https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/issue/feed วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา 2024-04-16T10:48:48+07:00 Assoc.Prof.Dr.Sukanya Chaemchoy [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร </strong>เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพของนิสิต นักศึกษาและคณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานทางการศึกษาอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นด้านการบริหารการศึกษา ที่ครอบคลุมการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยทุกระดับ และทุกประเภทการศึกษา เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐาน การอาชีวศึกษา และการอุดมศึกษา ทุกบทความจะได้รับการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องในลักษณะพิชญพิจารณ์โดยที่ผู้เขียนไม่ทราบผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบผู้เขียน (double-blind peer review) ทั้งภายในและภายนอกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างน้อยบทความละ 2 ท่าน&nbsp;</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/273579 Editorial 2024-04-16T10:48:48+07:00 Pruet Siribanpitak [email protected] 2024-04-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/266781 Needs Assessment of Developing Academic Management of the Secondary School Cluster Under the Secondary Educational Service Area Office Bangkok 1 Based on the Concept of Social Justice Leader 2023-04-25T07:48:29+07:00 Thanawan Ramsin [email protected] Ponglikit Petpon [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มโรงเรียนที่ 2 ตามแนวคิดผู้นำสังคมคุณธรรม การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงบรรยาย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย โรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มโรงเรียนที่ 2 จำนวน 14 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และครูผู้สอน จำนวน 224 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มโรงเรียนที่ 2 ตามแนวคิดผู้นำสังคมคุณธรรม ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.992 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารวิชาการโรงเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร เขต 1 กลุ่มโรงเรียนที่ 2 ตามแนวคิดผู้นำสังคมคุณธรรม ในภาพรวมคือ 0.399 (PNI<sub>modified</sub> = 0.399) เมื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.401) ด้านการพัฒนาหลักสูตร (PNI<sub>modified</sub> = 0.399) มีความต้องการจำเป็นสูงสุดเป็นลำดับที่สอง และด้านการประเมินผลมีค่าความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.397) เมื่อพิจารณาตามผู้นำสังคมคุณธรรม รายข้อย่อยที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดเหมือนกันทั้ง 3 ด้านในการบริหารวิชาการคือ การมีความกล้าหาญทางจริยธรรม</p> <p> </p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/267243 The Priority Needs and Development Methodologies in Blended Teaching Competencies of Private Primary School Teachers in Bangkok 2023-05-26T07:47:59+07:00 Wachira Nilprapunt [email protected] <p class="paragraph" style="margin: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in; vertical-align: baseline;"><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">ปัจจุบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รูปแบบการสอนเปลี่ยนไป ครูจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติ และจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับบริบทการเปลี่ยนแปลง งานวิจัยนี้จึงศึกษาความต้องการจำเป็นและวิธีพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบผสมผสานของครูโรงเรียนประถมศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้ากลุ่มสาระ และครูผู้สอนระดับประถมศึกษา รวมทั้งสิ้น 211 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยโดยภาพรวมพบว่า สมรรถนะการสอนแบบผสมผสานของครูโรงเรียนประถมศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร มีสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก โดยมีความต้องการจำเป็นในด้านทักษะทางเทคนิคสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านคุณลักษณะ ด้านทักษะการปรับตัว และด้านกรอบความคิด ตามลำดับ ซึ่ง<span class="normaltextrun">วิธีการพัฒนาครูที่มีความถี่สูงที่สุด คือ การพัฒนาในระหว่างปฏิบัติงานที่ใช้การพัฒนาด้วยการสอนงาน รองลงมาคือ การพัฒนานอกเวลาปฏิบัติงานที่ใช้การพัฒนาตนเอง ตามลำดับ </span>ผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายส่งเสริมความรู้และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนในยุคศตวรรษที่ 21</span></p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/265033 Effectiveness of the Design of the Web-based Learning Environment Supporting Grade 1 Students’ Problem Solving Skills 2023-02-09T10:35:52+07:00 Sirisukr Sirichokchaitrakool [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่ายที่ส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา 2) ศึกษาการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) จำนวน 36 คน ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ระบบการจัดการเรียนการสอนด้วยสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่ายที่ส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา แบบทดสอบการคิดแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อศึกษาว่านักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างไรและใช้ปรับแก้ไขกิจกรรมต่อไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยของคะแนนแบบทดสอบ ผลการวิจัยพบว่า <br />1) ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาพบว่ามีนักเรียนผ่านเกณฑ์ จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 11.50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 71.87 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนพบว่ามีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 29 คน <br />คิดเป็นร้อยละ 80.55 คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 72.91 และ 3) ประสิทธิผลการออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้บนเครือข่าย พบว่ามีการออกแบบที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถค้นหาสารสนเทศได้ง่ายและออกแบบเครื่องนำทางที่โครงสร้างคล้ายคลึงกันและมีความคงที่ ภาพกราฟิกและขนาดตัวอักษรเหมาะสม มีจุดดึงดูดความสนใจและอ่านง่าย การใช้เนื้อหาและภาพประกอบมีความสอดคล้องกัน สามารถกระตุ้นและสนับสนุนให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ปัญหาที่กำหนดได้ โดยจัดเรียงสารสนเทศเป็นหมวดหมู่ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและง่ายต่อความเข้าใจ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแก้ปัญหาร่วมกันได้เป็นอย่างดี</p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/263983 Digital Leadership Development for School Administration in The Era of Disruptive Change of School Administrators under The Upper Northern Primary Educational Service Area Office of Thailand 2023-01-16T07:42:58+07:00 Watchara Jatuporn [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ศึกษาความต้องการจำเป็น และเพื่อพัฒนาองค์ประกอบและแนวทางของการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลเพื่อการบริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงที่พลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบประเมินร่างการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเทคนิค PNI<sub>modified</sub> วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการจำแนกประเภทข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัล โดยรวมมีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล <br />2) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลเพื่อการบริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงที่พลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ การเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการใช้งานดิจิทัลอย่างคล่องแคล่วและเป็นมืออาชีพ ส่วนด้านที่มีความต้องการจำเป็นต่ำที่สุด คือ การเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล และเป็นผู้มีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) องค์ประกอบและแนวทางของการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลเพื่อการบริหารสถานศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงที่พลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษาประกอบด้วย องค์ประกอบ 8 ด้าน และแนวทางการพัฒนา 56 แนวทาง </p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/266520 A Causal Model of Critical, Creative, Productive, and Responsible Leadership, Proactive Role of School Administrators and Developmental Supervision, with Effective Teacher Performance as Mediator, Affecting Identity of Students in Bangkok Metropolis 2023-05-01T07:03:45+07:00 Piyanut Jringchit [email protected] Wisut Wichitputchrapron [email protected] Achara Niyamabha [email protected] Suphot Koedsuwan [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากรอบแนวคิดภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ บทบาทเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา การนิเทศแบบพัฒนา การปฏิบัติงานของครูอย่างมีประสิทธิภาพ และอัตลักษณ์ผู้เรียนแห่งมหานคร 2) เพื่อพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ บทบาทเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา การนิเทศแบบพัฒนา ผ่านการปฏิบัติงานของครูอย่างมีประสิทธิภาพที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ผู้เรียนแห่งมหานคร และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลเชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูหัวหน้าวิชาการ จำนวน 480 คน และใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ บทบาทเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา การนิเทศแบบพัฒนา และการปฏิบัติงานของครูอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่ออัตลักษณ์ผู้เรียนแห่งมหานคร 2) โมเดลเชิงของสาเหตุภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ บทบาทเชิงรุกของผู้บริหารสถานศึกษา การนิเทศแบบพัฒนา และการปฏิบัติงานของครูอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่ออัตลักษณ์ผู้เรียนแห่งมหานคร พบว่ามีความเหมาะสม 3) ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลเชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ <br />(X<sup>2</sup> = 109.63 df = 88, P-value = 0.059 ,GFI = 0.98, AGFI = 0.95, RMR = 0.03 และ RMSEA = 0.02)</p> <p> </p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/267326 A Professional Development Model for Educational Innovators of School Principals under the Office of the Basic Education Commission in Thailand 2023-06-07T08:01:25+07:00 Koolchalee Chongcharoen [email protected] <p>This paper aimed to study the components of educational innovators of school principals and to develop a professional development model for educational innovators of school principals under the Office of the Basic Education Commission in Thailand. The research method used to study the components and develop an educational innovation development model of school principals from a group of 8 experts and a group of 1,130 school principals and teachers in schools in the innovation area. The constructed model was evaluated by 6 experts and 8 school principals. Tools used to collect both quantitative and qualitative data were an interview form, a questionnaire with the reliability coefficients of .984 and .990, and a focus group discussion form. Data were analyzed using mean, standard deviation, factor analysis for quantitative data, and content analysis for qualitative data. The results showed that the components of educational innovators of school principals consisted of personal characteristics, potential development, and innovation management. The development model consisted of principles and objectives, components to be developed, development process, performance appraisal, and success factors in implementing the model. The results of the assessment of the model for educational innovators were at a high level. This research presents the development of educational innovators of school principals with a systematic model derived from comprehensive research and a national perspective.</p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/269691 Training Course Construction on Professional Learning Community (PLC) for Vocational Teachers in the Eastern Region 2023-09-27T07:38:59+07:00 kriengsak boonya [email protected] <p>The research on training course construction on professional learning community (PLC) for vocational teachers in the eastern region was carried out with two main objectives; 1) to develop a training course curriculum on the PLC for vocational teachers in the eastern region and, 2) to validate the effectiveness of the developed training program on the PLC for vocational teachers in the eastern region. The participants in this study were 20 vocational teachers in the eastern region. The researcher analyzed the data with the following statistics; 1) the mean and standard deviation were used to compute the descriptive data, the IOC score, the difficulty level, the discrimination level. The E1 and E2 score were used for determining the quality of the research tools, and 2) the <em>t-test</em> was used to determine the differences in the means between the pretest and post test scores.</p> <p>The results of the study were as follows;</p> <ol> <li>The developed training course curriculum on the PLC for vocational teachers in the eastern region consisted of four elements: 1) objectives, 2) content, 3) learning experiences, and 4) evaluation.</li> <li>The results of the effectiveness validation of the developed training program according to E1/E2 were that E1 = 83.62, and E2 = 86.10.</li> <li>The results of the training implementation with 20 vocational teachers in the eastern region showed that the post-training scores exceeded the pre-training scores.</li> <li>In regard to the follow-up after training, it was found that the aim of knowledge and the recommendations after the training on the Professional Learning Community were at high levels in all aspects.</li> </ol> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/emi/article/view/263972 Learning Management for Enhancing 21st Century Skills 2023-01-04T20:20:35+07:00 Kanokphan Sangngam [email protected] <p class="paragraph" style="margin: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in; vertical-align: baseline;"><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">ทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในฐานะการเป็นพลเมืองของโลก มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ผู้เรียนที่มีการเติบโตทางความคิดจะมีคุณลักษณะกระตือรือร้นและแสวงหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ผู้สอนต้องมีความคิดความเชื่อที่มีต่อผู้เรียนในทิศทางที่ถูกต้อง 4 ประการ ได้แก่ 1) เชื่อว่าผู้เรียนทุกคนมีคุณค่าและควรได้รับการยกย่อง 2) ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกัน 3) ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ประสบความสำเร็จได้ และ 4) ผู้เรียนทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ ทุกศตวรรษจะมีการเปลี่ยนแปลง มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ การรับมือที่ดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงคือการปรับตัวให้ทันและไม่เกิดผลกระทบกับตนเองหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ในศตวรรษที่ 21 นี้ จะนำทุกคนไปสู่งสังคมแบบใหม่คือ “สังคมความรู้” ทุกคนจะได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ จากการพูดคุยกับบุคคลในแอปพลิเคชันสนทนา และจากแหล่งต่าง ๆ ในบทความนี้จะนำเสนอทักษะจำเป็นของการทำงานในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะการอ่านออกเขียนได้ และทักษะชีวิต นอกจากจะใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเพื่อไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเกิดผลกระทบกับตัวเราหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุด</span></p> 2024-04-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารและนวัตกรรมการศึกษา