https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/issue/feed Journal of Inclusive and Innovative Education 2025-08-29T15:42:05+07:00 Assoc. Prof.Kreetha Kaewkhong (รศ.ดร.กรีฑา แก้วคง) cmujournaledu@gmail.com Open Journal Systems <p><strong> Journal of Inclusive and Innovative Education</strong> ISSN online: 2985-0266 <em>(โดยมีชื่อเดิมคือ ศึกษาศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ CMU Journal of Education Print ISSN เดิม : 2586-9043 Online ISSNเดิม : 2586-825X)</em> เป็นวารสารวิชาการระดับชาติ ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิมพ์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เผยแพร่ผลงานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้ใหม่อันเป็นความก้าวหน้าทางวิชาการด้านศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ในยุคสมัยแห่งการปฏิรูปการเรียนรู้ของนักวิชาการ อาจารย์ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยรับพิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยเปิดรับบทความเฉพาะภาษาไทย และมีสาระเกี่ยวกับการศึกษา ปรัชญาการศึกษา การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการเรียนการสอน จิตวิทยาการศึกษาและแนะแนว นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา การวัดและการประเมินผลทางการศึกษา วิจัยและสถิติการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา การศึกษาพิเศษ การพัฒนาวิชาชีพครู พหุวัฒนธรรมศึกษา แหล่งวิทยาการการเรียนรู้และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา บทความทุกบทความของ <strong>Journal of Inclusive and Innovative Education</strong> จะต้องผ่านพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน เพื่ออ่านประเมินคุณภาพบทความต้นฉบับดังกล่าว ในรูปแบบที่ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งบทความต้นฉบับ ไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-blinded Review) โดยตีพิมพ์เผยแพร่ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน, ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p> <strong> Online ISSN : 2985-0266</strong></p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/279000 การวิจัยและพัฒนาสมรรถนะครูในการออกแบบการเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองคุณภาพและมีทักษะการสื่อสารเชิงวิพากษ์ที่เหมาะสมกับความเป็นคนไทย โดยใช้ประเด็นปัญหาทางสังคมเป็นฐานในการออกแบบ 2025-03-07T16:48:05+07:00 รฉัตร รพี พีรฉัตรวรกุล rachad_p@cmu.ac.th เกียรติสุดา ศรีสุข kiatsuda.srisuk@cmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ ได้แก่ (1) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและตัวบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นพลเมืองคุณภาพและการมีทักษะการสื่อสารเชิงวิพากษ์ที่เหมาะสมกับความเป็นคนไทยของผู้เรียน (2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะครูในการออกแบบการเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองคุณภาพและมีทักษะการสื่อสารเชิงวิพากษ์ที่เหมาะสมกับความเป็นคนไทย โดยใช้ประเด็นปัญหาทางสังคมเป็นฐานในการออกแบบ (3) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูฯ และ (4) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูฯ แหล่งข้อมูลประกอบด้วย (1) อาจารย์ในมหาวิทยาลัยและครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้ข้อมูลสำหรับสังเคราะห์ตัวบ่งชี้คุณลักษณะความเป็นพลเมืองคุณภาพฯ จำนวน 6 ท่าน และสำหรับสังเคราะห์ตัวบ่งชี้สมรรถนะครูฯ จำนวน 6 ท่าน (2) ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นักศึกษาครู และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อให้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะความเป็นพลเมืองคุณภาพฯ จำนวน 1,099 คน และสำหรับวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะครูฯ จำนวน1,040 คน (3) อาจารย์ในมหาวิทยาลัยและครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้ข้อมูลในการพัฒนารูปแบบฯ จำนวน 6 ท่าน (4) อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเพื่อให้ข้อมูลในการประเมินคุณภาพรูปแบบฯ จำนวน 3 ท่าน และ (5) ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้ข้อมูลในการศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ จำนวน 20 ท่าน เครื่องมือประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบประเมินคุณภาพรูปแบบฯ และแบบประเมินสมรรถนะครูฯ สถิติที่ใช้ได้แก่ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยทำให้ได้องค์ประกอบคุณลักษณะความเป็นพลเมืองคุณภาพฯ จำนวน 3 องค์ประกอบ 40 ตัวบ่งชี้ และได้องค์ประกอบสมรรถนะครูฯ จำนวน 5 องค์ประกอบ 35 ตัวบ่งชี้ ได้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูฯ ประกอบด้วย ความเป็นมา หลักการและแนวคิด เป้าหมาย สมรรถนะที่ใช้ในการพัฒนาครู กระบวนการพัฒนาของรูปแบบ คุณสมบัติขั้นต้นของผู้ให้การพัฒนาครู และแนวทางการวัดและประเมินผล โดยผลการประเมินคุณภาพรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน และในภาพรวมครูที่ผ่านการใช้รูปแบบฯ มีระดับพัฒนาการในทุกสมรรถนะอยู่ในระดับสูงมาก</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/279398 การส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ร่วมกับแบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง ปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ 2025-03-21T15:48:51+07:00 กติกา พิมพ์เสนา pimkatika@gmail.com พัดตาวัน นาใจแก้ว pattawan.na@udru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระหว่างเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับแบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง ปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 จำนวน 32 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานร่วมกับแบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง ปรากฏการณ์ของโลกและภัยธรรมชาติ จำนวน 5 แผน และแบบวัดความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test for Dependent Sample ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างเรียนมีความสามารถในการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับดีและดีมากจากทั้งหมดสี่ระดับ</li> <li class="show">นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความสามารถในการอธิบายทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 36.75 คิดเป็นร้อยละ 81.67) สูงกว่าก่อนเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 25.75 คิดเป็นร้อยละ 57.22) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> <p> </p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/279131 ผลการสังเคราะห์โปรแกรมอบรมครูอนุบาลตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ร่วมกับหลักการประเมินเพื่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในห้องเรียน 2025-03-11T10:32:31+07:00 กณิการ์ พงศ์พันธุ์สถาพร butter_kanika@hotmail.com วรวรรณ เหมชะญาติ worawan.h@chula.ac.th <p>บทความนี้นำเสนอผลการสังเคราะห์โปรแกรมอบรมครูอนุบาลตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ร่วมกับหลักการประเมินเพื่อการเรียนรู้ ในการส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในห้องเรียน ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ แนวคิดหลักการประเมินเพื่อการเรียนรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในห้องเรียน วิธีการวิจัยเป็นการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ<br />การสังเคราะห์กรอบแนวคิดการวิจัย โดยแบ่งวิธีการวิจัยออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาเอกสาร งานวิจัย แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ แนวคิดการประเมินเพื่อการเรียนรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในห้องเรียน 2) ออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และใช้เครื่องมือ ได้แก่ แบบประเมินความตรงเชิงเนื้อหาเพื่อหาค่าดัชนี IOC 3) วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสาร โดยใช้การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา โดยผลการศึกษาที่ได้ คือ โปรแกรมที่ประกอบไปด้วยขั้นตอน 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) พัฒนาครูผู้จัดการความขัดแย้ง 2) การปฏิบัติงานของครูในห้องเรียน และ 3) การถอดประสบการณ์ของครู โดยมีเป้าหมายในการมุ่งส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในห้องเรียน 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างสภาพแวดล้อมที่หลีกเลี่ยงการขัดแย้ง การตอบสนองเด็กอย่างฉับไว ขณะเกิดความขัดแย้ง และการส่งเสริมทักษะการจัดการกับปัญหา</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/280245 ผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการดูแลตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย 2025-05-20T11:11:16+07:00 ธัญญารักษ์ ล้ำเลิศ thanyarak.l@ku.th อรพรรณ บุตรกตัญญู oraphan.b@ku.ac.th ปัทมาวดี เล่ห์มงคล fedupdl@ku.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการดูแลตนเองของเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวัดกลางคลองสระบัว (สำลีเคลือบราษฎร์บำรุง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ศึกษา ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้บอร์ดเกม “หนูทำได้” ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน 2) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทักษะการดูแลตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย จำนวน 32 แผน 3) แบบประเมินทักษะการดูแลตนเองในชีวิตประจำวันของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า เด็กปฐมวัย มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลตนเองก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 30.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.52 และหลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลตนเองเท่ากับ 45.29 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.36 แสดงให้เห็นว่าเด็กปฐมวัยมีทักษะการดูแลตนเองสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม โดยเด็กปฐมวัยสามารถดูแลตนเองในการรับประทานอาหาร การดูแลสุขอนามัย การใช้ห้องน้ำและการขับถ่าย รวมถึงการแต่งกายอย่างเหมาะสมผ่านการทำกิจวัตรประจำวันที่โรงเรียนด้วยตนเองได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281085 ความหมายและองค์ประกอบของพฤติกรรมการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยดิจิทัล ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย 2025-06-06T16:04:19+07:00 ปัทมาพร ณ น่าน pattamaporn.nanan@g.swu.ac.th พิชญาณี พูนพล a.pitchayanee@gmail.com ดุษฎี อินทรประเสริฐ dusadeeyoelao@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ทำความเข้าใจและกำหนดความหมายของพฤติกรรมการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยดิจิทัล และ (2) ศึกษาองค์ประกอบของพฤติกรรมดังกล่าวในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งมุ่งศึกษาประสบการณ์และมุมมองของผู้เรียนในบริบทจริง ผู้ให้ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 8 คน ที่มีประสบการณ์ในการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ผู้วิจัยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interviews) กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis) ประกอบด้วยการถอดเทปคำสัมภาษณ์ การอ่านซ้ำ การสร้างรหัส (Coding) การจัดกลุ่มรหัส และการสังเคราะห์ประเด็นสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า (1) พฤติกรรมการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยดิจิทัลหมายถึง การที่ผู้เรียนกำหนดและควบคุมการเรียนรู้ของตนอย่างเป็นกระบวนการ โดยผู้เรียนจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และความสามารถเพิ่มเติมตามความต้องการส่วนบุคคลและเป้าหมายในอนาคต โดยใช้แผนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นประเด็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมและเป็นไปตามความสมัครใจของผู้เรียน การเลือกและใช้สื่อดิจิทัลที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ พิจารณาและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงประเมินความเข้าใจในเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ (2) องค์ประกอบของพฤติกรรมการเรียนรู้แบบนำตนเองด้วยดิจิทัล ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การตั้งเป้าหมาย 2) การวางแผน 3) การเลือกสื่อดิจิทัล 4) การพิจารณาข้อมูลจากสื่อดิจิทัล และ 5) การตรวจสอบความเข้าใจ ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาเครื่องมือวัดและแนวทางส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองในยุคดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281034 การพัฒนาทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์โดยการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ร่วมกับปัญหาปลายเปิดเชิงสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง อัตราส่วน 2025-06-05T16:21:09+07:00 ศรัณย์พร สีวงวาด saranphon520@gmail.com อาทร นกแก้ว artornn@nu.ac.th <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มุ่งศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องอัตราส่วน โดยผสานการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เข้ากับปัญหาปลายเปิดเชิงสังคม และ ศึกษาผลการพัฒนาทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง อัตราส่วน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ร่วมกับปัญหาปลายเปิดเชิงสังคมโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง จำนวน 6 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ 3 แผน รวม 9 ชั่วโมง แบบสะท้อนผลหลังการจัดการเรียนรู้ และแบบวัดทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์คำตอบของนักเรียนในใบกิจกรรมและแบบทดสอบโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน ผลศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ พบว่าแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์โดยใช้การสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ร่วมกับปัญหาปลายเปิดเชิงสังคม ซึ่งพัฒนาตามกระบวนการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ ผสานกับแนวทางเชิงทฤษฎีสำหรับการพัฒนาการใช้เหตุผลจริยธรรม มีจุดเน้นคือ สถานการณ์ที่ใช้ต้องเป็นปัญหาปลายเปิดเชิงสังคมในบริบทของนักเรียนที่นักเรียนมีอำนาจในการตัดสินใจและผลการตัดสินใจส่งผลกระทบกับตัวนักเรียน ครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้นักเรียนใช้ทัศนคติ ความเชื่อ และคุณค่าส่วนบุคคลในการตีปัญหาในประเด็นจริยธรรมโดยเปิดกว้างและไม่ชี้นำ สนับสนุนให้นักเรียนสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ และส่งเสริมการอภิปรายและการสะท้อนคิดเกี่ยวกับบทบาทของคณิตศาสตร์ในการตัดสินใจในประเด็นจริยธรรม และ ผลการจัดการเรียนรู้พบว่า ทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์ในภาพรวมของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับดีมาก โดยสรุป การจัดการเรียนรู้โดยการสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์ร่วมกับปัญหาปลายเปิดเชิงสังคมในระดับประถมศึกษาเป็นแนวทางที่ครูมีบทบาทสำคัญและสามารถส่งเสริมทักษะการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 6 คน ได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281265 ผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแบบออนไลน์ต่อความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนิสิตนักศึกษา 2025-06-28T10:25:05+07:00 แสงเดือน ยอดอัญมณีวงศ์ saengduean.y@cmu.ac.th อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ assawin.nark@cmu.ac.th ภาสกร คุ้มศิริ passakorn.koomsiri@gmail.com ดรณี จันทร์หล้า daranee.ju@cmu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยารายบุคคล ช่วงก่อน ระหว่าง และหลังได้รับการให้คำปรึกษาแบบออนไลน์ การให้คำปรึกษาแบบพบหน้า และการได้รับความรู้เรื่องการจัดการความเครียดด้วยตนเองผ่านสื่อออนไลน์ ต่อระดับความเครียดและระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของนักศึกษา เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดผลก่อน-หลังหลายครั้ง กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 75 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จากนั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 25 คนโดยคะแนนความเครียดไม่แตกต่างกัน กลุ่ม ON ได้รับการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยารายบุคคลแบบออนไลน์ 8 ครั้ง กลุ่ม FF ได้รับการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยารายบุคคลแบบพบหน้า 8 ครั้ง และ กลุ่ม ED ได้รับความรู้เรื่องการจัดการความเครียดด้วยตนเองผ่านสื่อออนไลน์ (ED) 8 คลิป วัดความเครียดโดยแบบวัดความรู้สึกเครียดและวัดระดับคอร์ติซอลโดยชุดตรวจ Salimetrics ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนและการทดสอบทีเพื่อเปรียบเทียบความเครียด ใช้สถิตินอนพาราเมตริกเพื่อเปรียบเทียบระดับระดับคอร์ติซอลในน้ำลาย ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนได้รับการให้คำปรึกษา/ความรู้ หลังการทดลอง ทุกกลุ่มมีความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ระหว่างได้รับการให้คำปรึกษาและหลังได้รับการให้คำปรึกษา กลุ่ม ON และกลุ่ม FF มีความเครียดไม่แตกต่างกัน และหลังการทดลอง กลุ่ม ON มีความเครียดน้อยกว่ากลุ่ม ED อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับระดับคอร์ติซอลในน้ำลาย เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนได้รับการให้คำปรึกษา/ความรู้ หลังการทดลอง ทุกกลุ่มมีระดับคอร์ติซอลไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ระหว่างได้รับการให้คำปรึกษา กลุ่ม ON มีระดับคอร์ติซอลลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนได้รับการให้คำปรึกษา</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281592 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดทางอารมณ์และสังคม และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญาเป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางอารมณ์และสังคมของนิสิตครู 2025-06-26T13:56:21+07:00 วิไลภรณ์ วิชญาวัฒน์ wilaiporn.ri@up.ac.th ลำไย สีหามาตย์ lumyai.sr@up.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์องค์ประกอบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดทางอารมณ์และสังคมและทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญาเป็นฐาน 2) ตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินรูปแบบ เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะทางอารมณ์และสังคมของนิสิตครู กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตครูชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยพะเยา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินสุขภาวะทางอารมณ์และสังคม แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ ทฤษฎี/หลักการ จุดมุ่งหมาย ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ระบบสังคม และระบบสนับสนุน มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (GOALS Model) ได้แก่ <br />ขั้นที่ 1 G: Goal Setting กำหนดเป้าหมาย ขั้นที่ 2 O: Observation สังเกตตัวแบบ ขั้นที่ 3 A: Application การประยุกต์ใช้ ขั้นที่ 4 L: (Self)-Leadership การนำตนเอง และ ขั้นที่ 5 S: Social Integration การบูรณาการสู่สังคม 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้พบว่า นิสิตครูมีสุขภาวะทางอารมณ์และสังคมสูงขึ้น โดยมีพัฒนาการระดับสูงด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และด้านการจัดการตนเอง ส่วนด้านการตระหนักรู้ในตนเอง การตระหนักรู้ทางสังคม และการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบมีพัฒนาการระดับปานกลาง และ 4) นิสิตครูมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281918 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัล 2025-07-22T09:33:17+07:00 กนิษฐา พวงไพบูลย์ jewel_kanitha@hotmail.co.th <p>งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) กำหนดสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัลของครูในแต่ละบริบทการจัดการศึกษาของประเทศไทย และ 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการจัดการชั้นเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัลของนิสิตครุศาสตร์ ตัวอย่าง คือ ครู จำนวน 400 คน และนิสิตครุศาสตร์ จำนวน 33 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) สมรรถนะด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัลของนิสิตคณะครุศาสตร์ แบ่งเป็น 8 องค์ประกอบ ได้แก่ <strong>(</strong><strong>1) การวางแผนการสอนในยุคดิจิทัล</strong> (<strong>2) การจัดการเวลาในยุคดิจิทัล</strong> <strong>(</strong><strong>3) การจัดการพฤติกรรมในยุคดิจิทัล (4) การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนในยุคดิจิทัล</strong> <strong>(</strong><strong>5) การส่งเสริมการทำงานกลุ่มในยุคดิจิทัล (6) การส่งเสริมการสร้างความคิดในยุคดิจิทัล</strong> (<strong>7) การติดตามและประเมินผลในยุคดิจิทัล</strong> และ (<strong>8) การสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองในยุคดิจิทัล</strong> และ 2) รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนประถมศึกษาในยุคดิจิทัลของนิสิตคณะครุศาสตร์ แบ่งเป็น 8 องค์ประกอบที่กล่าวข้างต้น และมีลำดับขั้นตอนการพัฒนาสมรรถนะ 6 ขั้น ได้แก่ (1) แนวความคิด (2) ความรู้ (3) การสังเกต (4) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (5) ประสบการณ์ และ (6) ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพครู โดยในทุกองค์ประกอบและทุกขั้นตอนต้องใช้การเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นไปอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education https://so01.tci-thaijo.org/index.php/cmujedu/article/view/281144 การศึกษามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง อัตราส่วนที่เรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐาน 2025-07-16T14:59:08+07:00 อิสราภรณ์ จำปาหอม itsaraporn.ja@ku.th วันดี เกษมสุขพิพัฒน์ feduwdk@ku.ac.th ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ feducrl@ku.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) ศึกษามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในระหว่างเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านสวน (จั่นอนุสรณ์)ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐาน เรื่อง อัตราส่วน จำนวน 11 แผน 2) แบบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบวัดเป็นแบบต่อเนื่อง 2 ขั้นตอน และแบบอัตนัย รวมทั้งหมดจำนวน 12 ข้อ 3) ใบกิจกรรม และ 4) อนุทินการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ one simple t - test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์เรื่อง อัตราส่วน หลังเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน ของนักเรียน ในระหว่างเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐานมีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น โดยนักเรียนส่วนใหญ่มีระดับคะแนนมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal of Inclusive and Innovative Education