https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/issue/feed สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย 2025-01-14T15:35:52+07:00 Built Environment Inquiry Journal journalarchkku@gmail.com Open Journal Systems <div id="sponsors"> <p>วารสารสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย<br />คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผ่านการรับรองคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) จากวารสารกลุ่มที่ 2 ได้เลื่อนเป็นกลุ่มที่ 1 ประกาศ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564</p> <p>Editor : ผศ. ดร. ปัทมพร วงศ์วิริยะ</p> </div> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/270524 การพัฒนาแผ่นปลูกพืชแทนดินระบายน้ำจากเส้นใยรกมะขามสำหรับสวนหลังคา 2024-10-21T15:05:09+07:00 ศิริสวัสดิ์ จองบุดดี sirisawat.j@ku.th ณัฏรี ศรีดารานนท์ nattaree.sr@ku.th โสภา วิศิษฏ์ศักดิ์ sopa.v@ku.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดในการพัฒนาแผ่นปลูกพืชแทนดินระบายน้ำสำหรับสวนหลังคาจากเส้นใยรกมะขาม ที่ผนวกระหว่างประโยชน์ใช้สอยด้านการส่งเสริมให้พืชเจริญเติบโตเสมือนการปลูกพืชในดิน กับประสิทธิภาพในการระบายน้ำบริเวณสวนหลังคา ภายใต้แนวคิดการนำเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรมาพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมสำหรับการปลูกพืชบนอาคาร โดยการเปรียบเทียบคุณสมบัติทางกลศาสตร์ของเส้นใยจากพืช ความเหมาะสมของเส้นใยจากพืชชนิดต่าง ๆ ต่อการนำมาประยุกต์เป็นวัสดุปลูกพืชแทนดิน บทความนี้จะนำเสนอการขึ้นรูปวัสดุปลูกพืชฯ ในส่วนท้ายเพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะทางกายภาพและคุณสมบัติพื้นฐานของเส้นใยรกมะขามในการขึ้นรูปเป็นแผ่นโดยปราศจากวัสดุประสานอื่น เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์ และประเมินระยะเวลาการคงรูปของวัสดุ รวมถึงการประเมินช่วงเวลาการย่อยสลายตัวทางชีวภาพเบื้องต้นของเส้นใยฯ โดยอ้างอิงผลการทดสอบการย่อยสลายตัวทางชีวภาพเบื้องต้นด้วยเครื่อง UV Weathering Tester จากนั้นนำเส้นใยที่ได้ไปทดสอบแรงดึง (Tensile Strength) และค่าความหยืดหยุ่นของเส้นใยด้วยเครื่อง Tensile Testing เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติกับเส้นใยรกมะขามทั่วไป</p> <p>ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า เส้นใยรกมะขามที่ผ่านการจำลองการใช้งานด้วยเครื่อง UV Weathering Tester จำนวน 30, 90 และ 180 Cycle (ในที่นี้กำหนดให้ 1 Cycle เท่ากับ 1 วัน ในสภาวะอากาศปกติภายนอกอาคาร) สามารถรับแรงดึงได้ถึง 186.402 N/mm<sup>2</sup>, 151.286 N/mm<sup>2</sup> &nbsp;และ 133.230 N/mm<sup>2</sup> &nbsp;ตามลำดับ โดยเส้นใยรกมะขามทั่วไปสามารถรับแรงดึงอยู่ที่ 273.242 N/mm<sup>2</sup> <sup>&nbsp;</sup>ด้วยลักษณะทางกายภาพของเส้นใยรกมะขามที่มีความเหนียวแน่นและยึดเกาะกันเป็นก้อนได้ดี แผ่นปลูกพืชดังกล่าวนอกจากจะเป็นการช่วยระบายน้ำบริเวณสวนหลังคา ในขณะเดียวกันเส้นใยรกมะขามยังทำหน้าที่เป็นชั้นกรองอนุภาคอื่น ๆ ที่ปะปนมากับน้ำ จึงช่วยให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อเส้นใยฯ ชุ่มน้ำจะสามารถพองและขยายตัวเกิดเป็นรูพรุน เพื่อให้น้ำ อากาศ และธาตุอาหารแทรกซึมผ่านได้ จากผลการทดสอบข้างต้นสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบและพัฒนาวัสดุปลูกแทนดินในสวนหลังคาหรือประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่ใกล้เคียงกัน และเส้นใยรกมะขามถือว่าเป็นเส้นใยธรรมชาติจากพืชที่มีศักยภาพเหมาะจะนำไปพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต</p> 2025-02-03T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/274852 การศึกษาเปรียบเทียบอิทธิพลของพืชพรรณสามชนิดต่อประสิทธิภาพการชะลอการไหลบ่าของน้ำฝนโดยหลังคาเขียวแบบไม่ใช้สอย 2024-11-01T15:23:05+07:00 พิมพ์วดี งามศิริ pimwadee13@gmail.com กันติทัต ทับสุวรรณ kantitut.t@ku.th <p>หลังคาเขียวเป็นหนึ่งในนวัตกรรมอาคารที่มีบทบาทในการบริหารจัดการน้ำฝนอย่างยั่งยืน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของพืชพรรณ 3 ประเภท (พืช C3, C4, CAM) ที่มีกระบวนการสังเคราะห์แสงที่แตกต่างกันต่อประสิทธิภาพการชะลอการไหลบ่าของน้ำฝน ทำการทดลองเชิงปฏิบัติการโดยติดตั้งชุดทดลอง 4 ชุด ได้แก่ กระบะทดลองหลังคาคอนกรีต และกระบะทดลองหลังคาเขียวที่ปลูกด้วยพืช C3 (ถั่วบราซิล), C4 (หญ้ามาเลเซีย) และ CAM (ริบบิ้นชาลี) เปรียบเทียบความสามารถในการชะลอน้ำของชุดทดลองแต่ละชุด โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลน้ำฝนในกรุงเทพฯ ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม และแปลงข้อมูลเพื่อจำลองเหตุการณ์ฝนตก และระยะเวลาฝนทิ้งช่วงตามลำดับ ดังนี้ เหตุการณ์ที่ 1 ฝนปานกลาง ระยะเวลา 22 นาที ระยะเวลาฝนทิ้งช่วง 2 วัน, เหตุการณ์ที่ 2 ฝนหนัก ระยะเวลา 100 นาที ระยะเวลาฝนทิ้งช่วง 3 วัน และเหตุการณ์ที่ 3 ฝนปานกลาง ระยะเวลา 26 นาที ระยะเวลาฝนทิ้งช่วง 4 วัน</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืชเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการกักเก็บน้ำของหลังคาเขียว โดยพืช C4 มีประสิทธิภาพในการชะลอน้ำฝนดีที่สุด รองลงมาคือพืช C3 และ CAM ในเหตุการณ์ที่ 1 พืช C4 กักเก็บน้ำฝนได้มากที่สุด 77-82% พืช C3 และ CAM กักเก็บน้ำฝนได้ 45-60% และ27-28% ตามลำดับ ในเหตุการณ์ที่ 2 พืช C4 และ C3 กักเก็บน้ำฝนได้ 9-11% และ 1-6% ตามลำดับ ในขณะที่พืช CAM ไม่สามารถกักเก็บน้ำฝนได้เลย ในเหตุการณ์ที่ 3 พืช C4 กักเก็บน้ำฝนได้มากที่สุด 70-73% พืช CAM และ C3 กักเก็บน้ำฝนได้ 57-64% และ 40-54% ตามลำดับ นอกจากนี้ปัจจัยด้านสภาพอากาศในระหว่างการทดลอง (ความเข้มฝน ระยะเวลาฝนทิ้งช่วง ข้อมูลด้านสภาพอากาศ) ทำให้พืช C4 มีอัตราการคายน้ำที่ดีที่สุด ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำในกระบวนการเจริญเติบโตมากที่สุดเช่นกัน ประกอบกับลักษณะทางกายภาพของตัวแทนพืช C4 คือหญ้ามาเลเซียซึ่งเป็นพืชคลุมดิน มีความหนาแน่นมาก ใบใหญ่ ทำให้สามารถสกัดกั้นน้ำได้ดีกว่าตัวแทนพืช C3 และ CAM ดังนั้น ในการวิจัยนี้ หญ้ามาเลเซีย (C4) จึงเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการชะลอการไหลบ่าของน้ำฝนดีที่สุด แต่การนำไปใช้งานควรมีการออกแบบระบบรดน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของพืชและควรเตรียมช่องทางที่สามารถเข้าไปดูแลรักษาพืชพรรณได้อย่างทั่วถึง</p> 2025-02-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/271294 การท่องเที่ยวชุมชนบนฐานทุนนิเวศสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและ สังคมฐานรากอย่างสร้างสรรค์ ตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา 2024-12-04T16:20:21+07:00 ทัชชญา สังขะกูล tachaya.s@rmutsv.ac.th เรืองรัมภา อินทรักษ์ ruengrumpa.i@rmutsv.ac.th วรสุดา ขวัญสุวรรณ nongwarada@hotmail.com พิมพ์ภัช ภู่ทอง ฤทธิ์เดช pimpashrit@gmail.com ภานุพันธ์นัดดา ดำนุ้ยราวัฒน์ nivith2581@gmail.com <p>ปัญหาด้านการบริหารจัดการในพื้นที่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวของชุมชนบ้านขาว โดยมีปัญหาหลัก ได้แก่ การขาดการเชื่อมโยงฐานทุนนิเวศ การขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยกระดับศักยภาพอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการขาดองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวที่จำเป็นต่อการพัฒนาพื้นที่ยั่งยืน นอกขากนี้ ยังประสบปัญหาการขาดกระบวนการรับรู้ การประชาสัมพันธ์ และสื่อเผยแพร่องค์ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวชุมชนบ้านขาวให้ก้าวสู่การยกระดับด้านแหล่งท่องเที่ยว รายได้ อาชีพ และ คุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน กระบวนการสำคัญที่ใช้ในการดำเนินงานวิจัย คือ การสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การกำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวแบบองค์รวม การเชื่อมโยงฐานทุนนิเวศเพื่อเกิดความสมดุล การวางแนวทางพัฒนาและยกระดับศักยภาพพื้นที่อย่างสร้างสรรค์ การสร้างองค์ความรู้และหลักสูตรที่เหมาะสม การสร้างเครือข่ายในชุมชน การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางการรับรู้ให้แก่ชุมชน รวมถึงการออกแบบและพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ให้สอดคล้องรับกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น</p> <p>จากผลการออกแบบโปรแกรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านขาว มีจำนวนทั้งสิ้น 4 โปรแกรม ได้แก่ การท่องเที่ยวและการเรียนรู้การจัดการการเกษตรแบบผสมผสานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Fresh Trip) การท่องเที่ยวชมระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์ และวิถีชีวิตลุ่มน้ำทะเลสาบ (Adventure Trip) การท่องเที่ยวตามเส้นทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น มโนราห์ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน (Magical Trip) การท่องเที่ยวนิเวศสร้างสรรค์บ้านขาว (Mixed Trip) ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชนพบว่า การท่องเที่ยวในชุมชนได้รับการยกระดับศักยภาพจนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงกว้าง นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมูลค่าการบริการและผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพิ่มขึ้นจากเดิม ช่วยลดปัญหาการว่างงาน สร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชน และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ นอกจากนี้ชุมชนได้รับองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรและพื้นที่อย่างสร้างสรรค์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนในระยะยาว </p> 2025-02-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/274992 การประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่โคราชจีโอพาร์ค พื้นที่ศึกษาเมืองนครราชสีมา 2024-11-18T10:11:39+07:00 มัตติกา ชัยมีแรง mattika.c@nrru.ac.th <p>การประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่โคราชจีโอพาร์ค พื้นที่ศึกษาเมืองนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตามเกณฑ์การประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม จากกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีผู้ประเมินเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 5 คน ได้ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครราชสีมา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา และการสำรวจข้อมูลภาคสนาม ในแบบประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม มีองค์ประกอบการประเมิน 3 ด้าน ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ศักยภาพในการดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยว คะแนนเต็ม 50 คะแนน องค์ประกอบที่ 2 ศักยภาพในการรองรับด้านการท่องเที่ยว คะแนนเต็ม 10 คะแนน และองค์ประกอบที่ 3 การบริหารจัดการ คะแนนเต็ม 40 คะแนน รวมคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน และนำผลการประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทำการจัดระดับมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว ผลการศึกษาพบว่า การประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมครบทุกองค์ประกอบ มีจำนวน 20 แห่ง ในพื้นที่โคราชจีโอพาร์คของพื้นที่เมืองนครราชสีมา ระดับมาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม พบว่า ระดับมาตรฐานดีมาก จำนวน 6 แห่ง ระดับมาตรฐานดี จำนวน 6 แห่ง ระดับมาตรฐานปานกลาง จำนวน 7 แห่ง และระดับมาตรฐานต่ำ จำนวน 1 แห่ง และจากผลการประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ โดยแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมระดับมาตรฐานดี ควรได้รับการส่งเสริมพัฒนาด้านศักยภาพในการดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยว ด้านศักยภาพในการรองรับด้านการท่องเที่ยว และด้านการบริหารจัดการ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมระดับมาตรฐานปานกลางและต่ำ ควรได้รับการศึกษาวิจัยรายองค์ประกอบและรายดัชนี เพื่อจะได้ข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยวในด้านที่ควรได้รับการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวให้สูงขึ้น เพื่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยว และชุมชนได้รับการพัฒนาจะเป็นโอกาสในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่</p> 2025-02-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/273582 แนวคิดและการให้ความหมายของคนไทยต่อธรรมชาติ 2024-12-02T10:45:04+07:00 กัตติกา กิตติประสาร kittiprasan_k@silpakorn.edu <p>งานวิจัยเรื่องแนวคิดและความหมายของธรรมชาติของคนไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อ (1) เข้าใจความหมายของธรรมชาติของคนไทยและความหมายของสิ่งแวดล้อมของคนไทย (2) เข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความหมายของธรรมชาติของคนไทย (3) สรุปแนวคิดที่มีต่อธรรมชาติของคนไทย และ (4) เสนอแนะการนำแนวคิดที่มีต่อธรรมชาติของคนไทยไปใช้ในการส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติเชิงปฏิบัติ และใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การให้ความหมายของคนไทยต่อธรรมชาติสรุปได้ 8 ความหมาย ได้แก่ ธรรมชาติคือธรรมชาติอันบริสุทธิ์หรือป่าไม้ ธรรมชาติคือสิ่งที่มีประโยชน์ ธรรมชาติคือสิ่งสวยงามรื่นรมย์และสุนทรียภาพ ธรรมชาติคือสภาพแวดล้อมโดยรอบ ธรรมชาติคือการอยู่ร่วมกัน ธรรมชาติคือปัญญา ธรรมชาติคือความจริง หลักการ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และธรรมชาติคือสิ่งต่าง ๆ หลายสิ่งที่ประกอบเข้าด้วยกัน การให้ความหมายของคนไทยต่อสิ่งแวดล้อมของคนไทย มี 8 กลุ่มความหมาย ได้แก่ สิ่งที่อยู่รอบตัวที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น ธรรมชาติ ภูมิทัศน์หรือวิวทิวทัศน์ คนหรือสังคม วัฒนธรรม สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งที่เป็นปัจจัยในการดำรงอยู่ และสภาวะที่เราดำรงชีวิตอยู่ นอกจากนั้นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความหมายของธรรมชาติของคนไทยมีทั้งปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางสังคมเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม ประสบการณ์ในสภาพแวดล้อม และความผูกพันกับสถานที่ รวม 10 ปัจจัย ได้แก่ เพศภาวะ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ที่อยู่ปัจจุบัน ภูมิภาค สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ ระยะเวลาที่อาศัยในที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเกิด และระยะเวลาที่อาศัยในบ้านเกิด และสรุปแนวคิดที่มีต่อธรรมชาติของคนไทยได้ 6 แนวความคิด ได้แก่ ธรรมชาติคือทรัพยากร ธรรมชาติคือพื้นที่ธรรมชาติ ป่า และมรดกที่ต้องสงวนรักษาไว้ ธรรมชาติคือทรัพยากร ธรรมชาติคือสิ่งที่ใช้งานได้และต้องบำรุงรักษา ธรรมชาติคือสิ่งค้ำจุน ธรรมชาติคือกระบวนการ และธรรมชาติคือความจริง ความรู้ และข้อมูล</p> 2025-02-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/273245 การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อการจัดทำสวนกระเป๋าในเมือง กรณีศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี 2025-01-14T15:35:52+07:00 อังค์วรา ร่มศรี angwara_r@kkumail.com วิมลสิริ แสงกรด angwara_romsri@hotmail.com แทนศร พรปัญญาภัทร tansorn.p@uddc.net <p>การวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อการจัดทำสวนกระเป๋าในเมือง กรณีศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการให้บริการพื้นที่สวนสาธารณะในเขตเทศบาลนครอุดรธานีภายใต้กรอบแนวคิดเมือง 15 นาที รวมถึงการหาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการจัดทำสวนกระเป๋า และเสนอแนวทางการพัฒนาสวนกระเป๋าในเขตพื้นที่เทศบาลนครอุดรธานี โดยการศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้วิธีสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม (Non Participative) ซึ่งผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ รวมถึงสำรวจบริเวณที่มีศักยภาพในการนำมาปรับปรุงเป็นสวนกระเป๋าเบื้องต้นในเขตเทศบาลนครอุดรธานี จากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวด้วยวิธีการลำดับชั้นวิเคราะห์ (Analysis Hierarchy Process : AHP) โดยมีเกณฑ์การพิจารณาบริเวณที่มีศักยภาพการเป็นสวนกระเป๋า 3 ข้อ ได้แก่ 1) มีขนาดที่ดินรวมกันไม่เกิน 2 ไร่ 2) ไม่สามารถเข้าถึงสวนสาธารณะอื่นได้ในระยะ 800 เมตร และ 3) มีความหนาแน่นของกิจกรรมที่เหมาะสม ซึ่งพบว่าเทศบาลนครอุดรธานีควรต้องมีการจัดทำสวนกระเป๋าอย่างน้อย 6 ตำแหน่ง เพื่อให้เทศบาลนครอุดรธานีระดับการให้บริการพื้นที่สวนสาธารณะตามแนวคิดเมือง 15 นาที</p> <p>ผลจากการสำรวจพบพื้นที่ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี พบพื้นที่รกร้างว่างเปล่า และไม่สามารถเข้าถึงสวนสาธารณะในระยะ 800 จาก 52 พื้นที่ พบว่าพื้นที่ที่ได้คะแนน 8 ถึง 9 คะแนน มีจำนวน 36 พื้นที่ คิดเป็นร้อยละ 69.23 กระจายตัวอยู่ในบริเวณที่มีความต้องการการเข้าถึงพื้นที่สวนสาธารณะ ทั้งนี้ ความแตกต่างของคะแนนมาจากขนาดพื้นที่ และปริมาณกิจกรรมโดยรอบ โดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่เป็นผู้สร้างเครือข่ายความร่วมมือและเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน และบูรณาการระหว่างหน่วยงานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาชน ตั้งแต่ขั้นตอนการตัดสินใจ การดำเนินงาน และการประเมินผล โดยควรส่งเสริมให้เข้ามามีบทบาทการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาสอดคล้องกับความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลดความเสี่ยงการเกิดข้อแย้งจากการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตตามแนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่</p> 2025-02-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย