https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/issue/feed
วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
2025-10-03T15:30:11+07:00
ศาสตราจารย์ ดร.มานพ ชูนิล
faa.journal@arts.kmutnb.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์นำเสนอบทความวิชาการและบทความวิจัยโดยขอบเขตเนื้อหาของบทความจะครอบคลุม Language Instruction, Language Assessment and Evaluation, Applied Linguistics (English), Educational Psychology, Industrial and Organizational Psychology, Health Education and Physical Education, Management, Economics</p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/273389
ผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำสำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
2024-05-16T08:33:14+07:00
HUANPING YUAN
638866004@crru.ac.th
สมหวัง อินทร์ไชย
638866004@crru.ac.th
อาภิสรา พลนรัตน์
638866004@crru.ac.th
<p>การศึกษาผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำสำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำสำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำ สำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผลการวิจัย พบว่า 1.) ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำ สำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีค่าเท่ากับ 88.03/88.22<strong> </strong>2.) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำของนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 88.22 มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเท่ากับ 79.33 มีคะแนนความก้าวหน้าเท่ากับ 8.89<strong> </strong>3.) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านออกเสียงอักษรนำ สำหรับนักศึกษาชาวจีนที่เรียนภาษาไทยเป็นภาษาที่สองในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/276482
สร้างประสบการณ์ตรงการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ส่งต่อความสำเร็จ จากแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศสู่อาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน
2024-11-05T09:42:40+07:00
ปริญญา เรืองทิพย์
parinyar@go.buu.ac.th
นคร ละลอกน้ำ
parinyar@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบ ขั้นตอนการสร้างประสบการณ์ตรง</p> <p>การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ให้สามารถสร้างธุรกิจที่สนใจหรือพัฒนาธุรกิจเดิมให้มียอดขายและรายได้เพิ่มขึ้น 2) พัฒนารูปแบบ และ3) ทดลองใช้รูปแบบ กระบวนการดำเนินงานการสร้างประสบการณ์ตรงการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ส่งต่อความสำเร็จจาก The Best Practice สู่อาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งมาวิธีดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะตามวัตถุประสงค์การวิจัยผลการวิจัยสรุปว่าผลการพัฒนารูปแบบ กระบวนการดำเนินงานการสร้างประสบการณ์ตรงการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่มี 4 องค์ประกอบ และมีขั้นตอนการสร้างประสบการณ์ตรงฯ 5 ขั้นตอน ผลการพัฒนารูปแบบ กระบวนการดำเนินงานการสร้างประสบการณ์ตรงการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ ภาพรวมอยู่ในระดับ “เหมาะสมมากที่สุด” และความพึงพอใจต่อโครงการสร้างประสบการณ์ตรงการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ ภาพรวมอยู่ในระดับ “ความพึงพอใจมากที่สุด”มีค่าเฉลี่ยรวม 4.57 กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถสร้างอาชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการฯ รวมกลุ่มสร้างธุรกิจร่วมกัน กลุ่มๆละ 3-6 คน จำนวน 11 ธุรกิจ แสดงให้เห็นว่ารูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้พัฒนาผู้ประกอบการได้จริง</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/274474
อิทธิพลของทุนทางจิตวิทยาและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานของพนักงานบริษัทวิจัยและพัฒนารถยนต์แห่งหนึ่ง
2024-06-07T14:18:03+07:00
รดาพร โพล้งละ
radaporn.ph@ku.th
สายทิพย์ เหล่าทองมีสกุล
radaporn.ph@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของทุนทางจิตวิทยา การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ และพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานของพนักงาน และ 2) ศึกษาอิทธิพลของทุนทางจิตวิทยาและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานของพนักงาน โดยศึกษากับพนักงานระดับปฏิบัติการ ของบริษัทวิจัยและพัฒนารถยนต์แห่งหนึ่ง จำนวน 127 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณด้วยวิธีการแบบนำตัวแปรเข้าทั้งหมด (Enter) ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานมีทุนทางจิตวิทยาโดยรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุนทางจิตวิทยาด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง ด้านการมีความหวัง ด้านการฟื้นคืนกลับ และด้านการมองโลกในแง่ดีอยู่ในระดับสูง มีการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การอยู่ในระดับปานกลาง มีพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า พนักงานมีพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานด้านการแสวงหาโอกาส ด้านการริเริ่มความคิด และด้านการนำความคิดไปประยุกต์ใช้อยู่ในระดับสูง ส่วนด้านการเป็นผู้นำความคิด อยู่ในระดับปานกลาง และ 2) ทุนทางจิตวิทยาและการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานโดยรวมของพนักงานที่ร้อยละ 50.3 ( = .503) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุนทางจิตวิทยาด้านการมีความหวัง ทุนทางจิตวิทยาด้านการฟื้นคืนกลับ และการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสร้างสรรค์นวัตกรรมในการทำงานโดยรวมของพนักงานที่ร้อยละ 52.8 ( = .528) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/276481
อิทธิพลของการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การและคุณลักษณะงานที่มีต่อความยึดมั่นผูกพันของข้าราชการเจเนอเรชั่นวายกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2024-09-25T14:09:11+07:00
วัชราภรณ์ เรืองชัย
aonda2008@gmail.com
ถวัลย์ เนียมทรัพย์
fsoctwn@ku.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ คุณลักษณะงานและความ<br>ยึดมั่นผูกพันของข้าราชการเจเนอเรชั่นวายกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2) อิทธิพลของการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การและคุณลักษณะงานที่มีต่อความยึดมั่นผูกพันของข้าราชการเจเนอเรชั่นวายกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการเจเนอเรชั่นวาย จำนวน 201 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ค่า Tolerance ค่า VIF และการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่าง มีการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ คุณลักษณะงาน และความยึดมั่นผูกพันโดยรวมอยู่ในระดับสูง ซึ่งการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ ด้านการแบ่งปันผลตอบแทนขององค์การ ด้านกระบวนการขององค์การ และด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและองค์การอยู่ในระดับสูง และคุณลักษณะงาน ด้านความหลากหลายของทักษะ ด้านความสำคัญของงานอยู่ในระดับสูงมาก ด้านความมีเอกลักษณ์ของงาน ด้านความมีอิสระในการทำงานและด้านการได้รับข้อมูลย้อนกลับอยู่ในระดับสูง 2) การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและองค์การ คุณลักษณะงานด้านความสำคัญของงาน ด้านการได้รับข้อมูลย้อนกลับและด้านความหลากหลายของทักษะสามารถร่วมกันพยากรณ์ความยึดมั่นผูกพันของกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 52 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/275182
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงาน ความสุขในการทำงาน กับความผูกพัน ในองค์การของพนักงานชาวไทยบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
2024-07-17T08:38:17+07:00
ศิริรัตน์ พรมจันทร์
siriratpromjan@gmail.com
ณัชชามน เปรมปลื้ม
6512672007@rumail.ru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความผูกพันในองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน และความสุขในการทำงานของพนักงานชาวไทยบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (2) ศึกษาเปรียบเทียบความผูกพันในองค์การจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานชาวไทยบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ อายุ ระยะเวลาในการทำงานกับบริษัทปัจจุบัน (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันในองค์การ กับคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความสุขในการทำงานของพนักงานชาวไทยบริษัทข้ามชาติสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 105 คน คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า (1) พนักงานชาวไทยบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่มีเพศ อายุ และระยะเวลาการทำงานกับบริษัทปัจจุบันแตกต่างกัน มีความผูกพันในองค์การแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) คุณภาพชีวิตในการทำงานความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันในองค์การในระดับปานกลาง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .556 ความสุขในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันในองค์การในระดับค่อนข้างสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .718 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/275173
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงานกับภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ
2024-07-17T08:31:37+07:00
ศิลาพร ชาติดร
silapornchatdorn21@gmail.com
ณัชชามน เปรมปลื้ม
6512672005@rumail.ru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะหมดไฟในการทำงาน การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงานกับภาวะหมดไฟในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมบางปูจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 187 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, One Way ANOVA ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะหมดไฟในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับสูง ระดับการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ และระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ 2) การรับรู้การสนับสนุนขององค์การ คุณภาพชีวิตในการทำงาน มีความสัมพันธ์ทางลบกับภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงาน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ -.770 และ -.771</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/272591
การตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน
2024-04-17T14:31:03+07:00
สุชาดา สมตัว
plaiysuchada@gmail.com
สมวลัย คงคาสวัสดิ์
plaiysuchada@gmail.com
ศุภลักษณ์ ดลศิริสมบัติ
plaiysuchada@gmail.com
ศรัญญ่า บุญยืน
plaiysuchada@gmail.com
รัตนาภรณ์ สังเมียน
plaiysuchada@gmail.com
นรารัก บุญญานาม
plaiysuchada@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน โดยใช้แบบจำลองโลจิตในการวิเคราะห์ข้อมูลปฐมภูมิจากแบบสอบถามผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวน 402 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา จำนวนวันการใช้งานต่อเดือน ส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์เรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย และอัตราค่าไฟ โดยกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง ที่มีอายุ 26 ปีขึ้นไป มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้งานรถจักรยานยนต์น้อยกว่า 8 วันต่อเดือน มีความน่าจะเป็นที่จะตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่ากรณีอื่น นอกจากนั้น ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ในแง่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง และปัจจัยอัตราค่าไฟต่ำ ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/275875
การประเมินความต้องการที่จำเป็นต่อการพัฒนาบอร์ดเกมตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
2024-08-23T08:09:52+07:00
วรางคณา โสมะนันทน์
varangkana.s@ku.th
สุมาลี ขำอิน
sumalee.kh@ku.th
อุษณี ลลิตผสาน
varangkana.s@ku.th
ณีน์นรา ดีสม
varangkana.s@ku.th
รัชกร เวชวรนันท์
varangkana.s@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความต้องการที่จำเป็นต่อการพัฒนาบอร์ดเกมตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายผู้วิจัยแบ่งวิธีการเก็บข้อมูลออกเป็น 2 ลักษณะคือ เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวน 168 คน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 5 คน และผู้เชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมทางการศึกษาและด้านจิตวิทยา รวมจำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ คือ แบบประเมินความต้องการแบบตอบสนองคู่ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการระบุความต้องการ โดยใช้ PNI<sub>modified</sub> และการวิเคราะห์เมทริกซ์ เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ประเด็นการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ระดับสุขภาพจิตที่เป็นอยู่จริงของผู้เข้าร่วมการวิจัยอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน แต่ระดับสุขภาพจิตที่ผู้เข้าร่วมต้องการมีอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ลักษณะของบอร์ดเกมที่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายพึงพอใจคือ เกมที่ให้ผู้เล่นเจรจาพูดคุยระหว่างกัน (ร้อยละ 73.21) และเกมที่ต้องทำงานเป็นทีม (ร้อยละ 55.36) การพัฒนาบอร์ดเกมควรคำนึงถึงเนื้อหาในการเรียนรู้ การออกแบบกลไกในเกม มีการแข่งขัน เพื่อให้ผู้เล่นมีปฏิสัมพันธ์กัน</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/277189
อิทธิพลของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค วัฒนธรรมองค์การ และคุณลักษณะงานที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน สังกัดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร
2024-11-05T09:46:35+07:00
อรพรรณ วงษ์ยะรา
orapun.wo@ku.th
ศยามล เอกะกุลานันต์
fsocsma@ku.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค วัฒนธรรมองค์การ และคุณลักษณะงานที่มีผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน สังกัดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน ที่ปฏิบัติงานสังกัดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ได้แก่ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค วัฒนธรรมองค์แบบเครือญาติ วัฒนธรรมแบบมุ่งความสำเร็จ วัฒนธรรมแบบราชการ คุณลักษณะของงานด้านความโดดเด่นของงาน และคุณลักษณะของงานด้านความสำคัญของงานสามารถร่วมกันพยากรณ์พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุน สังกัดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานครได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถพยากรณ์พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การได้ร้อยละ 86.9 (R<sup>2</sup> = .869) และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุเท่ากับ .932 (R)</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/275625
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์ QAR สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-08-22T08:34:53+07:00
อาณัติ โชคประดับชัย
anut_1992@yahoo.co.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลกำแพงแสน ก่อนและหลังเรียนโดยใช้เครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์ QAR กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้กลยุทธ์ QAR 2) แบบทดสอบวัดระดับผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์ QAR สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย <strong>(x</strong><strong>̄</strong><strong>)</strong> ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์ QAR หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ระดับความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์ QAR โดยรวมอยู่ในระดับ มาก </p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/faakmutnb/article/view/279402
ปัญหาทั่วไปด้านการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยไทย
2025-05-22T10:43:24+07:00
วัชรี ไพสาทย์
watcharee.p@arts.kmutnb.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยของไทย เพื่อศึกษาถึงการออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยมีคำถามในการศึกษาครั้งนี้ 3 ข้อคือ 1) นักศึกษาส่วนใหญ่ออกเสียงภาษาอังกฤษถูกต้องหรือไม่ 2) ในด้านที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียง ข้อใดคือปัญหาที่พบได้โดยทั่วไปของนักศึกษา และ 3) เพราะเหตุใดนักศึกษาจึงออกเสียงผิดพลาดในคำภาษาอังกฤษ โดยประชากรที่เข้าร่วมเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยของไทย แห่งหนึ่ง จำนวน 122 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัยประกอบด้วย แบบฟอร์มรายการสังเกตุการออกเสียงภาษาอังกฤษ (observation check-list) และ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-structured interview) โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในงานวิจัยชินนี้จะถูกวิเคราะห์โดยข้อมูลที่ได้จาก แบบฟอร์มรายการสังเกตุการออกเสียงภาษาอังกฤษ จะถูกวิเคราะห์โดยการใช้ความถี่ในการใช้ และคำนวนออกมาเป็นค่าร้อยละหรือ percentage และข้อมูลจากการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างจะถูกวิเคราะห์โดยการใช้เทคนิคการจัดกลุ่มคำตอบ หรือทางงานวิจัยในเชิงคุณภาพ เรียกว่า coding ซึ่งจะมีการใช้ intra-coding หรือการสอบทานการตีความ การจัดกลุ่มคำตอบ โดยการเปรียบเทียบการตีความหรือ coding ในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ว่ามีความสอดคล้องกันมากน้อยหรือไม่อย่างไร โดยผลของงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า มีนักศึกษาจำนวนมาก (97.54%) มีการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ผิดพลาด โดยปัญหาทั่วไปด้านการออกเสียงภาษาอังกฤษนั้น แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลักๆด้วยกันคือ การออกเสียงเน้นหนัก (stress) คิดเป็น 82.35% การออกเสียงนำ (starting sounds) คิดเป็น 69.75% และการออกเสียงท้าย (ending sounds) คิดเป็น 100% ในส่วนของเหตุผลที่นำไปสู่การออกเสียงที่ผิดพลาดนั้น มี 5 ด้าน กล่าวคือ 1) นักศึกษาไม่สามารถออกเสียงคำนั้นได้ 2) นักศึกษาไม่ทราบว่าการออกเสียงที่ถูกต้องเป็นอย่างไร 3) นักศึกษารู้สึกอายในการออกเสียงคำภาษาอังกฤษนั้นๆ 4) นักศึกษารู้สึกว่าการออกเสียงซึ่งผิดพลาดนั้นๆ เป็นการออกเสียงที่ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา และ 5) นักศึกษาจำการออกเสียงที่ผิดพลาดมากจากคุณครูที่เรียนมาก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยการศึกษาเหตุผลทั้ง 5 ด้านนี้ ได้ทำการเปรียบเทียบเพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์ความน่าเชื่อถือ (Reliability Coefficiency) ได้ที่ 0.83 ซึ่งถือว่าเป็นที่ยอมรับได้ในงานวิจัยเชิงคุณภาพ</p>
2025-07-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์