Graduate Law Journal
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>บัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดทำวารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์ (Graduate Law TU Journal) ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดถึงนักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจภายนอก ได้นำเสนอและเผยแพร่ผลงานบทความวิจัย บทความวิทยานิพนธ์ หรือบทความวิชาการรูปแบบอื่น ๆ สู่วงการนิติศาสตร์และสาธารณชนทั่วไป อันจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าแก่ วงวิชาการ ตลอดถึงการนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในวงวิชาชีพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติต่อไป</p>
en-US
<p>บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p>
tulawgradjournal@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปูนเทพ ศิรินุพงศ์)
tulawgradjournal@gmail.com (นางสาวสุวพิชญ์ ชาวสี่ร้อย)
Fri, 28 Mar 2025 10:18:07 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ปัญหาในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในส่วนมาตรการทางภาษี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275332
<p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษามาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมหรือดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนของ สปป. ลาว โดยเปรียบเทียบกับกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนของไทยและเวียดนาม โดยชี้ให้เห็นว่ามาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมหรือดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติตามกฎหมายว่าด้วยการลงทุนของ สปป. ลาว ยังมีข้อกำจัดอันเป็นอุปสรรคแก่นักลงทุนต่างชาติ และไม่สอดคล้องกับการแข่งขันในด้านการค้าและการลงทุนข้ามชาติ การพัฒนานวัตกรรมใหม่ในกระบวนผลิต ตลอดจนการแลกเปลี่ยนแรงงานและฝีมือระหว่างประเทศในยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายว่าด้วยการลงทุนของ สปป. ลาว ยังมีข้อกำหนดว่านักลงทุนต่างชาติซึ่ง ประสงค์จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในกิจการตามภาคธุรกิจหรือแขนงการต้องรับนักวิชาการของลาวเข้าทำงาน ในโครงการลงทุนอย่างน้อย 30 คน ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ปรากฎในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนของไทยและเวียดนาม</p> <p>งานวิจัยนี้จึงเสนอแนะว่าควรปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดในกฎหมายว่าด้วยการลงทุนของ สปป. ลาว อันเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนจากต่างชาติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยอาจนำเอากฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนของไทยและเวียดนามมาเป็นต้นแบบในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย แต่เพื่อให้การปรับเปลี่ยนเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ผู้ที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย รวมถึงข้อพิจารณาเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ และผลกระทบทางสังคมโดยรวม</p>
กาวี ใจดี
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275332
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275990
<p>รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นได้ หากเห็นว่าบุคคลดังกล่าวไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวยังมีข้อปัญหาบางประการที่สำคัญ คือ ประการแรก ปัญหาหลักเกณฑ์ในการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เนื่องจากมีกำหนดหลักเกณฑ์ถอดถอนแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 โดยตัดวิธีการลงคะแนนเสียงออกไป การกำหนดสัดส่วนผู้เข้าชื่อ<br />เพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอนและจำนวนคะแนนเสียงไม่เหมาะสม ส่งผลให้การถอดถอนสำเร็จได้ยากเกินไป กฎหมายไม่ได้กำหนดเหตุแห่งการถอดถอนไว้ชัดเจนถึงเหตุที่สามารถเข้าชื่อกันเพื่อร้องขอให้มีการลงคะแนนเสียงได้ ทำให้อาจไม่เป็นการยุติธรรมต่อบุคคลที่ถูกให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง รวมถึงมิได้กำหนดโทษในกรณีใช้สิทธิ<br />ไม่สุจริตในการเข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องเพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอน จึงเป็นกรณีที่อาจก่อให้เกิดการกลั่นแกล้งกัน<br />ทางการเมือง ประการที่สอง ปัญหาในกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ในกรณีสมาชิกสภาท้องถิ่นแต่ละคนที่มีที่มาจากเขตเลือกตั้งต่างกัน แต่เมื่อต้องถูกถอดถอนกลับต้องใช้คะแนนเสียงจากทุกเขตเลือกตั้งในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ไม่มีความเหมาะสม และการกำหนดเกณฑ์สัดส่วนคะแนนเสียง โดยต้องมีคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง ภายใต้เงื่อนไขผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในครั้งนั้นต้องเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมด<br />ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น การเข้าชื่อถอดถอนดังกล่าวถึงสำเร็จ เห็นได้ว่าการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายดังกล่าวกระทำได้โดยยากเกินไป จึงควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดสัดส่วนของผู้เข้าชื่อ<br />เพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอน และระบุเหตุแห่งการถอดถอนให้ชัดเจนไว้ในกฎหมาย รวมถึงกำหนดโทษกรณีการใช้สิทธิเข้าชื่อโดยไม่สุจริต รวมถึงพิจารณาสัดส่วนคะแนนเสียงในการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นเสียใหม่ และคำนึงถึงที่มาของคะแนนเสียงให้มีความเหมาะสมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภท</p>
ณัฎฐนันท์ ไพบูลย์
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275990
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
อำนาจชี้ขาดข้อเรียกร้องแย้งของคณะอนุญาโตตุลาการทางการลงทุนระหว่างประเทศ: การตีความและปรับใช้ข้อ 46 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาททางการลงทุนระหว่างรัฐกับคนชาติของรัฐอื่น ค.ศ. 1965
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/276312
<p>ข้อเรียกร้องแย้งเป็นหนึ่งในหนทางการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้ถูกร้องหรือรัฐผู้รับการลงทุนในข้อพิพาททางการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายหรือหักกลบลบหนี้กับข้อเรียกร้องของผู้ร้องหรือนักลงทุน โดยอำนาจ ชี้ขาดข้อเรียกร้องแย้งของคณะอนุญาโตตุลาการทางการลงทุนระหว่างประเทศนั้นถูกรับรองไว้อย่างชัดเจนในข้อ 46 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการระงับข้อพิพาททางการลงทุนระหว่างรัฐกับคนชาติของรัฐอื่น ค.ศ. 1965 (Convention on the Settlement of Investment Disputes between States and Nationals of Other States of 1965 หรือ ICSID Convention) ซึ่งกำหนดให้ 1) ข้อเรียกร้องแย้งต้องอยู่ภายในขอบเขตความยินยอมของคู่พิพาทซึ่งตกลงกำหนดข้อพิพาทที่คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจชี้ขาด และ 2) ข้อเรียกร้องแย้งต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสาระสำคัญของข้อพิพาท</p> <p>จากการศึกษาพบว่า 1) ในส่วนเงื่อนไขความยินยอมของคู่พิพาท หากคู่พิพาทกำหนดความยินยอมให้คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจชี้ขาดครอบคลุมประเด็นพิพาทตามข้อเรียกร้องแย้งอย่างชัดแจ้งหรือครอบคลุมข้อพิพาทซึ่งเกี่ยวกับการลงทุน ย่อมทำให้ข้อเรียกร้องแย้งอยู่ภายในขอบความยินยอมของคู่พิพาท ในทางกลับกัน หากความยินยอมของคู่พิพาทจำกัดให้คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจชี้ขาดเพียงข้อพิพาทตามพันธกรณีในสนธิสัญญาการลงทุนหรือข้อเรียกร้องของนักลงทุนเท่านั้น ย่อมทำให้ข้อเรียกร้องแย้งไม่อยู่ภายในความยินยอมของคู่พิพาท และ 2) ในส่วนเงื่อนไขความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสาระสำคัญของข้อพิพาท หากข้อเรียกร้องแย้งมีความเชื่อมโยงทางข้อเท็จจริงและทางกฎหมายกับข้อเรียกร้องหลัก ย่อมมีแนวโน้มทำให้คณะอนุญาโตตุลาการเห็นว่าข้อเรียกร้องแย้งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสาระสำคัญของข้อพิพาท อย่างไรก็ดี ทั้งเงื่อนไขความยินยอมของคู่พิพาทและเงื่อนไขความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสาระสำคัญของข้อพิพาทกลับเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดมิให้คณะอนุญาโตตุลาการทางการลงทุนระหว่างประเทศมีอำนาจชี้ขาดข้อเรียกร้องแย้ง</p> <p>ดังนั้น บทความฉบับนี้จึงได้เสนอแนะแนวทางในการร่างหรือแก้ไขสนธิสัญญาการลงทุน แนวทางการกำหนดความยินยอมของคู่พิพาทให้ชัดเจนในเอกสารฉบับอื่น แนวทางการยอมรับความยินยอมของคู่พิพาทที่ไม่ปรากฏชัดเจน แนวทางการยื่นข้อเรียกร้องแย้งที่เหมาะสม แนวทางการค้นหาความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสาระสำคัญของข้อพิพาทผ่านสาระของข้อเรียกร้อง และความเป็นไปได้ในการยื่นข้อเรียกร้องแย้งของประเทศไทยในข้อพิพาททางการลงทุนระหว่างประเทศ</p> <p> </p>
ปานเทพ นาคทิพย์พิมาน
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/276312
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลที่มีอาการตาบอดสี: ศึกษาเปรียบเทียบการกำหนดคุณสมบัติของนักบินในประเทศไทยและประเทศออสเตรเลีย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/278755
<p>เนื่องจากกฎเกณฑ์สำหรับการบินของประเทศไทยในปัจจุบันยังคงมีการกำหนดข้อจำกัดในการประกอบอาชีพนักบินสำหรับผู้ที่มีอาการตาบอดสีอยู่ จึงอาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า กฎหมายที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของนักบินของประเทศไทยนั้นมีเนื้อหาที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่มีอาการตาบอดสีหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ วิจัยฉบับนี้จึงได้ศึกษาเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และเปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักบินในประเทศไทยและประเทศออสเตรเลีย เพื่อศึกษาแนวทางในการวางกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมและสร้างแบบทดสอบความสามารถในการมองเห็นสีที่จะเป็นการกระทบสิทธิในการทำงานของผู้ที่มีอาการตาบอดสีให้น้อยที่สุด โดยยังคงคุ้มครองความปลอดภัยของผู้โดยสารด้วย</p> <p>จากการศึกษาพบว่าข้อกำหนดในกฎหมายที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของนักบินในประเทศไทยไม่ได้มีเนื้อหาที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลที่มีอาการตาบอดสีและเป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่ประเทศไทยยังสามารถเรียนรู้จากวิธีการทดสอบความบกพร่องของการมองเห็นสีในประเทศออสเตรเลียที่เพิ่งมีการประกาศใช้ เพื่อสร้างความเสมอภาคทางโอกาสให้แก่ผู้ที่มีอาการตาบอดสีได้มากยิ่งขึ้น</p>
กรกนก บัววิเชียร, เพียรรัตน์ ลีลาพงศธร
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/278755
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
มาตรการทางกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างเพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ในองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/276237
<p>การศึกษาฉบับนี้วิเคราะห์กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างรถโดยสารสาธารณะ<br />ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรปและประเทศญี่ปุ่น พบว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายที่ส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง</p> <p> </p> <p>ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและสร้างแรงขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนปรับตัวเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการกำหนดมาตรฐานและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ โดยการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี<br />ที่ยั่งยืน และสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่กฎหมายและระเบียบปฏิบัติยังมีความไม่ชัดเจนและขาดการบังคับใช้<br />ที่เข้มงวด เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับต่างประเทศที่มีระบบการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่พัฒนามากกว่า โดยมีคู่มือและมาตรฐานที่ชัดเจน</p> <p> </p> <p>เพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ควรมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะการกำหนดนิยามที่ชัดเจนของสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้จัดหา และสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกฎหมายและนโยบายเพื่อสนับสนุนการจัดซื้อจัดจ้างรถโดยสารสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย <br />การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนและภาคเอกชนเกี่ยวกับความสำคัญของการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง</p>
สุวิมล มาสง่า
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/276237
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ข้อต่อสู้ของผู้ใต้บังคับบัญชา กรณีกระทำทรมานตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275772
<p>บทความนี้มุ่งศึกษาปัญหาเรื่อง ข้อต่อสู้ของผู้ใต้บังคับบัญชา กรณีกระทำทรมานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา โดยการกระทำทรมานที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการกระทำทรมานผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญานั้นสามารถกระทำได้ โดยถือว่าเป็นการทรมานด้วยวัตถุประสงค์ที่ดี (good torture) และถึงแม้ว่าปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐจะทราบดีว่าการกระทำทรมานไม่สามารถกระทำได้ไม่ว่าในกรณีใด ก็ยังมีการกระทำทรมานเกิดขึ้นเรื่อยมา เนื่องจากผู้ใต้บังคับบัญชา โดยเฉพาะในกรณีของข้าราชการตำรวจ จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างความรับผิดทางอาญากับความรับผิดทางวินัยของข้าราชการตำรวจอันเปรียบเสมือนกับทางสองแพร่ง (dilemma) ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชามักกลัวที่จะมีความรับผิดทางวินัยมากกว่าความรับผิดทางอาญา เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถยกข้อต่อสู้ว่าปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพื่อไม่ต้องรับโทษได้ แม้ว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม จึงเกิดเป็นช่องว่างให้มีการกระทำทรมานเกิดขึ้น ทั้งที่คำสั่งให้กระทำทรมานไม่เพียงแต่เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง (manifestly illegal) ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาจะอ้างว่าไม่รู้ว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อยกเว้นความรับผิดทางอาญา หรือยกเว้นโทษตามกฎหมายฐานกระทำทรมานไม่ได้</p> <p>ตามปัญหาดังกล่าว บทความนี้จะศึกษาความเป็นมาของข้อต่อสู้ว่าปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (defense of superior orders) ประกอบกับการศึกษาเชิงกฎหมายเปรียบเทียบ โดยจะเปรียบเทียบบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อสู้ดังกล่าวว่าบัญญัติกรณีของคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งไว้อย่างไรบ้าง ตลอดจนการศึกษาโครงสร้างความรับผิดทางอาญาเปรียบเทียบ เพื่อวิเคราะห์ข้อบกพร่องของบทบัญญัติของกฎหมายอาญาไทยที่เกี่ยวข้อง พร้อมเสนอทางออกให้กับปัญหาดังกล่าว อันจะเป็นส่วนสำคัญในการยุติการกระทำทรมานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย</p> <p> </p> <p>ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า กฎหมายอาญาไทยจะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมใน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนของความรับผิดทางอาญา ซึ่งประกอบไปด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ในส่วนของข้อยกเว้นสำหรับกรณีคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยอย่างชัดแจ้ง และการบัญญัติให้คำสั่งให้กระทำทรมานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง และส่วนของความรับผิดทางวินัยที่ยังมีความคลุมเครือและมีปัญหาในทางปฏิบัติ</p> <p> </p>
อธิป ปิตกาญจนกุล
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/275772
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของประเทศในทวีปยุโรปสำหรับ สำนักงานต่างประเทศของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/278604
<p>การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดตั้งสำนักงานต่างประเทศในทวีปยุโรปหลายสาขาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. แต่ละสำนักงานมีการดำเนินกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลที่อยู่ในประเทศในทวีปยุโรป จึงส่งผลให้สำนักงานดังกล่าวตกอยู่ภายใต้บังคับที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของแต่ละประเทศ บทความนี้มาจากการศึกษาวิจัยซึ่งมุ่งศึกษาลักษณะของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของ ททท. สำนักงานปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ททท. สำนักงานแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ททท. สำนักงานโรม สาธารณรัฐอิตาลี ททท. สำนักงานสตอกโฮล์ม ราชอาณาจักรสวีเดนและ ททท. สำนักงานลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อจัดทำตารางแผนผังข้อมูลของแต่ละสำนักงาน และศึกษากฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐอิตาลี ราชอาณาจักรสวีเดน และสหราชอาณาจักร เพื่อเสนอแนะแนวปฏิบัติที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับแต่ละสำนักงานในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ ททท. จะมีความรับผิดและต้องรับโทษตามกฎหมายอันจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรและประเทศไทยต่อไป</p>
อัญธิกา ณ พิบูลย์
Copyright (c) 2025 Graduate Law Journal
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/278604
Fri, 28 Mar 2025 00:00:00 +0700