https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/issue/feed
ธรรมธารา
2025-07-11T00:00:00+07:00
ดร.ภัทธิดา แรงทน | Phatthida Raengthon, Ph.D.
dhammadhara072@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขต</strong><br /> วารสารธรรมธารา (Dhammadhara Journal of Buddhist Studies, DJBS) ISSN 2651-2262 (Online) เป็นวารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนาของมูลนิธิสถาบันธรรมชัย อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI มีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริม สนับสนุน และเป็นแหล่งข้อมูลในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการให้กับคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจ โดยมีเนื้อหาทางพระพุทธศาสนา 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 พระพุทธศาสนาเชิงคัมภีร์ คือ มีการศึกษาวิจัยเนื้อหาในพระไตรปิฎกในภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาบาลี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาทิเบต ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น กลุ่มที่ 2 พระพุทธศาสนาเชิงประยุกต์ คือ การนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปประยุกต์เข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ เช่น งานวิจัยนวัตกรรมเชิงพุทธด้านมนุษยศาสตร์และด้านสังคมศาสตร์ ทั้งนี้ผู้เขียนสามารถแยกประเภทของบทความตามเนื้อหาหลักได้ดังนี้ กลุ่มที่ 1 พระพุทธศาสนาเชิงคัมภีร์ ประกอบด้วย คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาสายจารีตต่างๆ ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนา และกลุ่มที่ 2 พระพุทธศาสนาเชิงประยุกต์ ประกอบด้วย งานวิจัยนวัตกรรมเชิงพุทธบูรณาการ ด้านปรัชญา ด้านประเพณีและวัฒนธรรม ด้านจิตวิทยา ด้านการศึกษา ด้านศิลปกรรม ด้านเทคโนโลยี ด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น<br /><br /><strong>ประเภทบทความที่รับพิจารณาตีพิมพ์ <br /></strong>วารสารธรรมธาราเปิดรับบทความ 4 ประเภท คือ<br /> 1) <strong>บทความวิจัย</strong>:- 1) บทนำ 2) วัตถุประสงค์ 3) นิยามศัพท์เฉพาะ 4) วิธีดำเนินการวิจัย 5) ผลการวิจัย 6) อภิปรายผล 7) องค์ความรู้ใหม่ 8) บทสรุปและข้อเสนอแนะ<br /> 2) <strong>บทความวิชาการ</strong>:- 1) บทนำ 2) เนื้อหา 3) ความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษา 4) บทสรุป<br /> 3) <strong>บทความแปล </strong>จากภาษาต่างประเทศ เป็นการนำงานวิจัย งานวิชาการ หนังสือ ที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศ แปลนำเสนอเป็นบทความเพื่อนำความรู้มาแลกเปลี่ยน เปิดมุมมองใหม่จากทัศนะของนักวิชาการต่างประเทศ ทั้งภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน เป็นต้น ทั้งนี้ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของผลงานและสำนักพิมพ์ รวมทั้งผู้เขียนต้องนำเสนอมุมมองของตนเองต่องานชิ้นนั้นด้วย<br /> 4) <strong>บทความพิเศษ </strong>จากผู้เชี่ยวชาญ เป็นผลงานเขียนจากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้รับการกลั่นกรองและอนุมัติจากบรรณาธิการและกองบรรณาธิการวารสารฯเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำเสนองานเขียนให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์สูงสุด<br /> ทั้งนี้บทความทุกประเภทจำนวนคำเฉลี่ยไม่ควรเกิน 8,000 คำ และขอแนะนำให้มีรูปภาพ ตาราง และแผนภูมิ จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบทความได้ดีมากขึ้น<br /><br /><strong>วารสารธรรมธารา ตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ<br /></strong>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน <br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>คำแนะนำสำหรับผู้เขียน </strong><a href="https://www.dhammadhara.org/wp-content/uploads/2019/02/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2.pdf"><br /></a>หลักเกณฑ์การอ้างอิงของวารสารธรรมธารา <a href="https://drive.google.com/file/d/1_yYcg3-2nJoYOFQRLJTQ6tUAvm6y7AeO/view?usp=sharing">คลิกเพื่ออ่าน</a><br />ตัวอย่างแบบฟอร์มการจัดหน้าบทความ [<a href="https://docs.google.com/file/d/1ijCebBaJ872x9UTYq1Kfg8weWH5N_BAE/view">.word</a>] [<a href="https://drive.google.com/file/d/1ew8WI06jszY8upUG1YsyNe0-U8qBN3D5/view">.pdf</a>]<br />ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม [<a href="https://docs.google.com/file/d/119hFkOZHUzJJLyQuu7OtpEbmsDvyCIhv/view">download</a>]</p> <p><strong>ISSN 2651-2262 (Online)</strong></p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/280011
การวิพากษ์แนวคิดของบรอนวิน ฟินนิแกน ในบทความ "การเสี่ยงโชคของพระพุทธเจ้าและการเดิมพันของปัสกาล"
2025-04-18T14:14:58+07:00
พระมหาสมคิด เลื่อนแก้ว
luankaew072@gmail.com
เทพทวี โชควศิน
fhumtwc@ku.ac.th
ธีรัตม์ แสงแก้ว
fhumtrsk@ku.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือการวิพากษ์แนวคิดของบรอนวิน ฟินนิแกนในบทความการเสี่ยงโชคของพระพุทธเจ้าและการเดิมพันของปัสกาล โดยศึกษาจากงานที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้เป็นหลัก วิธีการวิจัย คือการโต้แย้งเชิงปรัชญา ฟินนิแกนได้เสนอแนวคิดสำคัญไว้ 6 ประการคือ (1) พระพุทธเจ้าและปัสกาลใช้เหตุผลชนิดเดียวกันในการเดิมพัน ได้แก่ การใช้เหตุผลแบบครอบงำ เป็นต้น ซึ่งผู้วิจัยเห็นด้วย (2) การเดิมพันของพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงคุณค่าอนันต์ ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยเพราะในอปัณณกสูตรกล่าวถึงนิพพานซึ่งอาจจัดเป็นคุณค่าอนันต์ในพระพุทธศาสนาได้ (3) ไม่มีหลักฐานเรื่องกรรมและการเกิดใหม่ ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยเพราะกรณีศึกษาคนระลึกชาติอาจเป็นหลักฐานได้และบางกรณีความจริงกับหลักฐานไม่จำเป็นต้องมาคู่กัน (4) การเดิมพันในอปัณณกสูตรขัดแย้งกับกาลามสูตรเพราะไม่มีการพิสูจน์ความจริงจนรู้ได้ด้วยตนเองโดยการนั่งสมาธิ ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยเพราะบางกรณีการรู้ด้วยตนเองใช้จินตามยปัญญาได้ (5) หลักอนัตตาไม่สอดคล้องกับการกลับชาติมาเกิด ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยเพราะการตายแล้วเกิดใหม่ของขันธ์ 5 อธิบายได้ด้วยกฎไตรลักษณ์ ธัมมสันตติ และปฏิจจสมุปบาท (6) การเดิมพันในอปัณณกสูตรไม่สมเหตุสมผลในกรณีที่คาดหวังว่า คนที่ยอมรับเรื่องกรรมและการเกิดใหม่จะประพฤติดี ผู้วิจัยไม่เห็นด้วยและได้โต้แย้งด้วยงานวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องสวรรค์และนรก และงานวิจัยเรื่องประสิทธิผลของภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ สำหรับคนที่ปฏิเสธกรรมและการเกิดใหม่แล้วประพฤติผิดก็ทำนองเดียวกัน</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/280005
การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการอนุรักษ์และศึกษาเอกสารตัวเขียน (R1, D1)
2025-04-08T14:08:00+07:00
พระมหาธัญสัณห์ กิตฺติสาโร
thunsun@gmail.com
พระมหาทวี มหาปญฺโญ
ptlalong@gmail.com
กรรณิการ์ ขาวเงิน
Kannikar.khaw@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการอนุรักษ์และศึกษาเอกสารตัวเขียน 2) เพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการอนุรักษ์และศึกษาเอกสารตัวเขียน โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ (1) การศึกษา (R1) จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารตัวเขียน 20 คน สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 5 คน และ (2) การพัฒนา (D1) โดยใช้แนวทางการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เป็นงานวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มประชากร คือ ผู้ทำงานเกี่ยวกับเอกสารตัวเขียนในประเทศไทย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเอกสารตัวเขียนและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษา: 1. การทำงานด้านเอกสารตัวเขียนมีหลายด้าน ดังนี้ การสร้างความมีส่วนร่วม การอนุรักษ์ การศึกษา การวิจัย แต่การทำงานเหล่านี้ยังขาดการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน 2. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านเอกสารตัวเขียนที่มีอยู่ในปัจจุบันมีปัญหา 3 ประการ ได้แก่ รองรับเฉพาะมาตรฐานการทำงานของหน่วยงานตนเอง ทำงานบนฐานเทคโนโลยี Web 1.0 ขาดระบบส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (API) 2) ผลการพัฒนา: ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ ระบบฐานข้อมูล ระบบส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ และแอปพลิเคชัน โดยมีคุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่ รองรับมาตรฐานการทำงานของกลุ่มงานเอกสารตัวเขียนทุกกลุ่ม ทำงานบนฐานเทคโนโลยี Web 2.0 มีระบบส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (API) โดยต้องคำนึงถึงด้านการใช้งาน ด้านประสบการณ์การใช้งาน และด้านรูปลักษณ์โปรแกรม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านการอนุรักษ์ จัดเก็บ ค้นคว้า และวิจัยเอกสารตัวเขียน ทำให้เกิดประสิทธิผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/277516
ท่าทีของพระพุทธเจ้าต่อปัญหาทางอภิปรัชญาในพุทธปรัชญาเถรวาท
2025-03-15T15:30:22+07:00
เนาวรัตน์ พันธ์วิไล
rattnaowarat@gmail.com
เทพทวี โชควศิน
fhumtwc@ku.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาท่าทีของพระพุทธเจ้าต่อปัญหาอภิปรัชญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท งานวิจัยนี้มีพื้นฐานมาจากข้อสังเกตว่า นักวิชาการจำนวนหนึ่งสนใจศึกษาอัพยากตปัญหา หรือปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ว่า เป็นปัญหาอภิปรัชญาประเภทหนึ่งในพุทธปรัชญา โดยผู้วิจัยตั้งคำถามว่าจริงหรือไม่ที่ปัญหาอภิปรัชญาทั้งหมดเป็นปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์<br /> ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาอภิปรัชญาในพระพุทธศาสนาสามารถแบ่งได้อย่างน้อยสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ (อัพยากตปัญหา) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับทิฏฐิสุดโต่ง (อันตคาหิกทิฏฐิ) ที่ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์และไม่เป็นประโยชน์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ ในแง่มุมของตรรกวิทยาแห่งคำถาม (Erotetic Logic) คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ประโยคบ่งชี้ที่สามารถยืนยันหรือปฏิเสธได้โดยตรง การไม่ทรงพยากรณ์จึงเป็นการปฏิเสธกรอบโครงสร้างของคำถามที่ผิดในเชิงตรรกะซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของประโยคจตุกโกฏิ<br /> กลุ่มที่สองคือ ปัญหาอภิปรัชญาประเภทอื่น ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ ปัญหาในกลุ่มนี้สะท้อนถึงแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกภายนอก ซึ่งถือเป็นปัญหาอภิปรัชญาที่เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่น เรื่องขันธ์ 5 เป็นอนัตตา กฎแห่งกรรม นิยามของคำว่า โลก เป็นต้น หัวใจสำคัญของปัญหาอภิปรัชญากลุ่มนี้ คือ รูปแบบของคำถามไม่ได้ผูกมาในรูปประโยคที่บังคับให้ตอบยืนยันหรือปฏิเสธโดยตรง แต่ต้องการทราบว่าในประเด็นเหล่านั้น พระพุทธองค์ทรงสอนอะไรและคำตอบเหล่านั้นจะนำไปสู่การหลุดพ้นได้อย่างไร ดังนั้น ท่าทีของพระพุทธเจ้าต่อปัญหาอภิปรัชญาจึงมิใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเลือกตอบโดยยึดหลักว่า คำตอบนั้นต้องน้อมนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น การไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาบางอย่างเป็นการปฏิเสธโครงสร้างและสมมติฐานของคำถามที่ผิดตั้งแต่ต้นและไม่เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุธรรม</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/278076
สังคมและการเมืองในอุดมคติทางพระพุทธศาสนา
2025-03-11T09:55:30+07:00
ประยงค์ จันทร์แดง
yongsaid@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาบริบททางสังคมและการเมืองที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อวิเคราะห์สังคมและการเมืองในอุดมคติจากมุมมองของพระพุทธศาสนาเถรวาท และ 3) เพื่อเสนอสังคมและการเมืองในอุดมคติสำหรับพระพุทธศาสนาเถรวาท ในสังคมไทย เป็นการวิจัยเอกสารโดยเน้นคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ชั้นรองลงมาอื่น ๆ ผลการวิจัยพบว่า ภายใต้บริบททางสังคมยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ถูกครอบงำด้วยระบบวรรณะ 4 ใช้ชีวิตกันไปตามยถากรรม ในทางการเมืองการปกครองมีการแบ่งเป็นรัฐและแต่ละรัฐก็มีอธิปไตยเป็นของตนเอง หลายแห่งปกครองแบบราชาธิปไตยและบางแห่งปกครองแบบสามัคคีธรรมหรือสหพันธรัฐ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาทั้งในเชิงปัจเจกและเชิงโครงสร้างของสังคมซึ่งโดยรวมก็คือ มองเห็นทุกข์ โดยทุกข์ระดับปัจเจกก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และความหลงระเริงในชีวิต ส่วนทุกข์ระดับสังคมคือ ระบบวรรณะ 4 ที่แบ่งชนชั้นตามชาติกำเนิด จึงเสด็จออกผนวชแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงชี้ทางแก้ทุกข์ ในระดับปัจเจก คือ อริยมรรคมีองค์ 8 และทุกข์ทางสังคมโดยการออกจากระบบวรรณะ 4 เป็นคนนอกวรรณะ โดยการสร้างสังคมแห่งสังฆะหรือพุทธบริษัท 4 ที่มีชีวิตเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อจำกัดของระบบเดิม โดยยึดพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญสูงสุด ดังนั้น วงการพระพุทธศาสนาไทยจึงควรสร้างองค์กรหรือสังคมที่อิสระไม่อิงกับอำนาจรัฐ แต่ควรปกครองกันเองตามหลักพระธรรมวินัย เน้นเจริญสติและพัฒนาปัญญาเพื่อมุ่งปลดปล่อยตนเองและสังคมให้พ้นจากทุกข์หรือปัญหาต่าง ๆ บนพื้นฐานของหลักพุทธธรรมที่ปรับให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/279453
ทรรศนะเรื่ององค์ฌานในคัมภีร์อภิธรรมโกศภาษยะของวสุพันธุ
2025-04-03T15:11:45+07:00
ศุภร บุญญลาภา
bnylp@aol.com
ณัชพล ศิริสวัสดิ์
Natchapol.S@chula.ac.th
ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว
Chanwit.T@chula.ac.th
<p> ในคัมภีร์อภิธรรมโกศภาษยะ นิรเทศะที่ 8 สมาปัตตินิรเทศะ วสุพันธุแสดงองค์ฌานไว้ 2 ที่ แต่กลับแจกแจงจำนวนองค์ฌานไว้ไม่เท่ากัน จากการศึกษางานวิจัยที่ผ่านมา อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า วสุพันธุเห็นด้วยกับการแจกแจงองค์ฌานตามจารีตของนิกายสรวาสติวาทหรือไม่ อีกทั้งไม่อาจอธิบายองค์ฌานตามการจัดแบ่งของวสุพันธุที่ขัดกันนี้ได้ ผู้วิจัยเสนอว่า วสุพันธุกำลังเสนอการการจัดแบ่งองค์ฌานใหม่ตามทฤษฎีของท่าน โดยนำการจัดแบ่งองค์ฌานตามจารีตขึ้นมาเป็น “ต้นแบบ” และใช้วิภาษวิธีเพื่อโต้แย้งการจัดแบ่งองค์ฌานตามจารีตผ่านการอ้างพระสูตร</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การจัดองค์ฌานตามจารีตสรวาสติวาท ค่อนข้างคล้อยตามพุทธพจน์ที่อธิบายสภาวะการได้ฌานแต่ละขั้น แต่สำหรับวสุพันธุ หลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้กำหนดว่าสภาวธรรมใดเป็นองค์ฌานนั้น สภาวธรรมนั้นต้องมี “การละไป” (apakarśa) เมื่อเข้าสู่ฌานในระดับที่สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบธรรมที่เป็นองค์ฌานตามจารีตของนิกายสรวาสติวาทกับขององค์ฌานตามเกณฑ์ของวสุพันธุแล้ว สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ (1) ธรรมที่วสุพันธุจัดเป็นองค์ฌานตรงตามสรวา-สติวาท แต่ตีความต่างจากสรวาสติวาท ได้แก่ วิตกวิจาร (vitarka-vicāra) และสุข (sukha) (2) ธรรมที่วสุพันธุจัดเป็นองค์ฌาน และตีความก็ตรงตามสรวาสติวาท ได้แก่ ปีติ (prīti) และ (3) ธรรมที่วสุพันธุไม่จัดเป็นองค์ฌาน ได้แก่ ความบริสุทธิ์สงบภายใน (adhyātmasaṃprasāda) สติ (smṛti) สัมปชัญญะ (samprajñāna) อุเบกขา (upekṣā) อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข) (aduḥkhāsukhā vedanā) และสมาธิ (samādhi)</p> <p> แม้จะมีทั้งส่วนที่วสุพันธุเห็นคล้อยตามและเห็นแตกต่างจากสรวาสติวาท แต่วสุพันธุยังคงแสดงองค์ฌานไว้ทั้งหมด และอธิบายไว้อย่างสอดคล้องต้องกัน ทำให้ทรรศนะว่าด้วยองค์ฌานที่นำเสนอมีความสมบูรณ์ และรอบด้าน</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/279946
พุทธนวัตกรรมการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างพลังจิตอาสาของเยาวชนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-04-04T16:28:51+07:00
หนึ่งธิดา สาริศรี
taleiw1717@gmail.com
พระสุธีรัตนบัณฑิต
taleiw1717@gmail.com
พระมหาทวี มหาปญฺโญ
ptlalong@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสนอผลพัฒนาและประเมินผลการใช้พุทธนวัตกรรมการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างพลังจิตอาสาของเยาวชนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นการศึกษาวิจัยแบบผสานวิธีแบบเชิงทดลอง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา ด้านจิตวิทยา ด้านจิตอาสาและด้านสื่อสร้างสรรค์ จำนวน 17 รูป/คน กลุ่มตัวอย่าง คือ เยาวชนชั้น ม. 2-3 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 30 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมิน สมุดบันทึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1. คุณลักษณะของจิตอาสาปลูกฝังและส่งเสริมได้โดยบูรณาการหลักไตรสิกขา สังควัตถุ 4 และโยนิโสมนสิการ ประกอบด้วย 1) การสร้างรูปแบบผ่านช่องทางออนไลน์ 2) แนวทางในการสร้างกิจกรรมและการพัฒนาเยาวชนให้รู้จักคิดแบบมีส่วนร่วม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มององค์รวม และกิจกรรมจิตสำนึกสาธารณะ 2. ผลการพัฒนาพุทธนวัตกรรมการใช้สื่อสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการ ประกอบด้วยขั้นที่ 1 แนวคิดทฤษฎีพื้นฐาน ขั้นที่ 2 การสร้างรูปแบบ 2 ระยะ ได้แก่ ระยะจัดอบรมกิจกรรม 2 วัน และ ระยะโครงการจิตอาสาสื่อสร้างสรรค์ในชุมชน 30 วัน ผลของกระบวนการพัฒนามี 6 ขั้น ได้แก่ 1) สะพานเชื่อมกัลยาณมิตร 2) การรับรู้ความสามารถของตน 3) หัวใจแห่งจิตอาสา 4) รู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันสื่อ 5) Up Skill เสริมสร้างทักษะใหม่บนโลกโซเซียล และ 6) สร้างเครือข่ายพลังเยาวชนจิตอาสารักดีเพื่อชุมชน 3. ผลประเมินการใช้พุทธนวัตกรรมการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างพลังจิตอาสาของเยาวชน พบว่า พุทธนวัตกรรมการใช้สื่อสร้างสรรค์มีความเหมาะสมทั้งในภาพรวมและรายด้าน กลุ่มเยาวชนมีพฤติกรรมจิตอาสาตามแนวพุทธหลังการเข้าร่วมกิจกรรมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dhammadhara/article/view/280678
ข้อโต้แย้งต่อคำอธิบายของวิลเลียม เดวิด รอสส์ เกี่ยวกับการใช้อัชฌัตติกญาณในการตัดสินใจทางจริยธรรม
2025-05-01T15:07:17+07:00
พระมหาพลวัฒน์ เอกอรุณรุ่งฤทธิ์
sync072@gmail.com
วิไลพร สุจริตธรรมกุล
Wilaiporn.su@ku.th
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบความคิดทางญาณวิทยาเชิงจริยศาสตร์ผ่านอัชฌัตติกญาณในการตัดสินทางจริยธรรม ดังที่ปรากฏในงานเขียนของวิลเลียม เดวิด รอสส์ จากหนังสือ The Right and The Good วิธีการศึกษา คือ การวิเคราะห์การอ้างเหตุผลของวิลเลียม เดวิด รอสส์ ที่นำมาสนับสนุนการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมโดยใช้อัชฌัตติกญาณ ในส่วนแรกผู้เขียนพบว่า กรอบความคิดพื้นฐานญาณวิทยาเชิงจริยศาสตร์ของรอสส์ที่ว่า หน้าที่ทางจริยธรรมควรเป็นมุมมองที่เน้นเรื่องอดีตและปัจจุบันเป็นหลักแต่ไม่ควรมองไปไกลถึงอนาคต โดยกรอบความคิดดังกล่าวมีการอ้างเหตุผลสนับสนุนที่อาจจะบกพร่อง เพราะระบบจริยธรรมที่ละเลยอนาคตอาจนำไปสู่การใช้เหตุผลทางจริยธรรมที่ไม่สมบูรณ์ โดยละเลยผลกระทบในระยะยาวของการกระทำและหน้าที่ต่อผู้อื่นและคนรุ่นต่อไป และทฤษฎีหน้าที่ทางจริยธรรมแบบพหุนิยม ซึ่งเป็นทฤษฎีที่รอสส์สนับสนุนกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตไปด้วย แต่รอสส์ไม่สนับสนุนหลักการมองผลลัพธ์ในอนาคต เท่ากับว่าสิ่งที่เขาเสนอจึงมีความขัดแย้งกันเองในตัว ในส่วนที่สองผู้เขียนพบว่า กรอบความคิดทางญาณวิทยาถัดมาที่ว่า อัชฌัตติกญาณ เป็นการหยั่งรู้ภายในที่ช่วยทำให้การตัดสินของคนมีความถูกต้อง โดยกรอบความคิดดังกล่าวมีการอ้างเหตุผลสนับสนุนที่อาจจะบกพร่องเช่นกัน เพราะอัชฌัตติกญาณที่ประจักษ์ชัดในตัวเองของรอสส์นั้นไม่ได้ให้คำตอบที่ประจักษ์ชัดเหมือนความจริงหรือสัจพจน์ทางคณิตศาสตร์ หรือการอนุมานทางตรรกศาสตร์ เพราะวิธีการยังมีความกำกวม และสรุปกฎความเป็นจริงทางจริยธรรมไม่ได้เลย ด้วยการอ้างเหตุผลสนับสนุนที่บกพร่องดังกล่าว จึงทำให้สมมติฐานของข้อสรุปของเขาผิดไปด้วย และทำให้การอ้างเหตุผลของเขานั้นขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ</p>
2025-07-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธรรมธารา