นการแข่งขันทางการตลาดเฉพาะโดยการเน้นสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และกระบวนการบริหารจัดการ (2) การลดต้นทุนและการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน (3) การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองตลาดในต่างประเทศเป็นจุดประสงค์หลัก (4) การฝึกฝนพนักงานให้มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการขายระหว่างประเทศและส่งเสริมการขายซ้ำของธุรกิจ 2) แนวทางการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดราชบุรี (1) การค้นหาวิธีการผลิตสินค้าหรือการให้บริการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มกลุ่มตลาดใหม่ โดยการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นหรือพื้นที่ใกล้เคียงที่มีต้นทุนต่ำ (2) การจัดการความรู้เชิงนวัตกรรม เพื่อทำให้ตราสินค้าเป็นที่รู้จัก ออกแบบสินค้าที่ทันสมัยและตรงตามความต้องการของลูกค้า และ (3) การดำเนินงาน เน้นกระบวนการภายใน การบริหารจัดการการผลิตและบริหารให้มีต้นทุนต่ำและส่งเสริมการขายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> </p> <p><strong>คําสำคัญ : </strong>แนวทาง ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผู้ประกอบการสินค้า OTOP</p>ภาคภูมิ พันธุ์พิมานมาศวิรุฬห์รัตน์ ผลทวีโชติ
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-2781115132Gui Zhou Nuo Opera mask: Application of Chinese Traditional Heritage of Creative Product Design
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275624
<p>This research is qualitative. To better protect the intangible cultural heritage of Guizhou Nuo opera masks, this paper closely combines the current political and cultural industry backgrounds. It relies on field surveys to investigate the current market demand for Guizhou Nuo masks and the market status of related cultural and creative products. A series of studies were launched with three research objectives: (1) Study the history and development process, classification, artistic characteristics, and cultural connotation of Guizhou Nuo opera masks. (2) Research and analyze relevant theories of cultural creative products and analyze the feasibility of innovative application of Guizhou Nuo opera masks in the design of contemporary cultural creative products. (3) Design cultural and creative products of Nuo opera masks.</p> <p>Based on qualitative research methods, literature review, field survey, expert interview, user experience, and results presentation, the research results found that Guizhou Nuo opera masks are the primary embodiment of contemporary Guizhou culture and traditional Chinese heritage. In the long history of civilization development, the body carries a long history and rich cultural connotations, including various plastic arts and artistic features. It is a unique and precious heritage in the Chinese treasure house and a treasure of Chinese cultural innovation. Guizhou Nuo masks are one of the first batches of intangible cultural heritages listed as key national protections. They have distinct regional and ethnic characteristics and embody the wisdom of the working people of all ethnic groups in Guizhou. The inheritance and innovation of intangible cultural heritage is an enduring topic. Although Guizhou Nuo masks are famous for their dazzling array and all-inclusiveness, they also face the impact of the trends of the times and the aesthetic choices of the audience. Therefore, the inheritance and development of Guizhou Nuo masks should meet the requirements of intangible culture. The inheritance, protection, innovation, and development trends of cultural heritage.</p>Hu MengluArkom Sa-Ngiamvibool
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-272025-02-2781133149Creating Competitive Advantage Educational Management for Chinese International Students of Higher Education Institutions in Thailand
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/276106
<p>The objectives of this research were 1) to study the level of administrative policy variables quality management process innovation and competitive advantage educational management of Chinese students in Thailand, 2) to study the influence of administrative policy variables quality management and process innovation towards competitive advantage educational management of Chinese students in Thailand, and 3) create a competitive advantage model educational management of Chinese students. The research methodology was quantitative the competitive advantage educational management theory conceptual framework. SEM analyzed the population as project leaders in educational management in Thailand, so the sample size was determined using the 20 times the observation variable criterion 16x20= 320 Chinese students. The proportional random sampling method was used. The research instrument was a 5-rating scale questionnaire. The statistical tools used for analysis were structural equation modeling by LISREL and descriptive statistics.</p> <p>The research results revealed that 1) the level of administrative policy variables, quality management process innovation, and competitive advantage educational management of Chinese students in Thailand were high-level quality management and process innovation. 2) Administrative policies, quality management, and process innovation were the critical factors directly affecting process innovation. Universities should urgently pay attention to developing innovation, processes, and processes for universities by bringing technology or innovation from abroad to use in teaching and learning and measures to promote and drive the University to develop innovations for their use. 3) the competitive advantage model, educational management of Chinese students, the researcher developed is called the PQI Model It is because of the policy of the Chinese government. Studying abroad will give Chinese students a new perspective that will be adapted to work in China's government and business sectors.</p>Ma Junshan
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-282025-02-2881150175Needs and Problems of Professional Development of Secondary School English Teachers in Kunming, China
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/276105
<p>This study aimed to achieve two primary objectives: 1) to investigate the professional development needs of secondary school English teachers and 2) to identify the challenges these teachers face during their professional growth. The study also explored key teaching concepts and skills, such as English pronunciation, lesson planning, classroom management, and the underlying theoretical teaching framework. The research focused on 42 secondary school English teachers from seven Kunming Wu District, Yunnan, China schools. The sample included 40 purposively selected teachers, determined using Krejcie and Morgan's sample size formula. These teachers, all Chinese nationals, taught English to students in grades 7-9. The group was diverse regarding educational background, teaching experience, age, and gender. Notably, many of these teachers did not have a degree in English or English education and commonly used Chinese as the medium of instruction. To maintain ethical standards, all participant information was kept confidential and used solely for educational purposes. Data collection involved a four-part questionnaire, with a five-point Likert scale used to assess the teachers' professional development needs and problems. Additionally, two open-ended questions gathered teachers' opinions and suggestions regarding these issues. The data collected from 42 teachers were analyzed using the SPSS software.</p> <p>The findings revealed that secondary school English teachers needed to improve their listening and speaking skills. They also desired to enhance professional development through information technology (IT) and the Internet. However, the study identified significant challenges, including a lack of ongoing feedback in training programs and time constraints due to heavy workloads, which hindered their professional development efforts.</p>Kui Zhang
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-282025-02-2881176200Student Learning Achievement by using Project-Based Learning (PBL) of the Architectural Course at Chongqing Yucai Vocational Education Center, He Chuan District, China
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/276109
<p>The objectives of this study were to 1) compare students' learning achievement before and after PBL implementation using pre-test and post-test comparisons, 2) measure learning outcomes against a 75% mastery criterion, and 3) evaluate student satisfaction with the PBL approach. This research was a quantitative study. The conceptual framework of this research was applied to educational psychology theories related to active learning and constructivism. The population consists of 1,200 students enrolled in architectural courses in the He Chuan District, China. The samples were 291 students, as determined by Krejcie and Morgan's formula. The research instrument was a combination of surveys and tests. Statistics used for data analysis were descriptive statistics, t-tests, and satisfaction indices.</p> <p>The results of this study found that: 1) there was a significant improvement in learning achievement between pre-test and post-test scores; 2) a majority of students met or exceeded the 75% mastery criterion; and 3) students reported high levels of satisfaction with the PBL approach, noting its relevance to real-world applications, opportunities for interdisciplinary work, and the supportive role of instructors.</p>Zhang Linfang
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-282025-02-2881201224The Development of cultural products from waste paper in the context of the Circular Economy
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/275611
<p>This research investigates the creation of cultural products from waste paper within a circular economy framework. The study has three objectives: 1) Explore the historical and cultural significance of the 12 zodiac signs in Luoyang; 2) Assess the properties of waste paper to guide material development experiments; 3) Design and develop products inspired by the 12 zodiac signs using recycled waste paper. The study reveals that Luoyang, as an ancient capital, holds a profound cultural heritage, with the 12 zodiac signs being a significant aspect of Chinese tradition. Field investigations, literature reviews, museum visits, and interviews with folk artists highlight the artistic characteristics and expression methods of these zodiac signs in Luoyang. Modern design concepts can be integrated to enhance these traditional forms to meet contemporary aesthetic and cultural needs. The research identifies increasing paper consumption and low recycling rates, leading to resource waste and environmental pollution. Recycling waste paper is environmentally and economically valuable, offering artistic and cultural innovation opportunities. The research combines traditional zodiac elements with modern design concepts in developing artistic products. Waste paper is processed into raw materials for artistic creation, creating unique cultural products, such as zodiac-themed handbags. These products blend traditional cultural appeal with the environmental benefits and creative potential of waste paper recycling. The findings underscore the significant ecological, economic, and cultural benefits of recycling waste paper within a circular economy.</p>Lu XueyangVuthipong Roadkasamsri
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-282025-02-2881225242The Model of the Competency of the Head Program of Education Hub Thailand
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274815
<p><span data-contrast="auto">This study was a research and development (R&D) which aimed to collect information and develop a Model of the Competency of the Head Program of Education Hub Thailand. The population of this research were students, parents, teachers/staff, and directors. A simple random sampling method was used to get 3,998 samples. The research tool was a questionnaire in Thai and English about Competency of the Head Program of Education Hub in 5 aspects: </span><span data-contrast="none">Personal Characteristics, Personnel Management, Allocation of Budget</span><span data-contrast="auto">, </span><span data-contrast="none">Academic Management</span><span data-contrast="auto">, </span><span data-contrast="none">External Correlation Management respectively</span><span data-contrast="auto">.</span><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559731":567,"335559739":0,"335559740":240}"> </span></p> <p><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559731":720,"335559739":0,"335559740":240}"> </span></p> <p><span data-contrast="auto">The results showed that</span><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559731":720,"335559739":0,"335559740":240}"> </span></p> <ol> <li class="show" data-leveltext="%1." data-font="TH SarabunPSK" data-listid="15" data-list-defn-props="{"335551500":0,"335552541":0,"335559685":1069,"335559991":360,"469769242":[65533,0],"469777803":"left","469777804":"%1.","469777815":"hybridMultilevel"}" aria-setsize="-1" data-aria-posinset="1" data-aria-level="1"><span data-contrast="none">A total of 198 respondents were females, accounting for 56.41% of the sample. Additionally, 157 respondents were students and parents, comprising 44.73% of the sample, and 231 respondents held a high school educational level, making up 65.82% of the respondents.</span><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559685":0,"335559731":709,"335559739":0,"335559740":240,"469777462":[993],"469777927":[0],"469777928":[1]}"> </span></li> </ol> <ol> <li class="show" data-leveltext="%1." data-font="TH SarabunPSK" data-listid="15" data-list-defn-props="{"335551500":0,"335552541":0,"335559685":1069,"335559991":360,"469769242":[65533,0],"469777803":"left","469777804":"%1.","469777815":"hybridMultilevel"}" aria-setsize="-1" data-aria-posinset="2" data-aria-level="1"><span data-contrast="none">Based on the survey, the population sample generally agreed with all aspects, with a mean (x</span><span data-contrast="none">̅</span><span data-contrast="none">) of 4.38 and a standard deviation of 0.40. After considering all aspects, the core competencies for the head of the Education Hub program in Thailand are as follows: Personal Characteristics, Personnel Management, Allocation of Budget, Academic Management, and External Correlation Management, respectively.</span><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559685":0,"335559731":709,"335559739":0,"335559740":240,"469777462":[993],"469777927":[0],"469777928":[1]}"> </span></li> </ol> <ol> <li class="show" data-leveltext="%1." data-font="TH SarabunPSK" data-listid="15" data-list-defn-props="{"335551500":0,"335552541":0,"335559685":1069,"335559991":360,"469769242":[65533,0],"469777803":"left","469777804":"%1.","469777815":"hybridMultilevel"}" aria-setsize="-1" data-aria-posinset="3" data-aria-level="1"><span data-contrast="none">The researcher has developed the 'Model of the Competency of the Head Program of Education Hub Thailand,' which includes its name, purpose, guidelines for its use, definitions of keywords, and a diagram.</span><span data-ccp-props="{"201341983":0,"335551550":13,"335551620":13,"335559685":0,"335559731":709,"335559739":160,"335559740":240,"469777462":[993],"469777927":[0],"469777928":[1]}"> </span></li> </ol>Arthit ChantanathasTeeradet ChuenpraphanusornPrakit Bhulapatna
Copyright (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ
2025-02-282025-02-2881250267