e-Journal of Education Studies, Burapha University https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes <p>วารสาร e-Journal of Education Studies, Burapha University ISSN: 2697-3863 (Online)<span lang="TH"> จะพิจารณาเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย ที่มีสาระเกี่ยวเนื่องกับการศึกษา การบริหารการศึกษา นวัตกรรมหลักสูตร นวัตกรรมการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัย การวิจัยการศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา</span></p> th-TH <p>อ้างอิงแหล่งที่มา</p> kongrat@go.buu.ac.th (อาจารย์ ดร.คงรัฐ นวลแปง) wattanaporn@go.buu.ac.th (อาจารย์วัฒนพร จตุรานนท์) Tue, 30 Sep 2025 22:47:32 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สารบัญ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/283714 คงรัฐ นวลแปง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/283714 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ส่วนนำ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/283712 คงรัฐ นวลแปง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/283712 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพชุมชนเชิงรุกอย่างยั่งยืนเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพ (SDG4) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282257 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาศักยภาพชุมชนเชิงรุกอย่างยั่งยืนเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพตามเป้าหมาย SDG4 การวิจัยใช้วิธีวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) แบบผสานวิธี (Mixed Methods) แบบ Explanatory Sequential Design ดำเนินการ 3 ระยะ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรทางการศึกษาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในจังหวัดนนทบุรีจำนวน 212 คน สำหรับการสำรวจความต้องการ การประเมินรูปแบบในพื้นที่ทดลองจำนวน 36 คน และผู้เรียนจำนวน 462 คน ใช้เครื่องมือวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 13 ชนิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยดัชนี PNI<sub>Modified</sub> สถิติ <em>t</em>-test และ Cohen's d</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนมีความต้องการเร่งด่วนสูงสุดในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ (PNI<sub>Modified</sub> = 0.32) รองลงมาคือการบูรณาการเทคโนโลยีและการเรียนรู้ตลอดชีวิต (0.29) และการพัฒนาศักยภาพชุมชนเชิงรุก (0.27) ผู้วิจัยได้นำข้อมูลไปพัฒนา "รูปแบบ 4D-CEM Model" ที่บูรณาการ 4 มิติหลัก ได้แก่ การพัฒนาทุนมนุษย์ การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางสังคมและวัฒนธรรม การจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษา และการพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยขับเคลื่อนผ่าน "กระบวนการ PARER" 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย การมีส่วนร่วม การปฏิบัติการ การสะท้อนคิด การขยายผล และการเสริมแรง ซึ่งรูปแบบที่พัฒนาได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญในระดับเหมาะสมมาก (IOC = 0.86) ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ประเมินรูปแบบในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi\bar{}" alt="equation" />= 4.45) ทั้งด้านความเหมาะสม ความสอดคล้อง ความเป็นไปได้ และความยั่งยืน ผลการทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มตัวอย่างแสดงการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยระดับการพัฒนา SDG4 ของชุมชนเพิ่มขึ้นจาก 3.32 เป็น 4.27 และทักษะสมรรถนะผู้เรียนจำนวน 462 คน เพิ่มขึ้นจาก 3.36 เป็น 4.30 ความสำเร็จปรากฏชัดเจนผ่านโครงงาน "กาพย์ยานี 11 เล่าเรื่องเมืองนนท์" ที่ผสานการเรียนรู้วรรณกรรมไทย เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นจนได้รับรางวัลระดับชาติ</p> เจนศึก โพธิศาสตร์, ประธาน ประจวบโชค, สุรยศ ทรัพย์ประกอบ, พัดชา ดอกไม้ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282257 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารอาชีวศึกษาคุณภาพของสถานศึกษาอาชีวศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282240 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารอาชีวศึกษาคุณภาพของสถานศึกษาอาชีวศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยดำเนินการวิจัยผสานวิธี 3 ระยะ ได้แก่ 1) การศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ผ่านการสังเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน 2) การพัฒนารูปแบบด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันจากข้อมูลของผู้บริหารและครู 300 คน ซึ่งเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่น และ 3) การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบผ่านการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 8 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบ PRIMES Model ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก 21 องค์ประกอบย่อย และ 56 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ สถานศึกษาศักยภาพสูง (P-Potential School) ผู้บริหารสถานศึกษาที่ยืดหยุ่น (R-Resilient Administrator) ครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ (I-Inspiring Teacher) ผู้เรียนแห่งสมรรถนะ (M-Mastery Learner) พันธมิตรสถานประกอบการเพื่อการศึกษา (E-Enterprise Partner) และการศึกษาบนฐานชายแดนใต้ (S-Southern Border-based Education) ผลการประเมินระบุว่ารูปแบบมีคะแนนความเหมาะสมเฉลี่ย 4.65 และความเป็นไปได้เฉลี่ย 4.72 ในระดับมากที่สุด รูปแบบ PRIMES Model นี้เป็นกรอบการบริหารอาชีวศึกษาที่คำนึงถึงบริบทพื้นที่ชายแดนใต้และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างบูรณาการ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษา สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมท้องถิ่น และตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน</p> สุนทรี วรรณไพเราะ, ศิลป์ชัย สุวรรณมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282240 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันต่อผลลัพธ์การเรียนรู้สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282567 <p>การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานชนิดอธิบายตามลำดับ โดยเน้นเชิงปริมาณและเสริมเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพแวดล้อมการเรียนการสอนและช่องทางการเรียนแบบดิจิทัลพลิกผัน และผลลัพธ์การเรียนรู้ 2) อิทธิพลของสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ และ 3) บทบาทของช่องทางการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันที่มีต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ นักศึกษาครูระดับปริญญาตรีในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 400 คนจากการสุ่มหลายขั้นตอนเพื่อรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และ PLS-SEM ส่วนเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลัก 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า ผลการวิจัยเชิงคุณภาพมีความสอดคล้องกับผลเชิงปริมาณ ดังนี้</p> <p>สภาพแวดล้อมการเรียนการสอนและช่องทางการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผัน ตลอดจนผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครูอยู่ในระดับมาก โดยผลการวิจัยชี้ว่า สภาพแวดล้อมด้านความรู้และทักษะ ด้านกระบวนการเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และด้านกระบวนการเรียนรู้ผ่านการจัดสรรทรัพยากรของมหาวิทยาลัย ส่งผลโดยตรงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อช่องทางการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันทั้งแบบผสมผสานและแบบดิจิทัล และมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันกับผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยตัวแปรสาเหตุจากแบบจำลองการวิจัยทำให้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครูเกิดความแปรปรวนได้ร้อยละ 52.8 และอีกร้อยละ 47.2 เป็นผลจากสาเหตุอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้สถาบันอุดมศึกษาจึงควรลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มและสภาพแวดล้อมดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมช่องทางการเรียนการสอนแบบดิจิทัลพลิกผันให้แก่นักศึกษาวิชาชีพครู ซึ่งจะยกระดับทักษะและผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านวิชาชีพให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน</p> สุพจน์ อิงอาจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282567 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการยอมรับและพันธะสัญญาต่อความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282475 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการยอมรับและพันธะสัญญาต่อการเสริมสร้างความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 60 คน ใช้วิธีการจับคู่จากคะแนนความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์ สุ่มอย่างง่ายโดยการจับฉลากเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมฯ จำนวน 12 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 6 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการเรียนการสอนปกติ เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการยอมรับและพันธะสัญญาต่อการเสริมสร้างความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2) แบบทดสอบความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์3) แบบทดสอบเอ็นแบ็ค เก็บรวบรวมข้อมูล 3 ระยะ คือ ก่อนทดลอง หลังทดลอง และระยะติดตามผล 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำและวิเคราะห์ความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีบอนเฟอรานี ผลการวิจัย พบว่า คะแนนความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์ของกลุ่มทดลองหลังทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) และคะแนนความจำใช้งานของกลุ่มทดลองหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) สรุปได้ว่า โปรแกรมการยอมรับและพันธะสัญญาเพื่อเสริมสร้างความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีประสิทธิผลในการเพิ่มความจำใช้งานทางคณิตศาสตร์ และความจำใช้งานในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น</p> อธิพงษ์ วรสิงห์, จุฑามาศ แหนจอน, วรากร ทรัพย์วิระปกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282475 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกีฬาเปตองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282635 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมการแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกีฬาเปตองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์ในกีฬาเปตอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์ จำนวน 32 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์รายวิชาเปตอง 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความรู้ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะ 4) แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า <em>t</em>-test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกีฬา เปตองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้านความรู้ และด้านทักษะหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์สูงกว่าก่อนเรียน และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนโดยรวมอยู่ในระดับดี 2) ผลการเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมการแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกีฬาเปตองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้านความรู้ และด้านทักษะก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่มเกมแข่งขันร่วมกับผังมโนทัศน์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การบูรณาการการเรียนรู้แบบร่วมมือเข้ากับเครื่องมือทางปัญญาเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกีฬาเปตองอย่างรอบด้าน ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์</p> ทิพย์สุดา เซี่ยวภู่, ก้องเกียรติ เชยชม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282635 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 The Development of Communicative English Model in the Workplace for Business English Students https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282598 <p>This study concerns the implementation of a Communicative English Model for Business English students in the Workplace (CEBE model). The research objectives were to 1) investigate the challenges of communicative English usage encountered by Business English students in the workplace, 2) develop the CEBE model, 3) investigate the efficiency of the CEBE model using the established E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> (80/80) criteria, and 4) examine the learning achievement of students following the model's application in a classroom setting. Thirty Thai fourth-year Business English students enrolled at a public university in Bangkok participated in this ten-week study. The research instruments utilized included a questionnaire and pre- and post-tests. The data were analyzed using content analysis, paired-samples t-test, frequency, percentage, mean, and standard deviation. The results revealed that 1) English speaking in the workplace and daily life was perceived as a highly significant concern ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi\bar{}" alt="equation" /> = 4.64). 2) The CEBE model was comprised of five aspects: 2.1) Communicative Language Teaching, 2.2) Role-play, 2.3) Speaking skills, 2.4) Positive learning environment, and 2.5) Teachers' constructive feedback. 3) The model's efficiency yielded an E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> = 89.50/92.00, with an Efficiency Index of .7160. Finally, 4) there was a statistically significant difference between pre- and post-test scores (p=.001), indicating a substantial improvement in students' speaking skills. The CEBE model is concluded to be an effective instructional approach for enhancing communicative English competence within a workplace context.</p> Sarawut Boonruk ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282598 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการตั้งคำถามของนักเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปรากฎการณ์เป็นฐาน เรื่อง โลก ท้องฟ้า และดวงดาว ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282555 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการตั้งคำถามของนักเรียน และ 2) ศึกษาทักษะการตั้งคำถามของนักเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปรากฏการณ์เป็นฐาน เรื่อง โลก ท้องฟ้า และดวงดาว วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียน 40 คน เครื่องมือในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบปรากฏการณ์เป็นฐาน จำนวน 12 แผน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แบบวัดทักษะการตั้งคำถามของนักเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากง่าย 0.38 - 0.78 มีค่าอำนาจจำแนก 0.24 - 0.62 และค่าความเชื่อมัน 0.81 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการตั้งคำถามของนักเรียนเป็นการกำหนดและถามคำถาม มีการวัดและประเมินผลในระหว่างเรียน 3 ด้าน ได้แก่ (1) จำนวนหรือปริมาณคำถาม (QS1) (2) คำถามสอดคล้องในเนื้อหาการเรียนรู้ (QS2) และ (3) ระดับคำถามตามระดับความคิดของบลูม (QS3) ผลการทดลองหลังการเรียน พบว่า นักเรียนมีทักษะการตั้งคำถามคิดเป็นร้อยละ 89.13 และมีคะแนนสูงขึ้น 2) ทักษะตั้งคำถามของนักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ช่วงวิทย์ ปัทมะ, ปิยาภรณ์ พิชญาภิรัตน์, วรรณภา โคตรพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282555 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐาน เพื่อพัฒนาสมรรถนะในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมของครูในจังหวัดระยอง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282699 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมรรถนะในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมของครูในจังหวัดระยอง และศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่ได้พัฒนาขึ้น โดยมีระยะการดำเนินการวิจัย 5 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 เตรียมการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ระยะที่ 3 ประชุม อบรมเชิงปฏิบัติการ ระยะที่ 4 พัฒนานวัตกรรม ระยะที่ 5 ขยายผลสู่ชุมชนหรือสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมายเป็นครูและผู้บริหารโรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยองใน 12 โรงเรียน จำนวน 103 คน ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมรรถนะในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมของครูในจังหวัดระยองมีคุณภาพดี ประกอบด้วย หลักการของรูปแบบวัตถุประสงค์ของรูปแบบ กระบวนการเรียนรู้ มี 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย (1) รับรู้และเข้าใจ (2) วิเคราะห์ (3) เสนอแนวทางในการแก้ไข (4) คัดเลือกวิธีการ (5) วางแผนดำเนินงาน (6) สร้างสรรค์นวัตกรรมและนำไปใช้และการวัดและประเมินผล ประกอบด้วย (1) การวัดความรู้ความเข้าใจ (2) การประเมินคุณภาพของนวัตกรรม 3 ด้าน คือ ด้านความเป็นนวัตกรรม ด้านกระบวนการพัฒนานวัตกรรม และด้านคุณค่าและประโยชน์ของนวัตกรรม (3) การประเมินคุณลักษณะ</li> <li>ผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่ได้พัฒนาขึ้น พบว่า ด้านความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมรรถนะในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมอยู่ในระดับดีด้านทักษะความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานอยู่ในระดับดีและด้านคุณลักษณะที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐานเพื่อพัฒนาสมรรถนะในการคิดแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมอยู่ในระดับดีเยี่ยม</li> </ol> ปานเพชร ร่มไทร, วทัญญู นาวิเศษ, คมสัน ตรีไพบูลย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 e-Journal of Education Studies, Burapha University https://creativecommons.org/licenses/by/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/ejes/article/view/282699 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700