วารสารช่อพะยอม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom
<p><strong>ข้อระเบียบของวารสาร</strong> วารสาร Chophayom Journal จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานที่มีขอบข่าย ดังนี้</p> <p>1.สังคมศาสตร์ทั่วไป</p> <p>2.นิติศาสตร์</p> <p>3.รัฐศาสตร์</p> <p>4.รัฐประศาสนศาสตร์</p> <p>5.มนุษยศาสตร์ (ดนตรี, นาฏศิลป์, ศิลปะ)</p> <p>6.ภาษาศาสตร์</p> <p>7.การศึกษา</p> <p>8.การบริหารธุรกิจ</p> <p>9.การพัฒนา</p> <p>10.ศาสนา ปรัชญา</p> <p>11.สหวิชาการอื่น ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์</p> <p> โดยลักษณะของผลงานที่รับการตีพิมพ์มีอยู่ 3 ประเภท คือ บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์ ซึ่งมีกำหนดการออกเล่มวารสารเป็น ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ </p> <p> ฉบับที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน </p> <p> ฉบับที่ 2 ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม </p> <p> ฉบับที่ 3 ระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม </p> <ol start="2"> <li>เป็นผลงานบทความตามกำหนดประเภท โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์โดยจะต้องเขียนผลงานบทความแต่ละประเภทตามแบบฟอร์มของวารสาร Chophayom Journal ที่กำหนดให้เท่านั้น เช่น มีชื่อและที่อยู่ผู้นิพนธ์ครบถ้วน, มีบทคัดย่อภาษาไทย และภาษาอังกฤษ, มีเอกสารอ้างอิงเป็นรูปแบบเดียวกัน คือ โดยใช้ระบบการอ้างอิง APA ตามแบบของวารสารกำหนด เป็นต้น</li> <li>เป็นผลงานบทความที่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารอื่นใดมาก่อน หากผู้นิพนธ์นำผลงานที่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่นใด มาขอตีพิมพ์เผยแพร่ ซ้ำอีก ทางวารสาร Chophayom Journal จะมีมาตรการลงโทษเด็ดขาด คือ การยกเลิกบทความนั้น และตัดสิทธิไม่รับตีพิมพ์ผลงานบทความ ผู้นิพนธ์ท่านนั้นตลอดไป </li> <li>เป็นผลงานบทความ ที่จะต้องส่งผ่านเข้าลิงค์รระบบไทโจ (thaijo) ของวารสาร <a href="https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom">https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom</a>เท่านั้น</li> <li>เป็นผลงานบทความที่จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ไม่น้อยกว่า 2 คน ตามที่กองบรรณาธิการคัดสรรตามสาขาวิชา หรือมีความเชี่ยวชาญ หรือมีขอบข่ายสาขาความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้าของผลงานบทความหรือผู้นิพนธ์ เป็นแบบ <strong><u>Double blinded</u></strong> คือ มีการปกปิดชื่อเจ้าของบทความแก่ผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าของผลงานบทความไม่ทราบชื่อของผู้ทรงคุณวุฒิ</li> <li>หากผลงานบทความใด ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) เจ้าของผลงานบทความ หรือ ผู้นิพนธ์ จะต้องแก้ไขผลงานบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ให้แล้วเสร็จ และจะต้องส่งผลงานบทความฉบับแก้ไขสมบูรณ์ (Revise) ผ่านกลับเข้าลิงค์รระบบไทโจ (thaijo) ของวารสาร <a href="https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom">https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom</a> เท่านั้น</li> <li>และเมื่อผู้นิพนธ์ส่งผลงานบทความแก้ไขสมบูรณ์เข้าระบบฯ แล้ว ทางกองบรรณาธิการจะทำการกลั่นกรอง ตรวจสอบความถูกต้องของผลงานบทความ เพื่อความครบถ้วนอีกครั้ง ถ้าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ทางวารสารฯ ก็จะตอบรับการตีพิมพ์บทความ แต่ถ้าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทางวารสารฯ จะตอบกลับ/ตีกลับบทความในระบบฯ ให้ผู้นิพนธ์แก้ไขปรับปรุงผลงานบทความจนกว่าจะมีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป</li> <li>ผลงานบทความ จะมีค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์เผยแพร่ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ผลงานบทความฉบับภาษาไทย บทความละ 1,500 บาท และ 2) บทความฉบับภาษาอังกฤษ บทความละ 2,000 บาท โดยทางวารสาร จะเก็บค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อผลงานบทความนั้นๆ ผ่านการตรวจสอบค่าความซ้ำซ้อนโดยระบบไทโจ <strong>(</strong><strong>copycatch)</strong> <strong>ซึ่งจะต้องไม่เกิน 15</strong><strong>%</strong> แล้วเท่านั้น (ทางวารสารจะแจ้งผลให้ท่านทราบผ่าน 2 ช่องทาง คือ ทางระบบฯ และทางอีเมล <strong>(จะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ประกาศไว้นี้ ทุกกรณี)</strong></li> <li>ผู้ส่งผลงานบทความหรือผู้นิพนธ์ ต้องปฏิบัติตามระเบียบของวารสารอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะถ้าผลงานบทความใด ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ(Peer Review) และไม่แก้ไขผลงานบทความตามข้อเสนอแนะอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ <strong><u>วารสารขอสงวนสิทธิ์ไม่ออกหนังสือตอบรับให้ในทุกกรณี</u></strong> </li> </ol> <p><strong>คำแนะนำสำหรับผู้ส่งบทความ (ผู้นิพนธ์) </strong> </p> <p> </p> <p>1. ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ จะต้องศึกษากระบวนการระเบียบ ขั้นตอน ข้อกำหนดของวารสาร Chophayom Journal ตามที่วารสารได้กำหนดไว้ โดยกระบวนการจะเป็นแบบการจัดการแบบออนไลน์ในเว็บไซต์ระบบไทโจ (thaijo) ของวารสาร <a href="https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom">https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom</a>เท่านั้น</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2.ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ ต้องทำตามฟอร์มรูปแบบ (Template) ของวารสารที่กำหนดให้ไว้เท่านั้น </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ ต้องตรวจสอบดูว่าบทความที่ส่งมาต้องมีขอบข่ายเกี่ยวกับบทความวิชาการและการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ ได้แก่ สังคมศาสตร์ทั่วไป, นิติศาสตร์, รัฐศาสตร์, รัฐประศาสนศาสตร์, มนุษยศาสตร์ (ดนตรี, นาฏศิลป์, ศิลปะ), ภาษาศาสตร์, การศึกษา, การบริหารธุรกิจ, การพัฒนา, ศาสนา ปรัชญา และรวมถึง สหวิชาการอื่น ๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">4.ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ ต้องตรวจสอบดูว่าบทความที่ส่งมาต้องจัดอยู่ใน 3 ประเภท คือ บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">5. ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ จะต้องชำระค่าธรรมเนียมส่งบทความฉบับภาษาไทย จำนวน 1,500 บาท และบทความฉบับภาษาอังกฤษ บทความละ 2,000 บาท หลังจากบทความของผู้นิพนธ์ผ่านการตรวจสอบค่าความซ้ำซ้อนโดยระบบไทโจ </span><strong style="font-size: 0.875rem;">(</strong><strong style="font-size: 0.875rem;">copycatch)</strong> <strong style="font-size: 0.875rem;">ซึ่งจะต้องไม่เกิน 15</strong><strong style="font-size: 0.875rem;">%</strong><span style="font-size: 0.875rem;"> แล้วเท่านั้น </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ผู้ส่งบทความหรือผู้นิพนธ์ ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อกำหนดและคำแนะนำของวารสารอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะ ถ้าบทความใดยังไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ(Peer Review) และไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ </span><strong style="font-size: 0.875rem;"><u>วารสารขอสงวนสิทธิ์ไม่ออกหนังสือตอบรับในทุกกรณี</u></strong><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></p> <p><strong>จริยธรรมในการตีพิมพ์</strong><strong> (Publication Ethics)</strong> </p> <p><strong>1. บทบาทและหน้าที่ของบรรณาธิการ</strong><strong> (Duties of Editors)</strong> </p> <p>1.1 บรรณาธิการมีหน้าที่ตรวจสอบบทความทุกฉบับที่ส่งมาเพื่อขอตีพิมพ์ ว่ามีการส่งบทความเป็นไปตามกระบวนการตามขั้นตอนที่วารสารได้กำหนดไว้ 1.2 บรรณาธิการมีหน้าที่กลั่นกรองบทความทุกฉบับให้เรียบร้อยเหมาะสมตามรูปแบบองค์ประกอบหรือเป็นไปตามระเบียบสาขาวิชาของวารสารที่กำหนดไว้ </p> <p>1.3 บรรณาธิการมีหน้าที่ตรวจสอบและกลั่นกรองทุกบทความที่ส่งมาเพื่อขอตีพิมพ์ ว่าต้องไม่เคยหรือได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใด ๆ มาก่อน </p> <p>1.4 หากบรรณาธิการตรวจและกลั่นกรองพบว่าบทความนั้น ๆ เคยหรือได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใด ๆ </p> <p>มาก่อนแล้ว บรรณาธิการจะติดต่อผู้นิพนธ์เพื่อขอคำชี้แจงว่าใช่หรือไม่อย่างไร ถ้าพบว่าใช่บรรณาธิการจะขอยุติกระบวนการแล้วแจ้งผลการปฏิเสธนำส่งกลับไปยังผู้นิพนธ์ทันที </p> <p>1.5 บรรณาธิการมีหน้าที่กลั่นกรองคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความนั้น ๆ ให้ตรงตามคุณสมบัติหรือตามความเชี่ยวชาญของศาสตร์สาขาวิชานั้น 1.6 บรรณาธิการต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในบทความนั้น ๆ </p> <p>1.7 บรรณาธิการต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้นิพนธ์และผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความนั้น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้นิพนธ์กับผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความ </p> <p>1.8 เมื่อได้รับผลประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความนั้น ๆ แล้ว บรรณาธิการจะทำการตรวจสอบผลและส่งกลับไปยังผู้นิพนธ์เพื่อทำการแก้ไข (หากได้แก้ไข) แล้วส่งกลับมาตามระบบเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต่อไป <strong>2. บทบาทและหน้าที่ของผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ</strong><strong> (Duties of Reviewers) </strong> </p> <p>2.1 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องพิจารณาบทความที่ปราศจากอคติส่วนตัว โดยจะต้องมีทัศนคติ แนวความคิด มุมมองที่เป็นกลางหรือต้องพิจารณาตามหลักทางวิชาการที่เป็นเหตุและผล 2.2 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและมีความรู้ ความเข้าใจ หรือความเชี่ยวชาญในการพิจารณาบทความเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี </p> <p> 2.3 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องคำนึงถึงความสำคัญเกี่ยวกับเวลาหรือกรอบระยะเวลาในการประเมินบทความโดยใช้เวลาอย่างเหมาะสมไม่ควรใช้เวลานานจนเกินไป </p> <p>2.4 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือในกรณีใด ๆ ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของวารสารที่กำหนดไว้ 2.5 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องรักษาความลับและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการพิจารณาบทความให้บุคคลอื่นได้รับรู้ 2.6 ผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีจริยธรรมและจรรยาบรรณ โดยจะต้องไม่คัดลอกผลงานหรือนำเอาผลงานไปดัดแปลงเป็นผลงานของตนเอง 2.7 หากผู้ทรงคุณวุฒิไม่สามารถพิจารณาหรือประเมินบทความนั้น ๆ ได้ ให้รีบติดต่อบรรณาธิการเพื่อขอส่งบทความกลับคืน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นนั้น ๆ </p> <p><strong style="font-size: 0.875rem;">3.บทบาทและหน้าที่ของผู้นิพนธ์</strong><strong style="font-size: 0.875rem;">(Duties of Authors)</strong><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.1 ผู้นิพนธ์ต้องศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบ กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ และอื่น ๆ ของวารสารให้เข้าใจอย่างถูกต้องและท่องแท้ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.2 ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบความเรียบร้อยของบทความตนเองให้ดีก่อน ว่าได้เขียนบทความเป็นไปตามรูปแบบและองค์ประกอบที่วารสารกำหนดไว้หรือไม่ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.3 ผู้นิพนธ์ต้องส่งบทความผ่านหรือเข้าระบบแบบออนไลน์เท่านั้น </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.4 ผู้นิพนธ์ต้องมีจริยธรรม ในตนเอง โดยจะต้องไม่แอบอ้างนำเอาบทความหรือผลงานของบุคคลอื่นที่ไม่ได้รับการอนุญาต มาส่งเพื่อขอตีพิมพ์เผยแพร่ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.5 ผู้นิพนธ์ต้องมีจรรยาบรรณในตนเอง โดยจะต้องไม่นำบทความหรือผลงานของตนที่เคยตีพิมพ์มาแล้วจากแหล่งอื่น มาส่งเพื่อขอตีพิมพ์เผยแพร่ซ้ำซ้อนอีก </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.6 ผู้นิพนธ์ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ระเบียบ ข้อบังคับที่วารสารกำหนดอย่างเคร่งครัด </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3.7 หากผู้นิพนธ์ได้รับทราบผลหรือรับรู้ถึงผลการประเมินแล้ว ถ้าผ่านการพิจารณาโดยมีเงื่อนไขให้แก้ไขบทความ ผู้นิพนธ์ต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร็วและต้องแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างครบถ้วน</span></p> <p><strong>บรรณาธิการ</strong> </p> <p> ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา เสนาเวียง</p>
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
en-US
วารสารช่อพะยอม
3057-0115
-
ตำนานอุรังคธาตุกับการพัฒนาอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมของพระธาตุพนม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom/article/view/283738
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตำนานอุรังคธาตุกับการพัฒนาอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมของพระธาตุพนม เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสังเกต โดยมีกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 36 คน ที่มาจากการเลือกแบบเจาะจง และทำการตรวจสอบข้อมูลโดยใช้วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า แล้วนำข้อมูลที่ได้จากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและแบบสัมภาษณ์มาวิเคราะห์ในเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ในปัจจุบันวัดพระธาตุพนมได้กลายเป็นพื้นที่พัฒนา “อุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม” ที่สำคัญในการนำเอาเรื่องราวของตำนานอุรังคธาตุมาประกอบสร้างและผลิตซ้ำให้อยู่ในรูปแบบของสินค้าทางวัฒนธรรมทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ 1) สินค้าทางวัฒนธรรม “การบูชาธาตุ” แบ่งออกเป็นการบูชาพระธาตุพนมและการบูชาธาตุบรรพชน 2) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทกิจกรรม “ประเพณีงานนมัสการพระธาตุพนม” 3) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทวัตถุมงคล 4) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทของที่ระลึก 5) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทอาหาร 6) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทเพลงและการแสดง และ 7) สินค้าทางวัฒนธรรมประเภทที่พัก “โฮมสเตย์” สินค้าทางวัฒนธรรมดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของพื้นที่พระธาตุพนมซึ่งคนในสังคมให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง</p>
อรัญ จำนงอุดม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารช่อพะยอม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-08
2025-10-08
36 3
27
44
-
ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom/article/view/281793
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2. เพื่อศึกษาปัจจัยความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีเครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 300 คน ที่มาจากการใช้สูตรของ Taro Yamane (1973) และทำการสุ่มแบบตามสะดวก แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์สมการถดถอย ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก (x̅= 3.90) และเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ 1.1) ด้านความมั่นคงปลอดภัย (x̅= 4.14) 1.2) ด้านสวัสดิการหรือผลประโยชน์อื่น ๆ (x̅= 3.92) 1.3) ด้านโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน (x̅= 3.90) 1.4) ด้านสภาพการทำงาน (x̅= 3.86) และ 1.5) ด้านค่าจ้าง (x̅= 3.64) 2) ปัจจัยความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยภาพรวมและพิจารณารายด้านอยู่ในระดับมาก (x̅= 4.10) เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ 2.1) ด้านความสำเร็จในงาน (x̅= 4.23) 2.2) ด้านความรักในงาน (x̅= 4.11) 2.3) ด้านการเป็นที่ยอมรับ (x̅= 4.08) 2.4) ด้านการติดต่อสัมพันธ์ (x̅= 3.96) และ 3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัด สุราษฎร์ธานีประกอบด้วย ด้านความมั่นคงปลอดภัย ด้านค่าจ้าง ด้านสภาพการทำงาน และด้านสวัสดิการหรือผลประโยชน์อื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ภัทราภรณ์ พรหมอินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารช่อพะยอม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-18
2025-09-18
36 3
17
26
-
การเปรียบเทียบคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาจีนและภาษาไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom/article/view/283410
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อรวบรวมคำยืมภาษาต่างประเทศที่ปรากฏในภาษาจีนและภาษาไทย และ 2. เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบคำยืมภาษาต่างประเทศที่ปรากฏในภาษาจีนและภาษาไทย เป็นการวิจัยแบบเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อมูลคำในภาษาจีนจากพจนานุกรมภาษาจีน และคำในภาษาไทยจากพจนานุกรมภาษาไทย แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาวิเคราะห์ในเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า พจนานุกรมภาษาจีนสมัยปัจจุบันดังกล่าวมีจำนวนคำศัพท์ทั้งหมดโดยประมาณ 69,000 คำ มีจำนวนคำยืมภาษาต่างประเทศทั้งสิ้นจำนวน 362 คำ หรือร้อยละ 0.52 ของคำศัพท์ทั้งหมด ซึ่งนำมาเปรียบเทียบกับภาษาไทย ปรากฏเป็นคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทยจำนวน 336 คำ หรือร้อยละ 92.82 และปรากฏเป็นคำไทยล้วนจำนวน 26 คำ หรือร้อยละ 6.08 ด้านการปรากฏคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาจีนและภาษาไทยปรากฏเหมือนกันทั้งหมด โดยเป็น “คำยืมล้วน” มากที่สุด จำนวน 236 คำ หรือร้อยละ 65.19 ส่วนที่มาของคำยืมปรากฏ “ภาษาอังกฤษ” เหมือนกันมากที่สุด โดยภาษาจีนปรากฏ จำนวน 209 คำ หรือร้อยละ 57.74 ส่วนภาษาไทยปรากฏ จำนวน 221 คำ หรือร้อยละ 61.05 ด้านลักษณะการใช้คำยืมปรากฏมากที่สุด คือ “คำยืมคงเดิม” โดยภาษาจีนมีจำนวน 159 คำ หรือร้อยละ 43.92 ส่วนภาษาไทยมีจำนวน 253 คำ หรือร้อยละ 69.89 ส่วนด้านลักษณะทางความหมายปรากฏมากที่สุด คือ “เหมือนกันหรือคล้ายกัน” จำนวน 346 คำ หรือร้อยละ 95.58 และด้านบริบททางความหมายปรากฏด้าน “สารเคมี” มากที่สุด จำนวน 59 คำ หรือร้อยละ 16.30 ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาจีนปรากฏเป็นจำนวนน้อย เนื่องจากพจนานุกรมจีนไม่ได้ระบุที่มาของคำ แม้ว่าคำนั้นเป็นภาษาต่างประเทศในภาษาจีน ได้แก่ บุคคลที่มีชื่อเสียง คำยืมหลักไม่ได้ระบุที่มาของคำ คำยืมปรากฏในความหมาย คำยืมเดิมกลายเป็นคำแปลศัพท์ คำอักษรย่อของภาษาตะวันตก และคำภาษาถิ่นจีน ส่วนคำในภาษาไทยเมื่อเทียบกับคำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาจีนพบว่า เป็นคำไทยล้วนจำนวนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า คำในภาษาไทยบางคำไม่ได้ใช้เป็นคำยืมภาษาต่างประเทศเหมือนกับภาษาจีน ด้านการปรากฏการใช้คำยืมในภาษาจีนและภาษาไทยที่เหมือนกันและแตกต่างกันเกิดจากการเขียนคำ โครงสร้างคำ และการใช้คำ นอกจากนี้ ด้านที่มาของคำยืมปรากฏ “ภาษาอังกฤษ” มากที่สุด และลักษณะการใช้ “คำยืมคงเดิม” ปรากฏคำภาษาอังกฤษมากที่สุดเช่นกัน รวมถึงด้านบริบททางความหมายปรากฏด้าน “สารเคมี” มากที่สุด ซึ่งภาษาจีนและภาษาไทยต่างใช้เป็นคำยืมจากภาษาอังกฤษทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า คำยืมภาษาอังกฤษยังคงมีบทบาทและอิทธิพลต่อการใช้คำยืมทั้งในภาษาจีนและภาษาไทย</p>
รัชตพล ชัยเกียรติธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารช่อพะยอม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-19
2025-10-19
36 3
45
60
-
การมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejChophayom/article/view/281310
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชน 2. เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนที่มีความแตกต่างทางด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน และระยะเวลาที่อยู่ในชุมชน และ 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนรวมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ มีเครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่ตั้งอยู่รอบบริเวณป่าชุมชนโคกใหญ่ของอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 372 คน ที่ได้มาจากการใช้สูตรทาโร ยามาเน่ (1973) แล้วทำการสุ่มตัวอย่างแบบ 2-Stage Sampling ซึ่งเป็นวิธีที่ประชากรแต่ละหน่วยมีโอกาสถูกสุ่มมาเป็นกลุ่มตัวอย่างเท่า ๆ กัน เพื่อเป็นการกระจายกลุ่มตัวอย่างและครอบคลุมในแต่ละจังหวัด ผู้วิจัยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ โดยการกำหนดสัดส่วนแล้วใช้วิธีสุ่มแบบอย่างง่าย แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบค่าสถิติค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.54, S.D. = 0.27) 2) การเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม พบว่าประชาชนที่มีเพศแตกต่างกัน มีส่วนร่วมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนประชาชนที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน และระยะเวลาที่อยู่ในชุมชนแตกต่างกันมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกัน และ 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมีส่วนรวมในการจัดการป่าชุมชนโคกใหญ่ของประชาชนอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม พบว่า ควรสร้างจิตสำนึก จัดอบรมให้ความรู้ จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ข้อบังคับและจัดระเบียบการใช้ป่าชุมชน และแผนพัฒนาการจัดการป่าชุมชนร่วมกันทุกภาคที่เกี่ยวข้อง</p>
ทนงศักดิ์ ปัดสินธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารช่อพะยอม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-13
2025-06-13
36 3
1
16