วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu
<p>กองบรรณาธิการวารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต และบุคคลทั่วไป มีการเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะให้กว้างขวางมากขึ้น ตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) โดยวารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะอยู่ในฐานข้อมูล TCI (ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย) กลุ่มที่ 2 (ประกาศ มกราคม 2563) กระบวนการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์เป็นโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน แบบ Double-Blind Peer Reviewers มีการจัดทำวารสารปีละ 2 ฉบับ และ ตีพิมพ์ 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบตีพิมพ์ เริ่มจัดทำตั้งแต่ปี 2553 (ISSN 1906-8522) และ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มจัดทำในปี 2558 (ISSN 2630-0028) กำหนดการตีพิมพ์เป็นราย 6 เดือน หรือ ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้</p> <p> 1)เดือน มกราคม-มิถุนายน</p> <p> 2)เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม</p>
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ Faculty of Economics, Srinakharinwirot University
th-TH
วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
1906-8522
<p><strong>สงวนลิขสิทธิ์ © </strong><strong>2553 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</strong></p> <p> คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดพิมพ์วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ นโยบายสารธารณะ และสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฏในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน โดยบทความที่ได้รับการตอบรับจะถือเป็นลิขสิทธิ์ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</p> <p><strong>บรรณาธิการ </strong>อาจารย์ ดร.พลพัธน์ โคตรจรัส</p>
-
เศรษฐศาสตร์กับการสะกิดพฤติกรรม การสละที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษของบุคคลในมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร : กรณีศึกษารถไฟฟ้า MRT
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/281948
<p>การเลือกนั่งที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการตัดสินใจเลือกของบุคคล การตัดสินใจของคนในสังคมสามารถอธิบายได้โดยใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เรื่องของการเลือกความพึงพอใจ ในปัจจุบัน พฤติกรรมของคนในสังคม และการเห็นอกเห็นใจกลุ่มบุคคลพิเศษ งานวิจัยนี้จึงสนใจศึกษาพฤติกรรมการเลือกนั่งที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษผ่านการสะกิดด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม โดยมีผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 132 คน นอกจากนี้ยังมีการสำรวจด้วยแบบสอบถามโดยมีการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่านการทำแบบสอบถามจำนวน 62 คน ผลการทดลองผ่านการสะกิดพบว่า การสะกิดด้วยวิธี Peer Effect หรือการสร้างอิทธิพลจากคนรอบข้าง เป็นวิธีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของการตัดสินใจสละที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษได้ดีที่สุด ดังนั้น ควรมีการสร้างการรับรู้โดยทำให้เห็นว่าที่นั่งสำรองบุคคลพิเศษมีคนกลุ่มนั้นมานั่งอยู่เสมอ เช่น การติดรูปภาพหรือสัญลักษณ์ของกลุ่มบุคคลนั้นในพื้นที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนจะได้ผลดีมากที่สุด และนอกจากนี้ ผลจากการสำรวจด้วยแบบสอบถามพบว่า สถานการณ์ที่แตกต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจในการสละที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษ โดยปัจจัยที่มีความสำคัญจะแตกต่างกันตามลักษณะของสถานการณ์ ในสถานการณ์ที่ที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษว่างเพียงที่เดียว พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ คือ รายได้ต่อเดือน จำนวนสถานีต่อครั้งและค่าบริการเฉลี่ยต่อวัน ขณะที่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจขณะที่ตนเองได้รับบาดเจ็บ พบว่า ไม่มีปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ส่วนในสถานการณ์การสละที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษภายใต้สถานการณ์โดยรวม พบว่า ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อการตัดสินใจ คือ อายุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของปัจจัยทางประชากรศาสตร์ในการตัดสินใจในบริบทดังกล่าว</p>
พรสุดา คำพุ่ม
ณิชากร เลิศไตรภิญโญ
นราวิชญ์ อิสโร
นลิน อินทะเสน
ครองศิริ เศรษฐี
พิชฌาย์มาศ พิสิฏฐ์โสภณ
รัตนพร เลื่องเลิศ
อรริสา วชิรเดชาวัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
1
20
-
The Potential of Rubber Supply Chain Along the Economic Corridors Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle (IMT-GT): Case study in Thailand
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/281943
<p>This study aims to demonstrate the potential of the rubber supply chain along the IMT-GT Economic Corridor in the 14 southern provinces by analyzing qualitative data from upstream, midstream and downstream which can be used as a guideline to support the strategy for developing the rubber industry in the South along the IMT-GT economic corridor and use data to increase spatial potential.</p> <p>Production (Upstream), the south has the most rubber plantation areas or 60.40% of the total rubber plantation areas in the country. The rubber plantation areas of the provinces along the economic corridors constitute 53.72% of the rubber plantation areas nationwide. The area with the largest rubber plantations is Surat Thani or 407,113 hectares (11.29%), followed by Songkhla or 316,599 hectares (8.47%), and Nakhon Si Thammarat or 240,052 hectares (8.03%). They are situated in EC1 with the total area of 30.11%. Moreover, the rubber plantation areas in EC6 constitute 11.22% of the output. Therefore, the appropriate areas for the development of rubber value chain will be the areas in EC1 and EC6 that collect, process, and distribute rubber products for domestic consumption and export.</p> <p>Processing (Intermediate), the primary product is tapped rubber (100%) which will be processed into three products namely: 1) Latex (59%) farmers in the south of Thailand tend to sell latex more for convenience and ability to reduce the risk of price fluctuation. 2) Raw rubber sheet (8%). 3) Cup lump or rubber crumb (33%)</p> <p>Distribution (Downstream), the products from the intermediate industry include 1) Concentrated latex with 78% for export and 22% for domestic consumption. They consist of rubber gloves (47%), condoms (7%), and others (46%) 2) Ribbed Smoked sheet with 88% for export and 12% for domestic consumption 3) Technically specified rubber with 90% for export and 10% for domestic consumption such as rubber tires (91%) and others (9%). The downstream industry is the industry to process raw materials from the intermediate industry into final products for consumers. The products include pillows, latex mattresses, rubber gloves, condoms, rubber roads, auto tires, motorcycle tires, aircraft tires, rubber bands, conveyor belts, athletic shoes, waterproof strips.</p>
Jittiya Sereewat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
21
40
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการก่อหนี้ของครัวเรือนในพื้นที่ชนบท
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/277585
<p style="font-weight: 400;">การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การมีหนี้ครัวเรือนในระดับสูงนี้นอกจากจะส่งผลต่อความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนแล้ว ยังส่งผลเสียทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว แต่ก่อนที่จะหามาตรการเพื่อบรรเทาหนี้ครัวเรือนนั้นควรทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมการมีหนี้ของครัวเรือนเสียก่อน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจกู้เงินของครัวเรือนโดยการสำรวจครัวเรือนจำนวน 256 ราย ผลการศึกษาพบว่า ครัวเรือนที่เป็นเกษตรกร และครัวเรือนที่ไม่ใช่เกษตรกรมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจกู้เงินแตกต่างกันในบางประเด็น ครัวเรือนที่ไม่ใช่เกษตรกรเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจกู้เพิ่มขึ้น แต่ระดับรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรไม่ส่งผลต่อการกู้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ครัวเรือนเกษตรกรยากจน มีแนวโน้มตัดสินใจกู้ลดลงเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่ไม่อยู่ในกลุ่มยากจน แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการกู้เงินระหว่างครัวเรือนที่ไม่ใช่เกษตรกรของกลุ่มยากจน และกลุ่มที่ไม่ยากจน ดังนั้นการวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมการตัดสินใจกู้เงินของครัวเรือนที่ไม่ได้แยกแยะกลุ่มที่มีลักษณะรายได้ที่ต่างกันระหว่างกลุ่มที่เป็นเกษตรกรและกลุ่มที่ไม่ใช่เกษตรกรอาจส่งสัญญาณบิดเบือนได้ นอกจากนี้ พฤติกรรมการกู้เงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถตีความได้อย่างชัดเจนว่าจะส่งผลลบต่อครัวเรือน แต่ประเด็นสำคัญที่ควรทำการพิจารณาคือการวิเคราะห์การผิดนัดชำระหนี้ของครัวเรือนควบคู่ไปกับการกู้ยืมเงินของครัวเรือน</p>
เรวดี จรุงรัตนาพงศ์
พัชรี ผาสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
41
56
-
การศึกษารูปแบบการหลอกลวงและปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถูกหลอกลวงทางการเงิน
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/277996
<p>ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสให้เกิดปัญหาที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น หนึ่งในปัญหาที่สำคัญคือ การหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่มีผลกระทบต่อทั้งบุคคล สังคม และระบบเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง งานวิจัยฉบับนี้จึงเริ่มต้นศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถูกหลอกลวงทางการเงิน และรูปแบบการหลอกลวงที่กระตุ้นให้บุคคลมีแนวโน้มหลงเชื่อ รูปแบบการหลอกลวงแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ การหลอกลวงที่ใช้โอกาสล่อ การข่มขู่ การซื้อขายสินค้า การฟิชชิ่ง และการใช้ความรัก โดยรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน เพื่อระบุ 2 รูปแบบการหลอกลวง ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์พบเจอมากที่สุด จากนั้นนำ 2 รูปแบบที่ได้ข้างต้นมาจำลองสถานการณ์โดยวิธีการสัมภาษณ์เพื่อหารูปแบบการหลอกลวงที่กลุ่มตัวอย่างมีแนวโน้มหลงเชื่อมากที่สุด โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมจำลองสถานการณ์จำนวน 100 คน ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถูกหลอกลวงทางการเงินของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อายุ สถานภาพ การศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ค่าเสียหายจากการหลอกลวง การหลอกลวงที่ใช้โอกาสล่อ การหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า และการฟิชชิ่ง นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า รูปแบบการหลอกลวงในการซื้อขายสินค้า มีแนวโน้มทำให้กลุ่มตัวอย่างมีแนวโน้มหลงเชื่อมากที่สุด</p>
ธิติมา ม่วงหุ้มทรัพย์
ชยุดา สุขสมยา
ฐิภาภรณ์ ธีระพันธ์
ชนัญชิดา มาสังข์
ณิชาพัชร์ เจริญศึกษา
บัณฑิตา แสงลับ
ศรัณย์พร จิโรจน์กุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
57
75
-
บุหรี่ไฟฟ้า : ประเภท ผลกระทบ และมาตรการ เพื่อข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/276833
<p>ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าได้รับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่น่าดึงดูดต่อความสนใจของกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มากขึ้น ทำให้ในประเทศไทยบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น มีการจำหน่าย และนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย บทความวิชาการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประเภท และผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า 2) ศึกษามาตรการเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และต่างประเทศ และ 3) เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าสำหรับประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่าบุหรี่ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1) บุหรี่ไฟฟ้าประเภทที่ไม่มีส่วนประกอบของใบยาสูบ 2) บุหรี่ไฟฟ้าประเภทที่มีส่วนประกอบของยาสูบ โดยบุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบ 3 ด้านสำคัญได้แก่ 1) ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า 2) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3) ผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง ในส่วนของมาตรการบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยพบว่าใช้แนวทางการห้ามอย่างเด็ดขาดผ่านกฎหมายหลายฉบับ สำหรับการกำกับดูแลบุหรี่ไฟฟ้าในต่างประเทศพบว่ามีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทั้งนี้ทุกประเทศมีข้อห้ามโฆษณาอย่างเข้มงวด ผู้เขียนเสนอนโยบายที่ครอบคลุมทั้งการปรับปรุงนิยามทางกฎหมาย การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ การเพิ่มบทลงโทษโดยเฉพาะกรณีจำหน่ายให้เยาวชน การรณรงค์ให้ความรู้ผ่านสถานศึกษา และสื่อออนไลน์ การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ การเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ และการพิจารณาแนวทางกำกับดูแลแบบมีเงื่อนไขเฉพาะกรณีเพื่อการเลิกบุหรี่ไฟฟ้า</p>
รัตนาวดี เปรมรัชชานนท์
สายป่าน ประเสริฐ
สุพิชญา มีทอง
ฮาซันอักริม ดงนะเด็ง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
76
88
-
มาตรการทางภาษีสำหรับสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร เพื่อมุ่งสู่การเกษตรยั่งยืน
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/econswu/article/view/277911
<p>ภาคการเกษตรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหาร และสินค้าทางเกษตรที่สำคัญแห่งหนึ่งในโลก จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดการกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะการใช้สารเคมีปริมาณสูง และค่าความเป็นพิษที่รุนแรง ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการนำมาใช้ในภาคการเกษตร เนื่องจากสารเคมีถือเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่สามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต คุณภาพ และรูปลักษณ์ของผลิตผลทางการเกษตรให้สูงขึ้น ส่งผลต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรม และธุรกิจด้านการเกษตร แต่อย่างไรก็ดี หากใช้สารเคมีด้วยปริมาณสูงเกินความจำเป็น หรือสารเคมีที่มีความเข้มข้นที่ส่งผลต่อความเป็นอันตรายสูง จึงนำไปสู่การทำเกษตรกรรมที่ลด ละ และเลิกการใช้สารเคมี เพื่อมุ่งสู่การเกษตรยั่งยืน ดังนั้น นโยบาย และกลไกสนับสนุนจากภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน และยกระดับขีดความสามารถด้านเกษตรกรรม ในบทความนี้จึงเป็นการศึกษา และแสดงให้เห็นถึงเครื่องมือนโยบายด้านการคลัง คือ การจัดเก็บภาษีสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร จึงได้กล่าวถึงความเป็นมาของการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรของประเทศไทย ผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการควบคุมการใช้สารเคมี ความสำคัญของการใช้เครื่องมือด้านนโยบายการคลัง คือ ภาษีสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร และกรณีศึกษาของต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ และสิ่งที่น่าสนใจในบทความนี้ คือ แนวทางการจัดเก็บภาษีในช่วงเริ่มต้น และการคาดการณ์จำนวนภาษีสำหรับสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรที่สามารถจัดเก็บได้ เพื่อสะท้อนให้เห็นผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้น และข้อค้นพบที่สำคัญ เช่น การกำหนดอัตราภาษีสารเคมีในการเกษตรของประเทศไทยควรคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ และความจำเป็นในการพัฒนาระบบข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้ในปัจจุบัน ผู้ใช้สารเคมี และผู้จำหน่ายสารเคมี โดยในระยะแรกอาจมีการให้เงินทุนหรือเงินอุดหนุนสนับสนุนการทำการเกษตรแบบอินทรีย์หรือการเกษตรแบบปลอดสารเคมี รวมถึงจำเป็นต้องมีการพัฒนา และสนับสนุนระบบนิเวศ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขับเคลื่อนระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืน</p>
ภาณิศา หาญพัฒนนันท์
สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 31
89
107