https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/issue/feed
วารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม
2024-12-19T15:26:15+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ
e-jodil@stou.ac.th
Open Journal Systems
<p> วารสารอิเล็กทรอนิกส์การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม (Electronic Journal of Open and Distance Innovative Learning : e-JODIL) จัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลงานวิชาการ และข้อค้นพบจากการวิจัย และเป็นช่องทางในการสะสมองค์ความรู้ สู่การเป็นสังคมฐานความรู้ ตลอดจนเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2554 โดยเปิดรับและเผยแพร่บทความทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี มีกำหนดการออกวารสารปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> <h1><span style="color: orange;">รู้จักนวัตกรรม</span></h1> <div> <p>คำว่า <strong><span style="color: green;">“การเรียนรู้ทางไกลเชิงนวัตกรรม”</span></strong> หมายถึง ข้อค้นพบ หรือสิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงข้อค้นพบ หรือข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ที่มีคุณค่า หรือเป็นต้นแบบที่ดี (Best Practice) จากงานวิจัย/วิชาการ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผลต่อการพัฒนาองค์ความรู้การผลิต และกระบวนการต่างๆ เพื่อสร้างให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา เศรษฐกิจและสังคม ที่นำมาเผยแพร่ เพื่อสร้างการเรียนรู้ในรูปแบบของวารสารอิเล็กทรอนิกส์</p> </div>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270756
แนวทางการขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชนเชิงสร้างสรรค์ด้วยกิจการเพื่อสังคมด้านการท่องเที่ยวสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG-TOURISM
2023-12-25T13:23:57+07:00
ขวัญฤทัย เดชทองคำ
kwanruthai@rumail.ru.ac.th
อนามัย ดำเนตร
andydamnet@gmail.com
<p>การท่องเที่ยวภายหลังวิกฤติโควิด 19 ถือเป็นความท้าทายใหม่ของผู้ประกอบการที่จำเป็นจะต้องบริหารจัดการธุรกิจให้สอดคล้องกับความเป็นไปของตลาดโลก โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในส่วนของทรัพยากรทางการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนทั่วทุกมุมโลก โดยให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่มีอยู่อย่างจำกัด ไปพร้อมกับการแสวงหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดินทางในแต่ละครั้ง การท่องเที่ยววิถีชุมชนเชิงสร้างสรรค์คือหนึ่งในรูปแบบการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยว โดยชุมชนและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จากการต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าด้วยการนำเสนอความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนและมองหาความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ไปพร้อมกับการแบ่งปันกลับคืนสู่ชุมชน โดยจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการเพื่อสังคมหนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG TOURISM ด้วยการสร้างงาน สร้างรายได้เสริมให้กับคนในชุมชน ตลอดจนการส่งมอบคุณค่าจากประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวได้รับ โดยยังคงมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนและองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/269422
การพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ บนฐานอัตลักษณ์ชุมชน โบสถ์ ศาลเจ้า วัด มัสยิด วีถีชีวิตริมสายน้ำ พื้นที่ชุมชนย่านกะดีจีน
2023-09-19T11:02:35+07:00
สิงห์ สิงห์ขจร
singhbsru@gmail.com
พนอเนื่อง สุทัศน์ ณ อยุธยา
panor.sudas@gmail.com
เกียรติขร โสภณาภรณ์
kiatikhorn.so@bsru.ac.th
เอกชัย พุหิรัญ
ekachai.ph@bsru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ทั้งด้านมูลค่าและคุณค่าบนฐานอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น 2) ยกระดับช่องทางการสื่อสารการตลาดท่องเที่ยวโดยชุมชนสู่นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย</p> <p>วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และกระบวนการการมีส่วนร่วม ได้แก่ 1) การสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Documentary Research) 2) การสัมภาษณ์เชิง ลึก (In – Depth Interview) ผู้ใช้ข้อมูลหลัก คือ ประธานชุมชนย่านกะดีจีนและคณะกรรมการของชุมชน 6 ชุมชน คือ ชุมชนกุฎีขาว ชุมชนกุฎีจีน ชุมชนบุปผาราม ชุมชนวัดประยุรวงศ์ ชุมชนวัดกัลยาณ์ ชุมชนโรงคราม จำนวน 18 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ทั้งด้านมูลค่าและคุณค่าบนฐานอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น มีการพัฒนาชุดบทเพลงชุมชนกะดีจีน “สันติภาพและภราดรภาพ” 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ และ ผลิตภัณฑ์ศิลปประดิษฐ์ที่โยงความเชื่อ 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ 2) การพัฒนาช่องทางการตลาดการท่องเที่ยวโดยชุมชนการสื่อสารการตลาดโดยการออกแบบตราสินค้าชุมชนย่านกะดีจีน แผนที่เส้นทางการท่องเที่ยวชุมชนย่านกะดีจีน และวีดีโอแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวชุมชนย่านกะดีจีน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทางออนไลน์</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/273606
ระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
2024-06-28T10:11:56+07:00
สุรเดช อธิคม
suradet.ath@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2) พัฒนาระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ3) ทดลองและประเมินผลการใช้ระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ตัวอย่างในการวิจัย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) บุคลากรผู้ปฏิบัติงานในฝ่ายพัฒนาและเผยแพร่งานวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จำนวน 5 คน (2) ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบความถูกต้องของ เนื้อหา และการทำงานของระบบ จำนวน 3 คน และ(3) เจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนา ผู้บริหาร และบุคลากรหน่วยงานอื่นๆ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินการใช้งานระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ และการวิเคราะห์เนื้อหา สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบระบบสารสนเทศที่เหมาะสม ควรครอบคลุมกับภาระงานที่รับผิดชอบ โดยการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือในการใช้งาน ผ่านระบบออนไลน์ที่สามารถเข้ามาใช้งานระบบได้ทุกที่ทุกเวลา ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานต่างๆ ตลอดจนการนำข้อมูลภายในระบบสารสนเทศไปตอบตัวชี้วัดต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และลดระยะเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ และมีเนื้อหาภายในระบบครอบคลุมการดำเนินงานทั้งหมดเกี่ยวกับการเผยแพร่งานวิจัย (2) ได้ระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชที่ได้จากการพัฒนา โดยใช้ภาษา PHP, Java script, HTML และ MySQL เป็นระบบจัดการฐานข้อมูล และ(3) ผลการประเมินการใช้ระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พบว่า มีการออกแบบระบบที่เหมาะสม มีการทำงานของระบบที่มีประสิทธิภาพ และเนื้อหาภายในระบบมีประโยชน์ต่อหน่วยงานในการนำข้อมูลไปใช้ โดยผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อระบบสารสนเทศผลผลิตการวิจัยและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชในระดับมาก</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270547
การศึกษาการใช้งานโมบายแอปพลิชันคำศัพท์ภาษาเกาหลี
2024-01-23T15:11:31+07:00
ปพนพัชร์ กอบศิริธีร์วรา
paphonphatko@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการผลิตโมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลี โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการทบทวนซ้ำแบบเว้นระยะ ร่วมกับสมมุติฐานเกี่ยวกับความถี่ในการปรากฏของคำศัพท์และผลสัมฤทธิ์ในการจดจำคำศัพท์และความหมาย และนำโมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลีมาใช้ในผู้ศึกษาวิชาภาษาเกาหลีเพื่อการสื่อสาร I โดยมุ่งหวังผลสัมฤทธิ์ในการจดจำคำศัพท์และความหมายภาษาเกาหลี</p> <p>งานวิจัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ผู้วิจัยผลิตโมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลีและเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อโมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลีจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 62 คน ผลวิเคราะห์การวิจัยระยะแรกพบว่า ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม คือ 4.45 (เห็นด้วยมากที่สุด) ระยะที่สอง ภายหลังจากการศึกษาในชั้นเรียน ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 21 คน ทำแบบทดสอบความถูกต้องในการจดจำคำศัพท์และความหมาย (pre-test) โดยใช้โมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลีและบันทึกคำศัพท์ที่กลุ่มตัวอย่างทำผิดพลาดเป็นรายบุคคล จากนั้นแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้กลุ่มตัวอย่างที่ 1 จำนวน 11 คน ใช้โมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลี ทบทวนคำศัพท์ที่ผิดพลาดนอกเวลาเรียน ทุกวัน และกลุ่มตัวอย่างที่ 2 จำนวน 10 คน ไม่ให้ใช้โมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลี ทบทวนคำศัพท์ที่ผิดพลาดนอกเวลาเรียน ภายหลังการทดสอบครั้งแรก 7 วัน ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบคำศัพท์และความหมายอีกครั้ง ซึ่งประกอบไปด้วยคำศัพท์ที่ผิดพลาดจากการทดสอบในครั้งแรกของแต่ละบุคคล (post-test) จากการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความถูกต้องในการจดจำคำศัพท์และความหมายครั้งที่ 2 ระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ 1 และ 2 ด้วยโปรแกรม SPSS โดยใช้ Paired Sample T-Test พบว่า ค่าเฉลี่ยความถูกต้อง ของกลุ่มตัวอย่างที่ 1 (ร้อยละ 90.96) สูงกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ 2 (ร้อยละ 57.39) อย่างมีนัยสำคัญ (Sig = 0.031, P<0.05) หรือสรุปได้ว่า การใช้โมบายแอปพลิเคชันคำศัพท์ภาษาเกาหลีนอกเวลาเรียนเพื่อทบทวนคำศัพท์ ส่งผลสัมฤทธิ์ในการจดจำคำศัพท์และความหมายภาษาเกาหลีอย่างชัดเจน</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/268533
กระบวนการสร้างเส้นทางเสียงบรรยายภาพในพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้พิการทางการมองเห็น กรณีศึกษา: มิวเซียมสยาม
2023-09-19T13:21:24+07:00
ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์
thyjey@gmail.com
ประณต ตันตราธิวุฒิ
pranotpr129@gmail.com
ธนอรพ์ นรินทร์สุขสันติ
tanaorn.narin@gmail.com
<p>งานวิจัยเรื่อง กระบวนการสร้างเส้นทางเสียงบรรยายภาพในพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้พิการทางการมองเห็น กรณีศึกษา: มิวเซียมสยามจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและถอดความรู้กระบวนการสร้างเส้นทางเสียงบรรยายภาพเพื่อการเข้าถึงของผู้พิการทางการมองเห็นในพิพิธภัณฑ์ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ร่วมกับการเก็บข้อมูลโดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยวิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง (Document Analysis) การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม (Participant Observation) และการสัมภาษณ์บุคคล (Personal Interview)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการสร้างเส้นทางเสียงบรรยายภาพในพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้พิการทางการมองเห็น ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ได้แก่ การวางเส้นทางเสียงบรรยายภาพ การเข้าพื้นที่เพื่อวัดระยะของวัตถุจัดแสดงโดยละเอียด การเขียนบทบรรยายภาพ การส่งบทบรรยายภาพเพื่อตรวจสอบและปรับแก้ตามข้อคิดเห็น การบันทึกเสียงบรรยายภาพ การทดสอบเส้นทางเสียงบรรยายภาพกับกลุ่มตัวอย่างผู้พิการทางการมองเห็น และการจัดอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่นำชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งในกระบวนการทั้งหมด เป็นการทำงานระหว่างกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 3 ส่วน คือ ทางพิพิธภัณฑ์เอง ผู้วิจัย และบริษัทเอกชนผู้รับผิดชอบเรื่องการบันทึกไฟล์เสียงบรรยายภาพ โดยขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาทั้งสิ้น 6 เดือน ขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดในขั้นตอนทั้งหมดคือการจัดทำบทบรรยายภาพ ซึ่งผู้วิจัยออกแบบให้บทบรรยายภาพที่เกิดขึ้นมีทั้งในรูปแบบของการบันทึกเสียงลงในอุปกรณ์สำหรับฟังจากทางพิพิธภัณฑ์ ประกอบกับการบรรยายสดจากเจ้าหน้าที่นำชมพิพิธภัณฑ์ ในกรณีที่เป็นบรรยากาศ สถานการณ์สด และประกอบการจัดแสดงที่เป็นเชิงปฏิสัมพันธ์ที่ไม่สามารถบันทีกเป็นไฟล์เสียงได้</p> <p>นอกจากนั้น ผลการวิจัยยังพบว่า ผู้พิการทางการมองเห็นมีความต้องการให้มีการสัมผัส (Tactile) โดยอาจจะเป็นการสัมผัสที่วัตถุจัดแสดง หรือหุ่นจำลอง การมีข้อความอักษรเบรลล์ และการใช้ QR Code เพื่อให้ผู้พิการทางการมองเห็นได้สแกนเพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับชิ้นงานจัดแสดงเพิ่มเติม ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยตนเอง (Self-Guided Touch Tour) แต่ในขณะเดียวกัน ผู้พิการทางการมองเห็นมีความสนใจและความสนุกสนานกับห้องจัดแสดงในลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชม และการมีปฏิสัมพันธ์กับการบรรยายภาพสดจากเจ้าหน้าที่นำชม ซึ่งเป็นลักษณะของการเข้าชมแบบมีผู้นำชม (Guided Touch Tour) อีกด้วย ทั้งนี้ จากความต้องการของผู้พิการทางการมองเห็น รูปแบบของเส้นทางเสียงบรรยายภาพที่เหมาะสมควรเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างการนำชมแบบมีเจ้าหน้าที่นำชม และการเข้าขมด้วยตนเอง โดยทางพิพิธภัณฑ์สามารถดำเนินการจัดเตรียมสื่อที่เหมาะสม ตลอดจนเส้นทางเสียงบรรยายภาพ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงทั้งเนื้อหาและความมีสุนทรียภาพ ตามแนวคิดการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลต่อไป</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/269354
พอดแคสต์เพื่อการรู้เท่าทันการแพร่ระบาดของข่าวปลอมด้านสุขภาพ ในกลุ่มเจเนอเรชั่นเบบี้บูมเมอร์
2023-09-18T11:03:57+07:00
พัชราภา เอื้ออมรวนิช
jojoe.pat@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรู้เท่าทันการแพร่ระบาดของข่าวสารด้านสุขภาพในสื่อสังคมออนไลน์ของเบบี้บูมเมอร์ และเพื่อพัฒนาพอดแคสต์การรู้เท่าทันการแพร่ระบาดของข่าวสารด้านสุขภาพในสื่อสังคมออนไลน์ โดยทำการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มาอายุระหว่าง 56-74 ปี จำนวน 12 คน ที่เปิดรับข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำ จากนั้นสัมภาษณ์เชิงลึกกับนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาที่มีประสบการณ์การสอนด้านสื่อสารมวลไม่น้อยกว่า 5 ปี จำนวน 9 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการรู้เท่าทันข้อมูลด้านสุขภาพในสื่อสังคมออนไลน์ แล้วนำผลการวิจัยไปพัฒนาเป็นพอดแคสต์ ให้ความรู้ด้านการรู้เท่าทันข่าวสารด้านสุขภาพ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำ โดยเปิดรับ Line, Facebook และ YouTube เป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหามีความหลากหลาย ง่ายต่อการเปิดรับ และสามารถเลือกเปิดรับในประเด็นที่ตนเองสนใจ โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้ให้เหมาะสม ในประเด็นการรู้เท่าทันการแพร่ระบาดของข่าวปลอมด้านสุขภาพในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า กลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีทักษะการเปิดรับ และการวิเคราะห์ข่าวสารด้านสุขภาพ โดยไม่เชื่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับในทันที ต้องมีการหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลอื่นมาสนับสนุน นอกจากนี้ยังมีการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งการกดไลก์ การแชร์ข้อมูลข่าวสารไปยังเพื่อน หรือคนรู้จัก แต่ก่อนการแชร์ต่อข้อมูลจะต้องมั่นใจว่า ข้อมูลที่แชร์ต่อเป็นข้อมูลที่เป็นความจริง แต่ทั้งนี้กลับพบว่า ก่อนทำการแชร์ต่อไม่ได้อ่านข้อความทั้งหมด โดยอ่านเพียงหัวข้อ หรือพาดหัวเท่านั้น</p> <p>ในประเด็นการสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพหรือแม้แต่ข่าวปลอมด้านสุขภาพ จะมีการแชร์ต่อไปโดยมั่นใจว่าตนเองมีความรู้และมีเจตนาเพื่อบอกกล่าวสิ่งที่ดีไปยังคนใกล้ชิดหรือครอบครัว แต่ไม่มีการบอกต่อไปยังบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก หรือกดรายงานในสื่อสังคมออนไลน์</p> <p>การเปิดรับพอดแคสต์ พบว่า กลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีการฟังพอดแคสต์ผ่านยูทูป แต่ไม่รู้จักว่าสิ่งที่ตนเองเปิดรับฟังอยู่ เรียกว่า พอดแคสต์ ในส่วนของการผลิตพอดแคสต์ พบว่า ชื่อตอน ความยาวต่อตอน ภาพกราฟิก มีส่วนในการดึงดูดให้เลือกฟังพอดแคสต์ โดยความยาวต่อตอนที่เหมาะสม ควรอยู่ที่ประมาณ 5-20 นาทีเท่านั้น แต่สามารถแบ่งแยกย่อยเป็นตอนต่อไปได้ ส่วนรูปแบบการจัดรายการที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ คือการจัดรายการแบบสนทนา โดยมีผู้จัดรายการตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้วิจัยได้นำผลการวิจัยไปพัฒนาเป็นพอดแคสต์แล้วนำไปให้กลุ่มเบบี้บูมเมอร์เปิดรับ พบว่า ควรมีการปรับบทโดยลดคำซ้ำ ปรับน้ำเสียงผู้จัดรายการให้เป็นธรรมชาติ และลดเสียงดนตรีประกอบให้เบาลง ในส่วนของกราฟิกควรปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น โดยผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะไปแก้ไขพอดแคสต์ให้มีความสมบูรณ์ และนำไปเผยแพร่ในยูทูปซึ่งเป็นช่องทางหลักที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ใช้รับฟังพอดแคสต์</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/269411
การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร
2023-09-18T14:58:13+07:00
ธัญชนก ธรรมพานิชวงศ์
thanchanokx17@gmail.com
กิตติ แก้วเขียว
Kitti_bob@hotmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ภาพลักษณ์ตราสินค้า และการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร 2) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร และ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยประชากร ที่ใช้ในการศึกษาคือ ประชาชนที่เคยซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพรและใช้สูตรคำนวณคำนวณขนาดตัวอย่างของ W.G. Cochran ระดับความเชื่อมั่น 95 % และค่าความคลาดเคลื่อนการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 5% มีขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ซึ่งมีวิธีขั้นตอนการสุ่มดังนี้ ขั้นตอนที่1 ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง โดย จะเลือกเก็บกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่เคยซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในจังหวัดชุมพรทั้งในแพลตฟอร์มต่างๆและระบบออฟไลน์ โดยจะเลือกวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร จากการที่วิสาหกิจมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น มีระบบผลิตและจำหน่ายหน้าร้าน มีการออกบูธ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยได้แก่ 1. วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอปกรีนเวอร์จิ้นออยล์ 2. วิสาหกิจชุมชนศูนย์การค้าชุมชนพลชาสมุนไพร 3. วิสาหกิจชุมชนศูนย์การค้าชุมชนภูแก้วสมุนไพร 4. วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรทำสวนมะพร้าว ต.ทุ่งคา ขั้นตอนที่2 ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งสัดส่วนเท่าๆกัน โดยจะกำหนดจำนวนตัวอย่างของประชาชนที่เคยซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพรทั้ง 4 แห่ง ในจำนวนเท่าๆ กัน ดังนั้นจะได้กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจังหวัดชุมพรแห่งละ 400 ÷ 4 = 100 คน และขั้นตอนที่3 ผู้วิจัยใช้การสุ่มตัวอย่างตามสะดวก ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทดสอบความเชื่อมั่นด้วยวิธี Cronbach Alpha Coefficient ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.87 มีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และมีการวิเคราะห์สมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีอายุ 20 – 30 ปี มีระดับการศึกษา ปริญญาตรี ประกอบอาชีพ เกษตรกร/ประมง และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ผลการศึกษาปัจจัยด้านการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ พบว่าด้านส่งเสริมการขายและด้านประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ส่วนผลการศึกษาปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้า พบว่าด้านคุณสมบัติมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ผลการศึกษาด้านการตัดสินใจซื้อพบน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร ว่า ด้านการรับรู้ปัญหามีค่าเฉลี่ยมากที่สุด 2) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยด้านการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร พบว่าปัจจัยด้านการโฆษณา ด้านการขายโดยใช้พนักงาน ด้านส่งสริมการขาย ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านการตลาดทางตรง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 3) ผลกรวิเคราะห์ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร พบว่าปัจจัยด้านคุณสมบัติ ด้านคุณประโยชน์ ด้านคุณค่า และด้านบุคลิกภาพของผู้ใช้ ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดชุมพร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/269696
ส่วนประสมทางการตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก
2023-10-17T09:53:57+07:00
นวรัตน์ จินดารัตน์
navarat6715@gmail.com
กิตติ แก้วเขียว
Kitti_bob@hotmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก 2. เพื่อวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก 3. เพื่อวิเคราะห์ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก</p> <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยนี้ คือ ประชาชนที่เคยซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อก และใช้สูตรคำนวณคำนวณขนาดตัวอย่างของ W.G. Cochran ระดับความเชื่อมั่น 95 % และค่าความคลาดเคลื่อนการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 5% มีขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถาม ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 228 คน อายุ 20 – 30 ปี จำนวน 217 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 - 30,000 บาท จำนวน 170 คน และมีระดับการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 167 คน ผลการศึกษาส่วนประสมทางการตลาด พบว่า ด้านการส่งเสริมทางการตลาด มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านผลิตภัณฑ์ ส่วนผลการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ พบว่า ด้านการรับรู้ทางออนไลน์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ผลการศึกษา การตัดสินใจสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อก พบว่า การรับรู้ถึงปัญหา มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด 2) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ติ๊กต๊อก พบว่า ปัจจัยด้านการโฆษณา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาด ส่งผลต่อการการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 3) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคออนไลน์ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ติ๊กต๊อก พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้ทางออนไลน์ อารมณ์ทางออนไลน์ ความบันเทิงทางออนไลน์ความต่อเนื่อง และทัศนคติที่มีต่อสื่อออนไลน์ ส่งผลต่อการการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น ติ๊กต๊อก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270853
Analysis and Design of an Advanced Para Rubber Information System in Adherence to the Rubber Control Act 1999 for Rubber Supply Chain Management
2024-03-11T14:26:44+07:00
Montchai Pinitjitsamut
montchai.p@ku.th
Usa Sammapun
fsciusa@ku.ac.th
Panuchart Bunyakiati
panuchart.bun@gmail.com
<p>To effectively oversee and manage Para rubber across the supply chain at the national level, the Government of Thailand issued the Rubber Control Act in 1999 and declare the Notification No. 13 in 2019 mandating collection of rubber plantation and trade information in order to regulate rubber industry and support nationwide strategic decision-making. However, challenges exist concerning data incompleteness and inconsistencies as well as information linkage since collected information is scattered among various government bodies overseeing rubber-related activities. The primary objective of this study is thereby to explore and adopt technologies for integrating scattered Para rubber information as well as to analyze and design a rubber information system to streamline data collection and data utilization in adherence to the provisions outlined in the Rubber Control Act of 1999 and Notification No. 13. The rubber information system analysis and design include analyzing rubber supply chain information, designing a system prototype, and developing a blueprint that facilitates operational procedures by systematically gathering data from transactions occurring at various stages of the rubber supply chain, encompassing farmers, trade dealers, manufacturers, and exporters. When the design and the prototype provided by this study are developed, key entities that manage Thailand's overall Para rubber can leverage the rubber information system and the integrated rubber information for strategic and well-informed decision-making.</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/268035
แนวทางการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพ ผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี
2023-07-03T13:18:02+07:00
ลัคนา พูลเจริญ
lak19171@windowslive.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างทางการเงินของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี รวมทั้งศึกษาแผนทางการเงินของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี กำหนดแนวทางการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี และเพื่อศึกษาผลการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี การดำเนินการวิจัยเป็นแบบผสมผสานทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 350 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่และค่าร้อยละและในส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อศึกษาแนวทางการวางแผนการเงินส่วนบุคคลและผลการวางแผนการเงินส่วนบุคคลโดยวิธีการสัมภาษณ์แบบรวมกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลสำคัญเลือกแบบเจาะจง 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นำแรงงานนอกระบบที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการวางแผนการออม กลุ่มนักวิชาการที่เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการวางแผนการเงิน กลุ่มตัวแทนสมาคมประกันชีวิต และกลุ่มสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กลุ่มละ 2 คนรวมเป็นจำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูลการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหานำข้อมูลที่ได้มาจัดระเบียบแล้วมาเรียบเรียงตีความและวิเคราะห์เป็นข้อสรุป </p> <p>ผลการศึกษา พบว่าโครงสร้างทางการเงินของแรงงานนอกระบบที่ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะในจังหวัดนนทบุรี ส่วนใหญ่มีรายได้จากการประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเป็นหลักและจากงานพิเศษนอกเหนือจากงานประจำ เมื่อพิจารณาด้านรายจ่ายส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายในด้านอุปโภคบริโภค ค่าผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตร และส่วนใหญ่มีการออมทรัพย์ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แผนทางการเงินของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่มีแผนการบริหารจัดการรายรับ รายจ่าย แนวทางการวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ประกอบไปด้วย 6 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน ขั้นตอนที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย และหนี้สิน ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินสถานะการเงิน ขั้นตอนที่ 4 การจัดทำแผนการเงินส่วนบุคคล ขั้นตอนที่ 5 การนำแผนทางการเงินไปปฏิบัติ และขั้นตอนที่ 6 การทบทวนและตรวจสอบแผนทางการเงิน และผลการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ มีความชัดเจนมีรายละเอียดเป็นรูปธรรม ปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบ อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270242
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน ประเภทหัตถกรรม จักสาน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2023-12-22T09:58:55+07:00
นวพร รัตนบุรี
nsangworn25@gmail.com
นิติมา สุวรรณโกมล
nsangworn25@gmail.com
ทิพย์สุคนธ์ จงรักษ์
thipsukon.j@rmutsb.ac.th
ชนาถณัฏฐ์ ผลดี
p.chanartnut@gmail.com
คณัสนันท์ สงวนสัตย์
kanassanunt.s@rmutsb.ac.th
<p>วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1)ศึกษาคุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ กลยุทธ์การตลาด และความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน 2)วิเคราะห์องค์ประกอบตัวแปรปัจจัยคุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ ปัจจัยกลยุทธ์การตลาด และความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน 3) วิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยคุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ ปัจจัยกลยุทธ์การตลาด และความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา เชิงอนุมาน และวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัย พบว่า คุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ มีค่าเฉลี่ยระดับมาก เท่ากับ 3.76 กลยุทธ์การตลาด มีค่าเฉลี่ยระดับมาก เท่ากับ 4.01 และความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน มีค่าเฉลี่ยระดับมาก เท่ากับ 4.02 วิเคราะห์องค์ประกอบแต่ละปัจจัยส่วนใหญ่มีน้ำหนักค่อนข้างสูง ซึ่งคุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ ด้านประสบการณ์มีค่าน้ำหนักมากที่สุด กลยุทธ์การตลาด ด้านราคา มีค่าน้ำหนักมากที่สุด และความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน ด้านกำไรเพิ่ม มีค่าน้ำหนักมากที่สุด การวิเคราะห์อิทธิพลของตัวแปรคุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ กลยุทธ์การตลาด ความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน มีอิทธิพลปานกลาง และยอมรับสมมติฐานทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของวิสาหกิจ โดยที่ คุณลักษณะผู้ประกอบกิจการส่งผลทางตรง(.336) และทางอ้อม (.415) ต่อกลยุทธ์ทางการตลาด คุณลักษณะผู้ประกอบกิจการ ส่งผลทางตรง (.453) ต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน และกลยุทธ์ทางการตลาด ส่งผลทางตรง (.415) ต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน โมเดลสอดคล้องกับข้อมูลในเกณฑ์ดี โดยมีค่า P-value = 0.065 ว่าโมเดลกับข้อมูลมีความสอดคล้องกันเมื่อพิจารณาค่า χ2/df = 1.36 นั้นพบว่าได้ว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูล ประกอบด้วย เช่น RMSEA = 0.026, CFI = 0.998, TLI = 0.978, SRMR=0.035, LSR=0.934 เป็นต้น สรุปได้ว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูล อยู่ในเกณฑ์ดีเหมาะที่จะนำไปสรุปผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของปัจจัยและอิทธิพลเชิงสาเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อความความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270274
การพัฒนารูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพหลักสูตรศิลปกรรม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
2023-11-07T14:37:49+07:00
ฟารีดา หีมอะด้ำ
heem.adam@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และ 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินผลการดำเนินการตามรูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ผู้บริหาร ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 99 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง และระยะที่ 3 ครูผู้สอน จำนวน 25 คน จากการมีส่วนร่วม เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 2) แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับองค์ประกอบของสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ 3) แบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ ตัวชี้วัดการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และ 4) แบบประเมินคุณภาพรูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพหลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พบว่า องค์ประกอบ ตัวชี้วัดสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ที่ได้จากความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 7 ตัวชี้วัด ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ด้านความรู้ ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด องค์ประกอบที่ 2 ด้านทักษะ ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด องค์ประกอบที่ 3 ด้านความสามารถในการประยุกต์ใช้ ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด และองค์ประกอบที่ 4 ด้านสาขางานทางศิลปกรรม ประกอบด้วย 1 ตัวชี้วัด โดยผลการตรวจความตรงเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบตัวชี้วัด โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ระดับดี พบว่า น้ำหนักองค์ประกอบทั้ง 4 องค์ประกอบ มีค่าเป็นบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 ทุกองค์ประกอบ มีค่าระหว่าง 0.94 –1.00 และน้ำหนักองค์ประกอบของตัวชี้วัด 7 ตัวมีค่าเป็นบวกและนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 มีค่าระหว่าง 0.40 – 1.00 แสดงให้ เห็นว่าโมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันมีความตรงเชิงโครงสร้าง 2) ผลการการสร้างและตรวจสอบรูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.64, S.D =0.34) และด้านความเป็นไปได้อยู่ระดับมากที่สุด ( = 4.71, S.D = 0.41) และ 3) ผลการทดลองใช้และประเมินผลการดำเนินการตามรูปแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียนด้านทักษะวิชาชีพ หลักสูตรศิลปกรรมระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยรวมมีความถูกต้องอยู่ในระดับสูงสุด ( = 4.60, S.D =0.57) ด้านความเป็นไปได้ อยู่ในระดับรองลงมา ( = 4.54, S.D =0.56) มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นประโยชน์ ( = 4.46, S.D =0.49) มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก และด้านความเหมาะสม ( = 4.39, S.D =0.65) มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270500
การพัฒนานวัตกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปูนาสายพันธุ์พระเทพ ในชุมชนจังหวัดเชียงใหม่
2024-01-26T10:37:45+07:00
ศศิณิส์ภา พัชรธนโรจน์
sasinipa_pat@cmru.ac.th
อรนุช พันโท
oranuch@g.cmru.ac.th
รสลิน เพตะกร
roselin@cmru.ac.th
พรวนา รัตนชูโชค
ponwana.r@g.cmru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมการถ่ายทอดด้วยสื่อมัลติมีเดียเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปูนาสายพันธุ์พระเทพในชุมชน 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อนวัตกรรมการถ่ายทอดด้วยสื่อมัลติมีเดียเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปูนาสายพันธุ์พระเทพในชุมชน และ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางในการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนด้วยนวัตกรรมการถ่ายทอดด้วยสื่อมัลติมีเดียการเพาะเลี้ยงปูนาสายพันธุ์พระเทพ กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ซึ่งทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และผู้ใช้งานจำนวน 30 คน ซึ่งทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าคะแนนความรู้ด้วยการทดสอบค่า t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่านวัตกรรมที่พัฒนาคือสื่อมัลติมีเดียที่ได้ถ่ายทอดเนื้อหาเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ลักษณะการเจริญเติบโต และอาหารของปูนาสายพันธุ์พระเทพ ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่าผู้เชี่ยวชาญมีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.22 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71 สำหรับผลการประเมินโดยผู้ใช้มีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้ใช้งานก่อนและหลังเรียนด้วยนวัตกรรมการถ่ายทอดด้วยสื่อมัลติมีเดีย มีค่าเฉลี่ยหลังการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญเท่ากับ 0.05</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270151
โมเดลการส่งเสริมการตลาดผลิตผลเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืนของเกษตรกร ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประเทศไทย
2023-11-10T10:33:48+07:00
ชยารัตน์ รัตนเสน
chayaratr@yahoo.com
เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ
yooprasertb@gmail.com
สินีนุช ครุฑเมือง แสนเสริม
tukstou@hotmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคม สภาพการได้รับการส่งเสริม ความรู้ และความคิดเห็นของเกษตรกรอินทรีย์ ที่มีผลต่อการปฏิบัติต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 2) ปัจจัยส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมการบริโภค และความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของผู้บริโภค ที่มีผลต่อการซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3) สร้างและพัฒนาโมเดลการส่งเสริมการตลาดผลิตผลเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน ประชากรและกลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) เกษตรกรในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 399 คน 2) ผู้บริโภคในพื้นที่เดียวกัน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คน 3) ผู้ประเมินโมเดลการส่งเสริม ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นักส่งเสริมการเกษตร และเกษตรกรในพื้นที่ จำนวน 32 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับการส่งเสริมในระดับน้อย มีความรู้และความต้องการการส่งเสริมเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในระดับมาก มีความคิดเห็นและการปฏิบัติเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในระดับมากที่สุด 2) การได้รับการส่งเสริม ความคิดเห็นด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านการจัดการเกี่ยวกับบุคลากร ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสิ่งแวดล้อมกายภาพมีผลต่อการปฏิบัติต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ในระดับปานกลาง มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในระดับมากที่สุด 4) ความคิดเห็นด้านราคา และด้านการส่งเสริมการตลาดมีผลต่อการซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 5) โมเดลการส่งเสริมการตลาดผลิตผลเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืนถูกพัฒนาขึ้นจากทฤษฎี SMCR ประกอบด้วย (1) นักส่งเสริม (2) ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (3) ช่องทางการส่งเสริม ได้แก่ การอบรม การจัดประชุม และการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (4) เกษตรกร และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริโภค รูปแบบตลาดเกษตรอินทรีย์ ปัจจัยหนุน ปัญหาและข้อจำกัดในการส่งเสริม และผลการส่งเสริมการตลาด</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/270218
โมเดลการจัดการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ในภาคกลางของประเทศไทย
2023-12-19T14:50:40+07:00
อรุณรัตน์ ไกรลาศศิริ
arunrat.pvtt@gmail.com
เบญจมาศ อยู่ประเสริฐ
yooprasertb@gmail.com
บำเพ็ญ เขียวหวาน
bumpen.keo@stou.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพพื้นฐานทั่วไป การได้รับการจัดการความรู้ การได้รับและความต้องการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสภาพความมั่นคงทางอาหารของผู้ปลูกพืชในภาคกลาง 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติในการจัดการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารของผู้จัดการความรู้ในภาคกลาง 3) ศึกษาการจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางอาหารของตัวแทนจากหน่วยงานและองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 4) สร้างโมเดลการจัดการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภาคกลาง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ปลูกพืชภาคกลางที่ผ่านการอบรมค่ายกสิกรรมไร้สารพิษ 3,088 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจาก 7 จังหวัดภาคกลางที่มีจำนวนผู้ปลูกพืชสูงสุดจำนวน 354 คน 2) ผู้จัดการความรู้ที่ให้การอบรมในค่ายกสิกรรมไร้สารพิษ 201 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยวิธีจับสลากจำนวน 134 คน 3) ตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหาร เพื่อสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) ผู้ปลูกพืชส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 53.79 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้รับการจัดการความรู้ในระดับมากที่สุดในประเด็นการแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีรูปแบบการอบรมที่หลากหลาย บรรยากาศเสริมหนุนในการอบรมที่เป็นมิตรและเอื้อเฟื้อ ได้รับความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารในระดับมาก มีความต้องการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภาพรวมอยู่ในระดับมากและมีความมั่นคงทางอาหาร 4 มิติในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติในการจัดการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารของผู้จัดการความรู้ในภาคกลาง คือ คนและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 3) การจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารของตัวแทนจากภาครัฐ เอกชนและประชาชน โดยภาพรวมมีการจัดการใน 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ปัจจัยด้านคน ด้านกระบวนการและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และตัวแทนเหล่านี้เห็นด้วยกับปัจจัยสู่ความสำเร็จทั้งภายในและภายนอกอยู่ในระดับมากที่สุด 4) โมเดลการจัดการความรู้การปลูกพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารประกอบด้วย (1) ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ปัจจัยด้านคน โดยมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ การกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติและการเสริมสร้างศักยภาพ ปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีการใช้สังคมเครือข่าย เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วม เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร (2) กระบวนการมี 8 ขั้นตอน ได้แก่ การระบุเป้าหมาย กำหนดหัวข้อความรู้ สร้างและแสวงหาความรู้ ประมวลและกลั่นกรอง จัดระบบคลังความรู้ แบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประเมินผลการจัดการความรู้ และเผยแพร่ขยายผล (3) ผลผลิตของผู้ปลูกพืช คือ ได้เครือข่ายการเรียนรู้ ได้องค์ความรู้และเกิดการเรียนรู้ ส่วนของผลผลิตของผู้จัดการความรู้ คือได้ความสำเร็จของงาน พัฒนาสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ พัฒนาคนและความเอื้ออาทรต่อกันในองค์กร โดยมีปัจจัยสู่ความสำเร็จภายในและภายนอกเป็นตัวเอื้อกระบวนการให้ไปสู่เป้าหมาย คือ ความมั่นคงทางอาหาร 4 มิติ</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช