https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/issue/feed พุทธมัคค์ 2024-06-30T23:13:39+07:00 พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม, ผศ.ดร. maghavin9@yahoo.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารพุทธมัคค์</strong> เป็นวารสารสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รับตีพิมพ์เผยแพร่บทความในด้านมนุษยศาสตร์และสังคมโดยเน้นด้านานพระพุทธศาสนาและปรัชญา สหวิทยาการด้านการศึกษา และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/263428 การประยุกต์ใช้สติ-สัมปชัญญะในแก้ปัญหาสังคมก้มหน้า 2023-07-02T12:01:01+07:00 ริญญารัตน์ วรจินตนาลักษณ์ Rinyarat249@gmail.com <p>สังคมก้มหน้ากำลังระบาดไปทั่วโลก&nbsp; เห็นได้ชัดจากผู้คนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าขณะโดยสารรถ รับประทานอาหาร เดินตามท้องถนน&nbsp; หรือแม้แต่ในขณะที่สนทนากับบุคคลอื่นก็ยังจดจ่อกับหน้าจอสี่เหลี่ยม&nbsp; พฤติกรรมเช่นนี้ส่งผลให้หลายคนประสบปัญหาตามมาอย่างคาดไม่ถึง&nbsp; ผลกระทบที่ตามมาในด้านต่าง ๆ&nbsp; เช่น ผลกระทบด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต คือ การเกิดภาวะซึมเศร้าและขาดทักษะในการดำเนินชีวิตในโลกความจริง ผลกระทบด้านสังคม คือ ขาดทักษะในการสื่อสารกับคนรอบข้าง&nbsp; เพราะมัวจดจ่อกับเครื่องมือสื่อสาร จนกลายเป็นวลีที่เรียกกันว่า “สังคมก้มหน้า”</p> <p>ในความเป็นจริงสังคมก้มหน้าก็มีข้อดี คือ มีส่วนช่วยให้ผู้คนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น การสื่อสารผ่านโลกออนไลน์กลายเป็นส่วนช่วยให้เราสามารถติดต่อกับกับบุคคลอื่นหรือญาติมิตรที่อยู่ตามสถานที่ที่ห่างไกลได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว&nbsp; โดยอาศัยโปรแกรมประยุกต์ (แอปพลิเคชั่น) ต่างๆ เช่น แอปพลิเคชั่นไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบริจาคเพื่อการกุศลผ่านระบบออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน ถือเป็นการเกื้อกูลซึ่งกันและกันตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ดังนั้นการดำเนินชีวิตในสังคมก้มหน้า จำเป็นต้องนำหลักการมีสติ-สัมปชัญญะมาประยุกต์ใช้ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในด้านต่างๆ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/263427 การดำเนินชีวิตตามแนวพุทธจิตวิทยายุคโควิค 19 2022-12-18T17:06:16+07:00 ริญญารัตน์ วรจินตนาลักษณ์ Rinyarat249@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการนำหลักพุทธจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับชีวิตเพื่อให้ปรับตัวต่อการดำรงชีวิตในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ทั้งทางด้านร่างและจิตใจให้พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตช่วงวิกฤติ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต&nbsp; ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย การเสียชีวิต รายได้ของประชาชนลดลงซึ่งเกิดจากการว่างงานและการลดเวลาทำงาน อันเป็นผลมาจากมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะมุ่งแก้ปัญหาและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (โควิด 19)</p> <p>ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ความสุขในการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนลดลง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ส่งผลกระทบในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้วิกฤตการณ์เช่นนี้ให้เป็นโอกาสได้ด้วยการดำเนินชีวิตตามหลักพุทธจิตวิทยาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตใหม่ ที่จะสามารถประคับประคองดูแลตนเองได้อย่างอยู่รอดปลอดภัยและมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การนำหลักพุทธจิตวิทยา เช่น หลักปธาน 4 มาเป็นวัคซีนภูมิคุ้มกันโรคทางกายและโรคทางใจ ช่วยให้อยู่รอดในสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างเป็นปกติสุข</p> <p>คำสำคัญ: การดำเนินชีวิต พุทธจิตวิทยา&nbsp;&nbsp; ยุคโควิค 19</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/271178 ภาวะผู้นำครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรี 2024-06-30T22:15:56+07:00 อัษฎาวุธ หงษ์ชาติ film.autsada39@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรีและเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรีจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรี ประกอบด้วย 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศชลบุรีและโรงเรียนสารสาสน์วิเทศบูรพา จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย () การหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติ t-test และค่าสถิติ F-test</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรีส่วนใหญ่ ได้แก่ เพศหญิง มีอายุไม่เกิน 30 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี และมีประสบการณ์การทำงานไม่เกิน 5 ปี และภาวะผู้นำครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย อันดับแรก ได้แก่ ด้านการมีอิทธิพลเชิงบวก ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ ด้านการพัฒนาวิชาชีพ ด้านความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการสอน และด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ตามลำดับ จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ครูโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จังหวัดชลบุรี ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน มีภาวะผู้นำครูไม่ต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/271205 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ 2024-06-30T22:07:30+07:00 สรเดช บุญประดิษฐ์ sorradaetboonpradit@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ และเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือข้าราชการครูโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ จำนวน 76 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามลักษณะมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x ̅ ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าที การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาข้อมูลภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด จำนวน 1 ด้านคือ ด้านการนิเทศการสอน และอยู่ในระดับมากจำนวน 4 ด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการประเมินผลและตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน ด้านการจัดการหลักสูตรและการสอน ด้านการวางแผนกำหนดภารกิจ และด้านการส่งเสริมบรรยากาศทางวิชาการ ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ข้าราชการครูโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ ที่มีเพศแตกต่างกัน มีความเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดทรงธรรม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรปราการ แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/271748 ความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อส่งเสริมด้านการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดองค์กรส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสาคร 2024-06-30T23:13:39+07:00 Jiranun Khumwong jiranun.k1608@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสาคร&nbsp; 2) เพื่อเปรียบเทียบความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษ จำแนกตามช่วงชั้นที่ปฏิบัติการสอน โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสาคร 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางความต้องการในการพัฒนาตนเอง เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 82 คน ทั้งหมด 17 โรงเรียน&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อมูลสรุปด้วยการจำแนกชนิดของข้อมูล ผลวิจัยพบว่า 1) ความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อส่งเสริมด้านการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดองค์กรส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสาครอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความต้องการพัฒนาตนเอง ด้านแผนการจัดการเรียนรู้มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการประเมินผล และด้านการพูดน้อยที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบระดับความต้องการในการพัฒนาตนเอง จำแนกตามช่วงชั้นที่สอน พบว่า ครูช่วงชั้นที่ 1 มีความต้องการด้านการพัฒนาตนเอง สูงกว่า&nbsp; ครูช่วงชั้นที่ 2 ในเรื่องแผนการจัดการเรียนรู้ 3) หน่วยงานสังกัดองค์กรส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีการฝึกอมรมเกี่ยวกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ และการประเมินผล</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/271746 ปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับแนะแนวการศึกษาต่อและการมีงานทำ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 2024-06-30T23:12:15+07:00 รติรัตน์ ฟักทอง ratirat.taw2539@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับแนะแนวการศึกษาต่อและการมีงานทำของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 2) เพื่อเปรียบเทียบปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับแนะแนวการศึกษาต่อและการมีงานทำของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี โดยจำแนกตามสถานภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 475 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 443 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือแบบสอบถาม โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับแนะแนวการศึกษาต่อและการมีงานทำ ปัญหาโดยภาพรวมของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับน้อย ซึ่งด้านที่พบปัญหามากที่สุดคือ ด้านศึกษารวบรวมข้อมูลนักเรียน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งด้านที่พบปัญหามากที่สุดคือ ด้านสนเทศ 2) ผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับแนะแนวการศึกษาต่อและการมีงานทำ พบว่าระดับปัญหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่านักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในทุกด้าน 3) ข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คือโรงเรียนควรมีระบบในการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน และไม่เก็บข้อมูลบ่อยครั้งมากเกินไป และระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 คือโรงเรียนควรมีกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน และควรมีจัดป้ายประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารหรือใช้สื่อทางออนไลน์ ในการประชาสัมพันธ์ให้กับนักเรียนมากขึ้น</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/271742 การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี 2024-04-23T17:00:54+07:00 พิจิตรา ทวีการ pijit.taw@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชน ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรีและ 2) เพื่อประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี 2) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี 3) แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 4) แบบสังเกตพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทางสถิติ t-test แบบ Paired Samples</p> <p style="font-weight: 400;"><span style="font-weight: 400;"> ผลวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (</span><span style="font-weight: 400;">Index of item Objective Congruence: IOC) อยู่ระหว่าง 0.6 – 1 2) ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องชุมชนศึกษา ของโรงเรียนชุมชนวัดบางแตน จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ในระดับดี เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็น โดยมีการใช้ทักษะ ประกอบกับความรู้ คุณลักษณะ เจตคติ และการเรียนรู้แบบลงมือ Learning by doing ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ เห็นความสำคัญของพลังที่เกิดจากความสามัคคี และร่วมแรงร่วมใจกันของบวร ที่ประกอบด้วย บ้าน วัด และโรงเรียน ได้ศึกษากระบวนการเรียนรู้ชุมชนของตน ทำให้เกิดความรัก ความหวงแหนต่อชุมชน เกิดสามัญสำนึก ความตระหนักรู้ ความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นเยาวชนของชุมชน</span></p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272772 Effective Digital Management Model for Administrators of Higher Vocational Colleges in Qingdao City 2024-06-22T21:15:00+07:00 Zhao Sa Vorachai.vip@bkkthon.ac.th Vorachai Viphoouparakhot vorachai.vip@bkkthon.ac.th <p>This research aims to explore and propose the model on the effective digital management model for administrators of higher vocational colleges in Qingdao city. This study was a combination of quantitative and qualitative research methods. In the first step, the purposive sampling method was selected 8 key informants, these include administrators in the digital field with more than 10 years of work experience in China. The second step: sample was 616 administrators and teachers, determined sample size with Krejcie and Morgan's table, and obtained by the stratified random sampling technique. The third step, the 10 key informants included deans and vice-deans from 10 higher vocational colleges in Qingdao city by purposive sampling method. <br />The research findings revealed that; (1) the components of digital management for administrators of higher vocational colleges in Qingdao are composed of six parts and total 43 key variables included these six components are Hardware Equipment, Software Platform System, Database, Technical Support, Operational Implementation, and Risk Management. (2) the effective digital management model for administrators of higher vocational colleges in Qingdao city from six components total 43 guidelines included 9 guidelines for Hardware Equipment, 8 guidelines for Software Platform System, 7 guidelines for Database, 5 guidelines for Technical Support, 6 guidelines for Operational Implementation, and 8 guidelines for Risk Management. </p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272770 Guidelines for Educational Management under Digital Transformation of Higher Vocational Colleges in Henan Province 2024-06-22T21:14:02+07:00 Zhong Xiao ssmall19880808@gail.com Vorachai Viphoouparakhot vorachai.vip@bkkthon.ac.th <p>The objectives of this research were to propose the guidelines for educational management under the digital transformation of higher vocational colleges in Henan Province. This research adopted a mixed quantitative and qualitative research methodology. Firstly, 13 key informants, including educational managers or senior teachers, were selected for interviews with purposive sampling. Secondly, the sample size was determined with Krejcie and Morgan's table, and 313 faculty members were chosen through stratified random sampling techniques. Finally, 9 experts were invited to participate in focus group discussions. Data collection involved in-depth interviews and content analysis. The results were showed that: (1) the components of educational management under the digital transformation of higher vocational colleges in Henan Province mainly consists of six components: administrative management, digital management, human resource management, teaching management, student management, quality assurance and evaluation management. (2) the guidelines for educational management under the digital transformation of higher vocational colleges in Henan Province included; 5 guidelines for administration management, 3 guidelines for digital management, 4 guidelines for human resources management, 6 guidelines for teaching management, 3 guidelines for student management, and 4 guidelines for quality assurance and evaluation management.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272769 Cooperative Educational Administration on Nursing Major of Vocational Colleges in Henan Province 2024-06-22T21:13:15+07:00 Wei Min Vorachai.vip@bkkthon.ac.th Vorachai Viphoouparakhot vorachai.vip@bkkthon.ac.th <p>This research aims to propose managerial guidelines for improving the cooperative educational administration for nursing major of vocational colleges in Henan province. This study was a mixed method between quantitative research and qualitative research. The 13 key informants were 4 students and 4 faculty members of nursing major and 5 staff from cooperative hospitals which obtained through a purposive sampling method. The instrument for data collection was in-depth interviews, followed by frequency analysis through content analysis. Research has found that the managerial guidelines for improving the cooperative educational administration for nursing major of vocational colleges in Henan province.</p> <p>The research findings revealed that: 1) There were five components of cooperative educational administration for nursing major of vocational colleges in Henan province. Included: (1) Policy and Environment, (2) Cooperative mechanism, (3) Teaching Management, (4) Student Management and (5) Quality Insurance; and 2) the guidelines for improving the cooperative educational administration on nursing major of vocational colleges in Henan province, total 29 guidelines included: 5 guidelines for Policy and Environment, 8 guidelines for Cooperative mechanism, 6 guidelines for Teaching Management, 5 guidelines for Student Management and 5 guidelines for Quality assurance.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272810 ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่กับความสุขในการทำงานของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 2024-04-01T06:21:24+07:00 ปฏิภาณ สร้อยศรี patipan.sroy@northbkk.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 เพื่อศึกษาระดับความสุขในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่กับความสุขในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 วิธีการศึกษาได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 จำนวน 285 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรีเขต 2 อยู่ในระดับมาก ( = 4.30, S.D. = 0.489) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร รองลงมา คือ ทักษะมนุษย์สัมพันธ์ ทักษะการบริหารจัดการองค์กร ทักษะทางเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล และทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ ความสุขในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 อยู่ในระดับมาก ( = 4.20, S.D. = 0.436) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ความสุขในการทำงานของครูอยู่ในระดับมากทุกด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคยุควิถีใหม่กับความสุขในการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 ในภาพรวมในระดับสูง และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01(r = 0.889) </p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272366 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร รูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด 2024-04-23T16:41:18+07:00 เสฏฐวุฒิ ขยันกสิกร st827@songtham.ac.th ชุติมา วัฒนะคีรี setthawut827@gmail.com วีณา ซุ้มบัณฑิต setthawut827@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้ใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารรูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด ก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารรูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทรงธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนเพื่อการสื่อสารรูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษและความสามารถในการอ่านจับใจความ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 50 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยของเลขคณิต x ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ และสถิติทดสอบ Dependent-sample t-test<br />ผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารรูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความสามารถในการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารรูปแบบ 2W3P ร่วมกับแผนผังความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/273328 การศึกษาผลสัมฤทธิ์และการจำคำศัพท์ภาษาจีนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัด 2024-06-22T22:20:41+07:00 จินตนา กันทัด jintanakantad@gmail.com ชุติมา วัฒนะคีรี jintanakantad@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการจำคำศัพท์ภาษาจีนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัด 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการจำคำศัพท์ภาษาจีนก่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัด โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดพิมพาวาส(สีล้งสาราลัย) ภาคเรียนที่ 2&nbsp; ปีการศึกษา 2566 &nbsp;จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 40 &nbsp;คน ที่มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัด&nbsp;&nbsp; 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ&nbsp; 3)&nbsp; แบบทดสอบวัดทักษะการจำคำศัพท์ภาษาจีน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยของเลขคณิต&nbsp; (&nbsp;) <em>&nbsp;</em>&nbsp;ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) &nbsp;ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ และสถิติทดสอบ Dependent-sample t-test</p> <p>&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; 1)&nbsp; คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2)&nbsp; ความสามารถด้านการจำคำศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมร่วมกับแบบฝึกหัดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ความสามารถด้านการจำคำศัพท์, เกมและแบบฝึกหัด</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272520 การศึกษาผลสัมฤทธิ์และทักษะการเขียนวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ II ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2024-04-23T16:48:05+07:00 ธนภัทร แก้วใจดี thanapat_tae@hotmail.com ชุติมา วัฒนะคีรี Thanapat_Tae@hotmail.com วีณา ซุ้มบัณฑิต Thanapat_Tae@hotmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์และทักษะการเขียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ II ร่วมกับแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 ของโรงเรียนสิริรัตนาธร จำนวน 40 คนได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1 ห้อง จำนวนผู้เรียน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้าได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ II เรื่อง Part of Speech จำนวน 16 คาบ และ Writing จำนวน 4 คาบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษจำนวน 40 ข้อ และ แบบทดสอบทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 1 ข้อ เรื่อง Global Wamming สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ t-test for dependent samples โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ II และ 2) เพื่อศึกษาผลทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลเปรียบเทียบของคะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ II ร่วมกับแบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลเปรียบเทียบของคะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/272389 การสร้างภาวะผู้นำบนพื้นฐานฆราวาสธรรม 4 2024-04-23T17:24:13+07:00 วิเศษ แสงกาญจนวินิช metha.ang@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เอกสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การสร้างภาวะผู้นำบนพื้นฐานฆราวาสธรรม 4 ผลการวิจัยพบว่า ฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักธรรมพื้นฐานของมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้แก่ 1) มีสัจจะ คือ ความจริงใจ ความตรงต่อธรรมหรือความจริง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ทมะ มีการฝึกฝนอบรมตนเองอยู่เสมอ 3) มีขันติ คือ ความอดทนต่อความยากลำบากทั้งกาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; และใจ 4) จาคะ คือ ความเสียสละ จากความยึดมั่นถือมั่นในกิเลส อคติ และความเห็นแก่ตัว ธรรมะทั้ง 4 ข้อนี้ เสริมสร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นได้ เมื่อผู้นำมีความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ จะทำให้ผู้นำเกิดความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นคนมีสัจจะ มีความจริงใจ ผู้ตามจะให้ความเคารพรักเพราะมีความถ่อมตัว รู้จักยอมรับข้อผิดพลาดและปรับปรุงพัฒนาตัวเองอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ขันติธรรมยังช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านจิตใจซึ่งมีผลทำให้ขวัญกำลังใจของผู้ร่วมงานมีความหนักแน่นมั่นคงไปด้วย และที่สำคัญที่สุด ผู้นำที่ยอมเสียสละความรู้สึกที่เป็นอคติส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนร่วมย่อมสามารถหลอมรวมจิตใจคนให้เกิดความรู้รักสามัคคีได้ เพราะผู้นำให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างสมเหตุสมผล มีใจเป็นกลาง มีธรรมเป็นวิถีและเป้าหมาย</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/273718 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 2024-06-22T22:19:24+07:00 นิษรา พรสุริวงษ์ nissara.pr7@gmail.com สมนึก การีเวท nissara.pr@northbkk.ac.th ครุศิลป์ อวนศรี nissara.pr@northbkk.ac.th สุวรรณ ขันตี nissara.pr@northbkk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 2)เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 3)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 4)เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1&nbsp;&nbsp; จำนวน 400 คน&nbsp; โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม&nbsp; สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่&nbsp; ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp; สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก &nbsp;2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก&nbsp; &nbsp;3.ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง&nbsp; (r<sub>XY</sub> = .888) กับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01&nbsp; 4.โดยตัวแปรพยากรณ์ที่ดีการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ดังนี้&nbsp; ด้านครูผู้สอน (X<sub>2</sub>) ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร(X<sub>1</sub>) ด้านสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา (X<sub>6</sub>) ด้านผู้ปกครองและชุมชน(X3) และ ด้านงบประมาณ(X<sub>4</sub>)&nbsp; อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยทั้ง 5 ปัจจัย ดังกล่าวได้ร่วมกันพยากรณ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2&nbsp; ได้ร้อยละ 85.40 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Y = 1.484+.417X<sub>2 </sub>+.317X<sub>1</sub>+ .297X<sub>6</sub>+.290X<sub>3&nbsp; </sub>+.288X<sub>4 </sub></p> <p>สมการในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน</p> <p>&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ZY = .489X<sub>2 </sub>+.450X<sub>1</sub>+ .405X<sub>6 </sub>+.368X<sub>3 </sub>+.306X<sub>4</sub></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/274214 Context of Education 4.0 Affecting Teachers’ Leadership in Art Design Major in Guangzhou City under Guangdong Province 2024-06-28T23:27:34+07:00 ซวี ตาน xudan@nhic.edu.cn กมลมาลย์ ไชยศิริธัญญา xudan@nhic.edu.cn ชวนชม ชินะตังกูร xudan@nhic.edu.cn <p>The objectives of the research were: (1) to examine the components of context of education 4.0 in Guangzhou City under Guangdong Province; (2) to examine the components of teachers’ leadership in art design major in Guangzhou City under Guangdong Province; (3) to investigate the context of education 4.0 affecting the teachers’ leadership in art design major in Guangzhou City under Guangdong Province.</p> <p>The research employed a mixed research methodology, encompassing both quantitative research and qualitative research, to gather data from a sample of 356 instructors and administrators in art design major across 20 universities in Guangzhou City under Guangdong Province, the People's Republic of China. The sample was selected using a stratified random sampling technique based on Krejcie and Morgan's Table (1970). Additionally, seven key informants with extensive experience in management and teaching were purposively sampled to obtain specific information. The research instruments included semi-structured interview forms and a five-point rating scale questionnaire. Statistics such as Exploratory Factor Analysis and Multiple Regression Analysis were applied for data analysis.</p> <p>Findings indicated that: (1) Education 4.0 in Guangzhou under Guangdong Province encompassed four fundamental components, namely: technology integration and innovative teaching, personalized learning, lifelong learning, and data-driven instructional decisions; (2) teachers’ leadership in art design major in Guangzhou City under Guangdong Province comprised six essential elements including mission vision, innovative teaching, professional development, collaborative teamwork, encouragement and motivation, and reflection and improvement; and (3) research indicated that the explanatory degree of the selected independent variable reached 57%, so it was considered that the explanatory degree of the selected independent variable was high.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/274180 Principal Leadership Factors Affecting Financial Risk Management in Public Universities under Henan Province 2024-06-22T21:34:12+07:00 เฉา เฟย 6443200007@bkkthon.ac.th สถาพร พฤฑฒิกุล 6443200007@bkkthon.ac.th สุขุม มูลเมือง 6443200007@bkkthon.ac.th <p>The objectives of research were; (1) to explore the components of principal leadership, social factors, and organizational evaluation system and financial risk management in public universities.(2) to develop a model of factors affecting financial risk management in universities and (3) to decompose direct and indirect effect of principal leadership, social factors, and organizational evaluation system on financial risk management in public universities under Henan Province .</p> <p>This research was a quantitative method, included 3,212 administrator staff from 38 public universities in Henan Province, the Peoples’ Republic of China. The sample determined by G*power, tolaling was 360 teachers, by multistage poportional stratified random sampling method. Data corrected by a 5 points rating scale quasionnaire, and data analysis by descriptive statistics, Confirmatory Factor Analysis and Structural Equation Modeling.</p> <p>The results found that: (1) The components of financial risk management in universities consisted of liabilities, operating capabilities and investments. The components of principal's leadership consisted of vision, execution, training and development. The components consisted of financial execution and educational expenditures, and Social factors components of organiza-tional evaluation consisted of national mechanisms and government supervision. Overall was a hight level; (2) A model of factors affecting financial risk management in universities fits well with empirical data (CMIN = 136.698; Df = 38, CMIN /Df = 3.597, CFI = 0.953, NFI= 0.936,</p> <p>RMSEA = 0.066); and (3) principal leadership, social factors and organizational evaluation system had a positive direct effect on financial risk management, social factors and organizational evaluation had a positive direct effect on financial risk management. Principal leadership has a positive direct effect on social factors and organizational evaluation system.Moreover, principalleadership had indirect effect on financial risk management via social factors and organizationalevaluation system with statistic significant at .05 level.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/274093 Effects of Administrators' Leadership Behavior and Emotional Intelligence on Teachers' Organizational Commitment in Liaoning Province Colleges and Universities 2024-06-02T21:36:50+07:00 เกา หยา 954886520@qq.com ชวนชม ชินะตังกูร 954886520@qq.com <p>Research objectives were: (1) to determine the components of administrators' leadership behavior, emotional intelligence, and teachers' organizational commitment in colleges and universities under Liaoning Province; (2) to propose a model of the effect of administrators' leadership behavior and emotional intelligence on teachers' organizational commitment in colleges and universities under Liaoning Province; and (3) to decompose the effect of administrators' leadership behavior and emotional intelligence on teachers' organizational commitment in colleges and universities under Liaoning Province.</p> <p> The research was a mixed methodology, including qualitative research and quantitative research. The research population consisted of 19,498 staff of colleges and universities under Liaoning Province, the People's Republic of China. Proportional stratified random sampling method was used to sample a total of 392 persons. The instruments used for data collection were semi-structured interview form and five-point rating scale questionnaires. The statistics used for data analysis were descriptive statistics, Confirmatory Factor Analysis, and Structural Equation Modeling.</p> <p> The results of the research were revealed that: (1) administrators' leadership behavior consisted of five components; emotional intelligence of administrators consisted of four components; and teachers' organizational commitment consisted of five components; (2) the analyzed measurement models were consistent with the empirical data. The relative chi-square value (x<sup>2</sup>/df), degree of freedom (df), goodness-of-fit index (GFI), Tucker-Lewis index (TLI), and root mean square of approximation error (RMSEA), all satisfied the specified standard; and (3) administrators' leadership behavior had a positive effect on teachers' organizational commitment, while emotional intelligence moderates the effect of administrators' leadership behavior on teachers' organizational commitment.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/274092 Female Leadership Model in Colleges and Universities in Liaoning Province 2024-06-29T00:06:55+07:00 Jin Yuwei Jin467252387@163.com กมลมาลย์ ไชยศิริธัญญา Jin467252387@163.com ชวนชม ชินะตังกูร Jin467252387@163.com <p>Research objectives were: (1) to identify the components and indicators for female leadership development in colleges and universities under Liaoning Province; (2) to propose a female leadership development model in colleges and universities under Liaoning Province; and (3) to propose guidelines to develop female leadership in colleges and universities under Liaoning Province.</p> <p>The research was a mixed methodology, including qualitative research and quantitative research. The research population consisted of 953 female leaders in colleges and universities under Liaoning Province, the People's Republic of China. Proportional stratified random sampling method was used to sample a total of 282. The instruments used for data collection were semi-structured interviews form, focus group discussion recording forms, and five-point rating scale questionnaires. The statistics used for data analysis were descriptive statistics, Confirmatory Factor Analysis and content analysis was employed.</p> <p>The results of the research were revealed that: (1) there were seven components and 23 indicators for female development in colleges and universities under Liaoning Province; (2) the model of female leadership development in colleges and universities under Liaoning Province was fit with empirical data. The relative chi-square value (x2/df) = 1.565, degree of freedom (df) = 209, goodness-of-fit index (GFI) = 0.931, Tucker-Lewis index (TLI) = 0.978, and root mean square of the error of approximation (RMSEA) = 0.038, which are in accordance with the specified criteria; and (3) guidelines for improving the female leadership in colleges and universities under Liaoning Province included seven aspects, totaling 14 items.</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/bdm/article/view/265921 การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตของของประชาชน ในตำบล บางแค จังหวัดสมุทรสงคราม 2023-12-10T18:05:26+07:00 ขจีรัตน์ พุ่มพฤกษ์ khajeerat.ph@ssru.ac.th <p>การวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตของของประชาชนในตำบลบางแค อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือ เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตของของประชาชนในตำบลบางแค อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เก็บข้อมูลปฐมภูมิโดยใช้แบบสอบถาม ขนาดตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้คือ 350 ตัวอย่าง และสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 61.1) ส่วนเพศชาย (ร้อยละ 38.9) ดังตารางที่ 4.1 และมีอายุเฉลี่ย 54.51 ปี ด้านการออมเงิน (จำนวนเงินออมคงเหลือในสมุดบัญชีเงินฝาก) ส่วนใหญ่มีเงินออม (ร้อยละ 68.9) ไม่มีเงินออม (ร้อยละ 31.1) การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตของประชาชนในตำบลบางแค อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( &nbsp;= 4.25 ; S.D. = 0.64) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับการประยุกต์ใช้สูงที่สุดคือ ด้านคุณธรรมในการดำเนินชีวิต (&nbsp; = 4.29 ; S.D. = 0.63) รองลงมาคือ ด้านความมีเหตุผลในการดำเนินชีวิต ( &nbsp;= 4.26 ; S.D. = 0.65) ด้านความรู้ในการดำเนินชีวิต (&nbsp; = 4.25 ; S.D. = 0.63) และมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากันคือ ความพอประมาณในการดำเนินชีวิต ( &nbsp;= 4.24 ; S.D. = 0.65)&nbsp;&nbsp; และลำดับสุดท้ายคือ ด้านระบบภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต ( &nbsp;=4.24 ; S.D. = 0.64)</p> 2024-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 พุทธมัคค์