วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS <p>เพื่อเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการหลักรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ บริหารการศึกษา พระพุทธศาสนาปรัชญา และนิติศาสตร์ ตลอดจนบทความวิชาการที่นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ และประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 6 ฉบับ </p> Learning Organization Network of Political Science th-TH วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2730-2970 The application of Yunnan Yi costume color elements in space design https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/273436 <p>Yunnan Province, a multi-ethnic province in the border area of southwest China, is a rich tapestry of diverse ethnic minority cultures and traditional costumes. The Yi people, one of the oldest ethnic minorities in China, have their costumes listed as part of the national intangible cultural heritage, a testament to their specific research value. The author's commitment to integrating Yi costume color culture with contemporary interior space design is not just a theoretical exploration but a practical application that can create a suitable environment for the inheritance of regional ethnic culture and provide more theoretical support and practical application programs for the protection and inheritance of ethnic culture.</p> Ziwang Cheng Isarachai Buranaut Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-15 2024-10-15 7 5 1 16 Woodblock New Year Paintings in Zhuxian Town: The Aesthetic and Innovative Design of Chinese Folk Art https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274842 <p>Our study delves into the innovative development of Zhuxian Town woodblock New Year pictures, integrating them with the design of cultural and creative products. These unique artistic expressions, with their rich cultural connotation, have evolved into traditional Chinese folk art treasures. By examining their historical background, cultural connotation, and creative characteristics, we can deepen our appreciation for the charm and value of this traditional art.</p> <p>The research findings underscore the profound significance of the aesthetics of Zhuxian Town New Year wood-block pictures, which are primarily rooted in cultural, creative, and aesthetic principles. The cultural and artistic connotations and essence are deeply explored by delving into the visual symbols of culture and art in traditional New Year pictures. The characteristics of cultural and artistic elements are then harnessed to innovate with modern design styles and techniques, which are subsequently applied to the design of cultural and creative products.</p> <p> The primary task of researchers in the realm of Chinese traditional art and innovative design is to delve into the aesthetic value of conventional art, apply it to modern design, and conduct innovative design while upholding the core value of traditional art. The creative cultural products of Zhuxian Town New Year wood panel pictures serve as a testament to the successful integration of traditional culture and modern aesthetics, infusing the former with new vitality. In the course of future development, it is imperative to remain vigilant of the shifts in market trends and consumer demand, and to continuously innovate and optimize design concepts and methods to uphold the brand's competitiveness and appeal in the market.</p> Jingjing Jin Prathabjai Suwanthada Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-15 2024-10-15 7 5 17 38 การรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณของพนักงานระดับปฏิบัติการ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274580 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณ 2. ระดับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณ และ 3. ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณของพนักงานระดับปฏิบัติการ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ พนักงานระดับปฏิบัติการที่มีอายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป บริษัทเอกชน จำกัด ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จํานวน 312 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณของพนักงานระดับปฏิบัติการ ด้วยการวิเคราะห์การถดถอย พหุคูณแบบพร้อมกันในครั้งเดียว</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรของพนักงานระดับปฏิบัติการในภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก 2. ระดับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณของพนักงานระดับปฏิบัติการในภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก 3. ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณของพนักงานระดับปฏิบัติการ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณอายุ และปัจจัยด้านสวัสดิการและค่าตอบแทน</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การรับรู้การสนับสนุน การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณ พนักงานระดับปฏิบัติการ</p> กฤตชัย อัคนิรัตน์ อรนุช รู้ปิติวิริยะ Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-15 2024-10-15 7 5 39 55 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำกำไร ของธุรกิจการแพทย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274253 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบอิทธิพลของโครงสร้างเงินทุน สภาพคล่องทางการเงิน ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และมูลค่าของพนักงานในองค์กรของธุรกิจการแพทย์ ที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร แบ่งเป็น 3 มุมมอง คือ อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ และอัตรากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยศึกษาจากงบการเงิน และรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจการแพทย์ ระหว่างปี 2563 – 2565 จำนวน 22 บริษัท ผ่านการวิเคราะห์โดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า สภาพคล่องทางการเงิน และโครงสร้างเงินทุน ทำให้อัตรากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของกิจการลดลง ผู้บริหารจึงต้องวางแผนนโยบายการให้สินเชื่อสำหรับผู้รับบริการด้วยสิทธิประกันสังคม ประกันสุขภาพ และนโยบายเรื่องการจัดหาเงินทุน ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ทำให้อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ธุรกิจจึงต้องจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ และมูลค่าของพนักงานในองค์กร เป็นสิ่งที่ธุรกิจการแพทย์ควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะทำให้ความสามารถในการทำกำไรทั้ง 3 มุมมอง เพิ่มขึ้น ธุรกิจการแพทย์จะประสบผลสำเร็จจึงต้องมุ่งส่งเสริมให้บุคลากรทั้ง แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ มีความรู้ ประสบการณ์ และทักษะการปฏิบัติงานขั้นสูง</p> Anusara Thongcamchoo ดร.สุรชัย เอมอักษร มนตรี สังข์ทอง Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-15 2024-10-15 7 5 56 87 ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274400 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ และ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุการประยุกต์ใช้การผลิตแบบลีนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้บริหาร ผู้จัดการ กลุ่มสถานประกอบการผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 400 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.859 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ผลตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุพบว่า มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ( = 68.943, /df = 1.209, p-value = 0.534, GFI = 0.972, AGFI = 0.952, RMSEA = 0.022 และ CFI = 0.998) และ 2) ประสิทธิภาพการดำเนินงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ได้รับอิทธิพลทางตรงจากปัจจัยการผลิตแบบลีน (LEAN manufacturing) รองลงมาคือ ปัจจัยเจตคติที่มีต่อระบบการผลิตแบบลีน (Attitude) และปัจจัยการบริหารคุณภาพ (TQM) โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.87, 0.84 และ 0.69 ตามลำดับ ผลการวิจัยสะท้อนให้ว่า การกำจัดความสูญเปล่าในการผลิต โดยการรักษาระดับสินค้าคงคลัง (Inventory) ให้มีปริมาณที่น้อย ใช้พนักงานน้อย ใช้พื้นที่ไม่มาก ลดจำนวนซัพพลายเออร์ และลดความผันแปรภายใน ล้วนเป็นการลดต้นทุนและเป็นการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม</p> พัฒนพงษ์ สุหญ้านาง ทิฆัมพร พันลึกเดช วิรุฬห์รัตน์ ผลทวีโชติ Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-29 2024-10-29 7 5 92 110 ปัจจัยด้านคุณภาพการใช้งานที่มีผลต่อการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร บนระบบคลาวด์คอมพิวติง ของ บริษัท อินเทลลิเจนซ์ อินโนเวชั่น จำกัด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274608 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพการใช้งานระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง 2) ศึกษาการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง และ 3) ศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพการใช้งานที่มีผลต่อการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง ของ บริษัท อินเทลลิเจนซ์ อินโนเวชั่น จำกัด กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติงของ บริษัท อินเทลลิเจนซ์ อินโนเวชั่น จำกัด จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ผ่านการหาค่าดัชนีความสอดคลอง (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณภาพการใช้งานระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง พบว่า ด้านความไว้วางใจ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ( &nbsp;= 4.38, S.D. = 0.6734) 2) ผลการศึกษาการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรระบบคลาวด์คอมพิวติง พบว่า ด้านทัศนคติต่อการใช้งาน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ( &nbsp;= 4.62, S.D. = 0.5985) และ 3) ปัจจัยด้านคุณภาพการใช้งานที่มีผลต่อการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง พบว่า ความไว้วางใจ การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ การประกันคุณภาพและความปลอดภัย และการศึกษา มีผลต่อการยอมรับระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนระบบคลาวด์คอมพิวติง ของ บริษัท อินเทลลิเจนซ์ อินโนเวชั่น จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> โชติกา แก้วพิศ นุชรัตน์ นุชประยูร Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-29 2024-10-29 7 5 110 129 มูลค่าเพิ่มสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ กรณีศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274428 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม 3) พัฒนาและประเมินแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 300 คน ด้วยวิธีการคัดเลือกของเครซี่และมอร์แกน (1970) ค่าคลาดเคลื่อนของการสุ่มตัวอย่าง 5% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % และสัดส่วนของลักษณะประชากรที่สนใจเท่ากับ 0.5 สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสนทนากลุ่มเพื่อพัฒนาและประเมินแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้ข้อมูล 9 ท่านและผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. มูลค่าเพิ่มสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( &nbsp; =3.72 S.D. 0.44) โดยทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือทักษะชีวิตและอาชีพ และทักษะสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยีตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็น พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษาและหน่วยงานต่างกันมีความคิดเห็นต่อมูลค่าเพิ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05. โดยทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ และทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม 3) ผลการพัฒนาแนวทางทั้ง 4 คือ ก) การยกระดับคุณภาพและความสามารถด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ข) การส่งเสริมทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม ค) การพัฒนาทักษะด้านชีวิตและอาชีพเพื่อการก้าวสู่สังคมแห่งการทำงานสมัยใหม่และ ง) การพัฒนาเครือข่ายและการสร้างความร่วมมือทางวิชาการเพื่อส่งเสริมศักยภาพและความสามารถทักษะต่างๆที่จำเป็นสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษทั้งในและต่างประเทศ และ 5) ผลการวิพากษ์แนวทาง พบว่าแนวทางทั้ง 4 มีความสอดคล้องกับพลวัตรทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมแห่งการทำงานในโลกปัจจุบันและอนาคต</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> ธีรเดช ชื่นประภานุสรณ์ องค์อร สงวนญาติ ประกฤติ พูลพัฒน์ สุทธาสินี เกสร์ประทุม วราธร อภิรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-29 2024-10-29 7 5 130 147 การมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274711 <p>การศึกษาครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการสร้างการมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร จำนวน 328 คน ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถาม ไปทำการประเมินผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard Deviation) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก (3.16, S.D. = 0.501) , 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่ส่งผลต่อปัจจัยการมีส่วนร่วมในการ ป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร และปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ และระดับการศึกษา ส่งผลต่อปัจจัยการมีส่วนร่วมในการป้องกันยาเสพติดของภาคประชาชนชุมชนวิมานสุข เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อำพร วุฒิกิจ ภูกิจ ยลชญาวง Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 148 162 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งในตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274710 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กระบวนการมีส่วนร่วม และพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้ง 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ภายในตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทุบรี จำนวน 384 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามแนวคิดของ Cochran et al., (1976) โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเอ็นเทอร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยกระบวนการมีส่วนร่วม และพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้ง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (4.11, S.D. = 532) , (4.14, S.D. = 582) 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ สถานภาพ วุฒิการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และอาชีพ ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนในตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยกระบวนการมีส่วนร่วม ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจ การพัฒนา การตรวจสอบ และการตัดสินใจ ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกตั้งในตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าอิทธิพลเท่ากับ .495 หรือคิดเป็น 49.50 เปอร์เซ็นต์</p> ธนาคร สงคราม ภูกิจ ยลชญาวง Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 163 179 ปัจจัยการบริหารจัดการหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274709 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยการบริหารจัดการในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี 2) เปรียบเทียบปัจจัยการบริหารจัดการในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนที่มีชื่อตามทะเบียนบ้านภายในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ภายในตำบลบางเลน หมู่ 11 ที่มีอยู่ตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 330 คน ตามแนวคิดของ Krejcie and Morgan (1970) ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริการจัดการในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พบว่า อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.52 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.571 และปัจจัยส่วนบุคคลในด้านเพศ อายุ สถานภาพ วุฒิการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่งผลต่อการบริหารจัดการในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพ ไม่ส่งผลต่อการบริหารจัดการในหน่วยเลือกตั้งที่ 6 ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี</p> ภูกิจ ยลชญาวง พศิน เพชรจิรานน Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 180 195 การนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E- Commerce) ไปปฏิบัติ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/258220 <p>การวิจัยเรื่อง การนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ (2)&nbsp; เพื่อศึกษาความสําเร็จในการนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ&nbsp; และ (3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการนํานโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ&nbsp; ศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง จากบุคลากรภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 20 คน&nbsp; เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสรุปพรรณนาความผลการศึกษาพบว่า&nbsp; 1) ปัญหาและอุปสรรคของการนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ พบว่า (1) การขาดแคลนบุคลากร (2) ผู้ประกอบการบางส่วนยังไม่เห็นถึงความสำคัญ&nbsp; (3) โครงสร้างพื้นฐานที่จะนำมาใช้&nbsp; (4) องค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ มีภารกิจและอำนาจหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน (5) การขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ประชาชน (6) การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (7) วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ ไม่เพียงพอ&nbsp; และ (8) ประชาชน ขาดความเชื่อมั่น มั่นใจ ในระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์&nbsp; 2) ความสําเร็จในการนำนโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ&nbsp; ประกอบด้วย&nbsp; (1) ด้านนโยบาย (2) ด้านทรัพยากร (3) ด้านความร่วมมือผู้ปฏิบัติงาน (4) ด้านการสื่อสารและกิจกรรมส่งเสริม (5) ด้านองค์กรและคุณลักษณะขององค์กร (6) ด้านผู้กำหนดนโยบาย/ผู้บริหาร และ (7) ด้านสภาพแวดล้อมของนโยบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp; และ&nbsp; 3) ข้อเสนอแนะการนํานโยบายส่งเสริมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ไปปฏิบัติ&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; (1) ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ (2) ควรมีการพัฒนาความรู้และทักษะในด้านวิชาการ และด้านกฎหมายให้กับผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ (3) ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญและสนับสนุนในการนำนโยบายไปปฏิบัติ&nbsp; (4) ปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในด้านต่าง ๆ (5) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม (6) เตรียมความพร้อมของกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย และข้อตกลงต่าง ๆ&nbsp; และ (7) ควรมีการประเมินผลการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง</p> ศันสนะ สุริยะโยธิน กมลพร กัลยาณมิตร สถิตย์ นิยมญาติ ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 198 213 ปัจจัยอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ของบริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET 100 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/276205 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อ ราคาหลักทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET 100 ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิ จำนวน 89 บริษัท รวมทั้งสิ้น 445 ข้อมูล จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET100 ระหว่างปี 2562 - 2566 รวม 5 ปี จากรายงานประจำปี งบการเงินแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และ SETSMART สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) สถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยอัตราส่วนทางการเงินด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม และด้านอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น ส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ ในขณะที่ด้านอัตราส่วนกำไรสุทธิและด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> พิธาน แสนภักดี จุรีพร สุขสมกิจ สุกัญญา วงษ์ลคร จินตนา โสมโสดา สุภานันต์ จันทร์ตรี นฤพล อ่อนวิมล สุมาลี นามโชติ Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 214 229 ผลกระทบจากนโยบายการเมืองในมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี ในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2564 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/273080 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานโยบายของรัฐและกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2564 การใช้อำนาจของรัฐและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการต่อสู้ของฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน และผลกระทบการบังคับใช้มาตรการจำกัดการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการวิจัยเชิงเอกสารและการสัมภาษณ์เจาะลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยนำเอาแนวคิดกลุ่มผลประโยชน์ แนวคิดการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ และทฤษฎีชนชั้นนำ เป็นกรอบในการวิจัย</p> ธนัท การพานิช Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-30 2024-10-30 7 5 230 247 ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/274706 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการรับรู้และทัศนคติ 2) ระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความผิดชอบต่อสังคม 3) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 232 คน ภายใต้แนวคิดของ Krejcie &amp; Morgan (1970) ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ t-test, F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเอ็นเทอร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการรับรู้และทัศนคติ อยู่ในระดับมาก (=4.12, S.D.=.510)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2) ระดับปัจจัยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม อยู่ในระดับมาก (=4.07, S.D.=.492) 3) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประสบการณ์ในการทำงาน ไม่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ปัจจัยการรับรู้และทัศนคติมีผลต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมของพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าพยากรณ์อิทธิพลเท่ากับ .697 หรือคิดเป็น 69.70 เปอร์เซ็นต์</p> ภูกิจ ยลชญาวง ปกรณ์ ศรีเรือง Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-10-31 2024-10-31 7 5 248 263 Factors Affecting Student Engagement in Vocal Education: The Role of Flow Experience and Learning Motivation in Music Pedagogy https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/277236 <p>This study examines the role of flow experience in enhancing learning motivation and engagement within music education, particularly from the perspective of vocal training. Acknowledging a gap between traditional teaching methods and contemporary learners' needs, it aims to bridge this through innovative teaching designs that promote flow experiences. The research identifies critical teaching design elements that foster flow, aiming to enhance teaching efficacy and student satisfaction. The findings contribute to a deeper understanding of how flow experience can be integrated into music education to meet diverse student needs, significantly improving learning motivation and engagement. This work fills a research gap by offering concrete analysis and practical recommendations for applying flow theory in vocal education, highlighting the importance of modern technology and methodologies in revitalizing music education practices.</p> Kong Jiayin Copyright (c) 2024 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2024-11-02 2024-11-02 7 5 264 287