วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS <p>เพื่อเป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการหลักรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ บริหารการศึกษา พระพุทธศาสนาปรัชญา และนิติศาสตร์ ตลอดจนบทความวิชาการที่นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ และประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 6 ฉบับ </p> Learning Organization Network of Political Science th-TH วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2730-2970 แนวทางที่เหมาะสมเพื่อป้องกันผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281625 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมที่เป็นภัยในโลกไซเบอร์ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ข่าวปลอม และการฉ้อโกงออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การตีความและบังคับใช้กฎหมายในบางมาตราก่อให้เกิดข้อกังวลด้านการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล บทความจึงนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การปรับถ้อยคำกฎหมายให้ชัดเจน การเสริมสร้างความโปร่งใส และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเป็นอิสระ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพควบคู่กับการเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสังคมประชาธิปไตย</p> นายพิพิชญ์ พิศรูป ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 74 84 ผู้นำท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/277735 <p>ผู้นำท้องถิ่นมีความสำคัญต่อท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้นำท้องถิ่นจะทำหน้าที่บริหารและการพัฒนาท้องถิ่นให้ประสบความสำเร็จ จากการทบทวนวรรณกรรม เอกสาร ตำรา พบว่า ผู้นำท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพควรมีคุณลักษณะ คือ 1) มีวิสัยทัศน์ 2) มีบุคลิกภาพที่ดี 3) มีความมุ่งมั่นในการทำงานและอดทน 4) มีคุณธรรมจริยธรรม 5) ใช้หลักการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน 6) มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงานที่ดี 7) มีความคิดริเริ่มและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 8) มีความสามารถในการสื่อสาร 9) สนับสนุนและช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา 10) มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจ และ 11) รู้จักใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 12) บริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล ประกอบด้วยหลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า 13) มีความรู้ความสามารถเชิงการบริหารการจัดการและการพัฒนาชุมชน 14) มีภาวะผู้นำ ผู้ตามในตัวตน 15) มีระบบวิธีคิดในเชิงระบบ และ 16) มีการปรับตัวให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง</p> <p>&nbsp;</p> ว่าที่ร.ต.หญิงภาภรอัณณ์ อัจกลับ จักรวาล สุขไมตรี กีรติวรรณ กัลยาณมิตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 122 138 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/279504 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ โดยใช้กรอบแนวคิดทางการบริหารที่สำคัญ ได้แก่ ทฤษฎีระบบราชการของ Max Weber, แนวคิดวิทยาศาสตร์การจัดการของ Frederick W. Taylor, ทฤษฎี POCCC ของ Henri Fayol, ทฤษฎี POSDCoRB ของ Lyndall Urwick และ Luther Gulick และทฤษฎี 7S ของ McKinsey ซึ่งแต่ละแนวคิดล้วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวทาง<br>การบริหารองค์กรภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การบริหารจัดการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการบูรณาการแนวคิดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีระบบระเบียบ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นความสำคัญของโครงสร้างองค์กร ระบบการบริหาร และค่านิยมร่วมของบุคลากร นอกจากนี้ การวางแผน การควบคุม และการใช้ทรัพยากรมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จของหน่วยงานภาครัฐ ผลการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน</p> ศุภัชฌา แจ่มใส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 105 121 THE Active Ingredients of Fresh Cannabis and Alternative Medicine https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281301 <p style="font-weight: 400;">กระทรวงสาธารณสุขปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2565 ให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรควบคุม สามารถนำมาใช้ประโยชน์โดยการสกัดสาร THC และ CBD ปริมาณไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก ปัจจุบันมีการนำมาใช้ในทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยมีข้อแม้ว่าสารสกัดจะต้องผลิตภายในประเทศเท่านั้น ได้มีการนำกัญชามาใช้ในการรักษาแพทย์ทางเลือก เพื่อบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยและโรคต่าง ๆ ที่รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ในกัญชามีสารสำคัญ คือ THC และ CBD นำมาใช้ในการต้านโรคมะเร็ง การอาเจียน กระตุ้นความอยากอาหาร แก้ปวด สาร THC มีฤทธิ์ต้านเนื้องอกในสมอง&nbsp; ส่วนสาร CBD ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในยานาบีโลน เป็นยาในกลุ่มแคนนาบินอยส์ ใช้บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการทำเคมีบำบัด ช่วยให้ผู้ป่วยพาร์กินสันมีอาการสั่นน้อยลง ขยับตัวได้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าใช้อย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เกิดภาวะดื้อต่อสาร ต้องเพิ่มขนาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิมทำให้ติดยาได้&nbsp; แต่กัญชาสดมีสารสำคัญคือ THCA และ CBDA สำหรับ A คือสารประกอบในรูปแบบกรดธรรมชาติ&nbsp; ถ้า THCA และ CBDA ถูกเก็บไว้เป็นเวลานานหรือสัมผัสกับความร้อน ไฟโตแคนนาบินอยด์ที่เป็นกรดจะสลายตัว หรือ ดีคาร์บอกซิเลชัน&nbsp; สาร THCA และ CBDA พบได้ในดอกและใบกัญชาสด THCA ส่วนกรดเตตร้าไฮโดรแคนนาบินอลิก เป็นสารแคนนาบินอยด์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท โดยต้องบริโภคในรูปแบบที่ยังไม่แปรรูป ได้มีการศึกษาทดลองกลุ่มตัวอย่างในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่รักษากับแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว อาการป่วยไม่ดีขึ้น จึงเปลี่ยนมาใช้น้ำคั้นกัญชาสดแทน ทำให้อาการป่วยทุเลาและหายป่วยได้ เช่น โรคโรคลูปัส หรือ SLE โรคเนื้องอกในสมองและโรครูมาตอยด์ เป็นต้น แต่การใช้กัญชาสดควรระมัดระวังในการนำไปใช้&nbsp; เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคต้องปลูกกัญชาโดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ&nbsp; เนื่องจากอาจจะมีสารปนเปื้อนที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ เพราะกัญชามีความสามารถในการดูดซับโลหะหนักได้อย่างดี&nbsp; กัญชาสดที่นำมาใช้อาจจะมีการปนเปื้อน โดยเฉพาะโลหะหนักจำพวกตะกั่ว (Pb) แคดเมียม (Cd) สารหนู (As) และปรอท (Hg) &nbsp;โลหะหนักจะตกค้างอยู่ในส่วนของใบและดอกกัญชา หากร่างกายได้รับสาร THCA และ CBDA เข้าไปปริมาณมาก ก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาสุขภาพก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นมาได้</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;</p> Kriangsak Phramphun ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 1 21 ฺฺBUDDHISM CULTURE TOURISM ROUTES TO PROMOTE DUNHUANG CULTURE DEVELOPMENT; SYSTEMATIC LITERATURE REVIEW https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/280957 <p>Many cultural heritage sites face challenges in preserving historical significance while promoting tourism to drive economic growth. Dunhuang, a notable cultural hub, confronts similar issues as it seeks to attract tourism while protecting its valuable Buddhist heritage. This literature review examines the key factors contributing to the successful integration of Buddhist culture in tourism development to support cultural tourism in Dunhuang. Focusing on studies published between 2016 and 2023, the review explores various practical strategies, such as cultural preservation initiatives, infrastructure improvements, and community engagement programs, which have supported sustainable tourism and heritage conservation. Experts emphasize the importance of preserving cultural authenticity while enhancing the tourist experience, noting that investments in infrastructure, especially in transportation, accommodation, and preservation technology, are essential for sustainable tourism growth. Furthermore, collaborative efforts, including government policy support and community involvement, are critical in balancing cultural preservation and tourism development. This study highlights the importance of a well-rounded approach, where preservation, infrastructure, and community engagement collectively enhance Dunhuang's cultural tourism experience.</p> Ping Qin Phuvanart Rattanarungsikul ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 22 43 Perspectives and Opinions on the Application of ChatGPT for English Writing of Thai University Students in Bangkok https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/280437 <p>This research explores 1) the perspectives and opinions of Thai university students in Bangkok regarding the use of ChatGPT for improving their English writing skills. 2) to compare the perspectives and opinions of Thai university students in Bangkok regarding the use of ChatGPT. The quantitative research was done with a sample of 400 university students. The reliance on the questionnaire is 0.89. The statistics used for analysis were mean, percentage, standard deviation, t-test and one-way ANOVA.</p> <p>The results found that: 1) 62.75 % of respondents were female, 34.70 % were between the ages of 28-32, 59.90% had a master's degree, and 30.25% had experience using ChatGPT between 7 -12 months. 2) Overall, the opinions were at a very high level of agreement, with a mean of 4.40. When considering each item, Perspectives and Opinions on the application of ChatGPT in English Writing; Using ChatGPT to translate Thai sentences into English was at a very high level of agreement (= 4.65), Improved and checking Grammar was at a very high level of agreement (=4.53) and improve Vocabulary was at a very high level of agreement &nbsp;(= 4.49). 3) In hypothesis testing, the students of different genders had statistically significant differences in perspectives and opinions on the Application of ChatGPT in English Writing at the level of .05. (t=5.87, p=.000). Students of various ages and level of education have perspectives and opinions with statistically significant differences at the level of. 0.5. (F=9.75, p=.000). Students have different experience using ChatGPT, had statistically significant differences at the level of .05. (F=10.43, p=.000).</p> Teeradet Chuenpraphanusorn Ongorn Snguanyat Prakit Bhulapatha ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 44 56 แนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/279303 <p>ปัญหาความยากจนในปัจจุบันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน<br>เป็นอย่างมากเป็นปัจจัยพื้นที่และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตกับประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น การศึกษาในครั้งนี้จึงมีความสนใจศึกษา 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ความยากจนของครัวเรือนยากจน<br>ในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร และ 3) เพื่อหาแนวทางและกระบวนการการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การช่วยเหลือครัวเรือนยากจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; จำนวน 20 คน วิเคราะห์ด้วยการตีความสร้างข้อสรุป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสถานการณ์ความยากจน พบว่า ครัวเรือนในพื้นที่มีจำนวนรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ การขาดโอกาสหรือทางเลือกในการประกอบอาชีพ ความเข้าใจเกี่ยวกับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การเพิ่มพูนความรู้ ปัญหาสุขภาพ คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดความรู้ความเข้าใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐ การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมยังมีน้อยและการปรับตัวในสังคมที่มีความเป็นเมืองมากขึ้นทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคม 2) การแก้ไขปัญหาความยากจนพบว่า บูรณาการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นกระบวนการในการนำศาสตร์หรือความรู้วิชาต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันนำมาเข้าด้วยกันหรือผสมผสานได้อย่างกลมกลืน ส่งเสริมภาคีเครือข่ายการทำงานร่วมกัน มีโครงการกองทุนชุมชนเพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มในการประกอบอาชีพ และ 3) แนวทางและกระบวนการการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ควรมีการพัฒนาทุนมนุษย์ ความรู้ ความสามารถด้านแรงงาน คุณภาพแรงงาน มีสุขภาพดี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุนทางสังคม เกิดการรวมกลุ่มสมาชิก มีกฎ กติกา ข้อบังคับ กิจกรรมร่วมกันทำให้ลดความเหลื่อมล้ำ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุนทางเศรษฐกิจสามารถลดรายจ่าย ทุนทรัพยากรธรรมชาติ ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ใช้แหล่งน้ำของชุมชนเพื่อปลูกพืชผักและพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทุนทางกายภาพ โดยใช้พื้นที่สาธารณะ สร้างอาชีพ อาหารปลอดภัย และเกิดสังคมเกื้อกูลที่ยั่งยืน ทั้งนี้ควรมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับชุมชนนั้น ควรเริ่มต้นจากกลุ่มขนาดเล็กที่มีความพร้อม มีความสนใจเข้าร่วมและต้องร่วมกันนำเสนอปัญหาร่วมกันก่อนลงมือทำ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานร่วมกันอย่างบูรณาการ</p> ่jidapa jantasiri ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 57 73 Sustainable Supply Chain Management in Industrial Businesses in the Eastern Region https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281321 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการดำเนินการซัพพลายเชนที่ยั่งยืนในธุรกิจอุตสาหกรรมภาคตะวันออก 2) สำรวจกระบวนการและกลยุทธ์ที่ธุรกิจอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกนำมาใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการซัพพลายเชนที่ยั่งยืน และ &nbsp;&nbsp;&nbsp;3) วิเคราะห์ผลกระทบของการจัดการซัพพลายเชนที่ยั่งยืนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการสัมภาษณ์กลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านการจัดการซัพพลายเชน หรือผู้ที่สามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยได้ ผู้เข้าร่วมการสัมภาษณ์ประกอบด้วยผู้บริหารจากภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรทางการศึกษา รวมจำนวน 10 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) มีปัจจัยหลายประการที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาระบบซัพพลายเชนที่ยั่งยืน โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม 2) การคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่ยั่งยืนเป็นกระบวนการสำคัญที่ธุรกิจในภาคตะวันออกของประเทศไทยใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการซัพพลายเชนที่ยั่งยืน และ 3) ในการประเมินผลกระทบของการจัดการซัพพลายเชนที่ยั่งยืนต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความไว้วางใจจากผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการดำเนินการซัพพลายเชนที่ยั่งยืนและช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน</p> เขมจินันท์ เทิดทูนการค้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 85 103 สมรรถนะที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281318 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ปัจจัยด้านส่วนบุคคล เช่น เพศ, อายุ, ประสบการณ์ทำงานและตำแหน่งงาน ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) เพื่อศึกษาสมรรถนะการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์, การบริการที่ดี, การสั่งสมความเชี่ยวชาญในงาน, การยึดดมั่นในความถูกต้องและจริยธรรม, และการทำงานเป็นทีม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือพนักงานใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จำนวน 381 ราย ซึ่งตอบแบบสอบถามที่ใช้เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.86 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ได้แก่ Independent Sample T-Test, One-Way ANOVA และการถคถอยแบบพหุคุณ (Multiple Regression) เพื่อทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะต่อการปฏิบัติงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากทั้ง 5 ด้าน ( = 4.39, S.D. = .389) ประกอบด้วย ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านการบริการที่ดี ด้านการสั่งสมความเชี่ยวชาญ ด้านการยึดมั่นในความถูกต้อง และด้านการทำงานเป็นทีม 2) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือโดยภาพรวม &nbsp;&nbsp;&nbsp;อยู่ในระดับมาก ( &nbsp;= 4.29, S.D. = .465) ประกอบด้วย ด้านคุณภาพของงาน ด้านปริมาณงาน ด้านเวลา และด้านค่าใช้จ่าย และ3) ผลเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> <p>&nbsp;</p> ศักดิ์ดา เกิดการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 139 152 อิทธิพลของอัตราบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเฉพาะธนาคาร และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่มีต่อ อัตราการเติบโตของสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทยช่วงก่อนและหลัง พระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/279913 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของอัตราบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเฉพาะธนาคาร และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ที่มีต่ออัตราการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ช่วงก่อนและหลังพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลทุติยภูมิแบบอนุกรมเวลา รายไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2554 ถึง ไตรมาส 2 ปี 2567 รวม 52 ไตรมาส วิเคราะห์ด้วยแบบจำลองถดถอยพหุคูณ ประกอบด้วยตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปรได้แก่ อัตราบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝาก สินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อ ตัวแปรหุ่นได้แก่ พระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ผลการศึกษาพบว่าตัวแปรเศรษฐกิจถดถอย อัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝาก สินทรัพย์สภาพคล่อง อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มีอิทธิพลเชิงบวกกับอัตราการเติบโตของสินเชื่อ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อ และพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือทางการเงินฯ มีอิทธิพลเชิงลบกับการเติบโตของสินเชื่อ</p> ปลายฟ้า ศิริวรวาท พรวรรณ นันทแพศย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 153 177 ความคาดหวังและความพึงพอใจที่มีต่อการใช้บริการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ของผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/280548 <p>การศึกษาวิจัย ความคาดหวังและความพึงพอใจที่มีต่อการใช้บริการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ของผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจที่มีต่อร้านค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปลีกรูปแบบใหม่ของผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวาย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวายที่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; มาจากการคัดเลือกแบบโควตา จำนวน 400 ราย โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ , ค่าร้อยละ , ค่าเฉลี่ย , ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน , Independent Sample T - test , One - Way ANOVA , Paired Sample T - test , และการวิเคราะห์ความคาดหวังและความพึงพอใจด้วยเทคนิค IPA (Importance - Performance Analysis)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะประชากรศาสตร์ส่งผลต่อการเข้าใช้บริการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ไม่แตกต่างกันและผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชันวายมีความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการเข้าใช้บริการร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด บรรจุภัณฑ์ บุคลากร อำนาจการต่อรอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ เมื่อทำการวิเคราะห์ความคาดหวังและความพึงพอใจด้วยเทคนิค IPA (Importance - Performance Analysis) พบว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด อยู่ใน Quadrant A ผลิตภัณฑ์ ราคา การสื่อสารและ <strong>&nbsp;</strong>การให้ข้อมูล บุคลากร อยู่ใน Quadrant B และบรรจุภัณฑ์ อำนาจการต่อรอง อยู่ใน Quadrant C</p> ริญญาภัทร์ เขจรนันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-10-31 2025-10-31 8 5 178 193 แนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำบางนรา กรณีศึกษา ชุมชนกาแลตาแป ชุมชนกาแลปาแย และชุมชนตลาดเก่า https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281694 <p>&nbsp;</p> <p>การวิจัยนี้ศึกษาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำบางนรา กรณีศึกษา ชุมชนกาแลตาแป ชุมชนกาแลปาแย และชุมชนตลาดเก่า จังหวัดนราธิวาส โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสาเหตุของการก่อให้เกิดขยะมูลฝอยในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำบางนรา 2) เพื่อศึกษาผลกระทบจากปัญหาขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำบางนรา 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการปัญหาขยะมูลฝอยและสร้างรายได้จากขยะมูลฝอยในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำบางนรา ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างและผู้ให้ข้อมูลหลักออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 335 คน จาก 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนกาแลตาแป ชุมชนกาแลปาแย และชุมชนตลาดเก่า กลุ่มที่ 2 ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 3 คน ได้แก่ หัวหน้ากองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน และพนักงานกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถาม (Questionnaire) และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์สถิติสำเร็จรูป และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) สาเหตุของเกิดขยะมูลฝอยมาจากพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน การขยายตัวของชุมชน ร้านค้าในพื้นที่ไม่ได้มีการคัดแยกประเภทขยะมูลฝอยก่อนนำไปกำจัด ขยะมูลฝอยลอยมาตามกระแสน้ำกองรวมกันที่ริมแม่น้ำบางนราเกิดการสะสมของขยะมูลฝอยเป็นจำนวนมาก 2) ผลกระทบจากปัญหาขยะมูลฝอยมี 6 ด้าน ได้แก่ ด้านผลกระทบระยะยาว ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขอนามัย ด้านสังคม ด้านคุณภาพชีวิต และด้านเศรษฐกิจ 3) ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บางนราควรนำหลัก 3R เข้ามาใช้ในการจัดการปัญหาขยะมูลฝอยในพื้นที่ ครัวเรือนควรคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทาง คือ ให้ครัวเรือนในชุมชนแต่ละครัวเรือนคัดแยกขยะมูลฝอยก่อนนำไปทิ้ง ณ จุดรวบรวมขยะมูลฝอยหรือก่อนการนำไปกำจัด รวมถึงทางเทศบาลเมืองนราธิวาสควรส่งเสริมโครงการอบรมให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่ในการคัดแยกขยะมูลฝอย การกำจัดขยะมูลฝอยแต่ละประเภทให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล</p> สันติกร มะ บารมี หลังยาหน่าย อิบรอฮิม สารีมาแซ สีตีฮายาร์ หามะ ซูไวบะห์ สะมะแอ นัสริน มะเระ มูฮัมมัดอัฟนันท์ บินกอร์เดร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-11-02 2025-11-02 8 5 194 206 ผลของนวัตกรรมเมล็ดหมากนวดเท้าต่อการบรรเทาอาการชาเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุด้วยแนวคิดการมีส่วนร่วม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281197 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลของนวัตกรรมเมล็ดหมากนวดเท้าต่อการบรรเทาอาการชาเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุด้วยแนวคิดการมีส่วนร่วม 2)&nbsp; เพื่อเปรียบเทียบระดับอาการชาเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุก่อนและหลังการทดลองใช้นวัตกรรมเมล็ดหมากนวดเท้าด้วยแนวคิดการมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่&nbsp; ผู้สูงอายุทั้งเพศชายและ เพศหญิงที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน และมีอาการชาเท้าตั้งแต่ 1 จุดขึ้นไป ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท้ายหาด จังหวัดสมุทรสงคราม คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) จำนวน &nbsp;30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลของการใช้ก่อนและหลังการทดลองใช้นวัตกรรม ฯ ด้วย Paired-Sample t-test และมีการวัดซ้ำด้วย Repeated Measurement Analysis ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุส่วนใหญ่มี ความคิดเห็นว่า นวัตกรรมเมล็ดหมากนวดเท้าต่อการบรรเทาอาการชาเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุด้วยแนวคิดการมีส่วนร่วมสามารถลดอาการชาที่เท้าได้มากที่สุด (<strong>&nbsp;4.67, S.D. = .547) </strong>ค่าคะแนนเฉลี่ยระดับอาการชาเท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวานในผู้สูงอายุหลังจากการใช้นวัตกรรมเมล็ดหมากนวดเท้าด้วยแนวคิดการมีส่วนร่วม จากการใช้โมโนฟิลาเมนท์ตรวจวัดระดับความรู้สึกที่เท้า 4 จุด ของเท้าแต่ละข้าง ได้แก่ หัวแม่เท้า และหัวกระดูกฝ่าเท้า (metatarsal head) ที่ 1, ที่ 3 และที่ 5 โดยจะประเมินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง&nbsp; เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ดีกว่าก่อนการใช้ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วีณา จันทรสมโภชน์ ณิชาธร ขึ้นนกขุ้ม อัญวีณ์ วงศ์สุดาสิทธิ์ สุวรรณภา โตอดิเทพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-11-02 2025-11-02 8 5 207 223 แนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/WPSMS/article/view/281077 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร โดยมีเป้าหมายหลักได้แก่ 1. เพื่อศึกษาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร 2. เพื่อศึกษาเป้าหมายของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร</p> <p>&nbsp;การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน วิเคราะห์ด้วยการตีความสร้างข้อสรุป ผลการศึกษาพบว่า 1. ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร มีความพร้อมอย่างมากในการเอื้ออำนวยต่อการพัฒนา การปรับปรุง หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ทางศิลปวัฒนธรรม ประเพณี แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับนักท่องเที่ยวที่เพียงพอ 2. เป้าหมายของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองในพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร คือ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาจังหวัดพิจิตรให้เป็นเมืองสร้างสรรค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ 3. แนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของพื้นที่ อ.เมือง จ.พิจิตร 1) ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักรผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 2) สนับสนุนสินค้าและบริการ OTOP/SMEs สู่ตลาดสากล 3) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดพิจิตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 4) จัดกิจกรรมประจำปีที่เป็นสัญลักษณ์วัฒนธรรมหรือจุดเด่นของพื้นที่ จ.พิจิตร เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว</p> <p>&nbsp;</p> ธนวรรธน์ มุทาญาณากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารรัฐศาสตร์รอบรู้และสหวิทยาการ 2025-11-09 2025-11-09 8 5 224 240