Graduate Law Journal https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>บัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดทำวารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์ (Graduate Law TU Journal) ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้อาจารย์และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดถึงนักวิชาการ นักวิจัย และผู้สนใจภายนอก ได้นำเสนอและเผยแพร่ผลงานบทความวิจัย บทความวิทยานิพนธ์ หรือบทความวิชาการรูปแบบอื่น ๆ สู่วงการนิติศาสตร์และสาธารณชนทั่วไป อันจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าแก่ วงวิชาการ ตลอดถึงการนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในวงวิชาชีพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับสังคมและประเทศชาติต่อไป</p> en-US <p>บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> tulawgradjournal@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปูนเทพ ศิรินุพงศ์) tulawgradjournal@gmail.com (นางสาวสุวพิชญ์ ชาวสี่ร้อย) Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สิทธิของทายาทโดยธรรมในการรับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (3) และ (4) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271701 <p>บทความวิชาการเรื่องนี้ได้ศึกษาสิทธิของทายาทโดยธรรมประเภทญาติในลำดับพี่น้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและมาตรา 1629 (4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกันไว้โดยเฉพาะ เจ้ามรดกและทายาทโดยธรรมจะเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันได้ ต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ามรดกกับทายาทโดยธรรมตามความเป็นจริงหรือความชอบด้วยกฎหมาย ในเรื่องนี้ปรากฏคำพิพากษาฎีกาที่ 4828/2529 ว่าความเป็นทายาทโดยธรรมในลำดับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ยึดถือความเป็นพี่น้องกันทางสายโลหิตตามความเป็นจริงเท่านั้น การจดทะเบียนสมรสของบิดามารดามิใช่สาระสำคัญที่ต้องพิจารณา ทำให้ทายาทที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกตามความเป็นจริงมีสิทธิในการรับมรดกดีกว่าพี่น้องร่วมแต่บิดาเดียวกันกับเจ้ามรดกตามความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะไม่เป็นธรรมแก่พี่น้องร่วมแต่บิดาเดียวกันกับเจ้ามรดกตามความชอบด้วยกฎหมาย</p> <p>จากการศึกษาเปรียบเทียบหลักกฎหมายของประเทศฝรั่งเศสที่มีหลักการตกทอดทรัพย์มรดกทันทีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเช่นเดียวกับหลักกฎหมายของประเทศไทย โดยมิได้มีการแบ่งแยกประเภทของบุตรแล้ว ทำให้ความชอบด้วยกฎหมายระหว่างทายาทในลำดับพี่น้องกับเจ้ามรดกมิใช่สาระสำคัญที่จำต้องพิจารณา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและพี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาคนเดียวกันต่างมีสิทธิรับมรดกเท่ากัน ซึ่งสอดรับกับการพิจารณาความเป็นพี่น้องตามความเป็นจริง แต่จากการศึกษากฎหมายของประเทศอังกฤษที่มีหลักการตกทอดทรัพย์มรดกผ่านผู้แทน พบว่ามีความเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเห็นว่าทายาทที่เป็นพี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกันกับเจ้ามรดกตามความเป็นจริงต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยจึงจะมีสิทธิดีกว่าทายาทที่เป็นพี่น้อง ผู้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาเดียวกันกับเจ้ามรดก และอีกฝ่ายเห็นว่าความเป็นพี่น้องคือการมีบิดาและมารดาคนเดียวกัน หรือจะมีเพียงบิดาหรือมีเพียงมารดาคนเดียวกันก็ถือว่าเป็นพี่น้องแล้ว</p> <p>ด้วยเหตุนี้ สิทธิโดยธรรมในการรับมรดกของทายาทในลำดับพี่น้องตามมาตรา 1629 (3) และ (4) จึงควรได้รับการพิจารณาในมุมมองของปัญหาการตีความและปรับใช้กฎหมายโดยอาศัยการศึกษาเปรียบเทียบหลักกฎหมายต่างประเทศ ผู้เขียนเสนอว่าหากนำแนวทางการปรับใช้กฎหมายของประเทศอังกฤษที่ให้พี่น้องที่ชอบด้วยกฎหมายสามารถรับมรดกร่วมกับพี่น้องตามความเป็นจริงแต่ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้ โดยมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลปราศจากความสงสัยตามสมควรมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในเรื่องสิทธิของทายาทโดยธรรมในการรับมรดกตามมาตรา 1629 (3) และ (4) จะเกิดประโยชน์กับทายาทโดยธรรมประเภทญาติในลำดับพี่น้องให้ได้รับความเป็นธรรมและสมดั่งเจตนารมณ์ของผู้ตายอย่างแท้จริง</p> กมลรัตน์ วัฒนาภรณ์วิทย์ Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271701 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 สิทธิที่จะไม่ถูกดำเนินคดีอาญาล่าช้าเกินสมควร : ศึกษากรณีผู้ต้องขังระหว่างดำเนินคดี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/273240 <p>บทความเรื่องนี้เป็นการศึกษาปัญหาความจำเป็นในการคุมขังผู้ต้องหา ปัญหาความล่าช้าในชั้นสอบสวน ปัญหาระยะเวลาที่สั้นที่สุดในการคุมขังผู้ต้องหา ตลอดจนการบริหารจัดการคดีอาญาที่จำเลยถูกขังระหว่าง การพิจารณา เพื่อสิทธิที่จะไม่ถูกดำเนินคดีอาญาล่าช้าเกินสมควร โดยศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส และประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน</p> <p>จากการศึกษาพบว่าทั้ง 3 ประเทศ ใช้หลักในการพิจารณา “ความจำเป็น” ของการคุมขังโดยยึดหลัก ให้การคุมขังเป็นวิธีการชั่วคราวและเป็นมาตรการสุดท้าย โดยตีความคำว่า “ความจำเป็น” ว่าต้องถึงขนาดหรือใกล้ชิดกับการกระทำความผิด มีหลักฐานเพียงพอที่แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิด ระบบการสอบสวนมีการทำงานร่วมกับพนักงานอัยการตั้งแต่การขอออกหมายคุมขัง ตลอดจนการเข้ามามีส่วนร่วม ในการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานอัยการเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ทำให้สามารถลดระยะเวลาในการคุมขัง (ฝากขัง) ได้ ลดความผิดพลาดของการพิจารณาคดี เพื่อเพิ่มความรวดเร็วเป็นธรรมให้แก่ผู้ต้องหา ซึ่งถ้าในชั้นสอบสวนมีประสิทธิภาพเพียงพอ กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาลจะสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การบริหารจัดการคดีอาญา ที่จากเดิมเป็นการพิจารณาคดีเรียงตามลำดับการรับฟ้อง ให้สามารถนำคดีอาญาที่จำเลยต้องขังระหว่างการพิจารณามาพิจารณาก่อนคดีประเภทอื่น</p> <p>ผู้ศึกษาจึงมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยในเรื่องการออกหมายคุมขังโดยพิจารณาถึง “ความจำเป็น” ที่ต้องถึงขนาดหรือใกล้กับการกระทำความผิด โดยให้พนักงานสอบสวนรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอที่จะนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีและรับโทษตามกฎหมาย ให้พนักงานอัยการเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลตั้งแต่เริ่มคดี คือ การพิจารณา “ความจำเป็น” ในการคุมขังอีกชั้นหนึ่งก่อนที่จะยื่นคำร้องขออนุญาตจากศาล และมีส่วนในการสอบสวนคดีอาญาเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจ ที่แท้จริงในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน ตลอดจนการพิจารณาคดีอาญาในชั้นศาลให้มีการบริหารจัดการคดีอาญาที่จำเลยถูกคุมขังระหว่างพิจารณาให้นำมาพิจารณาก่อนคดีประเภทอื่นและต้องพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน เพื่อสอดรับกับหลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหา</p> กุลวดี ศรเดช Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/273240 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กับการคุ้มครองพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/270510 <p>ป่าไม้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานแล้ว ปัจจุบันป่าไม้ยังมีส่วนต่อการพัฒนาประเทศด้วย อาทิ การเป็นแหล่งของทรัพยากรพันธุกรรมที่จำเป็นในภาคอุตสาหกรรม หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แต่จากการศึกษาพบว่าพื้นที่ป่าไม้ได้ลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยสาเหตุประการหนึ่งคือ การนำที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรมมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยให้เหตุผลว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการไม่มีที่ดินทำกินของเกษตรกรและปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งการดำเนินการเช่นนั้นเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันหรือไม่ที่จำนวนประชากรและความต้องการที่ดินทำกินของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้นแต่พื้นที่ป่าไม้ลดลง จึงเป็นที่มาของการศึกษาในครั้งนี้ว่า กฎหมายควรเข้าไปมีบทบาทอย่างไรกับการให้อำนาจรัฐนำที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรมไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อนำไปสู่การมีข้อเสนอแนะที่เหมาะสมทั้งในด้านนโยบายและมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม</p> <p> จากการศึกษาถึงประเภทของที่ดินที่รัฐประสงค์จะนำมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และประเภทของที่ดินที่ต่างประเทศนำมาใช้แก้ไขปัญหาการไม่มีที่ดินทำกินของเกษตรกร พบว่าโดยเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แรกเริ่มกฎหมายต้องการนำที่ดินของเอกชนมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในระยะแรกเริ่มและเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้อย่างยั่งยืน รวมทั้งไม่มีมูลเหตุจูงใจให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพิ่มเติม โดยมีเป้าประสงค์เพื่อจะให้รัฐนำที่ดินดังกล่าวมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินในอนาคต รัฐจึงไม่ควรนำที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรมมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอีกต่อไป และยกเลิกมาตรา 26 (4) แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518</p> เฉลิมชัย ศรีจันทร์ Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/270510 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 กฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/270971 <p>ปัญหาน้ำท่วมเป็นปัญหาที่สืบเนื่องจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าเป็นปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาตามฤดูกาล พื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่ระบายน้ำ การก่อสร้างขวางทางน้ำ การบริหารจัดการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ดินทรุดตัว ตลอดจนระดับน้ำทะเล โดยการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลนั้นมีบทบาทสำคัญต่อปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับทะเล หรือพื้นที่ที่มีความสูงห่างจากระดับน้ำทะเลในปริมาณน้อย ในกรณีนี้ จึงทำให้พื้นที่หรือเมืองดังกล่าวเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม สำหรับประเทศไทยกรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงในการได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเมืองเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1.5 เมตร ในขณะที่ประสบปัญหาดินทรุดตัวโดยมีอัตราเฉลี่ยปีละ 1.5-2 เซนติเมตร ด้วยเหตุนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองจึงต้องพิเคราะห์และมุ่งพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเมืองกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปัจจุบันได้มีการตรากฎหมายเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดินทรุดตัวเนื่องจากการสูบและใช้น้ำบาดาลแล้ว แต่ยังไม่มีกฎหมายและมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล กรณีดังกล่าวนี้อาจเป็นข้อจำกัดในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลดังกล่าวนี้เป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงมุ่งศึกษาและวิเคราะห์กฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและมาตรการให้ครอบคลุมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองกรุงเทพมหานครเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เมืองกรุงเทพมหานคร รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร</p> ชัญญานุช กาญจนประเสริฐ Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/270971 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยสำคัญอันมีอิทธิพลต่อการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับการสมรส https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271689 <p>กฎหมายครอบครัวเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างสมาชิกในครอบครัวรวมถึงคู่สมรสด้วย และยังเป็นที่รู้จักในฐานะกฎหมายที่มีพัฒนาการมาจากวัฒนธรรมประเพณี ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการจัดทำและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครอบครัว จะมีข้อโต้แย้งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้เน้นย้ำถึงความเป็นจารีตประเพณีของกฎหมายครอบครัวและเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องสงวนรักษาจารีตประเพณีท้องถิ่น และไม่นำเข้าหลักการจากต่างประเทศเข้ามาในกฎหมาย แม้ว่าประเพณีควรพัฒนาตามยุคสมัยและมีพลวัตร บทความฉบับนี้จะนำเสนอปัจจัยสำคัญอันนำไปสู่การจัดทำกฎหมายครอบครัวสมัยใหม่ของไทยในชื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยศึกษาในทางประวัติศาสตร์</p> ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271689 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 ความผิดเกี่ยวกับเพศ: ศึกษากรณีการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/274814 <p>ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยในปัจจุบัน ถุงยางอนามัยเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันทางเพศอย่างหนึ่งที่บุคคลทั่วไปมักเลือกใช้ เนื่องจากประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุม ทั้งจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และจากการติดโรคติดต่อทางเพศ อีกทั้งยังเป็นมาตรการที่มีผลกระทบน้อยและสามารถกระทำได้โดยง่าย การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการป้องกันทางเพศที่ได้รับการยอมรับจากสังคม อย่างไรก็ดี แม้ว่าถุงยางอนามัยจะมีประโยชน์ในการทำให้การมีเพศสัมพันธ์เป็นไปโดยปลอดภัย แต่ในการมีเพศสัมพันธ์ของบุคคลกลับเกิดการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอมขึ้น ซึ่งการหลอกลวงนี้ส่งผลให้ผู้อื่นตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากขึ้น และเมื่อในการมีเพศสัมพันธ์คู่กรณีได้ตกลงยินยอมกันไว้ในเงื่อนไขว่าจะต้องกระทำโดยใช้ถุงยางอนามัยเท่านั้น เมื่อคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันโดยไม่แจ้งหรือปกปิดข้อมูลเท็จจริงไม่ให้อีกฝ่ายทราบ เพื่อไม่ให้คู่กรณีฝ่ายที่ร้องขอเงื่อนไขการใช้ถุงยางอนามัยได้มีโอกาสปฏิเสธ ย่อมทำให้เกิดข้อถกเถียงว่ากรณีถือว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นกระทำลงโดยได้รับความยินยอมหรือไม่</p> <p>โดยเมื่อพิจารณาแนวคิดทฤษฎี กฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยงข้อง เห็นว่า ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และมาตรา 278 ความผิดฐานกระทำอนาจาร ทั้งสองกรณีบัญญัติยอมรับความไม่ยินยอมเพียงสี่กรณีคือ “โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น” เท่านั้น อันเป็นการยอมรับความยินยอมอย่างจำกัด ทำให้การกระทำที่ทำลงโดยปราศจากความยินยอมก็อาจไม่เป็นความผิดตามกฎหมายได้ หากไม่ใช่การกระทำลักษณะในใดลักษณะหนึ่งที่กฎหมายยอมรับ ซึ่งจากการศึกษาการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอมในต่างประเทศพบว่า ในขณะที่บางประเทศมีคำพิพากษาวางแนวทางทางกฎหมายไว้ แต่บางประเทศ เช่นประเทศสิงคโปร์และประเทศออสเตรเลียแก้ไขปัญหา โดยแก้ไขบทกฎหมายเพิ่มเติมการกระทำโดยหลอกลวงเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอมว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดอันทำให้กฎหมายมีความชัดเจนแน่นอน</p> <p>ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ให้ยอมรับการหลอกลวงเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความยินยอมเป็นรูปแบบการกระทำที่ผู้ถูกกระทำไม่ยินยอมแก่การกระทำ โดยกำหนดให้เป็นความผิดอีกฐานความผิดหนึ่ง และกำหนดนิยามของถุงยางอนามัย เพื่อให้กฎหมายมีความชัดเจนแน่นอน</p> <p> </p> ณัฐธิดา โฆสิตาภา Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/274814 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาเกี่ยวกับสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/273729 <p>ความชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของกิจการภายใต้กฎหมายไทยเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายและการกำหนดสภาพบังคับของกฎหมายให้มีความแน่นอน โดยในกรณีของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ผ่านพ้นช่วงเวลาของการวินิจฉัยตีความว่าเป็นกิจการที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 โดยผลของความเห็นทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่พิจารณาจากสถานะของผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นในสัดส่วนเกินกว่าร้อยละห้าสิบของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นสำคัญ ในขณะที่เมื่อกฎหมายฉบับต่างๆ มีพัฒนาการและมีการแก้ไขจนส่งผลให้สถานะของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบดังกล่าวสร้างแรงกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไปยังสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้หลุดพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การหลุดพ้นจากสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเพียงเฉพาะกฎหมายบางฉบับ ในขณะที่บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน แม้ว่าจะไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณก็ตาม ความซับซ้อนและความยุ่งยากของกฎหมายไทยในเรื่องของบทนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายในประเทศยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่สอดคล้องต้องกันทั้งระบบ ดังตัวอย่างของบริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในบทความนี้ แนวทางจำเป็นที่จะลดข้อจำกัดอันนำไปสู่การวินิจฉัยตีความสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจคือการมีกฎหมายแม่บทขึ้นเพื่อกำหนดกิจการรัฐวิสาหกิจให้ต้องถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายเดียวกัน</p> ณัฐวุฒ ไพศาลวัฒนา Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/273729 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 การควบคุมการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271704 <p>บทความนี้เป็นการศึกษาการควบคุมการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่เกี่ยวกับการกระทำของรัฐบาล และ 2) เสนอแนวทางการควบคุมตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญ ขอบเขตของการศึกษาในครั้งนี้ผู้ศึกษาทำการเปรียบเทียบแนวคิดการกระทำของรัฐบาลจากระบบกฎหมายประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมันกับไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์แนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของรัฐบาล</p> <p>จากการศึกษาพบว่า การควบคุมตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญขยายขอบเขตการควบคุมมากเกินไปเท่ากับว่าการบริหารราชการแผ่นดินต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อนจึงเป็นการขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ ปัญหาการควบคุมตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญทั้งก่อนการกระทำของรัฐบาลมีผลในทางกฎหมายและภายหลังการกระทำของรัฐบาลมีผลผูกพันในทางกฎหมายปรากฎใน 3 ลักษณะกล่าวคือ ความไม่เจาะจงของถ้อยคำในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ขอบเขตอำนาจในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและการขาดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการกระทำของรัฐบาล</p> <p>ผู้ศึกษาจึงมีข้อเสนอแนะแนวทางการควบคุมตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลโดยศาลรัฐธรรมนูญด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาการกระทำของรัฐบาลประกอบด้วย องค์กรผู้ใช้อำนาจ ลักษณะการกระทำและฐานหรือที่มาของอำนาจ โดยมีลำดับขั้นการพิจารณาควบคุมตรวจสอบออกเป็น 2 ลำดับขั้นที่สำคัญ กล่าวคือ ลำดับขั้นที่หนึ่ง การพิจารณาขอบเขตการควบคุมตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญให้สิ้นสุดหยุดลงตามข้อบัญญัติที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ ลำดับขั้นที่สอง หากปรากฏข้อความที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่เจาะจง มีลักษณะเป็นนามธรรมไม่ชัดแจ้ง ขอบเขตพิจารณาควบคุมตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญต่อถ้อยคำของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ไม่เจาะจงจะทำการตรวจสอบในขอบเขตตามลำดับดังนี้ ก) การอ้างอิงหลักฐานหรือข้อเท็จจริงมาเป็นเหตุเพื่ออธิบายถ้อยคำที่ไม่เจาะจงของบทบัญญัติครบถ้วนและสมบูรณ์ ข) หลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่นำมากล่าวอ้างเพื่ออธิบายถ้อยคำที่ไม่เจาะจงสามารถอธิบายถึงความหมายของถ้อยคำดังกล่าวได้ถูกต้อง ค) การใช้เครื่องมือหรือวิธีการอื่นใดเฉพาะในการประเมินถ้อยคำที่ไม่เจาะจงหรือในการพิสูจน์ชี้ชัดว่าถ้อยคำไม่เจาะจงตามที่กล่าวอ้างเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากมีเครื่องมือหรือวิธีการประเมินเฉพาะที่สามารถพิสูจน์ทราบถ้อยคำที่ไม่เจาะจงดังกล่าวได้ หากฝ่ายบริหารไม่ได้ดำเนินการด้วยเครื่องมือหรือวิธีการข้างต้นส่งผลให้ฝ่ายบริหารบกพร่อง ง) การให้เหตุผลเหมาะสมสอดคล้องกับถ้อยคำที่ไม่เจาะจง จ) การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายอย่างถูกต้องชัดเจนและสมเหตุสมผล</p> <p> </p> <p> </p> พิชิต รัชตพิบูลภพ Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/271704 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาของผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/272354 <p>จากการศึกษาถึงอำนาจการฟ้องคดีของผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พบว่ามีปัญหาสำคัญ 2 ประการ ปัญหาประการแรก คือ ปัญหาของความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีบทบัญญัตินี้ เพราะหากไม่มีบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สิทธิในการฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหายที่แท้จริงซึ่งสมรสแล้วและมีฐานะเป็นภริยาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ส่วนมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แม้ว่าวรรคนี้ ในอดีตจะเคยมีความสำคัญมาก เนื่องจากก่อนที่จะมีการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีกันได้เช่นในปัจจุบันนี้ หญิงมีสามีไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินคดีอาญาแทนตนได้เลยนอกจากสามีของตน เพราะศาลฎีกาเคยวางหลักว่าผู้เสียหายไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องคดีแทนตนได้ แต่เมื่อศาลฎีกากลับหลักเดิมและวางหลักใหม่ว่า ผู้เสียหายสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องคดีแทนได้ มาตรา 4 วรรคสองก็หมดความสำคัญลงไป</p> <p>ปัญหาประการที่สอง คือ บทบัญญัติมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากมีลักษณะของบทบัญญัติที่ไม่เสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนให้เห็นความคิดที่ไม่เท่าเทียมมาตั้งแต่แรกว่า ผู้ชายสามารถฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีบทบัญญัติใด ๆ เพื่อรับรองหรือยืนยันว่ามีสิทธิ แต่ในทางกลับกันสำหรับผู้หญิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น อีกทั้ง ในมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ให้อำนาจเฉพาะกรณีสามีเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนภริยาได้เท่านั้น ส่วนภริยาไม่มีอำนาจจัดการแทนสามีหากมีการกระทำความผิดต่อสามีเกิดขึ้นได้</p> <p>จากผลการศึกษาข้างต้น ผู้เขียนจึงมีข้อเสนอแนะให้ยกเลิกบทบัญญัติมาตรา 4 ทั้งสองวรรค ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างไรก็ตาม หากไม่ยกเลิกบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้เขียนขอเสนอให้แก้ไขบทบัญญัติให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม โดยให้ใช้คำว่า “คู่สมรส” แทนคำว่า “หญิงมีสามี” “หญิง” “สามี” และ”ภริยา” </p> <p> </p> เพียรรัตน์ ลีลาพงศธร Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/272354 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายในการสร้างหลักประกันสิทธิแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการมีสิทธิได้รับแสงสว่าง (Right to Light) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/272740 <p>บทความนี้มุ่งศึกษาปัญหาการประกันสิทธิในการได้รับแสงสว่างของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ (Right to Light) กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงที่มีการอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เจริญขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความต้องการใช้พื้นที่มากขึ้นในปริมาณพื้นที่จำกัด จึงต้องปรับตัวโดยลดปริมาณการใช้พื้นที่แนวนอนลงและเพิ่มปริมาณพื้นที่ในแนวตั้งมากขึ้น อันนำมาซึ่งความเสี่ยงในการปิดกั้นทางแสงส่องของพื้นที่ข้างเคียง ทั้งการอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับแสงอาทิตย์จะส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายและสุขภาพของผู้อยู่อาศัยหลายประการ เมื่อมีคดีข้อพิพาทในการปิดกั้นทางแสงอาทิตย์ขึ้นสู่ศาล ศาลยุติธรรมได้พยายามตีความกฎหมายละเมิดเพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับแสงสว่างแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี การไม่มีบทบัญญัติกฎหมายคุ้มครองสิทธิในการได้รับแสงสว่างเป็นการเฉพาะ จะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องแบกรับไปตลอดว่าอาจมีการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือต่อเติมอาคารอื่นใดขึ้นใหม่ที่ปิดกั้นทางแสงของตน</p> <p>ตามปัญหาดังกล่าว บทความนี้ใช้วิธีการศึกษามาตรการตามตราสารระหว่างประเทศในแง่ของการประกันสิทธิในการได้รับแสงสว่างเป็นสิทธิมนุษยชน สิทธิในสุขภาพ และสิทธิในทรัพย์สิน อาทิ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ปฏิญญาการประชุมขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา รวมถึงมาตรการทางกฎหมายของประเทศอังกฤษและประเทศญี่ปุ่นที่มีการประกันสิทธิแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการมีสิทธิได้รับแสงสว่างเพื่อหาข้อเสนอให้กับประเทศไทย</p> <p>จากการศึกษา บทความนี้ขอเสนอแนวทางการสร้างหลักประกันสิทธิแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการมีสิทธิได้รับแสงสว่างแก่ประเทศไทยดังนี้ ประการที่ 1 เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อย่างไรก็ดี การเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีกระบวนการทางนิติบัญญัติที่ค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลานาน เพื่อให้ทันต่อการขยายตัวของสภาพเศรษฐกิจและสังคมจึงนำมาสู่ข้อเสนอแนะประการที่ 2 ขยายความสิทธิตามบทบัญญัติกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ให้ครอบคลุมถึงสิทธิในการได้รับแสงสว่าง ประการที่ 3 เพิ่มเติมบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประการที่ 4 เพิ่มเติมกลไกการประกันสิทธิในการได้รับแสงสว่างจากบัญญัติกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ และประการที่ 5 เพิ่มความร่วมมือระหว่างองค์กร พบว่าในทางระหว่างประเทศได้ยอมรับสิทธิในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืนเป็นสิทธิมนุษยชนสากล ส่วนประเทศอังกฤษได้รับรองสิทธิในการได้รับแสงสว่างเป็นทรัพยสิทธิ และประเทศญี่ปุ่นได้ยอมรับสิทธิในการได้รับแสงสว่างเป็นสิทธิของพลเมือง ดังนั้น ประเทศไทยจึงสมควรสร้างหลักประกันสิทธิแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการมีสิทธิได้รับแสงสว่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p> </p> แพร ปัญจมนัส Copyright (c) 2024 Graduate Law Journal http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/gradlawtujournal/article/view/272740 Wed, 25 Sep 2024 00:00:00 +0700