วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca <p> </p> <p> </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>1. เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานทางด้านวิชาการของอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และนักศึกษาด้านการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ </p> <p>2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอนวัตกรรม และความเคลื่อนไหวทางด้านวิชาชีพของผู้เกี่ยวข้องในด้านการสื่อสาร สายงานนิเทศศาสตร์</p> <p>3. เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับบุคคลทั่วไป และผู้สนใจองค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์</p> <p>4. เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพทางวิชาการของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์</p> <p> </p> Faculty of Communication Arts, Dhurakij Pundit University th-TH วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ 1685-5477 <p>ลิขสิทธิ์เป็นของวารสาร....</p> การสื่อสารตราสินค้าในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้บริโภค https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/263742 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาแนวทางการสื่อสารตราสินค้าในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้บริโภค เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจ การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนในการใช้ชีวิตอย่างรวดเร็วตลอดเวลา การที่จะให้ผู้บริโภคยังคงใช้สินค้าของเราต่อไป ตราสินค้าต้องสร้างความชื่นชอบในตราสินค้า โดยเริ่มจากการสำรวจ Customer Journey ของผู้บริโภค จากนั้นทำการประเมินตราสินค้าทำบ่อยครั้ง เพื่อปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ การประเมินตราสินค้าด้วย 1st-party data ข้อมูลที่ตราสินค้าสามารถทำได้เอง การเก็บข้อมูลของพนักงานขาย การทำแบบสำรวจกับกลุ่มเป้าหมาย 2nd-party data แลกเปลี่ยนข้อมูลกับพันธมิตรเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งกันและกัน &nbsp;3rd-party data การประเมินด้วยการซื้อข้อมูล นอกจากนี้มีการปรับหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ รูปลักษณ์ สร้างความเชื่อใจในตราสินค้า การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค มีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประสบการณ์ทีดี่ทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ พนักงานขาย เว็บไซต์สินค้า Call Center หรือฝ่ายการประชาสัมพันธ์ และการสร้างชุมชน (community) ในออนไลน์ เพื่อให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อผู้บริโภค ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อตราสินค้า</p> อริสรา ไวยเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 12 34 ปัจจัยการสื่อสารการตลาดและอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/264977 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการสื่อสารการตลาดและอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยการสื่อสารการตลาดและอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และใช้การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริโภคกลุ่มเจนวายและเจนแซดในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์เกมมิ่งเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี จำนวน 400 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 16 - 20 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี สถานภาพโสด อาชีพนักเรียน/นักศึกษา มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท 2) ปัจจัยการสื่อสารการตลาด ด้านการโฆษณา มีผลต่อเหตุผลในการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่งมากที่สุด 3) กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญ ด้านความชำนาญเชี่ยวชาญของอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง และ 4) ปัจจัยการสื่อสารการตลาดและอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์มีความสัมพันธ์ต่อกันจนส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์เกมมิ่ง</p> กิตติพงษ์ ใจบุญ กัญญรัตน์ หงส์วรนันท์ Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 35 59 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4Es ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคสั่งอาหารประเภทชาบูผ่าน โมบายแอปพลิเคชัน Food Delivery https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/264842 <p style="font-weight: 400;">งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4Es ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคสั่งอาหารประเภทชาบูผ่านโมบายแอปพลิเคชัน Food Delivery และเพื่อทดสอบข้อมูลที่ได้จากการศึกษา 4Es นำมาออกแบบโมบายแอปพลิเคชัน Food Delivery โดยการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการสัมภาษณ์โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงทดลอง ในการนำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกมาสู่การออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปพัฒนาการออกแบบโมบายแอปพลิเคชันให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้</p> <p style="font-weight: 400;">ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยเรื่องส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix 4Es) ในด้านการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค (Experience) พบว่า ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายในการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery เพื่อที่จะได้รับประทานร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อนที่ทำงานและได้รับประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน ด้านการสร้างความคุ้มค่า (Exchange) พบว่า รายการอาหารในแต่ละรายการนั้นมีปริมาณที่เหมาะสมรวมไปถึงสร้างความคุ้มค่ากับเงินที่ผู้บริโภคจ่ายไป&nbsp; ด้านการเข้าถึงผู้บริโภค (Everywhere) พบว่า ช่องทางในการขายผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกผ่านโมบายแอปพลิเคชันสามารถเลือกที่จะสั่งอาหารในแต่ละร้านได้ง่าย&nbsp; ด้านการสร้างลูกค้าขาประจำ (Evangelism) พบว่า การสร้างแบรนด์ของร้านอาหารให้มีคุณภาพทำให้ผู้บริโภคได้รับของที่มีคุณภาพจึงมีการสื่อสารปากต่อปากให้กับผู้บริโภคคนอื่นๆ ทำให้เกิดการสั่งสินค้าอย่างสม่ำเสมอ และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการออกแบบและพัฒนาโมบายแอปพลิเคชัน Food Delivery ให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจในการใช้งานโมบายแอปพลิเคชัน Food Delivery มากที่สุด ผลทดสอบการใช้งานของผู้บริโภคด้าน User Experience (UX) และ User Interface (UI) พบว่า ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวกสบายขึ้นโดยมีการจัดวางรูปแบบและรูปภาพเนื้อหาโฆษณาที่ใช้งานง่าย การตอบสนองต่อการใช้งานที่รวดเร็วขึ้น การรองรับการเข้าถึงได้อย่างไม่มีอุปสรรคสามารถนำมาประยุกต์กับธุรกิจ Food Delivery ได้เป็นอย่างดี</p> วีรสิทธิ์ จันทนา ชุติมา เกศดายุรัตน์ Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 60 85 รูปแบบและกลยุทธ์การสร้างเนื้อหาของนักรีวิวอาหารบนแพลตฟอร์ม TikTok https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/266215 <p>Objectives of this research are 1) to study the format of content creation of food reviewer on TikTok platform. 2) to study the strategy of content creation of food reviewer on TikTok platform. 3) to study the attitude of TikTok’s user towards the content of food reviewer on TikTok platform. 4) to study communication guidelines of effective content of food reviewer on TikTok platform. The study used the qualitative research approach by using documentary research for analyzing contents of 9 food reviewers. Moreover, this research collected data by Interviewing with 3 food reviewers, 1 specialist in creating content on TikTok platform and 10 TikTok’s users.</p> <p>The result of this research found that food reviewers present content in a friendly manner through language, gesture and personality. Food reviewers attract viewers by opening interesting footage in the early second of the video. For building participation, they present what the audience likes, and talk with followers through comment and live. Food reviewers also build credibility by presenting honestly and straightforward. Moreover, they need to aware of social issues in order not to affect the image in long term. For TikTok’s user, food reviewer’s content is perceived through For You Page of platform. They like food reviewer who are entertaining and present quality information. Therefore, TikTok’s user often like, save and share their favorite content. The researcher was able to summarize the guidelines for creating food review content on TikTok platform with the ‘SHORTS strategy’, consisting of 1) S – Short 2) H – Hit to the point 3) O - Order 4) R - Reality 5) T – Trendy 6) S- Social Responsibility</p> มาริน ทองเจือ วรัชญ์ ครุจิต Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 86 114 การสื่อสารภาพลักษณ์ผ่านวัฒนธรรมเกาหลีด้านอาหาร กรณีศึกษาละครเรื่อง Itaewon Class และ My Secret Romance https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/263423 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการนำเสนอภาพลักษณ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารเกาหลีผ่านละครเรื่อง Itaewon Class และ My Secret Romance 2) ศึกษากลยุทธ์การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของละครเรื่อง Itaewon Class และ My Secret Romance 3) เปรียบเทียบการนำเสนอภาพลักษณ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารเกาหลีผ่านละครเรื่อง Itaewon Class และ My Secret Romance โดยการศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลมีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ในละครเกาหลีใต้เรื่อง Itaewon Class ตอนที่ 1, 5, 11, 13, 16 และเรื่อง My Secret Romance ตอนที่ 1, 7, 8, 12, 14 ทั้งนี้ยังมีการใช้ข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) จากกลุ่มที่รับชมละครและบริโภคอาหารเกาหลีใต้จากละครเรื่อง Itaewon Class และเรื่อง My Secret Romance ผ่านช่องทาง Netflix จำนวน 6 ท่าน</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่า 1) การนำเสนอภาพลักษณ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารมากกว่าการปรุงอาหาร 2) กลยุทธ์การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมจะเน้นไปที่การใช้เพลงประกอบฉากมากที่สุด ในละครเรื่อง Itaewon Class มีการนำเสนอเมนูอาหารส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่รู้จักกันอยู่แล้ว ในละครเรื่อง My Secret Romance มีการนำเสนอเมนูอาหารท้องถิ่น 3) การถ่ายทอดวัฒนธรรมเกาหลีด้านอาหารของทั้งสองเรื่องมีความเหมือนกันเพราะเนื้อเรื่องมีการอธิบายถึงสรรพคุณของอาหาร ความใส่ใจในการทำอาหารในทุก ๆ ขั้นตอน แต่ละครเรื่อง Itaewon Class ทำให้อยากบริโภคอาหารมากกว่าเรื่อง My Secret Romance</p> หนึ่งฤทัย ประเสริฐ ธีรติร์ บรรเทิง Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 115 140 ภาพตัวแทนครอบครัวไทยเชื้อสายจีนผ่านละครโทรทัศน์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/266098 <p>งานวิจัยเรื่อง “ภาพตัวแทนครอบครัวไทยเชื้อสายจีนผ่านละครโทรทัศน์” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ด้วยวิธีการวิเคราะห์ตัวบท (textual analysis) จากละครโทรทัศน์เรื่อง ด้ายแดง (2562) กรงกรรม (2562) เสน่ห์นางงิ้ว (2561) และเลือดข้นคนจาง (2561) รวมไปถึงการวิเคราะห์ผู้รับสาร (audience analysis) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประกอบสร้างภาพตัวแทนของความเป็นครอบครัวไทยเชื้อสายจีนในละครโทรทัศน์ และการถอดรหัสภาพตัวแทนครอบครัวไทยเชื้อสายจีนที่ปรากฏในละครโทรทัศน์ของสมาชิกครอบครัวไทยเชื้อสายจีนด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ภายใต้สถานการณ์บริบทของครอบครัวไทยเชื้อสายจีนในสังคมไทยปัจจุบัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ละครโทรทัศน์ที่เป็นตัวบทเปรียบเทียบกับการรับรู้ตามบรรทัดฐานหลักของสังคมจะประกอบด้วย (1) ครอบครัวเป็นพื้นที่ในการพยายามรักษาค่านิยมขนบธรรมเนียมเดิม ได้แก่ ความกตัญญูคือคุณธรรมที่ต้องยึดถือ และความขยันทำมาหากินคุณธรรมสร้างค่าให้ตนเอง (2) ครอบครัวเป็นพื้นที่ในการต่อรองขนบธรรมเนียมที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน ได้แก่ การยกย่องบุรุษเพศกับความเท่าเทียมทางเพศ จากครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว และระบบกงสีที่ไม่เข้มแข็งเหมือนเดิม และ (3) กลวิธีในการสร้างความชอบธรรมผ่านภาษาของละครโทรทัศน์ ส่วนการถอดรหัสของสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้รับสารเปรียบเทียบระหว่างโลกความเป็นจริงของตนเองกับภาพตัวแทนที่ถูกนำเสนอในตัวบทจะประกอบด้วย (1) ความท้าทายของขนบธรรมเนียมประเพณีและบรรทัดฐานเดิมที่มีต่อผู้ชมละครโทรทัศน์ ได้แก่ รุ่นใหม่กับจิตสำนึกที่เปลี่ยนไปในภาพตัวแทนครอบครัวไทยเชื้อสายจีน และสตรีเพศกับต่อรองอำนาจในภาพตัวแทนครอบครัวไทยเชื้อสายจีน และ (2) บทบาทหน้าที่ของละครโทรทัศน์กับการทบทวนตนเองของผู้รับสาร ได้แก่ ระดับปัจเจกบุคคล ระดับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกครอบครัว และระดับโครงสร้างมิติต่าง ๆ ของครอบครัว</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> รุจฬ์สวัตต์ ครองภูมินทร์ สมสุข หินวิมาน Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 141 164 ภาพสะท้อนสังคมไทยจากการสื่อสารในเดี่ยวไมโครโฟน อุดม แต้พานิช ครั้งที่ 1 – 12 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/262167 <p><strong>&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาที่ถูกนำมาถ่ายทอดและภาพสะท้อนสังคมไทยผ่านการสื่อสารจากเดี่ยวไมโครโฟน อุดม แต้พานิช ครั้งที่ 1 – 12&nbsp; ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการวิเคราะห์ตัวบท (Textual Analysis) ที่เชื่อมโยงกับบริบทของสังคมไทย (Context) จนเกิดเป็นภาพสะท้อนสังคมไทยจากเดี่ยวไมโครโฟน อุดม แต้พานิช ครั้งที่ 1 - 12 ผลการวิจัยพบว่า เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบริบทของสังคมที่มีการถ่ายทอดมากที่สุด 4 อันดับ คือ ด้านค่านิยม ได้แก่ ลักษณะพฤติกรรม กระแสความนิยมของคนในสังคม วงการบันเทิง ต่างประเทศ ข่าวสารเหตุการณ์ และเทคโนโลยี สื่อสังคมออนไลน์ รองลงมาคือ ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนในสังคม ได้แก่ ประสบการณ์ของตนเองและคนรอบข้าง ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต วงการบันเทิง ทัศนคติและมุมมองของคน ผู้หญิงและผู้ชาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และลักษณะของผู้ชมเดี่ยวไมโครโฟน อับดับต่อมา คือ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ได้แก่ บริบททางวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ และลำดับต่อมา คือ ด้านเทคโนโลยี ได้แก่ การติดต่อสื่อสาร นวัตกรรม การบันทึกข้อมูล และระบบออนไลน์</p> <p>ภาพสะท้อนสังคมไทยจากการสื่อการในเดี่ยวไมโครโฟน พบว่า ด้านค่านิยม สะท้อนถึงความต้องการ <br>“มีตัวตน” ของคนหรือกลุ่มคนในสังคมไทย ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนในสังคม สะท้อนถึงลักษณะของการหาทาง “อยู่รอด” จากปัญหาในการใช้ชีวิตของคนในสังคมไทย ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ สะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของคนในสังคมไทยที่เกี่ยวกับวิญญาณ พระพุทธศาสนา และไสยศาสตร์<br>ด้านเทคโนโลยี สะท้อนถึง “ความลำบาก” ในการปรับตัวกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อน จนถึงปัจจุบัน โดยอุดม แต้พานิช ได้มีการถ่ายทอดอุดมการณ์ผ่านการสร้างความหมายใหม่ให้กับสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม และพฤติกรรมของคนในสังคม ผ่านกลวิธีการล้อเลียนจากสิ่งที่ปรากฏอยู่จริงในสังคมที่สร้างความเข้าใจ ยอมรับ และเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม</p> พราวตา ศรีวิชัย พิมลพรรณ ไชยนันท์ Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 165 193 นโยบายและกลยุทธ์การสื่อสารท่องเที่ยวช่วงวิกฤตการณ์ ไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/266037 <p>เนื่องจากวิกฤตการณ์โควิด-19 เกิดการกระจายตัวของโรคระบาดไปยังทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมทั้งในประเทศไทยด้วย เนื่องจากนโยบายการปิดพรมแดนห้ามการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาควบคุมการระบาดของโรคดังกล่าว ทั้งนี้ผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยได้รับความเสียหายจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้อย่างใหญ่หลวง นับเป็นมูลค่ามหาศาล เนื่องจากขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ทั้งนี้งานวิจัยชิ้นนี้จึงได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาปรากฎการณ์และหาแนวทางในการกระตุ้นนโยบายและกลยุทธ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงวิกฤตการณ์ พื้นที่ศึกษาคือเขตเศรษฐกิจพิเศษพัทยา จังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการ ประชาชนในพื้นที่ และนักวิชาการด้านการท่องเที่ยว สำหรับการอภิปรายได้นำหลักการของแผนการสื่อสารภาวะวิกฤตของ Fearn-Banks (อ้างใน Szczepanik. 2004) และแนวคิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง มาประกอบการวิเคราะห์ สรุปว่าแผนการสื่อสารวิกฤตจำเป็นต้องใช้การสื่อสารที่ชัดเจน ถูกต้อง ไม่เลือกปฏิบัติ และรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ เครื่องมือสื่อสารที่นำมาใช้ ได้แก่ สื่อสารมวลชน สื่อบุคคล สื่อใหม่ และสื่อกิจกรรม ซึ่งจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มผู้รับสารทั้งในด้านมิติเชื้อชาติ อายุ เพศ รายได้ และความต้องการท่องเที่ยวในประเทศไทย</p> บัญยง พูลทรัพย์ Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 194 220 The การใช้สื่อเฟซบุ๊กในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2564 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/263402 <p>งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของเฟซบุ๊กในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในช่วงปี พ.ศ.2563 – 2564 และ 2) ศึกษากลวิธีของคนรุ่นใหม่ในการใช้เฟซบุ๊กในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2564 &nbsp;เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากเนื้อหาของเพจเฟซบุ๊กที่ถูกใช้เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวน 3 เพจ และสัมภาษณ์ผู้ผลิตเนื้อหาในเพจเฟซบุ๊กหรือผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Online Influencer) และผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รวมทั้งสิ้น 7 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บทบาทเฟซบุ๊กในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ปรากฏอยู่ 4 บทบาท ได้แก่ 1) บทบาทในฐานะช่องทางการสื่อสาร (Channel) โดยมีลักษณะของการเป็นจุดศูนย์รวม (Hub) ของกลุ่มในการขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวทางการเมือง 2) บทบาทในฐานะพื้นที่แสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มแต่ละกลุ่ม 3) บทบาทในฐานะปริมณฑลสาธารณะโดยมีการเปิดประเด็นอ่อนไหวในสังคมไทยให้คนสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกับคนที่มีแนวคิดเหมือนกันได้อย่างอิสระมากขึ้น และ 4) บทบาทในฐานะคลังจดหมายเหตุ (Archive) เพื่อบันทึก “ความจริง” ในการต่อสู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่</p> <p>สำหรับกลวิธีของคนรุ่นใหม่ในการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง พบว่ามีอยู่ 4 กลวิธี ได้แก่ 1) กลวิธีด้านเนื้อหาในการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมีการนำเสนอสารที่แข็งแรง ผ่านรูปแบบที่เหมาะแก่การรับรู้และแชร์ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ 2) กลวิธีในการใช้ผู้มีอิทธิพล (Influencer) เช่น การนำเสนอเรื่องราวของแกนนำที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย 3) กลวิธีในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้รับสารโดยใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิทัล และ 4) กลวิธีการสื่อสารแบบทันทีทันใด (Real time) เพื่อ “จับตา” ฝ่ายตรงกันข้าม และเตรียมตอบโต้การต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>การใช้สื่อเฟซบุ๊ก, การเคลื่อนไหวทางการเมือง, คนรุ่นใหม่</p> สุชารัตน์ สถาพรอานนท์ มาโนช ชุ่มเมืองปัก Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 221 251 ภาพลักษณ์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในการรับรู้ของผู้ใช้บริการและไม่เคยใช้บริการ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/262139 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้วยวิธีการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research Method) เพื่อศึกษาการเปิดรับสื่อ การรับรู้ภาพลักษณ์ พฤติกรรม และแนวโน้มพฤติกรรมการใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในกลุ่มผู้ใช้บริการและไม่เคยใช้บริการ และ ศึกษาความแตกต่างและความสัมพันธ์ของตัวแปรดังกล่าว โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป กำลังประกอบอาชีพ และมีรายได้จากการประกอบอาชีพ จำนวน 400 คน แบ่งออกเป็น ผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 200 คน และ ผู้ไม่เคยใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 200 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 25 - 34 ปี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัท/ห้างร้านเอกชน มีรายได้ 40,001 บาทขึ้นไป</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 1 พบว่า ผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่มีเพศ อายุ และ รายได้ แตกต่างกันจะมีการเปิดรับสื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่แตกต่างกัน ในขณะที่ผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มีอาชีพแตกต่างกันจะมีการเปิดรับสื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์แตกต่างกัน สำหรับผู้ไม่เคยผู้ใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่มี เพศ อายุ อาชีพ และรายได้ แตกต่างกันจะมีการเปิดรับสื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ไม่แตกต่างกัน และประเภทของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่แตกต่างกันจะมีการเปิดรับสื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์แตกต่างกัน</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 2 พบว่า การเปิดรับสื่อกับการรับรู้ภาพลักษณ์ธนาคารอาคารสงเคราะห์<br>ของผู้ใช้บริการและไม่เคยใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีความสัมพันธ์กันทางบวก และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลางเท่ากัน</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 3 พบว่า การรับรู้ภาพลักษณ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ของผู้ใช้บริการและไม่เคยใช้บริการธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีความสัมพันธ์กันทางบวก และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงมาก และ สูง ตามลำดับ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : การเปิดรับสื่อ ภาพลักษณ์องค์กร พฤติกรรมการใช้บริการ แนวโน้มพฤติกรรมการใช้บริการ</p> กรภัทร์ เกียรติจารุกุล แอนนา จุมพลเสถียร Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 252 287 ปัจจัยที่กลุ่มเจนเนอเรชัน Z เลือกใช้ทวิตเตอร์ในการรับข้อมูลข่าวสาร กรณีศึกษา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/dpuca/article/view/262343 <p>ปัจจุบันสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันต้องมีการปรับใช้ระบบออนไลน์ และเป็นเหตุผลที่นำผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ไปสู่การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ดังนั้นการศึกษาวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่กลุ่มเจนเนอเรชัน Z เลือกใช้ทวิตเตอร์ในการรับข้อมูลข่าวสาร กรณีศึกษา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย” จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับข่าวสารทางทวิตเตอร์ของเจนเนอเรชัน Z และเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกระจายข้อมูลข่าวสารรวมทั้งต่อยอดให้กับสื่ออื่น ๆ ให้ตรงกับผู้บริโภคได้ในอนาคต การวิจัยครั้งนี้เป็นการการศึกษาแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณจากการสำรวจแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ซึ่งผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ กลุ่มเจนเนอเรชัน Z อายุระหว่าง 15 – 19 ปี (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย) และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเชิงเอกสาร ตารางบันทึกข้อมูล ร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก จากกลุ่มผู้เข้าร่วมการวิจัย 2 กลุ่มคือ กลุ่มเจนเนอเรชัน Z จำนวน 5 คนและอินฟลูเอนเซอร์ในทวิตเตอร์ จำนวน 2 คน รวมทั้งหมด 7 คน การศึกษาวิจัยครั้งนี้ผลจากการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพมีความสอดคล้องกัน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; คำสำคัญ: ลักษณะทางประชากรศาสตร์ / เจนเนอเรชัน Z / การเปิดรับข้อมูลข่าวสาร / ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับข่าวสาร / รูปแบบการกระจายข้อมูลข่าวสาร / พฤติกรรมการใช้สื่อ / พฤติกรรมการแสดงออก/ ทวิตเตอร์</p> ณฐพร เชิดสุข อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว Copyright (c) 2023 วารสารนิเทศศาสตร์ธุรกิจบัณฑิตย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-06 2023-12-06 17 2 288 313