สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku <div id="sponsors"> <p>วารสารสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย<br />คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผ่านการรับรองคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) จากวารสารกลุ่มที่ 2 ได้เลื่อนเป็นกลุ่มที่ 1 ประกาศ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564</p> <p>Editor : ผศ. ดร. ปัทมพร วงศ์วิริยะ</p> </div> คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (Faculty of Architecture, Khon Kaen University) th-TH สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย 2651-1177 <p>ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> การศึกษาเปรียบเทียบองค์ประกอบของแนวคิดในการจำแนกประเภททางสถาปัตยกรรม: กรณีศึกษาแนวคิดของคัตรแมร์ เดอ ควินซี, ฌาค-นิโคลาส์-ลุยส์-ดูรองด์ และก็อตฟรีด เซมเปอร์ ในช่วงยุคเรืองปัญญา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/273593 <p>ในการศึกษาสถาปัตยกรรมตะวันตก การจำแนกประเภททางสถาปัตยกรรม (Typology) เป็นส่วนสนับสนุนทางเทคนิคที่สำคัญในการทำความเข้าใจการจัดหมวดหมู่รูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นกรอบความเข้าใจในหลักการทั่วไปที่มีส่วนช่วยในการอธิบายและวิจารณ์งานที่ถูกสร้างขึ้น และทำให้กระบวนการออกแบบทางสถาปัตยกรรมสอดรับกับบริบทความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนวคิดของการจำแนกประเภท มีความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา เกิดการปรับปรุงหลักการและเรียบเรียงเกณฑ์การพิจารณาให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของกระบวนการออกแบบทางสถาปัตยกรรมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในปรัชญาการออกแบบที่พยายามจะตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไปของบริบททางสังคม</p> <p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเข้าใจองค์ประกอบของการเกิดแนวคิดในการจำแนกประเภททางสถาปัตยกรรมผ่านการศึกษาพัฒนาการของการจัดประเภทที่เกิดขึ้นจากศาสตร์อื่น ๆ จนเกิดการประยุกต์กับการศึกษาสถาปัตยกรรมในยุคเรืองปัญญา โดยตัวแทนที่นำมาศึกษาแนวคิดในการจำแนกประเภททางสถาปัตยกรรมเป็นนักคิดและสถาปนิกสำคัญ 3 ท่าน คือ คัตรแมร์ เดอ ควินซี (Antoine-Chrysostome Quatremere de Quincy) ฌาค นิโคลาส์ ลุยส์ ดูรองด์ (Jacques Nicolas Louis Durand) และก็อตฟรีด เซมเปอร์ (Gottfried Semper) ผลที่ได้รับจากการศึกษาพบว่า องค์ประกอบของการแนวคิดในการจำแนกประเภทแบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ คือ นามธรรมและกายภาพ ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานทางวิชาการในการศึกษาสถาปัตยกรรมที่มีความซับซ้อนทางบริบท เช่น ช่วงหลังสมัยใหม่ และสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน รวมถึงเป็นฐานในการวิเคราะห์เชิงคุณค่าเพื่อการอนุรักษ์</p> กนกวรรณ พิภักดิ์สมุทร อดิศร ศรีเสาวนันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-01 2025-09-01 24 3 1 25 10.14456/bei.2025.14 แนวทางการสร้างสรรค์ภูมิสัญลักษณ์ตามแนวทางการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ชุมชนพื้นที่ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/275776 <p style="font-weight: 400;"> แนวทางการสร้างสรรค์ภูมิสัญลักษณ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ชุมชนพื้นที่ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ส่งเสริมภาพลักษณ์ในการจัดการเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน (2) เพื่อหาแนวทางการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ในการจัดการเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืน และ(3) เพื่อสร้างต้นแบบภูมิสัญลักษณ์ตามแนวทางการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ในการจัดการเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมชุมชนอย่างยั่งยืนของตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผลวิเคราะห์ การเก็บแบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตบันทึกภาพลงพื้นที่จริง รวมถึงการทบทวนวรรณกรรม งานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถถอดข้อมูลท้องถิ่นทางด้าน (1) สภาพแวดล้อม ได้แก่ ภูมิศาสตร์ คือ ดอนลุ่มแม่น้ำ ปลูกผัก ทำไร่ และความอุดมสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์ คือ เรื่องเล่าที่มาชื่อชุมชน “ดอนแก้ว” และ วัดพระนอนขอนม่วง (2) สังคม ได้แก่ วิถีชีวิต (ความเป็นอยู่) คือ อัธยาศัยดี/ยิ้มแย้มทำมาหากินแบบพึ่งพาตนเอง กินอยู่พอเพียง และหาปลาริมแม่น้ำปิง โดบสามารถสรุปแนวความคิด เพื่อสร้างต้นแบบภูมิสัญลักษณ์ตามการประเมินแบบร่าง พบว่า ผลประเมินคะแนนสูงสุดของรูปแบบร่าง ได้แก่ แนวคิดที่ 3 “DONKAEW” มีสุข แบบร่างที่ 2 มีค่าเฉลี่ยรวมระดับดีมาก (<span lang="EN-US"><img src="https://so01.tci-thaijo.org/public/site/images/pornpimon_ba@rmutl.ac.th/blobid0.jpg" width="8" height="16" /></span> = 4.63, <strong>SD </strong>= 0.46) และได้นำแนวคิดที่ 1 “อยู่ดี กินดี มีสุข” แบบร่างที่ 3 มีค่าเฉลี่ยรวมระดับดีมาก ( <span lang="EN-US"><img src="https://so01.tci-thaijo.org/public/site/images/pornpimon_ba@rmutl.ac.th/blobid0.jpg" width="8" height="16" /></span>= 4.53, <strong>SD </strong>= 0.50) ลำดับรองมาใช้ร่วม หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาแบบและประเมินแบบร่าง (พัฒนา) จำนวน 3 แบบ อีกครั้งจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่า แบบร่าง (พัฒนา) ที่ 2 มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจในระดับดีมาก ( <span lang="EN-US"><img src="https://so01.tci-thaijo.org/public/site/images/pornpimon_ba@rmutl.ac.th/blobid0.jpg" width="8" height="16" /></span>= 4.60, SD = 0.46) มีคะแนนความพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งจากการสร้างภูมิสัญลักษณ์และเก็บแบบสอบถามความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มตัวอย่างผู้ร่วมประชุมสรุปผลจำนวน 8 ท่าน และกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวชาวไทยในบริเวณพื้นที่ติดตั้งภูมิสัญลักษณ์ (ลาน Smart Farming สวนเกษตรอิ่มสุขตำบลดอนแก้ว หมู่ 7 บ้านสันเหมือง) จำนวน 75 ท่าน รวมทั้งสิ้นจำนวน 83 ท่าน พบว่า ค่าเฉลี่ยพึงพอใจทั้งหมดอยู่ในระดับดีมาก (<span lang="EN-US"><img src="https://so01.tci-thaijo.org/public/site/images/pornpimon_ba@rmutl.ac.th/blobid0.jpg" width="8" height="16" /></span>= 4.63, <strong>SD</strong> = 0.51)</p> พรพิมล บาลี ปิยะนุช เจดีย์ยอด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-13 2025-11-13 24 3 26 44 10.14456/bei.2025.15 การออกแบบเซรามิกสำหรับบรรจุน้ำหอมกระจายกลิ่นแรงบันดาลใจจากสัตว์หิมพานต์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/277294 <p class="02-"><span lang="TH">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณสมบัติของเซรามิกพรุนและการประยุกต์ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์<br />ที่สามารถดูดซึมน้ำและกระจายกลิ่น โดยได้แรงบันดาลใจจากสัตว์หิมพานต์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทยและความเชื่อเรื่องความเป็นมงคล การวิจัยเชิงคุณภาพและการทดลอง โดยเริ่มจากการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์กระจายกลิ่นในตลาด ศึกษาคุณลักษณะสัตว์หิมพานต์ 7 ชนิด ได้แก่ กิเลนไทย ไกรสรราชสีห์ คชสีห์ ครุฑ <span style="letter-spacing: -.2pt;">พญานาค วารรีกุญชร และหงส์ ในด้านความหมายและความเชื่อ จากนั้นทำการทดลองเนื้อดินเซรามิกโดยใช้ดินสโตนแวร์</span>ผสมกับสารเพิ่มความพรุน 2 ชนิด คือ แคลเซียมคาร์บอเนตและโดโลไมต์ ในอัตราส่วนต่าง ๆ (90:10</span>, <span lang="TH">80:20</span>, <span lang="TH">70:30) <span style="letter-spacing: -.1pt;">เผาที่อุณหภูมิ 1</span></span><span style="letter-spacing: -.1pt;">,<span lang="TH">200 องศาเซลเซียส และทดสอบคุณสมบัติการดูดซึมน้ำและการกระจายกลิ่นเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์</span></span><span lang="TH"> ทำการออกแบบและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ โดยใช้แนวคิดการออกแบบเชิงวัฒนธรรมและการออกแบบตัวละคร ผลการวิจัย ผลิตภัณฑ์กระจายกลิ่นในตลาดปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งผลิตภัณฑ์เซรามิกกระจายกลิ่นมีข้อได้เปรียบในการออกแบบรูปทรงที่หลากหลายและมีคุณสมบัติการซึมผ่านที่ดี การทดลองเนื้อดิน สูตรที่มีดินสโตนแวร์ 70% และโดโลไมต์ 30% มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสำหรับการกระจายกลิ่น โดยมีอัตราการดูดซึมน้ำที่ 7.6% และสามารถคงความชุ่มชื้นและกระจายกลิ่นได้นานถึง 4 สัปดาห์ ซึ่งดีกว่าสูตรที่ผสมแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีการดูดซึมสูงแต่ระเหยเร็วเกินไป การออกแบบผลิตภัณฑ์ได้พัฒนาคาแรคเตอร์สัตว์หิมพานต์แนวการ์ตูน ที่มีสัดส่วนไม่สมจริง<br /><span style="letter-spacing: -.15pt;">แต่ยังคงเอกลักษณ์ของสัตว์แต่ละชนิด ออกแบบฐานให้สามารถบรรจุน้ำหอมและเชื่อมต่อกันได้ สะท้อนถิ่นที่อยู่ของสัตว์</span>แต่ละประเภท (บก น้ำ อากาศ) โดยคำนึงถึงความสวยงาม ความเป็นมงคล และการใช้งานจริงในการตกแต่งบ้าน ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงศิลปะและวัฒนธรรม และสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ มีศักยภาพในการต่อยอดเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติการดูดซึมและกระจายกลิ่นของเซรามิกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</span></p> สุภาพร อรรถโกมล ชนิษฐา สุขประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 24 3 45 62 10.14456/bei.2025.16 แนวทางการเลือกที่ตั้งและออกแบบพื้นที่การเรียนรู้แบบใช้พิพิธภัณฑ์เป็นฐาน กรณีศึกษา ย่านพิพิธภัณฑ์นวัตกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยแม่โจ้ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/272664 <p>มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมและประเทศชาติ ได้ดำเนินงานร่วมกับ อพ.สธ. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลและการกระจายองค์ความรู้ด้านการเกษตรของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สู่ชุมชน ผ่านการนำเสนอ “ฐานการเรียนรู้ย่านพิพิธภัณฑ์นวัตกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยแม่โจ้” โดยได้นำแนวทางการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้แบบใช้พิพิธภัณฑ์เป็นฐาน การวิจัยในครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงออกแบบ สำรวจกายภาพพื้นที่ในมหาวิทยาลัย และสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมโดยใช้พิพิธภัณฑ์เป็นฐานให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน บริบท และกำหนดรูปแบบกิจกรรมภายในพื้นที่</p> <p>ผลการวิจัยสรุปว่าการพิจารณาที่ตั้งโครงการขั้นปฐมภูมิ คือคัดเลือกองค์ความรู้ความเป็นเลิศตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย 5 ด้าน เชื่อมโยงกับองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยในระดับคณะ ขั้นทุติยภูมิพิจารณาความสัมพันธ์ของพื้นที่เชิงกายภาพ ความเหมาะสมของตำแหน่งที่ตั้งในลักษณะการกระจายตัวของย่านพิพิธภัณฑ์ โดยทางมหาวิทยาลัยได้กำหนดพื้นที่ฐานการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1) พื้นที่เรือนธรรม 2) สวนสัก 3) อาคารแผ่พืช 4) สนามวังซ้าย&nbsp; นอกจากนั้นทางผู้วิจัยได้วิเคราะห์ศักยภาพและคัดเลือกพื้นที่เพิ่มเติมได้แก่ 5) ที่ว่างหน้าอาคารเรียนคณะเทคโนโลยีการประมง 6) แปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ 7) อาคารเก่าฐานเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างเครือข่ายการกระจายพื้นที่ กระจายฐานองค์ความรู้ความเป็นเลิศตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย 5 ด้าน และครอบคลุมทั้งมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ขั้นตติยภูมิพิจารณาขอบเขตพื้นที่ และกิจกรรมที่เหมาะสมของฐานการเรียนรู้ เพื่อสรุปเป็นข้อเสนอแนะแนวทางการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้แบบใช้พิพิธภัณฑ์เป็นฐาน กรณีศึกษา ย่านพิพิธภัณฑ์นวัตกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยแม่โจ้ต่อไป</p> พิชญาภา ธัมมิกะกุล ดิศสกุล อึ้งตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 24 3 63 82 10.14456/bei.2025.17 อิทธิพลของสัณฐานวิทยาของเมืองต่อการสะสมของ PM2.5 ที่ระดับทางเท้า: กรณีศึกษาสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/279320 <p>การศึกษานี้มุ่งเน้นวิเคราะห์อิทธิพลของสัณฐานวิทยาของเมืองที่มีผลต่อความเร็วลมภายนอกอาคารและการสะสมของมลพิษทางอากาศที่ระดับทางเท้าในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของการใช้ประโยชน์ที่ดินสูง เพื่อหาแนวทางในการออกแบบและวางผังอาคารที่สามารถเพิ่มการระบายอากาศและลดการสะสมของมลพิษ โดยใช้กรอบแนวความคิดการทดลองวางผังอาคารในพื้นที่กรณีศึกษา ได้แก่ หุบเขาถนนพระราม 1 และพื้นที่สยามสแควร์ ในเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิดเมืองที่เติบโตเต็มที่ และใช้การจำลองพลศาสตร์ของไหลภายนอก (External CFD) ของโปรแกรม DesignBuilder เวอร์ชัน 6.1.0.6 เพื่อประเมินความเร็วลมภายนอกอาคารเปรียบเทียบกับความเร็วลมเป้าหมายที่สามารถลดการสะสมของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) โดยอ้างอิงข้อมูลความเร็วลม<br />รายชั่วโมงเฉลี่ยคาบ 10 ปี (พ.ศ. 2553-2562) และทิศทางลมหลักของสถานีตรวจวัดอากาศกรุงเทพมหานคร <br />โดยความเร็วลมตั้งต้นที่ระดับความสูง 10 เมตรเหนือพื้นดินเป็น 1 เมตรต่อวินาที และทิศทางลมหลักของพื้นที่ศึกษา 2 ทิศทาง ได้แก่ ลมจากทิศใต้และทิศตะวันตก ทำการศึกษาใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ศึกษาอิทธิพลของรูปทรงอาคาร (Building shape) 3 แบบ ได้แก่ สี่เหลี่ยม วงรี และสามเหลี่ยม โดยกำหนด BCR เป็น 35-36% (ค่าต่ำสุดที่เป็นไปได้) <br />2) ศึกษาอิทธิพลของ BCR สามระดับ ได้แก่ 35-36%, 50% และ 70% โดยใช้ผังอาคารสี่เหลี่ยม และ 3) ศึกษาอิทธิพลของตำแหน่งพื้นที่ว่างระดับพื้นดิน 5 รูปแบบ โดยใช้ผังอาคารสี่เหลี่ยมและ BCR 50%</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) รูปทรงอาคารมีอิทธิพลต่อการไหลเวียนของอากาศในกรณีศึกษาพื้นที่หุบเขาถนนบริเวณสยามสแควร์เพียงเล็กน้อย โดยผังอาคารสี่เหลี่ยมมีร้อยละของพื้นที่ความเร็วลมเป้าหมายสูงที่สุด รองลงมาคือ ผังอาคารวงรี และผังอาคารสามเหลี่ยม ตามลำดับ 2) BCR มีอิทธิพลชัดเจน พบว่า BCR ที่ต่ำสุด (35-36%) มีร้อยละของพื้นที่ความเร็วลมเป้าหมายสูงที่สุด ในขณะที่ BCR สูงขึ้น (50-70%) ไม่สามารถช่วยลดการสะสมของ PM2.5 ได้ภายใต้เงื่อนไขลมตั้งต้นของการศึกษา 3) ตำแหน่งของพื้นที่ว่างระดับพื้นดินมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อย โดยการวางพื้นที่ว่างให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่งของอาคารส่งผลให้การไหลเวียนอากาศในกรณีศึกษาพื้นที่หุบเขาถนนบริเวณสยามสแควร์ดีกว่าการวางพื้นที่ว่างรอบด้าน และการสลับตำแหน่งพื้นที่ว่างไม่สามารถช่วยลดการสะสมของฝุ่นละอองได้ นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราส่วนของหุบเขาถนนเฉลี่ย (H/W) หรือความสูงของอาคารต่อความกว้างของถนนในกรณีศึกษาพื้นที่หุบเขาถนนบริเวณสยามสแควร์ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการไหลเวียนของอากาศ กล่าวคือ เมื่ออาคารมีความสูงมากกว่าความกว้างของถนนจนทำให้อัตราส่วน H/W สูงขึ้น จะช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของอากาศภายในหุบเขาถนน และลดการสะสมของ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน อัตราส่วนความยาวต่อความกว้างของอาคารเฉลี่ย (L/W) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับการไหลเวียนของอากาศ กล่าวคือ เมื่ออาคารมีความยาวมากกว่าความกว้างจนทำให้อัตราส่วน L/W สูงขึ้น จะส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศลดลง และอาจเพิ่มการสะสมของ PM2.5 ได้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าปัจจัยทางสัณฐานวิทยาของเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการไหลเวียนของอากาศและการสะสมของ PM2.5 ในกรณีศึกษาพื้นที่หุบเขาถนนบริเวณสยามสแควร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของกรุงเทพมหานครซึ่งมีความเร็วลมตั้งต้นในระดับต่ำเกือบตลอดทั้งปี การออกแบบวางผังอาคารและพื้นที่ว่างในเมืองที่เหมาะสมจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมเมืองดีขึ้นได้</p> รัชชานนท์ ธีรประเวศน์กุล พิมลศิริ ประจงสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 24 3 83 101 10.14456/bei.2025.18 ปัญหาความขัดแย้งด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ในประเทศไทย: ต้นตอของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการถือครองที่ดินตามจารีต https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/274754 <p class="02-"><span lang="TH" style="letter-spacing: -.15pt;">ปัญหาความขัดแย้งด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในประเทศไทย</span> <br /><span lang="TH">โดยบทความนี้มุ่งอธิบายและเปรียบเทียบปรากฏการณ์ ตลอดจน เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในประเทศไทยจำนวน 46 ชุมชน ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูล<br />เชิงคุณภาพ (</span>qualitative research) <span lang="TH">โดยใช้วิธีการศึกษา 2 รูปแบบ คือ การสัมภาษณ์ (</span>interview) <span lang="TH">และการวิเคราะห์<span style="letter-spacing: -.1pt;">เอกสาร (</span></span><span style="letter-spacing: -.1pt;">documentary research) <span lang="TH">โดยข้อมูลที่รวบรวมได้จะถูกนำไปวิเคราะห์ใน 2 รูปแบบ คือ การวิเคราะห์เนื้อหา</span></span><span lang="TH"> (</span>content analysis) <span lang="TH">และการวิจัยเชิงเปรียบเทียบ (</span>comparative research)<span lang="TH"> ทั้งนี้ ผลการศึกษา พบว่า ต้นตอของปัญหาความขัดแย้งด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น คือ <br />1</span>) <span lang="TH">การออกเอกสารสิทธิถือครองที่ดิน 2</span>) <span lang="TH">การประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์เพื่อการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม </span>3) <span lang="TH">การเข้ามาของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว และ </span>4) <span lang="TH">การเกิดเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย (สึนามิ) โดยเมื่อพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวม พบว่า ปัญหาความขัดแย้งส่วนใหญ่ร้อยละ 62.50 อยู่ในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ รองลงมา คือ ที่ดินประเภทอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว (ร้อยละ </span>12.50) <span lang="TH">และที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (ร้อยละ </span>8.93)<span lang="TH"> โดยคู่ขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล คือ รัฐ (ร้อยละ 56.79) รองลงมา คือ เอกชน (ร้อยละ 41.98) และวัด (ร้อยละ 1.23) ซึ่งปัญหาและการแสดงออกของความขัดแย้ง สามารถจำแนกออกเป็น 3 พื้นที่ คือ พื้นที่ทำกิน พื้นที่อยู่อาศัย และสุสานและพื้นที่จิตวิญญาณ เมื่อพิจารณาถึงระดับการมีส่วนร่วม พบว่า ชุมชนชาวเลในประเทศไทยส่วนใหญ่มีระดับการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับของการปลอบใจหรือการร่วมแสดงความคิดเห็น (</span>placation)<span lang="TH"> โดยพบได้ทั้งสิ้นจำนวน 32 ชุมชน และระดับความร่วมมือหรือการเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา/เจรจาต่อรอง (</span>partnership)<span lang="TH"> โดยพบได้ทั้งสิ้น 14 ชุมชน นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการถือครองที่ดินตามจารีตโดยถอดกระบวนการจากแนวทางการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในประเทศไทยซึ่งสรุปได้ว่าเป็นการใช้<span style="letter-spacing: -.2pt;">เครื่องมือ 3 ส่วนประกอบกัน คือ ต้นทุนทางสังคม ต้นทุนทางการเมือง และการสร้างบทบาทและตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์</span>ชาวเลในประเทศไทยเพื่อการสร้างเครือข่าย การสร้างความชอบธรรม และการเพิ่มอำนาจต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งการถือครองที่ดินตามจารีต</span></p> วิชชากร พรกำเหนิดทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 24 3 102 128 10.14456/bei.2025.19 การวิเคราะห์โครงข่ายสัณฐานเมือง เพื่อเชื่อมต่อปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่การเรียนรู้เวียงเจ็ดลิน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/arch-kku/article/view/278830 <p>เวียงเจ็ดลินเป็น 1 ใน 6 เวียงสำคัญของเชียงใหม่ในอดีต ลักษณะสัณฐานของเมืองเป็นวงกลมที่ยังปรากฎ<br />ให้เห็นอยู่ปัจจุบัน และเป็นพื้นที่เรียนรู้ระบบนิเวศธรรมชาติบริเวณเชิงดอยสุเทพที่ผสมผสานระหว่างพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คนได้ดี แต่ไม่เป็นที่รู้จักในนามเวียงเจ็ดลินมากนักอีกทั้งพื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่รกร้าง และไม่ปลอดภัยในเวลากลางคืน การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการสำรวจการพัฒนาเส้นทางและพื้นที่การเรียนรู้เวียงเจ็ดลิน โดยการวิเคราะห์ลักษณะเชิงพื้นที่ จากข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสำรวจภาคสนาม การสังเกตโดยตรง ร่วมกับการวิเคราะห์ผ่านชุดโปรแกรมสเปซซินแทกซ์ เพื่อประเมินโครงสร้างทางกายภาพและปัจจัยเชิงสังคมมีอิทธิพลต่อการเข้าถึงและการเชื่อมต่อภายในพื้น ผลการศึกษาพบพื้นที่ทุนวัฒนธรรมของเวียงเจ็ดลินจำนวน 8 จุด สำคัญทางประวัติศาสตร์ และเผยให้เห็นว่าพื้นที่การเข้าถึงในระดับต่าง ๆ มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างปฏิสัมพันธ์ของชุมชน และศูนย์กลางกิจกรรมเมือง โดยมีค่าเฉลี่ยการเข้าถึงระดับเมือง 0.516202 และระดับย่าน 1.37812 ตามลำดับ กล่าวคือ พื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่ายมีความสอดคล้องกับการใช้พื้นที่ชุมนุมและปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ ซึ่งบ่งชี้ถึงความสำคัญในการสนับสนุนการบูรณาการพัฒนาสภาพแวดล้อมเชิงกายภาพที่ส่งผลต่อการเชื่อมต่อ และเน้นย้ำถึงบทบาทของพื้นที่เหล่านี้ในการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ของผู้คนทั้งในระดับเมือง และระดับชุมชนภายใต้แนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ได้ในอนาคต กล่วงคือพื้นที่มีศักยภาพที่ส่งผลต่อการเป็นจุดศูนย์กลางหลักสำหรับการมีส่วนร่วมของผู้คน และมีศักยภาพระดับรองลงมา<br />ซึ่งมีความเฉพาะต่อการเข้าถึงพื้นที่ภายในชุมชนย่านเวียงเจ็ดลิน โดยพื้นที่เหล่านี้มีลักษณะเด่น คือ การเข้าถึงและ<br />การเชื่อมต่อที่สูง อันนำมาสู่การสร้างการรับรู้พื้นที่เพื่อการเรียนรู้ สันทนาการ และการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เหมาะสม และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ถึงแม้ว่าการบูรณาการชุดโปรแกรมสเปซซินแทกซ์ จะเป็นเครื่องมือที่สามารถแสดงข้อมูลโครงข่ายเชิงกายภาพที่มีและกำหนดทิศทางการออกแบบเส้นทางการเข้าถึงและพื้นที่เชื่อมต่อการเรียนรู้ได้เบื้องต้นได้ แต่การพัฒนาและออกแบบพื้นที่การเรียนรู้นั้นยังจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และการมีส่วนร่วมของ<br />ทุกภาคส่วน เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตผสมผสานการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์กับการพัฒนาเมืองสมัยใหม่<br />อย่างเป็นองค์รวมต่อไป</p> ภู สัมปุรณะพันธ์ อัมพิกา ชุมมัธยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างวินิจฉัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 24 3 129 145 10.14456/bei.2025.20