https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/issue/feedวารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม2025-06-24T10:16:40+07:00รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญe-jodil@stou.ac.thOpen Journal Systems<p> วารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม (Electronic Journal of Open and Distance Innovative Learning : e-JODIL) จัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลงานวิชาการ และข้อค้นพบจากการวิจัย และเป็นช่องทางในการสะสมองค์ความรู้ สู่การเป็นสังคมฐานความรู้ ตลอดจนเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2554 โดยเปิดรับและเผยแพร่บทความทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี มีกำหนดการออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> <h1><span style="color: orange;">รู้จักนวัตกรรม</span></h1> <div> <p>คำว่า <strong><span style="color: green;">“การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม”</span></strong> หมายถึง ข้อค้นพบ หรือสิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงข้อค้นพบ หรือข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ที่มีคุณค่า หรือเป็นต้นแบบที่ดี (Best Practice) จากงานวิจัย/วิชาการ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลต่อการพัฒนาองค์ความรู้การผลิต และกระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา เศรษฐกิจและสังคม ที่นำมาเผยแพร่ เพื่อสร้างการเรียนรู้ในรูปแบบของวารสารอิเล็กทรอนิกส์</p> </div>https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/277535ความสำคัญของทองคำในการเป็นสินทรัพย์ทุนสำรองระหว่างประเทศ 2024-11-18T13:57:09+07:00พรชัย ชุนหจินดาpchinda@tu.ac.th<p>ทองคำมีบทบาทสำคัญทางด้านศิลปวัฒนธรรม และการแสดงความมั่งคั่งมาตั้งแต่ยุคอารยธรรมโบราณ จนถึงปัจจุบันนี้มีการใช้ประโยชน์จากทองคำอีกหลากหลายด้าน ทั้งด้านอิเล็กทรอนิกส์ การบินและอวกาศ การแพทย์ การตกแต่งและเครื่อง ประดับ และการเงินและการลงทุน ในด้านการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนนั้น ทองคำเคยมีบทบาทสูงสุดในยุคมาตรฐานทองคำในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ในราวกลางศตวรรษที่ 20 ระบบมาตรฐานทองคำได้ล่มสลายลง จากนั้นทองคำจึงมีบทบาทเป็น เพียงสินทรัพย์ทุนสำรองระหว่างประเทศที่ถือครองโดยธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ</p> <p>ด้วยคุณสมบัติพิเศษของทองคำที่สามารถดำรงมูลค่าในตัวเอง (Store of Value) เป็นสินทรัพย์เพื่อการหลบภัย (Safe Haven) และมีสหสัมพันธ์กับสินทรัพย์ชนิดอื่นต่ำ (Low Correlation) ทองคำจึงเหมาะแก่การถือครองไว้ในพอร์ตการลงทุน เพื่อ การกระจายความเสี่ยง (Risk Diversification) ธนาคารกลางยังคงนิยมถือครองทองคำไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อช่วยเสริมความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงิน ใช้หนุนค่าเงินสกุลท้องถิ่น (Fiat Currency) เสริมสภาพคล่อง (Liquidity) ในยามฉุกเฉิน เสริมสร้างเสถียรภาพ (Stability) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจ และใช้ต่อสู้กับสภาวะเงินเฟ้อ (Hedge against Inflation) ทองคำจึงยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกต่อไปในอนาคต</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/275391Investigating the Perceptions of Master's Degree Students in the Online Educational Landscape: A Case Study of an Open University in Thailand2024-07-19T14:25:28+07:00Sita Yiemkuntitavornsita_1383@hotmail.comWannaprapha SuksawasWannaprapha_s@hotmail.com<p>In the ever-evolving landscape of education, the integration of technology has become increasingly prevalent. In 2023, the decision of Sukhothai Thammathirat Open University (STOU), Thailand to transition to a 100% online learning platform marks a significant paradigm shift in the delivery of education. This transformative move necessitates an in-depth exploration of students' perceptions towards the online learning environment. The population of the study involved 24 students from different locations who were studying Master degree of curriculum and instruction majoring in English language teaching, school of Educational Studies at the open university, Thailand registering in course block 22762 Foundations and Methodologies of English Language Instruction at the academic year 2023. They were divided into 2 groups of learning; 12 students per one group. One of the two groups was chosen purposively, as the sampling of the study. The research design used for this study employed a qualitative approach. A focus group interview was conducted online via MS Teams and lasted up to 60 minutes and then analyzing data through content analysis.</p> <p>The students were ensured that their participation and personal information was kept confidential. The interview guide questions were used to collect data from students. A focus group interview delves into students' perceptions and experiences of online learning. From the focus group interview, findings revealed that there were commonalities among the students’ response, which links to common attributes of effective learners while each student is unique in their approach to online learning. The results were divided into advantages and disadvantages of online learning that cover interview topics which are identification of strengths and challenges, assessment of educational effectiveness, enhancement of teaching and learning strategies, impacts on student engagement and motivation, tailoring support services, and feedbacks for continuous improvement. Employing content analysis as the analytical framework, the study revealed that, while students generally expressed positive perceptions of online platform learning, there were some disadvantages associated with this mode of learning. By exploring their perceptions, this study aims to contribute valuable insights that will inform strategic decisions, enhance the quality of online education, and ultimately elevate the overall learning experience for students not only at the STOU but also students in other open university sharing a very similar context.</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/275481การพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับการศึกษาทางไกล2024-09-25T11:43:44+07:00วชิระ พรหมวงศ์wachira1984@gmail.comพิมพ์ประภา พาลพ่ายpimprapa.pha@stou.ac.th<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับการศึกษาทางไกล และ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในการใช้ระบบ การวิจัยเป็นแบบการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 2 ระยะ <strong>ระยะที่ 1 การพัฒนาระบบ </strong>ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ (1) พัฒนากรอบแนวคิดจากหลักการและทฤษฎี (2) ศึกษาความต้องการใช้ระบบโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ประชากรเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มสธ. ที่ลงทะเบียนชุดวิชา 10152 ไทยกับสังคมโลก จำนวน 1,120 คน กลุ่มตัวอย่างนักศึกษา มสธ. ที่ลงทะเบียนชุดวิชา 10152 ไทยกับสังคมโลก จำนวน 400 คน ที่ได้จากการคัดเลือกแบบสมัครใจ (3) ร่างกรอบแนวคิดโดยสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 7 คน (4) พัฒนาและประเมินร่างต้นแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และ (5) ผลิตต้นแบบระบบสำหรับชุดวิชา 10152 <strong>ระยะที่ 2 การศึกษาผลการใช้ระบบ</strong> ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาที่ลงทะเบียนชุดวิชาเดียวกันจำนวน 153 คน โดยใช้ระบบนิเวศการเรียนรู้เสมือนจริง แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับการศึกษาทางไกล มีขั้นตอนการพัฒนา 7 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ความต้องการ การออกแบบระบบ การพัฒนาระบบ การทดสอบและปรับปรุง การอบรมและสนับสนุนผู้ใช้ การประเมินผล และการพัฒนาต่อเนื่อง ประกอบด้วยองค์ประกอบ 10 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีดิจิทัล แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ เนื้อหาดิจิทัล การสื่อสารและความร่วมมือ การประเมินและติดตาม ข้อมูลและวิเคราะห์ การปรับการเรียนรู้ตามผู้เรียน การสนับสนุนผู้เรียน ทรัพยากรการเรียนรู้ภายนอก และการเผยแพร่ความรู้ โดยผลการประเมินคุณภาพระบบนิเวศการเรียนรู้เสมือนจริงสำหรับการศึกษาทางไกล อยู่ในระดับมาก 2) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในการใช้ระบบ พบว่า นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 89 และมีความพึงพอใจต่อการใช้ระบบในระดับมากที่สุด</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/275613การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมของเยาวชนในยุคดิจิทัล2024-09-05T14:50:23+07:00มาลินี นาคใหญ่malinee@webmail.npru.ac.thวีรศักดิ์ นาชัยดีvirasak4007@gmail.com<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและการพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาความรุนแรงทางสังคมและความต้องการใช้สื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงออนไลน์เพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล วิธีการรวบรวมข้อมูลจากการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดนครปฐม จำนวน 20 คน โดยเลือกแบบสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ร่วมกับการสนทนากลุ่ม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดนครปฐม กลุ่มละ 10 คน โดยเลือกแบบสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้แบบคำถามการสนทนากลุ่ม และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ ด้านสารสนเทศและด้านนักจิตวิทยา จำนวน 3 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้การพรรณนาวิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อสกัดองค์ประกอบของปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อโซเซียลมีเดีย จำนวน 400 กลุ่มตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2) พัฒนาสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล วิธีการรวบรวมข้อมูลจากทดลองใช้สื่อกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม จำนวนกลุ่มละ 30 คน โดยเลือกแบบสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้แบบสัมภาษณ์การใช้สื่อ และแบบวัดความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม โดยใช้สถิติ Paired t-test และ3) นำสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัลไปใช้กับเยาวชนในจังหวัดนครปฐม วิธีการรวบรวมข้อมูลจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่เข้าไปใช้สื่อจำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้สื่อ โดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัญหาความรุนแรงทางสังคมของเยาวชนในสื่อโซเซียลมีเดียประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ (1) การรับรู้ความรุนแรงในสื่อโซเซียลมีเดียเยาวชนพบเห็นการนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาความรุนแรงจำนวนมาก จะเป็นภาพนิ่ง ข้อความบรรยาย เสียง และภาพวีดิโอมีลักษณะเป็นคลิปวีดิโอที่มีการแชร์กันมาก (2) รูปแบบการนำเสนอข่าวทุกรูปแบบส่งผลกระทบต่อความรู้สึกต่อผู้ดูไม่แตกต่างกันมาก ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ดูคือ การนำเสนอภาพ วีดิโอ ข้อความที่มีความรุนแรง และเสียงหรือน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ดูรู้สึกน่ากลัว (3) ผลกระทบที่เกิดจากการรับรู้ข่าวที่ส่งผลต่อความรุนแรงของเยาวชน มีผลทางด้านจิตใจทำให้รู้สึกกลัว ระแวง จิตใจหดหู่ พอพบเห็นบ่อยๆ ครั้งจนเกิดความเคยชิน จนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติจึงเกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ 2) การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล ประสิทธิภาพของสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัลมีค่าคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้มีค่าเท่ากับ = 86.66 อยู่ในระดับสูง คะแนนเฉลี่ยด้านทัศนคติมีค่าเท่ากับ = 4.35 อยู่ในระดับสูง และคะแนนเฉลี่ยด้านการปฏิบัติมีค่าเท่ากับ = 82.59 อยู่ในระดับสูง 3) นำสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัลไปใช้กับเยาวชนในจังหวัดนครปฐม ผลการประเมินความพึงพอใจในการใช้สื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อป้องกันความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล ด้านเนื้อหาภาพรวม = 4.15 อยู่ในระดับมาก ด้านกราฟิกและการออกแบบภาพรวม = 4.13 อยู่ในระดับมาก และด้านเทคนิคและการใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริงภาพรวม = 4.21 อยู่ในระดับมาก</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/275587รูปแบบการเรียนการสอนเฉพาะพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในประเทศไทย กรณีศึกษา: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดกาญจนบุรี2024-08-22T10:18:28+07:00วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรงananxisu163@gmail.com<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 2) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ ICPPPP เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 2) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมแบบปรนัย มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.72 และแบบอัตนัย มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 และ3) แบบประเมินความพึงพอใจ มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ ICPPPP พบว่า รายด้านครูผู้สอนมีความต้องการจำเป็นเรียงลำดับความสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านเตรียมความพร้อม 2) ด้านการจัดการสื่อและแหล่งเรียนรู้ 3) ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และ4) ด้านการจัดการเรียนรู้ 2. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ ICPPPP มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการของรูปแบบ (2) จุดมุ่งหมายของรูปแบบ (3) เนื้อหา (4) กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบ และ(5) การวัดและประเมินผล โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3. ผลการศึกษาการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ ICPPPP พบว่า นักเรียนมีทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/273072การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต2024-06-17T17:08:47+07:00นิพนธ์ บริเวธานันท์niponjay@gmail.comศศิธร ดวงจันทร์Sasitormjane@hotmail.com<p>การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2) ศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน <br />S-Check PKRU และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 155 คน และครูประถมศึกษา จำนวน 21 คน ที่ได้มาจากการเทียบตารางขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบประเมินคุณภาพเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 2) เว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต 3) แบบประเมินความพึงพอใจของครูที่มีต่อการใช้งานเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการใช้งาน เว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU</p> <p>ผลการวิจัย 1) เว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ออกแบบด้วยโปรแกรม Laravel framework ที่สามารถใช้งานได้ทั้งบนระบบ Android และ iOS โดยผู้วิจัยได้นำหลักการของ ADDIE Model มาเป็นหลักในการพัฒนา การประเมินคุณภาพเว็บแอปพลิเคชันจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน พบว่า เว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มีคุณภาพในระดับดีมาก โดยด้านการจัดการเว็บแอปพลิเคชัน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านสี ตัวอักษรและภาษา และด้านการออกแบบหน้าจอ 2) ความพึงพอใจของครูที่มีต่อเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบว่า ครูมีความพึงพอใจ โดยภาพรวมแล้วอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ครูมีความพึงพอใจด้านการออกแบบเว็บแอปพลิเคชันสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านการจัดการเว็บแอปพลิเคชัน และ 3) ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พบว่า ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อเว็บแอปพลิเคชัน S-Check PKRU โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ผู้ปกครองมีความพึงพอใจด้าน การออกแบบเว็บแอปพลิเคชันสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านเนื้อหา</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/273570Educational Podcast via WebQuest for Student Teacher at Pibulsongkram Rajabhat University2024-06-21T08:42:51+07:00Piyamanas Voravitrattanakulpiyamanasv@psru.ac.thRongrop NoysakulBeeverbkk@gmail.com<p>This study aimed to investigate the behavior of students using educational podcasts via WebQuest and to examine their opinions of these podcasts. The study was conducted with 78 students in the Education Faculty at Pibulsongkram Rajabhat University in Thailand during the 2022 academic year. Achievement pre-test post-test and survey were used to collect data. The results showed that the student's achievement post-test scores were higher than pre-test scores, and the student's behavior in using educational podcasts was primarily to study materials, with smartphones being the most commonly used device. Overall, their opinions were satisfied with the educational podcasts, indicating that the students found them useful and effective for their learning needs. These results suggest that the students accept podcasts as a means of taking advantage of the benefits of mobile technologies.</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/272405จากฮอตไลน์ ไปพ็อดคาส: ผู้พิการทางการเห็นในประเทศไทยและการเปลี่ยนแปลงไป ของภูมิทัศน์สื่อเสียง2024-07-18T09:07:25+07:00ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์thyjey@gmail.com<p>งานวิจัยเรื่องจากฮอตไลน์ ไปพ็อดคาส: ผู้พิการทางการเห็นในประเทศไทยและการเปลี่ยนแปลงไปของภูมิทัศน์สื่อเสียง จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะของภูมิทัศน์สื่อเสียงสำหรับผู้พิการทางการเห็น และแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงการเปิดรับสื่อเสียงของผู้พิการทางการเห็นในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี โดยมีระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณด้วยวิธีการวิเคราะห์เอกสารปริมาณการเข้าใช้งานฮอตไลน์ 1414 และบริการ 1414 Plus จากปี พ.ศ.2555 - 2566 ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มูลนิธิคนตาบอดไทย (TAB Foundation) ภายใต้การสนับสนุนจาก กสทช. ได้จัดทำช่องทางสื่อเฉพาะในรูปแบบฮอตไลน์ 1414 หลังจากนั้นสามปี ได้มีการเพิ่มช่องทางดิจิทัลสำหรับผู้พิการทางการเห็นในรูปแบบบริการ 1414 Plus ในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อนี้ ผู้พิการทางการเห็นมีแนวโน้มการเปลี่ยนไปใช้สื่อที่เป็นแอปพลิเคชันมากขึ้นสวนทางกับปริมาณการเข้าใช้งานฮอตไลน์ 1414 โดยมีความสัมพันธ์ในเชิงลบในระดับสูงมาก โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ r = -0.916 และมีนัยสำคัญทางสถิติ p = 0.000 ในขณะเดียวกัน อัตราการใช้งานพ็อดคาสของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยอยู่ในส่วนของผู้อยู่ในกระแส โดยพบว่าในปี 2020 ร้อยละ 44 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเข้าใช้งานสื่อพ็อดคาส แต่สำหรับผู้พิการทางการเห็นในประเทศไทยยังคงพบว่า อัตราการเข้าใช้งานบริการ 1414 Plus ยังคงมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งสามารถสะท้อนได้ว่า ถึงแม้ว่าเกือบครึ่งหนึ่งผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย จะมีประสบการณ์กับสื่อพ็อดคาสแล้ว แต่สื่อพ็อดคาสยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่การเข้าใช้แอปพลิเคชันของผู้พิการทางการเห็นได้ ตรงข้ามกับการเข้ามาของแอปพลิเคชันที่พบการเข้ามาแทนที่การเข้าใช้งานสื่อฮอตไลน์ ในขณะเดียวกันพบว่า ผู้พิการทางการเห็นบางส่วนเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้ผลิตสื่อพ็อดคาส ซึ่งทำให้เกิดเป็นเนื้อหาจากผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์แบบพ็อดคาสที่มาจากผู้พิการทางการเห็น ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดรับสื่อพ็อดคาสสำหรับผู้พิการทางการเห็นได้ต่อไป</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/273595การจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคม ในสื่อยุคดิจิทัล2024-05-15T14:43:16+07:00มาริษา สุจิตวนิชVoon58@hotmail.comผ่องใส สินธุสกุลpongsai@webmail.npru.ac.th<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล 2) เพื่อสร้างแผนการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล และ3) เพื่อประเมินแผนการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ใช้แนวคิดการรู้เท่าทันสื่อเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูจำนวน 37 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 358 คน รวมจำนวน 395 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบสนทนากลุ่ม และ3) แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล ได้แก่ ความรุนแรงทางร่างกาย สภาพแวดล้อมและสังคมเป็นสาเหตุของความรุนแรงก่อให้เกิดความรู้สึกลดคุณค่าในตัวเอง จิตตกซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ความรุนแรงทางเพศ สื่อนำเสนอความรุนแรงทางเพศ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบและความอยากรู้อยากลอง ความรุนแรงทางจิตใจ ส่งผลให้เกิดความเครียด จิตตก หดหู่อับอาย และความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย การละเลยและการถูกทอดทิ้ง สื่อเสนอเรื่องราวที่เป็นการตอกย้ำความรู้สึกและแผลในใจ อย่างไร้จรรยาบรรณ 2) แผนการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล ควรมีความรู้เรื่องการพัฒนาทักษะรู้เท่าทันสื่อประกอบด้วย คุณลักษณะของการรู้เท่าทันสื่อ ทักษะการเข้าถึง ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะการประเมินสื่อ ทักษะการสร้างสรรค์ ควรมีแผนการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนฯ ควรมีแนวคิดเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อประกอบด้วยความหมายและความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อ ควรมีเรื่องการลดความรุนแรงจากสื่อ ประกอบด้วยความรุนแรง ด้านร่างกาย ด้านเพศ ด้านจิตใจ และด้านที่ก่อให้เกิดความสูญเสียการละเลยและการถูกทอดทิ้งจากสื่อสังคมออนไลน์มีผลต่อสังคม และ 3) การประเมินแผนการจัดการรู้เท่าทันสื่อให้เยาวชนเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงทางสังคมในสื่อยุคดิจิทัล พบว่า ควรสังเกตพฤติกรรมการทำกิจกรรมในชั้นเรียน ควรทดสอบด้วยข้อสอบหรือกรณีศึกษา ควรทดสอบด้วยข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ควรสังเกตทัศนคติในการเรียน และควรสังเกตพฤติกรรมการทำกิจกรรมในชั้นเรียน</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/273832Model of Factors Affecting Competitive Advantage in the Media and Publishing Industry in Thailand2024-07-25T14:09:31+07:00Uraiwan Chanchonyuturaiwan_ch@rmutto.ac.thKanchaya Chaivirutnukulkanchaya_ch@rmutto.ac.thKanakarn Phanniphongkanakarn_ph@rmutto.ac.thSumalee Somnuksumalee_so@rmutto.ac.th<p>This research aims to develop and examine the consistency of the model of factors influencing competitive advantage of the media and print media industry group developed with empirical data, to study the factors of digital transformation that directly influence competitive advantage, to study the factors of innovation behavior that directly influence competitive advantage, to study the innovation pattern as a mediating variable between the aspects of digital transformation and competitive advantage, to study the innovation pattern as a mediating variable between the elements of innovation behavior and competitive advantage.</p> <p>Using stratified sampling, a mixed-method, quantitative research was conducted with a sample group of 400 media and print media industry groups, companies registered with the National Press Council, and registered with the Department of Business Development. The instrument used was a questionnaire. Data were analyzed using structural equations. Qualitative research was conducted using in-depth interviews with executives of businesses in the media and print media industry group. The research results were found to be consistent with the empirical data according to the specified criteria, with values of (c<sup>2</sup>, CMIN-P) equal to .106 (CMIN/DF, c<sup>2</sup>/df) equal to 1.264 (GFI) equal to .979 (RMSEA) equal to .026 (RMR) equal to .014 (AGFI) equal to .959 (CFI) equal to .984. Therefore, it can be concluded that the model is consistent between the theoretical model that has been developed and the empirical data. It can be said that the model is Model Fit. The results of the qualitative research study found that in the business operations of the media and print media industry, all factors studied are critical in driving the organization.</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/275567แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศสื่อใหม่ของกรมประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิทัล2024-09-26T09:07:10+07:00กมลรัฐ อินทรทัศน์kamolratchim@gmail.com<p>จากแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566–2570) ของกรมประชาสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ด้านที่ 3 คือการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์คือ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม และการใช้สื่อในการปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมของคนในสังคม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในการใช้สื่อแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป รวมทั้งการใช้สื่อออนไลน์ในการสร้างค่านิยมที่พึงประสงค์ งานวิจัยนี้จึงกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์ และ (2) แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศสื่อใหม่ของกรมประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิทัล โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้วิธีการสนทนากลุ่ม (FGD) โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับกรมประชาสัมพันธ์และสื่อใหม่จากกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่การให้บริการของกรมประชาสัมพันธ์จำนวน 120 คนจาก 4 ภาคคือ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ประกอบด้วย สื่อมวลชน ผู้รับผิดชอบงานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานรัฐ และ บุคลากรทางด้านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยที่ได้คือ 1) พฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์ประกอบด้วย การเข้าถึง (Exposure) ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียและการปฏิสัมพันธ์ (Stakeholder & Interaction) ประเด็นท้าทายและข้อเสนอแนะ (Challenges & Solutions) พบว่า 1.1) การเข้าถึงสื่อทุกประเภทของกรมประชาสัมพันธ์เป็นเพราะเหตุผลหลักคือความน่าเชื่อถือของสื่อ การเป็นสื่อที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลรัฐที่ทุกหน่วยงานเอาไปใช้ต่อได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ สามารถเป็นแหล่งตรวจสอบและอ้างอิงได้ 1.2) ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ที่เกี่ยวข้องและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายภาคีพบว่ายังอยู่ในระดับน้อย 2) แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศสื่อใหม่ของกรมประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิทัลเรียงตามลำดับ คือ 2.1) การกำหนดจุดยืนในการผลิตสื่อยุคดิจิทัลที่ต้องเพิ่มความเร็วในการนำเสนอข่าว 2.2) การทำงานข้ามสื่อและสื่อหลอมรวม 2.3) การเพิ่มสัดส่วนเนื้อหาในพื้นที่ 2.4) การพัฒนาบุคลากรทางด้านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ คือ การบริหารจัดการแบบใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติและศักยภาพของสื่อดิจิทัล: digital hard skills, soft skills และ multi-skills</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/274751การพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารสุขภาพของบุคลากรสายสุขภาวะ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี2024-09-02T14:38:25+07:00ปิยฉัตร ล้อมชวการningpiyachat@yahoo.com<p>การวิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารสุขภาพของบุคลากรสายสุขภาวะ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จด้านการสื่อสารสุขภาพ 2) มาตรฐานสมรรถนะการปฏิบัติงานในชุมชน และ 3) องค์ประกอบสมรรถนะด้านการสื่อสารสุขภาพของบุคลากรสายสุขภาวะ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เจาะลึก การสัมภาษณ์กลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ วิเคราะห์เอกสาร ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 และ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2549 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560 แผนพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ.2566-2570 ) และ ฉบับเพิ่มเติม ครั้งที่ 1/2566 และครั้งที่ 2/2566 เทศบาลเมืองบึงยี่โถ ประกาศใช้แผนพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ.2566-2570 ) เทศบัญญัติเทศบาลบึงยี่โถ ตาม พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เว็บไซต์เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี และ วารสารเทศประชาสัมพันธ์เทศบาลเมืองบึงยี่โถ (รายงานกิจการ) ประจำปีงบประมาณ 2559-2565 จำนวน 7 เล่ม ทั้งหมด 17 รายการ ส่วนการสัมภาษณ์เจาะลึก ผู้บริหาร ได้แก่ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบึงยี่โถ จำนวน 1 คน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม จำนวน 1 คน รวมจำนวน 2 คน การสัมภาษณ์กลุ่มบุคลากรสายสุขภาวะ ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จำนวน 12 คน การสัมภาษณ์กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพ หรือ เข้าร่วมกิจกรรม ที่ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถดำเนินการจัดขึ้น จำนวน 12 คน รวม 26 คน</p> <p>ผลการวิจัย การพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารสุขภาพของบุคลากรสายสุขภาวะ มีดังนี้ 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จด้านการสื่อสารสุขภาพ พบว่า มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สภาพแวดล้อมการทำงาน และ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุข 2) มาตรฐานสมรรถนะการปฏิบัติงานในชุมชน พบว่า มีการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การเป็นผู้นำด้านสุขภาพ และการรณรงค์ขับเคลื่อนชุมชนและสังคม การปฏิบัติตามมาตรฐานนโยบายสุขภาพ การมีส่วนร่วมริเริ่มมาตรการทางสังคม การกำหนดภาคีเครือข่ายการรณรงค์ขับเคลื่อนชุมชนและสังคม และ การให้โอกาสและการสร้างจิตสำนึกและภาวะผู้นำ 3) องค์ประกอบสมรรถนะด้านการสื่อสารสุขภาพ พบว่า 3.1) วิธีการสื่อสาร ได้แก่ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การประชุมกลุ่มย่อย การบรรยาย อบรมและเวิร์คช็อป การให้คำปรึกษาโดยการออกเยี่ยมบ้าน การสนทนาตัวต่อตัวให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์หรือผ่านระบบออนไลน์ การส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ แจกเอกสารข้อมูลสุขภาพ แผ่นพับ และโบรชัวร์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 3.2) เนื้อหาสาร ได้แก่ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุการรักษาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โภชนาการที่เหมาะสมและการออกกำลังกาย บริการสุขภาพที่มีในพื้นที่ สถานที่และเวลาการให้บริการ และ คำแนะนำและเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพ 3.3) ประเภทสื่อ ได้แก่ สื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกิจกรรม สื่อออนไลน์ 3.4) ประเภทช่องทางการสื่อสาร ได้แก่ การสื่อสารแบบเผชิญหน้า การสื่อสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารสื่อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ไลน์ และอีเมล์</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/274540แรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ2024-08-20T09:54:09+07:00พรรษชล พานิจจะpassachon.p@rmutsb.ac.thนวพร รัตนบุรีnsangworn25@gmail.com<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ 2) ศึกษาระดับความคิดเห็นของความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ และ 3) ศึกษาแรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานมหาวิทยาลัย สายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จำนวน 189 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สถิติถดถอยเชิงพหุคูณเชิงเส้นตรง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับความคิดเห็นของความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) แรงจูงใจในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ด้านเงินเดือน ด้านนโยบาย และการบริหาร ด้านสภาพการทำงาน ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และด้านความมั่นคง ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/274783มุมมองแนวทางการใช้แนวคิดลีนเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในคลังสินค้าเอกชน ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดชลบุรี2024-09-30T14:07:11+07:00ธนัตถ์ภัทร ถิรธนัชดิลกtanutpats.d@ku.thณัฐจันธร ขวัญเมืองnathjant@gmail.com<p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานคลังสินค้าเอกชนด้วยแนวคิดลีนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีประสิทธิภาพในจังหวัดชลบุรี ผู้วิจัยใช้การศึกษาแบบปรากฏการณ์วิทยากับผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 17 คนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดชลบุรี ด้วยการเลือกแบบเจาะจงร่วมกับการอ้างอิงต่อเนื่องแบบปากต่อปากและการเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักแบบมีเกณฑ์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง การจดบันทึกและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิควิเคราะห์แก่นสาระตามงานวิจัยของ Braun and Clarke (2006)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาพื้นฐานของการจัดการคลังสินค้าเอกชนที่ไม่มีประสิทธิภาพของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัดชลบุรีประกอบด้วย 5 ปัญหา ได้แก่ 1) ปัญหาที่เกิดจากพนักงาน 2) ปัญหาที่เกิดในกิจกรรมการรับสินค้า 3) ปัญหาที่เกิดในกิจกรรมการจัดเก็บสินค้า 4) ปัญหาที่เกิดในกิจกรรมการหยิบสินค้า และ 5) ปัญหาที่เกิดในกิจกรรมการขนส่งสินค้า รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสรุป 3 แนวทาง ได้แก่ 1) วางแผนการพัฒนาระบบคัดเลือกพนักงานคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มการฝึกอบรมและติดตามผลการดำเนินงาน การมีระบบพี่เลี้ยงในการสอนงานสำหรับพนักงาน รวมถึงการเพิ่มทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพภายในคลังสินค้า 2) พนักงานคลังสินค้าทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานด้านแนวคิดลีนในการทำงาน 3) ผู้ประกอบการควรนำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า</p> <p>อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีคลังสินค้าเอกเชนเป็นของตนเองสามารถนำไปเป็นตัวอย่างแนวทางพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงการดำเนินการคลังสินค้าเอกชนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชhttps://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/274593การศึกษาสภาพบริบทและการตั้งถิ่นฐานของเกษตรกรในพื้นที่โครงการอ่างเก็บน้ำ คลองหลวงรัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชลบุรี2024-08-19T09:47:33+07:00เพชร ทวีวงษ์taveevong@hotmail.comพลสราญ สราญรมย์ponsaran.sar@stou.ac.thเจนณรงค์ เทียนสว่างjanenarong.tie@stou.ac.thจรรยา สิงห์คำjunya_28@hotmail.comศิริลักษณ์ นามวงศ์siriluck.nam@stou.ac.thณรัฐ รัตนเจริญnarat.rat@stou.ac.thสุทธิพงษ์ หนูหน่ายsuttipong.noonai@gmail.com<p>การศึกษาครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บริบทและการตั้งถิ่นฐานของครัวเรือนในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการฯ 2) สภาพการเกษตร ปศุสัตว์ และประมงของครัวเรือนในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการฯ 3) ความเป็นประโยชน์ของโครงการฯ และข้อเสนอแนะของครัวเรือนในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการฯ</p> <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจประชากรที่ศึกษา คือ ครัวเรือนในพื้นที่โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชลบุรี จำนวน 59,128 ครัวเรือน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีจุดมุ่งหมาย โดยส่วนเศรษฐกิจสังคมและประเมินผลโครงการเป็นผู้กำหนดรายชื่อกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 211 ครัวเรือน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 48.8 เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 57.86 ปี ร้อยละ 42.7 มีสมาชิกทั้งหมดในครัวเรือน 3-4 คน ร้อยละ 41.7 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 4 มีรายได้จากการขายผลผลิตเกษตรในเขตพื้นที่ชลประทานเฉลี่ย 198,291.79 บาทต่อปี มีการใช้ที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยเฉลี่ย 2.04 ไร่ ร้อยละ 85.3 มีที่ดินเป็นที่ของตนเองที่เป็นโฉนด และใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรเฉลี่ย 21.00 ไร่ 2) ครัวเรือนเกษตรกรปลูกข้าวนาปีในเดือนเมษายน และเก็บเกี่ยวในเดือนสิงหาคม มีพื้นที่ปลูกเฉลี่ย 21.76 ไร่ ได้รับความเสียหายเฉลี่ย 9.04 ไร่ ได้รับผลผลิตเฉลี่ย 593.65 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 4,110.45 บาทต่อไร่ และจำหน่ายให้กับโรงสีภายในชุมชนราคาเฉลี่ย 8.19 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับสภาพการทำปศุสัตว์และการเลี้ยงสัตว์น้ำของครัวเรือน พบว่า ร้อยละ 26.50 เลี้ยงไว้เพื่อการขาย และ 3) ความเป็นประโยชน์ของโครงการฯ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีข้อเสนอให้ภาครัฐจัดหาแหล่งทุน แหล่งรับซื้อผลผลิต และการประกันราคาผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงเสนอให้ปล่อยน้ำให้เพียงพอต่อการใช้จริง</p>2025-06-24T00:00:00+07:00ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช