วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu <p><strong>วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์<br />Governance Journal, Kalasin University<br /></strong><strong>ISSN: 3027-8589 (Online) <br /><br /></strong>วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เป็นวารสารวิชาการที่ครอบคลุมสาขารัฐประศาสนศาสตร์ สาขานิติศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ และสาขาสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารภาครัฐ โดยยินดีรับบทความจากนักวิชาการและนักวิจัยทั้งชาวไทยและต่างประเทศเพื่อนำเสนอในรูปแบบบทความวิชาการ บทความวิจัย และบทความปริทัศน์หนังสือ โดยเป็นสิ่งพิมพ์เผยแพร่ผลงานที่มีกำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ในเดือนมิถุนายน และเดือนธันวาคม ซึ่งบทความที่ลงตีพิมพ์ทุกเรื่องได้รับการตรวจทางวิชาการโดยผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก (Peer Review) จำนวน 3 คน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาของบทความและมาจากหลากหลายสถาบันภายนอก มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และไม่ได้อยู่ในสังกัดเดียวกันกับผู้เขียน ข้อคิดเห็นใดๆ ของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการบริหารปกครองเล่มนี้เป็นของผู้เขียนบทความ คณะผู้จัดทำวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของผู้เขียนบทความดังกล่าวแต่ประการใด และกองบรรณาธิการวารสารการบริหารปกครอง ไม่สงวนสิทธิคัดลอกเนื้อหาหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อหาในบทความต่าง ๆ แต่ให้อ้างอิงที่มาของข้อความที่นำไปกล่าวอ้างในที่ต่าง ๆ อย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการ</p> th-TH governance_journal@ksu.ac.th (Assoc.Prof.Dr.Kathanyoo Kaewhanam) ariya.po@ksu.ac.th (Asst.Prof.Dr.Ariya Pongsiri) Mon, 17 Nov 2025 20:28:30 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทปริทัศน์หนังสือ: ทฤษฎีเสรีภาพทางการเมือง: บทวิเคราะห์ความคิดของไอไซอาห์ เบอร์ลิน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280928 <p>บทปริทัศน์หนังสือ: ทฤษฎีเสรีภาพทางการเมือง: บทวิเคราะห์ความคิดของไอไซอาห์ เบอร์ลิน</p> ปกรณ์เกียรติ อัศวรักษ์โสภณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280928 Fri, 21 Nov 2025 00:00:00 +0700 ผลสัมฤทธิ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบร่วมมือ STAD ผ่านระบบออนไลน์ในรายวิชานวัตกรรมการปกครองการบริหารสาธารณะ สำหรับนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย A https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278534 <p>การวิจัยเรื่องผลสัมฤทธิ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบร่วมมือ STAD ผ่านระบบออนไลน์ในรายวิชานวัตกรรมการปกครองการบริหารสาธารณะสำหรับนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย A มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การการจัดการเรียนรู้ในวิชานวัตกรรมการปกครองการบริหารสาธารณะโดยวิธีการจัดการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ก่อนและหลังเรียนและศึกษาความ พึงพอใจต่อผลสัมฤทธิ์การจัดการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ในวิชานวัตกรรมการปกครองการบริหารสาธารณะ ประชากรคือ นักศึกษาหลักสูตรรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิตที่ลงทะเบียนเรียนในวิชานวัตกรรมการปกครองการบริหารสาธารณะ ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จํานวน 90 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยมี 4 ชนิด คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลเรียนแบบปรนัย แบบเขียนบรรยายและแบบประเมินความพึงพอใจของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบร่วมมือ STAD ผ่านระบบออนไลน์มีผลการจัดการเรียนรู้สูงขึ้นตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และความพึงพอใจต่อความพึงพอใจต่อผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบร่วมมือ STAD ผ่านระบบออนไลน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> ปิยากร หวังมหาพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278534 Mon, 17 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาการท่องเที่ยวท้องถิ่นด้วยกลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่าย: กรณีศึกษา บ้านผาเบียด จังหวัดชัยภูมิ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278343 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไกความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาการท่องเที่ยว บ้านผาเบียด ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดร่วมสร้างสรรค์ (Co-Creation) ในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์ ของภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ท้องถิ่น ชุมชน และภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 21 คน โดยผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการค้นหาแก่นสาระ ผลการศึกษา พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมคิดในเวทีประชุมประชาคม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความต้องการด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร และการนำสินค้าไปจำหน่ายในพื้นที่น้ำผุดทัพลาว ส่งผลต่อ การมีส่วนร่วมในการวางแผนที่เน้นหนักไปในเรื่องดังกล่าวมากกว่าเรื่องการท่องเที่ยว แผนส่วนใหญ่จึงเป็นแผนเฉพาะกิจหรือแผนระยะสั้นของหน่วยงานหรือกลุ่มผู้ประกอบการ เมื่อภาครัฐเล็งเห็นโอกาสจากกระแสสื่อสังคมออนไลน์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ จึงได้เริ่มส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีการสนับสนุนงบประมาณร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการและประชาชนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี จนมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากยิ่งขึ้น ในส่วนของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ พบว่า ชุมชนและผู้ประกอบการต่างมีจิตสำนึกที่ดี ในการร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ประเพณีวิถีชีวิตของตนเอง แต่ยังมีปัญหาในเรื่องการร่วมกันจัดการขยะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ในส่วนของภาคเอกชน การดำเนินกิจการของผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้ และส่งเสริมการจ้างงานทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บ้านผาเบียดยังประสบปัญหาด้านเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน การขาดองค์ความรู้ในการพัฒนาสินค้าของฝาก ของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์ชุมชน และบริการให้มีความหลากหลาย และน่าสนใจ ขาดการรวมกลุ่มอาชีพหรือรวมกลุ่มด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เข้มแข็ง และขาดช่องทางจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันประชาชนเริ่มตื่นตัว และมองเห็นประโยชน์จากการท่องเที่ยว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนา ภาครัฐจึงควรเร่งสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ในการร่วมกันพัฒนากาท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการรวมกลุ่ม การประชาสัมพันธ์ และการตลาด รวมถึงสนับสนุนองค์ความรู้และงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอันเป็นอุปสรรคของการพัฒนา และยกระดับการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และสร้างรายได้แก่ชุมชนต่อไป <strong> </strong></p> ชนัฐตา ชำนาญพล, ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278343 Tue, 18 Nov 2025 00:00:00 +0700 การประเมินผลกระทบต่อองค์รวมของระบบสุขภาพปฐมภูมิอันเนื่องจาก การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278812 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบที่มีต่อองค์รวมของระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ดำเนินการโดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพปฐมภูมิ (รพ.สต.) ที่ได้รับการถ่ายโอนสังกัดเดิมจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 3,263 แห่ง ครอบคลุม 49 จังหวัด <strong>กรอบแนวคิดในการประเมิน </strong>ได้ประยุกต์ใช้ตัวแบบขององค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงระหว่างก่อนโอนกับหลังโอนใน 5 องค์ประกอบ ว่าได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร 5 องค์ประกอบของระบบดังกล่าว ประกอบด้วย (1) ฐานคติ (2) โครงสร้าง (3) ทรัพยากรนำเข้า (4) การบริการ (5) ผลผลิต <strong>ในการดำเนินการวิจัย </strong>ได้ใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยให้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพเป็นหลัก และระเบียบวิธีเชิงปริมาณเป็นส่วนเสริมเพื่อทดสอบความเป็นทั่วไปของผลการวิเคราะห์เบื้องต้น การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการในรูปแบบสามเส้า การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้โปรแกรม ATLAS.ti <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> หลังการถ่ายโอน ร้อยละ 74.10 ของ รพ.สต. ยังคงยึดหลักระบบสุขภาพปฐมภูมิเหมือนก่อนการถ่ายโอน ร้อยละ 24.44 พบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทางด้านทรัพยากรเพิ่มขึ้น และร้อยละ 11.46 พบว่ามีแนวโน้มเชิงลบ เนื่องจากบุคลากรส่วนหนึ่งมิได้ถ่ายโอนมาด้วย ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการปรับตัวเชิงบวกต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิ</p> อุดม ทุมโฆสิต, สุรชัย พรหมพันธุ์, สุพัฒน์จิตร ลาดบัวขาว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278812 Tue, 18 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในจังหวัดกาฬสินธุ์อย่างยั่งยืน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280915 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาอย่างยั่งยืนในจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้ตัวชี้วัดสำหรับการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนใน 6 มิติ ได้แก่ ภาครัฐ สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง 385 คน ซึ่งประกอบด้วยนักท่องเที่ยว คนในชุมชนท้องถิ่น พระสงฆ์หรือบุคลากรทางศาสนา ผู้บริหารท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการในท้องถิ่น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาในแต่ละด้าน โดยมีความคาดหวังการสนับสนุนด้านงบประมาณ การสร้างรายได้ของชุมชน การจัดการขยะ การรักษาความสะอาด การส่งเสริมตลาดสินค้าพื้นเมือง การเรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังต่อการพัฒนาในทุกมิติ และ 2) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาอย่างยั่งยืนในจังหวัดกาฬสินธุ์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดตามลำดับ และพบว่าทั้งสามด้านดังกล่าวมีผลเชิงบวกต่อการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาอย่างยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขณะที่ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และด้านการบริหารจัดการของภาครัฐส่งผลเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย คือ พบว่ามิติด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดกาฬสินธุ์ ในขณะที่การบริหารจัดการของภาครัฐในปัจจุบันยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ส่งผลให้ต้องทบทวนบทบาทและแนวทางสนับสนุนของภาครัฐให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่มากขึ้น</p> ธนารินทร์ สุภรัตนกูล, อุมาวดี เดชธำรงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280915 Wed, 19 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการนำ e-Government มาประยุกต์ใช้ ในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280298 <p>จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ จากปัญหาการรวบรวมข้อมูลแผนงานโครงการในทุกระดับ โดยได้พัฒนาระบบโปรแกรม Plan101Pro เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประสานแผนงานโครงการ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับเทคโนโลยีสารสนเทศกับคุณภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ด และเพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพของระบบโปรแกรม Plan101Pro ในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ด และเพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับประสิทธิภาพระบบโปรแกรม Plan101Pro ในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยระเบียบวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้แทนราชการส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีประสบการณ์ใช้งานระบบโปรแกรม Plan101Pro และมีหน้าที่ในการจัดทำแผนพัฒนาองค์กร จำนวน 1 คนต่อหน่วยงาน รวมทั้งสิ้น 125 ราย จากการวิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Pearson Correlations พบว่า การยอมรับเทคโนโลยีสารสนเทศกับคุณภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีระดับความสัมพันธ์ ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมาก และจาการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพชองระบบโปรแกรม Plan101Pro โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ด้วยใช้วิธี Enter พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ ค่า Adjusted R Square มีค่าเท่ากับ 0.766 ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งบอกถึงร้อยละของการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม กล่าวคือ ตัวแปรอิสระ สามารถอธิบายความผันแปร หรือการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตาม ในร้อยละ 76.6 โดยในแนวคิดคุณภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลมากสุด ประกอบด้วย อันดับที่ 1 ความพึงพอใจของผู้ใช้ มีค่า Beta = 0.327 อันดับที่ 2 คุณภาพของข้อมูล มีค่า Beta = 0.290 อันดับที่ 3 คุณภาพของการบริการ Beta = 0.276 และอันดับที่ 4 ในแนวคิดการยอมรับเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยด้านพฤติกรรมตั้งใจใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีค่า Beta = 0.237 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระดับ 0.05 พร้อมทั้งได้รวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประสิทธิภาพระบบฯ ดังนี้ 1. ขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินบันทึกข้อมูลแผนงานโครงการฯ 2. พัฒนาระบบส่งออกรายงานตามแบบฟอร์มที่ต้องการ 3. เปิดระบบไว้ตลอด 24 ชั่วโมง 4. บูรณาการประสานข้อมูลร่วมกับระบบ e-Plan ในการนำเข้าข้อมูลแผนพัฒนา 5. เป็นระบบโปรแกรม One Stop Service</p> วิชัย ผิวเงิน, ชินวัตร เชื้อสระคู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280298 Wed, 19 Nov 2025 00:00:00 +0700 การตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร กรณีศึกษาการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281011 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร กรณีศึกษาการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) เพื่อวิเคราะห์ทั้งความรู้ความเข้าใจทางการเมือง และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประชาชนในอำเภอเมืองสกลนคร จำนวน 400 คน โดยคำนวณจากสูตรที่รู้จำนวนประชากรของ Krejcie &amp; Morgan และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 20 คน ซึ่งประกอบด้วย นักการเมืองดับชาติและระดับท้องถิ่น ข้าราชการท้องถิ่น นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเมืองและการเลือกตั้ง ผู้นำและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร กรณีศึกษาการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 ด้านความรู้ความเข้าใจทางการเมืองอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.05, S.D. = .869) โดยการมีสิทธิเป็นผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองมีระดับสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.24, S.D. = .953) รองลงมาคือการมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสาร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.21, S.D. = .894) และสุดท้ายคือการมีสิทธิเรียกร้องและต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.85, S.D. = .793) ในส่วนของพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นโดยรวมในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.50, S.D. = .765) โดยการไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งมีระดับสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.52, S.D. = .739) รองลงมาคือการริเริ่มพูดคุยทางการเมือง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.20, S.D. = .727) และการร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในระดับน้อยที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.04, S.D. = .636) และประชาชนในอำเภอเมืองสกลนครมีความรู้และความเข้าใจทางการเมืองอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะด้านสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และสิทธิในการเรียกร้อง นอกจากนี้พฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงและการพูดคุยประเด็นทางการเมือง พบว่าประชาชนมีการมีส่วนร่วมในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและการตระหนักถึงสิทธิของตนเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ</p> วรเมธ สมสายผล, วนิดา พรมหล้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281011 Wed, 19 Nov 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และการจัดการขยะหลังใช้ผลิตภัณฑ์ของประชาชน: กรณีศึกษาอำเภอเมืองร้อยเอ็ด https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280590 <p>การวิจัยเรื่อง การรับรู้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และการจัดการขยะหลังใช้ผลิตภัณฑ์ของประชาชนกรณีศึกษาอำเภอเมืองร้อยเอ็ด การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับการรับรู้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กับการจัดการขยะหลังใช้ผลิตภัณฑ์ กรณีศึกษาอำเภอเมืองร้อยเอ็ด การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยประชากรงานวิจัยได้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ดจำนวนทั้งหมด 115,079 คน และทำการสุ่มตัวอย่างโดยคำนวณจากสูตรของ ทาโร ยามาเน่ จำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ และการจัดการขยะหลังใช้ผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยตัวแปรที่มีอำนาจในการทำนายสูงที่สุดคือ ปัจจัยด้านการนำกลับมาใช้ นอกจากนี้ยังพบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการจัดการขยะหลังใช้ผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> พงษ์ธนากร จันทสมบัติ , ชินวัตร เชื้อสระคู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280590 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566: กรณีศึกษาพรรคภูมิใจไทย เขตเลือกตั้งที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281508 <p>งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 11 จังหวัดอุบลราชธานี ปี 2566 ผ่านกรณีศึกษาของนางสาวตวงทิพย์ จินตะเวช ผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จในการชนะเลือกตั้ง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการประสานยุทธศาสตร์เชิงบุคคล การใช้ทุนทางสังคมและการเมืองในระดับพื้นที่ รวมถึงการปรับตัวเข้ากับระบบเลือกตั้งใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้สมัครมีบทบาทเด่นในระดับท้องถิ่น ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ การสร้างภาพลักษณ์เป็นผู้แทนที่ใกล้ชิดกับประชาชน การลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง การนำเสนอนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการเมืองในระดับท้องถิ่น งานวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของพรรคภูมิใจไทยในเขตเลือกตั้งนี้มิได้อาศัยเพียงกระแสพรรคในระดับชาติ แต่เกิดจากการผสานกลยุทธ์หลากหลายมิติที่ตอบโจทย์บริบททางการเมืองและสังคมของพื้นที่อย่างแท้จริง</p> ณิชาปวีณ์ คำศรี, ณัฐพล ธานี, ไชยวัตน์ เรือนรื่น, ทักษิณ แสงสุกวาว, วีรภัทร์ โคตรภัทร์, พงศธร กันทวงค์ , ปฐวี โชติอนันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281508 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการใช้กฎหมายป่าชุมชนเพื่อสร้างความอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: บ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280170 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้นำและสมาชิกชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชน 2) เพื่อผลิตผู้นำและสมาชิกชุมชนที่สามารถสร้างแนวทางปฏิบัติให้แก่ชุมชน โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านกฎหมายป่าชุมชนไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญของแนวทางปฏิบัติที่ทำให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนอย่างยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสม (Mixed Method) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้นำและสมาชิกชุมชนบ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 25 คน โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสำรวจและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผู้นำและสมาชิกชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชนอย่างถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น 2. ผู้นำและสมาชิกชุมชนสามารถสร้างแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านกฎหมายป่าชุมชนเพื่อนำไปใช้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 3. องค์ประกอบสำคัญของแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมของชุมชน (2) ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง และ (3) การศึกษาและการให้ความรู้ อภิปรายผล ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชน เป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การบูรณาการความรู้ด้านกฎหมายเข้ากับการปฏิบัติในพื้นที่ทำให้เกิดแนวทางที่เป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชุมชนเอง การมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็งจึงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยประสานความร่วมมือระหว่างสมาชิกและสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ ขณะเดียวกันการให้ความรู้และการศึกษาต่อเนื่องยังเป็นกลไกที่ทำให้ความรู้ดังกล่าวแพร่กระจายและสืบทอดไปยังคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้การจัดการทรัพยากรป่าชุมชนมีความยั่งยืนมากขึ้นข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ควรมีการพัฒนาโครงการฝึกอบรมและกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้นำและสมาชิกชุมชนสามารถปรับข้อมูลความรู้ด้านกฎหมายและการจัดการป่าชุมชนให้ทันสมัยได้ทันต่อสถานการณ์ นอกจากนี้ ภาครัฐควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งควรมีการบูรณาการองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ตั้งแต่เยาวชน ข้อเสนอแนะอีกประการหนึ่งคือควรมีการติดตามและประเมินผลการนำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริงในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และธรรมชาติ</p> นิโรธรี จุลเหลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/280170 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 ภาพตัวแทนอาหารในซีรีส์เกาหลีในมิติวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281973 <p>งานวิจัย เรื่อง “ภาพตัวแทนอาหารในซีรีส์เกาหลีในมุมมองวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและอธิบายอาหารในซีรีส์เกาหลีผ่านมุมมองต่อมิติทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยได้ศึกษาและวิเคราะห์จากซีรีส์ 4 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง Itaewon Class (2563) Vincenzo (2564) , Queen of Tear (2567) และ Love Next Door (2567) ผลการศึกษาพบว่า ซีรีส์ทั้ง 4 เรื่อง มีการนำเสนอภาพตัวแทนอาหารผ่านซีรีส์หลากหลายเมนู เช่น กิมจิ รามยอน หมูย่างเกาหลี ซุปกิมจิ ขนมปังไข่ และอื่น ๆ ทั้งที่เป็นอาหารเกาหลีและอาหารจากแบรนด์อื่น เช่น ลูกอมโกปิโกของอินโดนีเซีย subway ของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เกาหลีใต้ได้นำเสนอภาพอาหารผ่านซีรีส์มายาวนาน โดยใช้เรื่องของโฆษณาแฝงมาทำให้สินค้ากลมกลืนไปกับการนำเสนอเนื้อหา ถือได้ว่าเป็นการส่งออกวัฒนธรรมและเป็นการขายสินค้าที่ทำให้เกิดพลวัตการค้าระหว่างประเทศ เป็นสินค้าออกที่ส่งผลให้วัฒนธรรมอาหารเกาหลีเฟื่องฟูในหลาย ๆ ประเทศและเป็นธุรกิจที่ใช้พื้นที่สื่อซีรีส์เกาหลีในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้เกิดความสัมพันธ์ในมิติเศรษฐกิจระหว่างประเทศ</p> สุกัญญา รัตนศรี, นิลุบล ไพเราะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/281973 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในการผลิตอ้อย พื้นที่ศึกษา อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/282782 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการเพาะปลูกอ้อย (2) แนวทางการบริหารจัดการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (3) คุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่ศึกษา อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ในพื้นที่ 7 ตำบล จากทั้งหมด 11 ตำบล จำนวนทั้งหมด 8 ราย มีการนำมาจัดระเบียบข้อมูล สร้างรหัสข้อมูล เชื่อมโยงคำตอบที่สัมพันธ์กัน เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการค้นหาแก่นสาระที่ช่วยอธิบายลักษณะค้นหาประเด็นที่เกี่ยวกับผลกระทบต่อการเพาะปลูกอ้อยจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการรับมือและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สรุปและวิเคราะห์ผลการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำฝน ภาวะแห้งแล้ง การขาดแคลนน้ำ ปัญหาดินและความชื้น รวมถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตไม่แน่นอนและต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น นำไปสู่แรงกดดันต่อเศรษฐกิจครัวเรือนและความมั่นคงทางการเกษตร ทั้งนี้ เกษตรกรได้ปรับตัวผ่านหลายแนวทาง เช่น การวางแผนการเพาะปลูกตามพยากรณ์อากาศ การปรับพื้นที่และระบบน้ำ การเลือกพันธุ์อ้อยที่ทนทาน การบำรุงดิน การใช้นวัตกรรมด้านการจัดการน้ำ และการเลือกช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรักษาเสถียรภาพการผลิต ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศยังเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ทั้งด้านรายได้ สุขภาพกายใจ และภาระต้นทุน โดยสะท้อนถึงความจำเป็นในการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของชุมชน สรุปได้ว่า การสร้างความสามารถในการปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจำเป็นต้องอาศัยทั้งกลไกการปรับตัวของเกษตรกรรายบุคคลและการสนับสนุนเชิงโครงสร้างจากภาครัฐ ภายใต้แนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management: NPM) ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรสู่ความยั่งยืน</p> สุรศักดิ์ โกณฑา, ปานปั้น รองหานาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/282782 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเลือกตั้งระดับชาติ กับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น กรณี การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 22 ธันวาคม 2567 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283296 <p>การเลือกตั้งระดับชาติกับระดับท้องถิ่นในจังหวัดอุบลราชธานีกรณีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทางการเมือง อย่างน้อย 3 ประเด็น คือ (1) อิทธิพลหรือตัวแปรด้านพรรคการเมืองที่เอื้อสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อผู้สมัคร แม้ว่า คู่แข่งที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งทั้งคู่จะมีความเชื่อมโยงและได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองทั้งแบบเปิดเผยหรือไม่เปิดเผย แต่ผลการวิจัยยืนยันว่า กระแสพรรคส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นน้อยกว่าการเลือกตั้งระดับชาติ คะแนนของพรรคในการเลือกตั้งระดับชาติ ไม่ใช่คะแนนในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของผู้สมัครที่สังกัดพรรคนั้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากประชาชนจะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย อาทิ คุณสมบัติส่วนบุคคล การลงพื้นที่ อรรถประโยชน์ที่ประชาชนจะสามารถคาดหวังได้จากผู้สมัคร เป็นต้น ขณะที่นางจิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล ถึงแม้ว่าพรรคหลักที่ให้สนับสนุน คือ พรรคไทรวมพลัง จะมีคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็นร้อยละ 1 ของผู้มาใช้สิทธิทั้งจังหวัด และพรรคภูมิใจไทย มีคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้มาใช้สิทธิทั้งจังหวัด รวมทั้งหมดร้อยละ 4 ของผู้มาใช้สิทธิทั้งจังหวัด แต่ผลคะแนนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี แม้จะลงสมัยแรก กลับได้คะแนนสูง คิดเป็นร้อยละ 37.87 หลักฐานเชิงประจักษ์เหล่านี้ยืนยันตามสมมติฐานการวิจัยที่ค้นพบว่า พฤติกรรมการเลือกตั้งระดับชาติ กับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความแตกต่างกันอย่างนัยยะสำคัญ ประชาชนอาจจะนิยมเลือกพรรคการเมืองนั้นในระดับชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองนั้นในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ (2) ความแตกต่างด้านขนาดของพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง แม้ว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติที่ดูเสมือนมีความสำคัญต่อนัยยะทางการเมืองระดับประเทศมากกว่า แต่พื้นที่ความรับผิดชอบ พื้นที่การประชาสัมพันธ์หาเสียงเมื่อแยกผู้สมัครเป็นรายคน จะพบว่าผู้สมัครแต่ละคนมีพื้นที่หาเสียงน้อยกว่าผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งต้องลงพื้นที่หาเสียงทั้ง 25 อำเภอ ทำให้ผู้สมัครหน้าใหม่เสียเปรียบ ในขณะที่ผู้สมัคร สส. ส่วนใหญ่รับผิดชอบพื้นที่ประมาณ 2-3 อำเภอเท่านั้น (3) ปัจจัยส่วนบุคคล คุณสมบัติส่วนบุคคล มีความสำคัญกับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมากกว่าการเลือกตั้งระดับชาติ การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น คะแนนความนิยมจากคุณสมบัติส่วนบุคคลอยู่เหนือกระแสของพรรค ข้อเสนอแนะจากการศึกษาวิจัย เสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ที่เหมาะสมและ สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยและบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้วิจัยเสนอให้แก้ไขใน 3 มาตราสำคัญ คือ มาตรา 61 มาตรา 64 และมาตรา 65 โดยมุ่งแก้ไขปัญหาผู้บริหารท้องถิ่นลาออกก่อนหมดวาระเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากทั้ง 3 มาตราดังกล่าว</p> ประเทือง ม่วงอ่อน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283296 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 เครือข่ายภาคธุรกิจ รัฐและชุมชนในการพัฒนานวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมสร้างอาชีพและรายได้แก่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกร ผู้ผลิตกาแฟคุณภาพเชิงพื้นที่ในอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283453 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียนระหว่างภาคธุรกิจ (โรงคั่วกาแฟ) ภาครัฐ และภาคชุมชน (เกษตรกรรุ่นใหม่) ในการส่งเสริมรายได้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟคุณภาพในพื้นที่สูง จังหวัดพะเยา โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 50 คน พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีสามเส้าจากนั้นนำข้อมูลมาสังเคราะห์ ตีความ วิเคราะห์ และพรรณนาโวหาร ผลการศึกษาพบว่า เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคชุมชน เกิดเป็นห่วงโซ่การผลิตที่ส่งผลให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีคุณภาพและยั่งยืน โดยในระยะต้นน้ำ เกษตรกรรุ่นใหม่ได้รับการส่งเสริมให้พัฒนานวัตกรรมการปลูกและการแปรรูป เพื่อสร้างอัตลักษณ์ภายใต้ชื่อ "กาแฟคุณภาพของพะเยา" ระยะกลางน้ำ โรงคั่วกาแฟทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรับซื้อ แปรรูปเพิ่มมูลค่า และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ระยะปลายน้ำ หน่วยงานภาครัฐสนับสนุนองค์ความรู้ กำกับมาตรฐาน และอำนวยความสะดวกครบวงจรรูปแบบความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงแก่ชุมชนเท่านั้น อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟท้องถิ่น สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็ง และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> บัญชา พุฒิวนากุล, สุธินี ชุติมากุลทวี, อทิตยา ดวงอำไพ , รักเกียรติ อินทับทัน , วรรณภา ทองแดง , พรโอบอุ้ม วงศ์วิลาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283453 Thu, 20 Nov 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาระบบสวัสดิการเกื้อกูลสำหรับคนยากจนในชุมชน จังหวัดกาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/282835 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนารูปแบบระบบสวัสดิการเกื้อกูลสำหรับคนยากจน กลุ่มเปราะบาง และผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความยากจนแบบหลากมิติอย่างซับซ้อน โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสานภายใต้กรอบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้แทนกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลทุกแห่ง ครัวเรือนยากจนในพื้นที่ และกองทุนนำร่องในหลายอำเภอ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม และการถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงประเด็น ผลการวิจัยพบว่า กองทุนมีศักยภาพด้านการเงินและการมีส่วนร่วมของชุมชน แต่เผชิญความท้าทายด้านการบริหารจัดการเงิน การขาดระบบสำรวจความต้องการอย่างเป็นระบบ และการขาดฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ครัวเรือนเป้าหมายส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำ มีภาระหนี้สินสูง และต้องการสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลและการสร้างอาชีพเป็นหลัก จากการศึกษาได้พัฒนาโมเดลสวัสดิการเกื้อกูล "3P + 1S" ประกอบด้วยระบบป้องกัน ระบบคุ้มครอง ระบบส่งเสริม และระบบสนับสนุน ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่าโมเดลมีประสิทธิภาพสูงในการให้บริการครัวเรือนเป้าหมาย สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างความเข้มแข็งชุมชนอย่างยั่งยืน โมเดลนี้สามารถประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน โดยคำนึงถึงทุนทางสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นฐานการพัฒนา</p> ธวัชชัย เคหะบาล, นิตยา เคหะบาล , อัครเจตน์ ชัยภูมิ , ยุทธพงษ์ เขื่อนแก้ว , อาริยา ป้องศิริ , อารยา ลาน้ำเที่ยง, จริยา อินทนิล, ธีรนันท์ ขันตี, อภิรดี ดอนอ่อนเบ้า, สายัญ พันธ์สมบูรณ์ , สุพจน์ ดีบุญมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/282835 Fri, 21 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283424 <p>รัฐบาลและหน่วยงานทางการศึกษาให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก รวมถึงการส่งเสริมการปรับตัวและการใช้ประโยชน์จากยุคดิจิทัล ซึ่งแม้ว่าผลการประเมินตนเองของโรงเรียนขนาดเล็กในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ <br />ปีการศึกษา 2566 จะอยู่ในระดับ “ดี” ขึ้นไปทุกโรงเรียน แต่มีเพียง 6 โรงเรียนจากทั้งหมด 24 โรงเรียนที่อยู่ในระดับ “ยอดเยี่ยม” ขณะเดียวกัน ผลการทดสอบ O-NET พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศทุกวิชา และโรงเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนลดลงเมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2565 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กในยุคดิจิทัล การวิจัยนี้เป็นการวิธีวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้และปัญหาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโรงเรียนขนาดเล็ก ตลอดจนการเสนอแนะแนวทางการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการโรงเรียน โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 180 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลวิจัยพบว่า 1) ระดับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโรงเรียน อยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการบริหารงานทั่วไป รองลงมา คือ ด้านงบประมาณ วิชาการ และบุคคล 2) ปัญหาหลักของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คือ สื่อดิจิทัลไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน งบประมาณจำกัด อุปกรณ์มีไม่เพียงพอ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีไม่พร้อม ครูมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไม่เท่ากัน และ 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการโรงเรียน คือ การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการทุกด้าน การพัฒนาศักยภาพครู การสร้างระบบข้อมูลสารสนเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน และการเสริมสร้างทักษะความเป็นพลเมืองดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในยุคดิจิทัล</p> พัทธนันท์ ชนะศึก, จริยา อินทนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283424 Fri, 21 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันในองค์กร ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283432 <p>การวิจัยครั้งนี้เกิดจากความสำคัญของคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันในองค์กรที่เสริมสร้างประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของบุคลากร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับคุณภาพชีวิตการทำงาน 2) ความผูกพันในองค์กร และ 3) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันในองค์กรของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ การวิจัยใช้วิธีเชิงผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งหมด 45 คน และส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ คณะผู้บริหาร จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันในองค์กรโดยรวมอยู่ในระดับมาก และแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันในองค์กร โดยปรับปรุงด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านค่าตอบแทน ควรได้รับการพัฒนาเป็นลำดับแรก โดยสร้างมาตรการพิจารณาค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับผลสัมฤทธิ์งาน การจัดหาค่าตอบแทนเพิ่มเติม เช่น สวัสดิการ เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ ค่าล่วงเวลา เงินค่าเสี่ยงภัย หรือค่าตอบแทนอื่น ขณะเดียวกัน ควรรักษามาตรฐานและเสริมสร้างด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการมีบทบาทหน้าที่เชื่อมโยงกับสังคม โดยการเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายการทำงาน การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสาร และจัดทำแผนเกี่ยวกับโครงการหรือกิจกรรมสาธารณประโยชน์<br /><br /></p> อภิชาติ บัวแก้ว, จริยา อินทนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/283432 Fri, 21 Nov 2025 00:00:00 +0700 วันหยุดพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานของไทย: ศึกษาเปรียบเทียบมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศและอาเซียน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278166 <p>การที่ลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างมาเป็นเวลานาน โดยไม่ได้หยุดพักย่อมทำให้ลูกจ้างเกิดความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างการทำงานแล้วยังส่งผลกระทบต่อร่างกายและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างที่ย่ำแย่ลงได้ รวมทั้งลดประสิทธิภาพในงานที่ลูกจ้างทำให้แก่นายจ้างไปด้วยในตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างขึ้นมา การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ อันได้แก่ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2) เพื่อศึกษาการคุ้มครองลูกจ้างเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายต่างประเทศในอาเซียน และกฎหมายไทย 3) เพื่อวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบการคุ้มครองลูกจ้างเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายต่างประเทศในอาเซียน และกฎหมายไทย 4) เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงานของไทยเกี่ยวกับการคุ้มครองลูกจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่มีความเหมาะสม ผลการศึกษาพบว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับลูกจ้างที่ทำงานมาแล้วครบ 1 ปีไว้ 6 วันทำงาน โดยให้สิทธิแก่ลูกจ้างไว้น้อยกว่าที่กำหนดในอนุสัญญาว่าด้วยวันหยุดพักโดยได้รับค่าจ้าง (แก้ไข) ค.ศ. 1970 (ฉบับที่ 132) ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกที่ให้สัตยาบันจะต้องกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ โดยวันหยุดพักจะต้องไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ทำงาน กรณีที่มีเวลาการทำงาน 1 ปี รวมทั้งไม่สอดคล้องกับกฎหมายหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีไว้มากกว่ากฎหมายไทย รวมถึงมีการกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีในลักษณะยืดหยุ่น โดยการเพิ่มวันหยุดพักผ่อนประจำปีมากขึ้นตามอายุงานหรือระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง และบางประเทศได้เพิ่มวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามประเภทงาน โดยงานที่มีลักษณะอันตรายจะกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีไว้มากกว่างานทั่วไป ดังนี้ ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยให้เพิ่มจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีมากขึ้นตามอายุงานหรือระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนประจำปีเพิ่มขึ้นในลักษณะที่สอดคล้องกับระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างแต่ละคน สำหรับให้ลูกจ้างได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยที่ได้ทำงานให้แก่นายจ้างมาเป็นเวลานาน อันส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวของลูกจ้างเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำให้งานที่ลูกจ้างทำให้แก่นายจ้างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นไปด้วยในตัวเอง</p> สุรศักดิ์ มีบัว, พิมุข สุศีลสัมพันธ์, ชื่นชีวิน ยิ้มเฟือง, อภิเชษฐ เสมอใจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gjournal-ksu/article/view/278166 Tue, 18 Nov 2025 00:00:00 +0700