https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/issue/feed วารสารการบริหารปกครอง 2024-04-22T15:09:27+07:00 Assoc.Prof.Dr.Kathanyoo Kaewhanam [email protected] Open Journal Systems <p><strong>วารสารการบริหารปกครอง</strong> เป็นวารสารวิชาการที่ครอบคลุมสาขารัฐประศาสนศาสตร์ สาขานิติศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ และสาขาสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารภาครัฐ โดยยินดีรับบทความจากนักวิชาการและนักวิจัยทั้งชาวไทยและต่างประเทศเพื่อนำเสนอในรูปแบบบทความวิชาการ และบทความวิจัย โดยเป็นสิ่งพิมพ์เผยแพร่ผลงานที่มีกำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ในเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคม ซึ่งบทความที่ลงตีพิมพ์ทุกเรื่องได้รับการตรวจทางวิชาการโดยผู้ประเมินอิสระ (Peer review) จำนวน 3 ท่าน และข้อคิดเห็นใดๆ ของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการบริหารปกครองเล่มนี้เป็นของผู้เขียนบทความ คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของผู้เขียนบทความดังกล่าวแต่ประการใด และกองบรรณาธิการวารสารการบริหารปกครอง ไม่สงวนสิทธิคัดลอกเนื้อหาหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อหาในบทความต่าง ๆ แต่ให้อ้างอิงที่มาของข้อความที่นำไปกล่าวอ้างในที่ต่าง ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการ</p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/268995 ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นหน่วยรับงบประมาณตรง จากสำนักงบประมาณ กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง 2023-08-13T18:41:24+07:00 กิรทัศน์ ในริกูล [email protected] ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพร้อมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการเป็นหน่วยรับงบประมาณโดยตรงและเพื่อเสนอแนะแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นหน่วยรับงบประมาณตรงในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือในวิจัยครั้งนี้ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เพื่อสอบถามประเด็นความพร้อมและแนวทางในการเตรียมความพร้อมในการจัดทำคำของบประมาณ โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากข้าราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางที่มีประสบการณ์ในแต่ละระดับ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำคำขอรับเงินอุดหนุนต่อสำนักงบประมาณ จำนวน 16 คน ประกอบด้วย 1) ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด 4 คน 2) ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และงบประมาณ หรือผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และงบประมาณ 4 คน และ 3) นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 8 คน และนำมาวิเคราะห์ด้วยกระบวนการค้นหาแก่นสาระ ทำการจัดลำดับความสำคัญและความหนาแน่นของข้อมูลแล้วเขียนอธิบายตามข้อค้นพบ ผลการศึกษา พบว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางยังต้องการความพร้อมสำหรับการจัดทำคำของบประมาณตรง โดยเฉพาะความเข้าใจในระเบียบ วิธีการตามกฎหมาย ทักษะในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อจัดทำคำของบประมาณ นอกจากนี้ยังพบว่าเจ้าหน้าที่มีความกดดันจากการสื่อสารภายในองค์กร และมีข้อกังวลจากการชี้แจงงบประมาณต่อสำนักงบประมาณตามขั้นตอนการของบประมาณโดยตรง อย่างไรก็ตามในด้านภาวะผู้นำ พบว่าผู้บริหารมีความกระตือรือร้น ให้ความสำคัญและยอมรับต่อกระบวนการงบประมาณแบบใหม่ เนื่องจากมีอิสระและการควบคุมจากส่วนกลางลดลง อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสให้ท้องถิ่นได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการงบประมาณซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/269981 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาจังหวัดขอนแก่น 2023-10-09T09:03:52+07:00 ปริญญา พันสอน [email protected] กฤษดา ประชุมราศี [email protected] <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาจังหวัดขอนแก่น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากประชากรซึ่งเป็นบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่นทุกรูปแบบ โดยใช้การเก็บข้อมูลแบบสอบถามเชิงคุณภาพ เพื่อได้มาซึ่งข้อมูลในเชิงสถิติ ที่มีตัวเลขยืนยันชัดเจน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลจะวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาในการทดสอบสมมติฐาน เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคโนโลยีมากที่สุดคือทฤษฎีเกี่ยวกับการยอมรับด้านเทคโนโลยี ด้านความคาดหวังจากประสิทธิภาพของเทคโนโลยีและด้านการได้รับการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีค่านัยสำคัญทางสถิติซึ่งมีค่าที่เท่ากันต่อมาคือ ด้านการรับรู้ความยากง่ายในการใช้ และด้านการรับรู้ประโยชน์ของเทคโนโลยีตามลำดับ แนวคิดส่วนประสมทางการตลาดพบว่า การส่งเสริมการตลาดมีอิทธิพลมากที่สุดต่อมาคือ การจัดจำหน่าย, ราคา ตามลำดับซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแนวคิดและทฤษฎีที่กล่าวมานั้นเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของบุคลากร ความสัมพันธ์ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ANOVA พบว่าอายุมีผลต่อการรับรู้ความยากง่ายในการใช้เทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษา ทำให้ทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลทางผู้วิจัยจึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมต่อการตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังนี้ ควรจัดอบรมหรือการเรียนเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลดังกล่าว ให้เข้าใจตามช่วงอายุและให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึงคุณประโยชน์ที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ความง่าย ความสะดวก</p> 2024-03-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/268262 การจัดการปัญหาการโฆษณาทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ฝ่าฝืนกฎหมายของคลินิกเวชกรรมที่ให้บริการเสริมความงาม จังหวัดมหาสารคาม 2023-08-10T13:05:21+07:00 อาภากร เขจรรักษ์ [email protected] นพดล มุสิก [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม วิธีการวิจัยใช้ระเบียบวิจัยเชิงเอกสาร ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาหลัก ของการโฆษณาทางสื่อสังคมออนไลน์ของจังหวัดมหาสารคาม คือผู้ประกอบการอาศัยช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะช่องทางเฟซบุ๊กใช้ชื่อสถานพยาบาลของตนกระทำการโฆษณา เพื่อประโยชน์ทางการค้าและแสวงหาผลประโยชน์เพื่อให้ได้มีผู้มารับบริการมากขึ้น ดังนั้น ควรมีการจัดการในเชิงรุกให้มีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อร่วมกันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ข้อเสนอแนะจากการวิจัยพบว่า หากได้จัดทำคู่มือปฏิบัติงานพิจารณาอนุมัติ การโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับสถานพยาบาลให้เป็นปัจจุบัน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ตลอดจนมีระบบการตรวจสอบโฆษณาออนไลน์ หรือ นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ตรวจจับข้อความโฆษณาทางสื่อสังคมออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย และประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้เข้าใจ ตระหนักรู้ถึงการโฆษณาผลิตภัณฑ์และสถานพยาบาลที่เข้าข่ายผิดกฎหมายให้รับรู้มากยิ่งขึ้น</p> 2024-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/270580 แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับท้องถิ่นเพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : กรณีศึกษาลุ่มน้ำลำตะคอง 2023-11-15T11:24:07+07:00 วรัชยา เชื้อจันทึก [email protected] สุวิมล ตั้งประเสริฐ [email protected] สุชาดา น้ำใจดี [email protected] ทิพยา ถินสูงเนิน [email protected] มัตติกา ชัยมีแรง [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เสนอแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับท้องถิ่น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: กรณีศึกษาลุ่มน้ำลำตะคอง ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่ในการวิจัยกำหนดเกณฑ์ตามความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรน้ำโดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ มีความอุดมสมบูรณ์มาก ปานกลาง และน้อย เก็บข้อมูลด้วยเทคนิคการสัมภาษณ์กลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก ตามแนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ได้แก่ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้อาวุโสในชุมชน จำนวน 30 คน และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ร่วมกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2563 วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับท้องถิ่น ประกอบด้วย การใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ การกำกับดูแลและการควบคุมทรัพยากรน้ำ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ</p> 2024-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/270071 การมีส่วนร่วมตามแนวทางบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) กรณีศึกษา ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 2023-10-17T13:52:49+07:00 สุทธิรักษ์ นามวงษ์ [email protected] อาริยา ป้องศิริ [email protected] พิมพ์ลิขิต แก้วหานาม [email protected] <p>การวิจัย เรื่อง การมีส่วนร่วมตามแนวทางบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) กรณีศึกษา ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกิจกรรมชุมชนของบ้าน วัด โรงเรียน ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นประชาชน (บ้าน) จำนวน 365 คน คิดเป็นร้อยละ 94.56 เพศหญิง จำนวน 211 คน คิดเป็นร้อยละ 54.66 มีอายุ 51-60 ปี จำนวน 121 คน คิดเป็นร้อยละ 31.35 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป จำนวน 95 คน คิดเป็นร้อยละ 24.61 มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษา จำนวน 186 คน คิดเป็นร้อยละ 48.19 อาศัยอยู่ชุมชน มากกว่า 10 ปี จำนวน 262 คน ภาพรวมระดับการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก ( = 3.55, S.D. = 1.07) โดยการมีส่วนร่วมนั้นจะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามบทบาทที่ในชุมชน กล่าวคือ วัดจะมีบทบาทหลักในการประสานภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน ให้สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางทางด้านจิตใจแก่ชุมชน และเป็นพื้นที่ในการพบปะแก่คนในชุมชน ส่วนโรงเรียนเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการสนับสนุนข้อมูล การดำเนินกิจกรรมและข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางในการทำงานร่วมกัน และชุมชนมีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมที่จะดำเนินการ โดยมีกลุ่มผู้นำชุมชน ทั้งผู้นำที่เป็นทางการและผู้นำที่ไม่เป็นทางการในการประสานให้คนในชุมชนให้เกิดการทำกิจกรรมร่วมกัน ประสานประโยชน์ทุกภาคส่วน และบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงานทุกกิจกรรม</p> 2024-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/269673 การจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2023-10-20T15:03:07+07:00 ภิญโญ สร่างไธสง [email protected] วินัย ผลเจริญ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ 2) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจากการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ 3) ศึกษาข้อเสนอแนะการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นแบบผสมผสาน (Mixed methods) คือการวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยสุ่มด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling Random) จำนวน 320 คน คือ ผู้สูงอายุในเทศบาลตำบลคูเมือง และเทศบาลตำบลหินเหล็กไฟ และผู้ให้สัมภาษณ์ จำนวน 16 คน ได้แก่ นายกเทศมนตรี และรองนายกเทศมนตรี และนักบริหารงานทั่วไป จำนวน 5 คน โดยใช้เครื่องมือ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า ระดับของการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ภาพรวมในระดับปานกลาง ระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจากการจัดสวัสดิการมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.00 และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ คือ การเพิ่มสวัสดิการด้านเบี้ยยังชีพ และการตรวจสุขภาพประจำปี</p> <p> </p> 2024-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/269549 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการพลเรือนสามัญ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรีเขตกรุงเทพมหานคร 2023-10-25T12:30:29+07:00 ธรรมศักดิ์ โชคชัยเจริญพร [email protected] สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการพลเรือนสามัญของนักศึกษาระดับปริญญาตรีเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากปัจจุบันพบว่าจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรีมีสัดส่วนในการเลือกเข้ารับราชการพลเรือนสามัญน้อยกว่าที่ควร โดยการศึกษาวิจัย มุ่งเน้นการศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการพลเรือนจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและค้นหาแนวทางการสร้างประสิทธิภาพเพื่อการเสริมหนุนต่อการเลือกเข้ารับราชการพลเรือนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี หรือที่กำลังศึกษาในภาคการศึกษาสุดท้ายของแต่ละหลักสูตรในระดับปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้วยการสำรวจเชิงปริมาณ ผ่านแบบสอบถาม จำนวนทั้งสิ้น 836 คน และเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ จำนวน 30 คน จากผู้แทนนักศึกษาสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความแตกต่างทางเพศมิได้ส่งผลต่อการเลือกสมัครเข้ารับราชการพลเรือนเมื่อสำเร็จการศึกษา 2) ค่าตอบแทนเป็นปัจจัยจูงใจที่ส่งผลต่อการเลือกสมัครเข้ารับราชการของนักศึกษาสำเร็จการศึกษาใหม่ในระดับสูงสุด 3) ปัจจัยจากความสนใจเฉพาะด้านของตัวนักศึกษาคือแรงขับภายในที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการพลเรือนสามัญ 4) ปัจจัยด้านวิถีชีวิต และวัฒนธรรมการทำงานเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้ารับราชการพลเรือนในระดับรองลงมา 5) ภาครัฐควรเสริมประสิทธิภาพนโยบายการสรรหาบุคคล โดยคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของแต่ละช่วงวัยเป็นหลัก เพื่อให้ตอบสนองได้ตรงจุด และสามารถดึงดูดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ภาครัฐ ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเชิงนโยบาย คือ ภาครัฐควรเน้นการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับค่าครองชีพ จัดให้มีสวัสดิการใหม่ ๆ หรือสวัสดิการทางเลือกที่คำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน และยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงในการทำงานอย่างต่อเนื่อง</p> 2024-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/270232 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานของเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน ศึกษากรณี พื้นที่ตำบลสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ 2023-11-01T10:43:54+07:00 สิรินดา กมลเขต [email protected] พิมพ์ลิขิต แก้วหานาม [email protected] จริยา อินทนิล [email protected] อาริยา ป้องศิริ [email protected] ปาริชา มารี เคน [email protected] โสภณ มูลหา [email protected] อธิพงษ์ ภูมีแสง [email protected] พรพิมล พิมพ์แก้ว [email protected] <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน บ้านนาเหนือ หมู่ที่ 14 ตำบลสงเปลือย อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 296 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ได้แก่ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ตอนที่ 2 ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการศึกษา มีผู้ตอบแบบสอบถาม 116 คน คิดเป็นร้อยละ 39.18 ทุน 5 มิติ ด้านทุนมนุษย์ พบว่า ทักษะที่สร้างรายได้ มีผู้ไม่ตอบมากที่สุด 87 คน คิดเป็นร้อยละ 75.00 ด้านทุนกายภาพ พบว่า ทุกคนมีบ้านของตัวเอง ใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ใช้น้ำประปาของทางเทศบาลเป็นผู้จัดหาให้ ไม่มีปัญหากับพื้นที่ทำกิน จำนวน 116 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ด้านทุนการเงิน พบว่า รายจ่ายครัวเรือนจะจ่ายเพื่อการบริโภค จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า จำนวน 116 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ด้านทุนทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการยังชีพ จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อยละ 93.10 และด้านทุนทางสังคม พบว่า ชุมชนมีกติกาหรือกฎระเบียบที่ใช้ร่วมกันในชุมชน, ชุมชนมีการจัดการปัญหาความขัดแย้งของชุมชน จำนวน 116 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ส่วนภาพรวมปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน อยู่ในระดับน้อย คิดเป็นร้อยละ 59.04 () =2.91 S.D= 0.75) และปัจจัยภายใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 62.18 () =3.09 S.D= 0.77)</p> 2024-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/273702 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาเทศบาลตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2024-04-22T15:09:27+07:00 ผกาสรณ์ ศรีสว่างวงศ์ [email protected] อาริยา ป้องศิริ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ระดับสมรรถนะบุคลากรและเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษาเทศบาลตำบลนาจารย์ อำเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามสำรวจ จำนวน 47 ชุด และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 8 คน พบว่า ภาพรวมระดับสมรรถนะหลักของบุคลากรเทศบาลตำบลนาจารย์ อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นในงานของบุคลากรเทศบาลตำบลนาจารย์ ด้านสมรรถนะ “การยึดมั่นในความถูกต้องและจริยธรรม” อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅&nbsp;&nbsp; = 4.53, S.D.= 0.58) ส่วนสมรรถนะที่ต้องมีแนวทางการพัฒนาต่อไปคือ สมรรถนะ “การมุ่งผลสัมฤทธิ์” อยู่ในระดับมาก (X ̅&nbsp;&nbsp; = 4.10, S.D.= 0.62) ตามลำดับ ในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ บุคลากรของเทศบาลตำบลนาจารย์ ต้องได้รับการฝึกอบรม ศึกษาดูงานนอกสถานที่ พัฒนาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ มีพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแล ติดตามประเมินผลงานอย่างสม่ำเสมอและใกล้ชิด รวมถึงพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม มีการกำหนดเป้าหมาย หรือกำหนดเป็นแผนแนวทางในการพัฒนาต่อไป</p> <p>&nbsp;</p> 2024-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/270796 มาตรการการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุในเขตตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ 2024-01-08T13:26:04+07:00 ไพจิตร เลพล [email protected] วุฒิพงศ์ บัวช้อย [email protected] สุภัทธนีย์ ขุนสิงห์สกุล [email protected] <p>มาตรการการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุเป็นวิธีการรัฐนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุของประชาชนที่เข้าไปถือครองที่ดินราชพัสดุโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายให้สามารถถือครองที่ดินอย่างถูกกฎหมาย ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถามในการวิจัยเชิงปริมาณ จากการสอบถามประชาชนเป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตตำบลแคมป์สน จำนวน 200 คน และการสัมภาษณ์ใน การวิจัยเชิงคุณภาพกับผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ประชาชนที่เป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตตำบลแคมป์สน จำนวน 200 คน ประชากรของงานวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 7 คน ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุในระดับน้อย ประชาชนมีปัญหาและอุปสรรคในการใช้มาตรการการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุในระดับปานกลาง ประชาชนเห็นด้วยมากกับแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการใช้มาตรการการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินราชพัสดุ และผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้ให้ข้อมูลทราบว่าเป็นมาตรการทางด้านสังคมที่ทางราชการกำหนดไว้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือราษฎรที่อยู่อาศัยและทำกินในที่ราชพัสดุ ให้ได้อยู่อาศัยและทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และควรมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน</p> 2024-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/271224 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ 2023-12-26T08:17:36+07:00 เอมอร พิมพโส [email protected] อาริยา ป้องศิริ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะ และเพื่อหาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ วิธีการศึกษาวิจัย ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 47 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ รองศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้อำนวยการกลุ่ม/หน่วย จำนวน 5 ท่าน ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะในการปฏิบัติงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในการปฏิบัติงาน ด้านความรู้ พบว่า ควรจัด ส่งอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรอย่างต่อเนื่อง ด้านทักษะ พบว่า ต้องอาศัยการลงมือฝึกปฏิบัติและฝึกใช้ความรู้ทางทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนภาคปฏิบัติ และที่สำคัญต้องมีการติดตามประเมินผล ด้านเจตคติ/ค่านิยม พบว่า ควรฝึกอบรมปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรม และส่งเสริมให้บุคลากรปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้ ข้อเสนอแนะงานวิจัย ดังนี้ ด้านความรู้ ควรมีการอบรม สัมมนา เพื่อเสริมสร้างความรู้ในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ด้านทักษะ ควรมีการอบรม สัมมนา เพื่อเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ ด้านเจตคติ/ค่านิยม ควรจัดกิจกรรม โครงการ เพื่อกระตุ้นให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน</p> 2024-04-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/271255 ความสำเร็จในการบริหารตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาการศึกษา ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2023-12-26T08:19:48+07:00 สุมาลี ลำเพย [email protected] อาริยา ป้องศิริ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กลุ่มประชากร ประกอบด้วย บุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดกาฬสินธุ์ที่จัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคำถามเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ เป็นแบบสอบถามปลายเปิด ผลการวิจัย พบว่า ความสำเร็จในการบริหารตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่ามากที่สุด 4 ด้าน คือ ด้านการประสานงาน ด้านเทคโนโลยี ด้านวัสดุ และด้านโครงสร้างองค์กร รองลงมาคือ ด้านงบประมาณ มีค่าอยู่ในระดับมาก ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์แผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า ด้านงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณเกิดความล่าช้า และการเบิกจ่ายงบประมาณมีหลายขั้นตอน ด้านวัสดุ วัสดุอุปกรณ์ล้าสมัยและเกิดการชำรุดเสียหาย ด้านโครงสร้างองค์กร มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของส่วนราชการบางแห่งส่งผลให้การดำเนินงานขาดความต่อเนื่อง ด้านเทคโนโลยี ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์บางเครื่องเก่า ระบบอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ด้านการประสานงาน ขาดการบูรณาการทำงานร่วมกัน</p> <p> </p> 2024-04-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/271286 การพัฒนาเมืองขอนแก่นตามแนวคิดการพัฒนาย่านสร้างสรรค์ กรณีศึกษา ย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 2024-01-30T14:48:43+07:00 ์นวลจันทร์ วรรณพราหมณ์ [email protected] ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมาและสภาพปัจจุบันในการพัฒนาย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์ อำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น และ 2) เพื่อถอดบทเรียนและเสนอแนวทางในการดำเนินงานของการพัฒนาย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์เป็นการวิจัยเชิงแบบผสมระหว่างการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) ร่วมกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในส่วนของการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) มีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และการพัฒนาที่ผ่านมา ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ได้ทำการสำรวจและศึกษาโครงการย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์ การสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการประชุมกลุ่มย่อย (Group Discussion) ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาย่านสร้างสรรค์ในเมืองขอนแก่น ได้มีการดำเนินการที่เรียกว่า ย่านสร้างสรรค์ศรีจันทร์ ซึ่งย่านนี้เคยเป็นถนนสายสำคัญหลักของเมืองขอนแก่น เป็นศูนย์กลางหลัก และเป็นที่ตั้งของทั้งศูนย์ราชการ มีธุรกิจการค้าต่าง ๆ เมื่อศูนย์ราชการย้ายออกไป และเมืองเจริญเติบโตมีการขยายตัวเมืองออกไป ทำให้ธุรกิจการค้าในย่านศรีจันทร์ซบเซา การพัฒนาย่านศรีจันทร์ ได้มีการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่หลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้โครงการนี้ช่วยทำให้ย่านศรีจันทร์มีการพัฒนา และกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น ปัจจัยและเงื่อนไขที่นำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินงานของการพัฒนาย่านศรีจันทร์สร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1) ความพร้อมและศักยภาพของพื้นที่ 2) การเริ่มต้นที่ค้นหาปัญหาและความต้องการเพื่อหาแนวร่วมการ 3) สร้างการมีส่วนร่วมและความร่วมมือในการทำงาน 4) การสนับสนุนจากภาคีที่เกี่ยวข้องและทรรศนะของหน่วยงานภายนอกที่มีต่อเมือง และ 5) การยอมรับของชุมชน ผู้ประกอบการ ร้านค้า และประชาชน</p> 2024-04-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/271452 การพัฒนาการขอเลื่อนวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 2024-01-03T22:22:39+07:00 รุจิรา สระทอง [email protected] จริยา อินทนิล [email protected] พิมพ์ลิขิต แก้วหานาม [email protected] <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการรับรู้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ และแนวทางการพัฒนาการขอเลื่อนวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ วิธีการศึกษาวิจัย ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ข้าราชการครู ที่ยื่นคำขอเลื่อนวิทยฐานะ จำนวน 73 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล ผู้อำนวยการสถานศึกษา ข้าราชการครู รวมจำนวน 5 คน ผลวิจัยพบว่า 1) การรับรู้การขอเลื่อนวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จการขอเลื่อนวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ อยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) แนวทางในการพัฒนาการขอเลื่อนวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 1) สำนักงาน ก.ค.ศ. ควรพัฒนาระบบให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เพิ่มกรรมการให้เพียงพอ และสร้างความเข้าใจให้กรรมการประเมินเพื่อให้ผลการประเมินมีคุณภาพ 2) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ควรจัดอบรมการเขียนแผนการเรียนรู้ การทำไฟล์วีดีทัศน์ และผลลัพธ์ เพื่อให้ตรงกับระดับความคาดหวังตามตำแหน่งและวิทยฐานะที่ยื่นคำขอและองค์ประกอบการประเมิน</p> 2024-04-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/271355 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ 2024-01-02T09:27:39+07:00 สุพินดา คำภักดี [email protected] จริยา อินทนิล [email protected] <p>การวิจัยนี้เป็นแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ<br />ของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชน ในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียนศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้ปกครองของนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย จำนวนทั้งสิ้น 233 คน จาก 4 โรงเรียน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน จำนวน 4 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นในการตัดสินใจของผู้ปกครอง โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครอง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.962 นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเอกชน ในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียนศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ มุ่งเน้นที่การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับตัวผู้เรียน เพิ่มและเสริมทักษะให้กับผู้เรียนในด้านวิชาการรองลงมาคือการพัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น</p> 2024-04-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/269960 ผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อการค้าชายแดนไทย-ลาว ต่อผู้ประกอบการการค้า ณ ด่านชายแดนช่องเม็ก และนักธุรกิจ ผู้ส่งออก-นำเข้าในจังหวัดอุบลราชธานี 2023-10-09T09:01:24+07:00 ศิริสุดา แสนอิว [email protected] ปิยะมาศ ทัพมงคล [email protected] เพียงกมล มานะรัตน์ [email protected] <p>บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-ลาว ณ ด่านชายแดนช่องเม็ก ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2565 และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อการค้าชายแดนไทย-ลาว ต่อผู้ประกอบการการค้า ณ ด่านชายแดนช่องเม็ก และนักธุรกิจผู้ส่งออก-นำเข้าในจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาสถานการณ์ดังกล่าวพบว่า การออกคำสั่งปิดด่านชายแดนเป็นการชั่วคราวของจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดชายแดนช่องเม็ก อาทิ การขาดรายได้ ร้านค้าชายแดนบางส่วนต้องปิดตัว ประมาณ 1-3 ปี ในขณะที่ ผู้ประกอบการการนำเข้า-ส่งออกผ่านด่านชายแดนช่องเม็กที่ทำการส่งสินค้าข้ามแดนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากมาตรการฯ ของไทยมิได้ห้ามการเคลื่อนย้ายสินค้า แต่เป็นการห้ามการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศ ทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าโดยใช้รถบรรทุกไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางกฎหมายของไทย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบหลังยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าระหว่างไทย-ลาว ณ ด่านช่องเม็ก หลายประการ อาทิ รูปแบบการค้าและพฤติกรรมของการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเป็นการซื้อขายออนไลน์ ทั้งสินค้าจากไทยและจากจีน ทำให้ลูกค้าจากฝั่งลาวไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในประเทศ และปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของตลาดชายแดนช่องเม็กกลายเป็นคนไทยในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นหลัก ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะจากตัวแทนภาคเอกชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคือ ภาครัฐควรสนับสนุนการจัดทำแผนการท่องเที่ยวระหว่างกันและอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เช่น เวลาในการเปิด-ปิดด่าน การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณด่าน เป็นต้น </p> 2024-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/270910 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับการยกระดับการกระจายอำนาจการคลังท้องถิ่นในประเทศไทย 2023-12-19T10:29:12+07:00 เอกพงษ์ ศิริพันธ์ [email protected] สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปสู่การปฏิบัติกับการยกระดับการกระจายอำนาจการคลังท้องถิ่น โดยสะท้อนถึงปัญหาอุปสรรค และเสนอข้อเสนอแนะ สืบเนื่องจากความสำคัญของกระจายอำนาจทางการคลังท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ที่เพียงพอต่อการจัดบริการสาธารณะของตนเองและลดการพึ่งพิงจากรัฐบาล จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บรายได้จากฐานทรัพย์สินมีอัตราภาษีที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพิ่มประสิทธิภาพการคลังท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า การจัดเก็บรายได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บเองภายหลังการบังคับใช้กฎหมาย ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมายังมีการชะลอและลดอัตราการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ประกอบกับสภาพการบังคับใช้กฎหมายที่ยังขาดความพร้อมในการนำไปปฏิบัติ ทำให้รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากฐานภาษีทรัพย์สินนี้ ยังไม่บรรลุตามเจตนารมย์ของกฎหมาย โดยมีข้อเสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งมิติด้านกฎหมาย มิติด้านการบริหารจัดการ และมิติเชิงนโยบาย เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระทางการคลังยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้อย่างเต็มที่ต่อไป</p> 2024-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024