วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru
<p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี </p> <p>Humanities and Social Sciences Journal, Ubon Ratchathani Rajabhat University </p> <p>ISSN 3088-2656 (Print)</p> <p>ISSN 3088-2664 (Online)</p> <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและผลงานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผลงานที่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ในวารสารจะต้องมีสาระน่าสนใจ เป็นงานที่ทบทวนความรู้เดิม หรือองค์ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย รวมทั้งข้อคิดเห็นทางวิชาการที่เป็นประโยชน์</p> <p>กำหนดพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ได้แก่</p> <p>ฉบับที่ 1 (เดือนมกราคม - มิถุนายน) </p> <p>ฉบับที่ 2 (เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม)</p> <p>โดยทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) บุคคลภายนอก ที่มาจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิก หรือ สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี</p>
วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
th-TH
วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
3088-2656
-
เพลงแม่น้ำโขง: พรมแดนรัฐชาติ ความทรงจำและสำนึกร่วมวัฒนธรรมของคนสอง ฝั่งแม่น้ำโขง
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/276168
<p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ที่ปรากฏในเพลงแม่น้ำโขง โดยใช้แนวคิดเรื่องพรมแดนรัฐชาติ แนวคิดสำนึกร่วมทางวัฒนธรรมและแนวคิดความทรงจำทางสังคม โดยศึกษาวิเคราะห์เพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่น้ำโขงจำนวน 5 เพลง ที่กล่าวถึงเนื้อหาพรมแดนรัฐชาติ ความทรงจำ สำนึกร่วมทางวัฒนธรรม ได้แก่ เพลงสองฝั่งโขง ประพันธ์โดย สุลิวัด ลัดตะนะสะหวัน เพลงวอนปู่ศรีสุทโธ ประพันธ์โดย ปอยฝ้าย มาลัยพร เพลงอ้อมกอดเขมราฐ ประพันธ์โดย ภูศิลป์ วารินรักษ์ เพลงเสียงจากลาว ประพันธ์โดยนก พรพนา และเพลงรำวงลำโขงลำรัก ประพันธ์โดยธาตรี</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า เพลงแม่น้ำโขงทั้ง 5 เพลง ผู้ประพันธ์ได้มีการกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) แม่น้ำโขงที่ว่าด้วยตำนานและการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ 2) แม่น้ำโขงที่ว่าด้วยพรมแดนรัฐชาติและความทรงจำคนสองฝั่งแม่น้ำโขง 3) ประเพณีพิธีกรรมกับการสลายเส้นพรมแดนรัฐชาติชั่วคราว และ 4) แม่น้ำโขงกับการสร้างสำนึกร่วมในความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน</p>
กิติราช พงษ์เฉลียว
กอบชัย รัฐอุบล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
46
58
-
การนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่นผ่านเรื่องเล่าลายผ้า บ้านโนนสวาง ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/276107
<p>บทความนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่นผ่านเรื่องเล่าลายผ้า บ้านโนนสวาง ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งลายผ้าทอนี้มีความหลากหลาย แฝงนัยยะสำคัญและแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชน พบว่า มี 3 ด้าน คือ 1) อัตลักษณ์ท้องถิ่นด้านวิถีชีวิต พบจำนวน 5 ลาย ได้แก่ ลายฮั้วอ้อมบ้าน ลายตุ้มโฮม ลายดอกตำลึง ลายตะขอเบ็ด และลายดอกพิกุล 2) อัตลักษณ์ท้องถิ่นด้านภูมินิเวศวัฒนธรรมพบจำนวน 3 ลาย ได้แก่ ลายเต่างับ ลายนกยูง และลายดาวลูกไก่ 3) อัตลักษณ์ท้องถิ่นด้านประเพณี พิธีกรรมความเชื่อ พบจำนวน 6 ลาย ได้แก่ ลายหอปราสาท ลายรวงข้าว ลายนาคคู่ ลายพญานาค ลายแมลงปอ และลายซุ้มราตรี ซึ่งลวดลายผ้าทอเหล่านี้ล้วนมีตำนานเรื่องเล่าและแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนได้เป็นอย่างดี</p>
สาคร ฉลวยศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
71
84
-
ไข่ผำในบริบทเศรษฐกิจสุขภาพอย่างยั่งยืนของหมู่บ้านราชธานีอโศก
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279666
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">บทความเรื่องไข่ผัมในสถานะสุขภาพที่ยั่งยืนของหมู่บ้านราชธานีอโศกภาพรวมเพื่อนำเสนอตัวอย่างที่คุณค่าทางโภชนาการสูง นำไปสู่การพัฒนาชุมชนเนศรฐกิจสุขภาพของหมู่บ้านราชธานีอโศกผลการศึกษาค้นคว้าการผลิตและแปรรูปไข่ผั... 310,000 บาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและขยายตลาดบ้างไข่ผัำจึงทำให้สามารถมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนที่บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นผลสำเร็จต่ออาหารทางโภชนาการและการควบคุมของชุมชน</span></span></p>
ขวัญหินแก้ว รักพงษ์อโศก
เศวตาภรณ์ ตั้งวันเจริญ
ถนอมพรรณ ตริวณิชชากร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
326
336
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรประจำสำนักงานอัยการสูงสุดในการใช้งานสารบบคดีอิเล็กทรอนิกส์: กรณีศึกษาหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 2
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277932
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับประสิทธิภาพ พฤติกรรมการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงาน 2) เปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ 4) เสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การวิจัยครั้งนี้เป็นเชิงปริมาณ ประชากร จำนวน 326 คน กำหนดตัวอย่างใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 180 คน เลือกการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการเก็บรวมรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย 1) ระดับประสิทธิภาพ พฤติกรรมการยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปัจจัยจูงใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีระดับความคิดเห็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ปัจจัยพฤติกรรมการยอมรับการเปลี่ยนแปลงด้านเปิดรับสิ่งใหม่และปัจจัยจูงใจด้านความมั่นคงในการทำงาน ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านความรับผิดชอบที่สำคัญในงาน ด้านการได้รับการยอมรับ และด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานสารบบคดีอิเล็กทรอนิกส์ ด้านคุณภาพของงานควรฝึกพัฒนาการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ ด้านปริมาณงานควรมอบหมายงานให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ด้านความทันเวลาควรออกรายงานได้ทันทีที่มีการบันทึกข้อมูลลงสารบบ และด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าควรใช้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ</p>
kanokpich sripheangmol
นพพล อัคฮาด
พนมพัทธ์ สมิตานท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
1
15
-
การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลและคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความ เชื่อมั่นให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด จังหวัดมหาสารคาม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/276207
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด และ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริการที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด สมมติฐานการวิจัย 1) การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของสมาชิกของสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด จังหวัดมหาสารคาม 2) คุณภาพการบริการส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกผู้ใช้บริการสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด จำนวน 340 คน โดยใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน่ และการสุ่มตัวอย่าง อย่างง่าย (Simple Random Sampling) การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณในการทดสอบสมมติฐาน </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สมาชิกให้ความสำคัญต่อการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล 3 ด้าน คือ หลักนิติธรรม หลักความมีส่วนร่วม และหลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความเชื่อมั่น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ดังแสดงตามสมการในรูปแบบมาตรฐานดังนี้ Y = 0.226X1 + 0.237X4 + 0.209X5 เกี่ยวกับคุณภาพการบริการ 3 ด้าน คือ การเข้าใจรับรู้ความต้องการ การสื่อสาร และการเข้าถึงบริการ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นดังแสดงตามสมการในรูปแบบมาตรฐานดังนี้ Y = 0.229X7 + 0.249X11 + 0.229X12 ตามลำดับ และความเชื่อมั่น พบว่า โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการดำเนินงาน รองลงมา ด้านบุคลากร และด้านภาพลักษณ์ ตามลำดับ การให้บริการที่มีคุณภาพสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรพยัคฆภูมิพิสัย จำกัด ภายใต้หลักการบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้องค์การสหกรณ์สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องต่อไป</p>
ลักขณา นิลเอก
วีระกิตติ์ เสาร่ม
กชนิภา วานิชกิตติกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
16
30
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมือง สองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277626
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) อิทธิพลต่อการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประชากร คือประชาชนในเขตปกครองของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง จำนวน 11,967 คน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 387 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณและการวิเคราะห์เส้นทาง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ในภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากและการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) อิทธิพลต่อ การนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย ตัวแปรอิสระทั้ง 6 ตัว คือ วัตถุประสงค์ของนโยบาย ความเพียงพอของทรัพยากร ลักษณะของหน่วยงาน การวางแผนและควบคุม สมรรถนะองค์การ และการสนับสนุนจากประชาชน ปัจจัยด้านวัตถุประสงค์ของนโยบาย สมรรถนะองค์การ การสนับสนุนจากประชาชนมีอิทธิพลทางตรงและเป็นบวกต่อการนำนโยบายด้านสวัสดิการสังคมไปปฏิบัติของเทศบาลเมืองสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี</p>
ศรัณย์ ฐิตารีย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
31
45
-
ระบบเสียงภาษาไทยถิ่นอีสาน (ลาว) ที่พูดในอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278748
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบเสียงและคำศัพท์ของภาษาถิ่นอีสาน (ลาว) ที่พูดในอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้บอกภาษา จำนวน 3 คน ซึ่งมีอายุ 50 ปี ขึ้นไป ที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลในเมือง ตำบลหนองญาติ และตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม คำศัพท์สำหรับเก็บข้อมูลเสียงวรรณยุกต์ อาศัยรายการคำสำหรับเก็บข้อมูลเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทถิ่นของวิลเลียม เจ. เก็ดนี่ (William J. Gedney) จำนวน 60 คำ ผลการศึกษา พบว่า ระบบเสียงภาษาถิ่นอีสาน (ลาว) ที่พูดในอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ประกอบด้วย หน่วยเสียงสระ 21 หน่วยเสียง แบ่งเป็นสระเดี่ยว 18 หน่วยเสียง ได้แก่ /i/, /ɨ/, /u/, /e/, /ǝ/, /o/, /ε/, /ɔ/, /a/, /ii/, /ɨɨ/, /uu/, /ee/, /ǝǝ/, /oo/, /εε/, /ɔɔ/, /aa/ และสระประสม 3 หน่วยเสียง ได้แก่ /ia/, /ɨa/, /ua<strong>/</strong><strong> </strong>หน่วยเสียงพยัญชนะ 20 หน่วยเสียง ได้แก่ /p-, t-, k-, ʔ-, ph-, th-, kh-, b-, d-, f-, c-, s-, h-, m-, n-, ñ-, ŋ-, l-, w-, y-/ โดยสามารถเป็นหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ 9 หน่วยเสียง ได้แก่ /-p, -t, -k, -ʔ, -m, -n, -ŋ, -w, -y/ และมีหน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้ำ 2 หน่วยเสียง ส่วนหน่วยเสียงวรรณยุกต์ มี 6 หน่วยเสียง และสามารถเก็บรวบรวมคำศัพท์ได้ทั้งสิ้น 2,214 คำ แบ่งเป็นหมวดหมู่คำศัพท์ออกเป็น 20 หมวด</p>
Punhaya Shivaniphat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
59
70
-
ชนิดของตัวบทและลักษณะภาษาอังกฤษในสื่อออนไลน์ของแหล่งท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279583
<p>ภาษาอังกฤษในสื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย เพื่อนำเสนอข้อมูลและดึงดูดนักท่องเที่ยว งานวิจัยนี้ศึกษาชนิดของตัวบทและลักษณะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในสื่อออนไลน์ ของแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย โดยศึกษาข้อมูลจาก 174 ข้อความ ใน 29 เว็บไซต์ ที่เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2565 ซึ่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด 19 และวิเคราะห์ความคิดเห็นจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ การตลาด และการท่องเที่ยว เกี่ยวกับความสำคัญของชนิดของตัวบทและลักษณะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ผลการศึกษาพบว่า มีการใช้ชนิดของตัวบท 5 ประเภท ในความถี่ที่ต่างกัน ได้แก่ การอธิบายความ ที่มีความถี่มากที่สุด รองลงมาคือ การบรรยาย การชักชวน และการเล่าเรื่องมีความถี่น้อยตามลำดับ ส่วนกระบวนการ มีความถี่น้อยที่สุด นอกจากนี้ ความแตกต่างระหว่างผลการวิเคราะห์ข้อความและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างหลักการและการปฏิบัติจริง โดยผู้ผลิตสื่ออาจเน้นการใช้ชนิดของตัวบทประเภทบรรยายเพื่อสร้างความน่าสนใจ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอาจให้ความสำคัญกับการใช้ชนิดของตัวบทประเภทการอธิบายความที่ชัดเจนเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ข้อค้นพบในงานวิจัยนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเลือกใช้และการผสมผสานชนิดของตัวบทที่หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสารและบริบทที่เกี่ยวข้องของแหล่งข้อมูล จึงช่วยให้ผู้ประกอบการหรือผู้สนใจนำไปใช้เป็นแนวทางการสร้างเนื้อหาประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวผ่านสื่อออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพในการสื่อสารและดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิผลได้</p> <p><strong> </strong></p>
Nattharakan Khamchaiwut
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
99
117
-
แนวทางการปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277290
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการเข้าศึกษาในสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 200 คน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ประกอบการผู้ใช้บัณฑิตหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ใช้บัณฑิตสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 48 คน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ระดับปริญญาตรี 60 คน และ 4) เพื่อหาแนวทางปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการเข้าศึกษาแบบสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตและความพึงพอใจในหลักสูตร ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สถิติใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ผู้ตอบแบบสอบถามไม่สนใจเรียนสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 67.5) เพราะไม่ถนัดด้านภาษาอังกฤษ (ร้อยละ 40)</li> <li>ผู้ใช้บัณฑิตพึงพอใจในการใช้บัณฑิตภาพรวมอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 3.74 (S.D.) 1.53</li> <li>นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มีความพึงพอใจในการใช้หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจภาพรวมอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.04 (S.D.=0.88)</li> <li>แนวทางในการปรับปรุงหลักสูตร ควรมีการประเมินหลักสูตรให้ครบทั้งเอกสารหลักสูตรการจัด การเรียนของผู้สอน พฤติกรรมการเรียนและผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนผู้ประกอบการและเมื่อสิ้นปีการศึกษาควรมีการนิเทศ ผลการดำเนินการและควรมีการพัฒนาและปรับปรุงอยางต่อเนื่องเพื่อทราบแนวทางในการบริหารหลักสูตรในครั้งต่อไป</li> </ol>
Jidapa Chokhirannakin
พัทธนันท์ สุจริตจันทร์
นิติรัตน์ อุทธชาติ
ณัฐธิดา สุจริตจันทร์
จุฑามณี ทิพราช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
118
128
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อความจงรักภักดีของสมาชิกสหกรณ์การเกษตร กรณีศึกษา: สหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/276808
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม 2) เพื่อศึกษาความจงรักภักดีของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกผู้ใช้บริการสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จำนวน 344 คน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณในการทดสอบสมมติฐาน </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านการส่งเสริมการตลาด 2) ความจงรักภักดีโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านความพึงพอใจ ด้านความตั้งใจซื้อซ้ำ และด้านการบอกต่อ ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านบุคลากร มีผลกระทบเชิงบวกต่อความจงรักภักดีของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด จังหวัดมหาสารคาม (Y = 0.456 X<sub>6</sub> + 0.256 X<sub>7</sub>) การนำปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมาปรับใช้ในธุรกิจของสหกรณ์ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะช่วยให้สหกรณ์บรรลุเป้าหมายทางการตลาด ส่งผลทำให้สมาชิกเกิดความพึงพอใจ มีการบอกต่อ และกลับมาใช้บริการซ้ำ สร้างความจงรักภักดีให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรแกดำ จำกัด โดยแสดงให้เห็นว่าภายใต้การบริหารจัดการปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสหกรณ์บรรลุเป้าหมายทางการตลาด ยังช่วยให้สมาชิกได้รับสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ มีความพึงพอใจในสินค้าและบริการ ส่งผลให้สมาชิกมีความจงรักภักดีต่อสหกรณ์ ทำให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งและมั่นคงเป็นที่พึ่งของมวลสมาชิกสหกรณ์</p>
ทองสุข ทองสาดี
วีระกิตติ เสาร่ม
นาวา มาสวนจิก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
173
190
-
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนนำร่อง พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/275536
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการบริหารของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ และ 4) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 16 คน และครูผู้สอน จำนวน 335 คน ของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ รุ่นที่ 1-3 กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.751 4) ปัจจัยการบริหารสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ ได้ร้อยละ 66.30</p> <p> สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ ได้ดังนี้</p> <p> = 1.390 + 0.282X<sub>4 </sub>+ 0.179X<sub>2</sub> + 0.162X<sub>1 </sub>+ 0.180X<sub>5 </sub>– 0.118X<sub>3</sub></p> <p> สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p> = 0.490Z<sub>4</sub> + 0.274Z<sub>2</sub> + 0.193Z<sub>1</sub> + 0.248Z<sub>5</sub> – 0.182Z<sub>3</sub></p>
ประดิษฐ์ อร่ามเรือง
พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง
สมาน อัศวภูมิ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
191
206
-
ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277063
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 4) ศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้มาโดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน จากสถานศึกษา 83 แห่ง จำแนกเป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดใหญ่พิเศษ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 227 คน และครู จำนวน 3,221 รวมทั้งสิ้น 3,448 คน ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 346 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 23 คน จากและครูผู้สอน จำนวน 323 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และเทียบสัดส่วนตามขนาดของสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและสมการถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด </p> <p> 2) ระดับความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด </p> <p> 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21กับความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.770</p> <p> 4) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในสถานศึกษา ได้แก่ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ และทักษะการสื่อสาร ได้ร้อยละ 59.30 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้</p> <p> สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ ได้ดังนี้</p> <p> สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p> </p>
จันทนีย์ กมลศรี
จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์
พิมล วิเศษสังข์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
207
222
-
ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาและความตระหนักในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278897
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วิจัยนี้สำรวจผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับชุมชนชุมชนเป็นฐานระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนและ 2) ความรู้ความเข้าใจในองค์ประกอบวัฒนธรรมท้องถิ่นของนักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้การจัดการชุมชนเป็นฐานเป้าหมายการวิจัยนักเรียนคือชั้นประถมศึกษาปีที่วัดนาอำเภอสวีจังหวัดชุมพรสำนักเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คนองค์ประกอบการวิจัยคือ1) โครงสร้างองค์กรการเรียนรู้จำนวน 7 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนรายวิชาสังคม 3) แบบประเมินความสำรวจในการวิจัยวัฒนธรรมท้องถิ่น (ฉบับครูประเมิน) และ 4) แบบประเมินความเก็บข้อมูลในวัฒนธรรมวัฒนธรรม (ฉบับนักเรียนประเมิน) การศึกษาวิจัยท้องถิ่นข้อมูลวิเคราะห์นักเรียนวิจัยและวิเคราะห์มาตรฐานและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ผลการวิจัยพบ</span></span></p> <ol> <li><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ในชุมชนส่วนต่างๆ ของชุมชนเป็นฐานรายวิชาสังคมศึกษาเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนและเรียนก่อนและมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เฉลี่ยถ่วงดุล 64.92 นักเรียนมีพัฒนาการในระดับสูง</span></span></li> <li><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">มุมมองในวัฒนธรรมท้องถิ่นของนักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้การจัดการชุมชนต่างๆ เนื้อหาจากแบบประเมินความในการวิจัยเป็นฐานวัฒนธรรมท้องถิ่น (ฉบับครูประเมินนักเรียน) มีคะแนนเฉลี่ยทั่วไปและส่วนประกอบในการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นจากแบบประเมินความประกอบในไดรฟ์วัฒนธรรมท้องถิ่น (ฉบับนักเรียนประเมิน) มีคะแนนเฉลี่ยดูมากที่สุดและจากแหล่งข้อมูลเชิงวิเคราะห์นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น มีความรู้สึกชื่นชมและยกย่องวัฒนธรรมท้องถิ่น</span></span></li> </ol>
napaporn khompat
ธีรศักดิ์ สุขสันติกมล
พีชาณิกา เพชรสังข์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
223
237
-
กลวิธีในการแสดง: บทบาทหนุมานในการแสดงโขนตอน ศึกวิรุญจำบัง
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/275465
<p>บทความวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นศึกษากระบวนการรบของหนุมานในเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกวิรุญจำบัง ตามแนวทางครูกรี วรศะริน ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์-โขน) พ.ศ. 2531 โดยศึกษาผ่านอาจารย์วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผู้ได้รับถ่ายทอด การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการแสดงกระบวนการรบหนุมานรบวิรุญจำบังในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกวิรุญจำบัง มีวิธีการดำเนินงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยลงภาคสนามปฏิบัติท่ารำและเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารวิชาการเพื่อนำมาวิเคราะห์กระบวนการรบหนุมานรบวิรุญจำบัง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการรบในการแสดงโขนประเภทโขนหน้าจอ เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกวิรุญจำบังตามบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ในกระบวนการรบหนุมานรบวิรุญจำบังแบ่งออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่ 1) กระบวนการค้นฟองน้ำของหนุมาน ประกอบด้วยกระบวนท่าติดตามและกระบวนท่าค้นฟองน้ำของหนุมาน 2) กระบวนการรบของหนุมานรบวิรุญจำบัง ประกอบด้วย กระบวนท่าท้ารบ กระบวนท่าเตรียมตัวรบ กระบวนท่ารบและกระบวนท่าแย่งกระบอง 3) กระบวนการสังหารวิรุญจำบัง ประกอบด้วยกระบวนท่าตีวิรุญจำบังด้วยกระบอง และกระบวนท่าเดินทางของหนุมาน โดยใช้เพลงหน้าพาทย์ที่กำหนดตามจารีตประกอบการแสดงตามครูกรี วรศะริน ได้รับการถ่ายทอดจากกรมมหรสพ โครงสร้างกระบวนท่ารบที่ปรากฏได้นำรูปแบบของกระบวนท่ารบที่เกิดขึ้นมาเป็นแบบแผน กระบวนท่ารบลิงรบยักษ์ และกระบวนท่าที่รังสรรค์ขึ้น ซึ่งมีท่าเป็นเอกลักษณ์และท่าเฉพาะของตอนศึก วิรุญจำบังได้แก่ ท่าค้นฟองน้ำ ท่าลอยหลัง และท่าตีสังหารวิรุญจำบัง</p>
รัตนชัย ตุ้มเพ็ชร
สุรัตน์ จงดา
ธีรภัทร ทองนิ่ม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
129
144
-
การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผักตบชวาผ่านการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ ชุด วิจิตรลักษณ์ผักตบชว
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279557
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> บทความเพื่อดูเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผักตบชวาผ่านการพิจารณานาฏศิลป์ ชุด วิจิตรลักษณ์ผักตบชวา โดยการศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากเอกสารวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญที่คุณวุฒิลงการศึกษาวิจัยสมุนไพรผักตบชวา ณ ชุมชนริมคลองวัดสุวรรณาราม ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑลในจังหวัดนครปฐม นำข้อมูลทั้งหมดมารวบรวมการสร้างสรรค์ และวิเคราะห์ผลการวิจัย</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ผลการศึกษาพบว่าคุณค่าเพิ่มให้กับผักตบชวาผ่านการพิจารณานาฏศิลป์ชุด วิจิตรลักษณ์ผักตบชวาใน 1) การออกแบบกิจกรรมจากผักตบชวา สู่แนวคิดของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผักตบชวา โดยนำเสนอในประสิทธิภาพทั้งการแสดงและเครื่องประดับสำหรับการพิจารณาของผักตบชวาและการพิจารณาในการส่งเสริมเศรษฐกิจของชุมชน 2) การแสดงการตั้งค่าเป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์องค์กร 3 มุมมองที่ 1 มุมมองถึงสื่อ ตั้งและแพร่ขยายของผักตบชวาในช่วงที่ 2 ดูสื่อถึงคุณสมบัติของใบดอกผักตบชวาในช่วงที่ 3 วิจิตรถึงผลิตภัณฑ์จากการเพิ่มมูลค่าให้ผักตบชวา 3) ดนตรีประกอบการแสดงดนตรีสื่อโดยสมรรถนะเครื่องดนตรีไทยมาเทียบเสียงให้ความร้อน (Key) เดี่ยวสากลและดนตรีที่บรรเลงต่อเนื่องต่อเนื่องคู่กันไปกับ Backing Track 4) ท่ารำรินท่ารำจากท่ารำนาฏศิลป์ไทยกับลีลาธรรมชาติธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเครื่องประดับจากผักตบชวา สำรวจการแถวและการใช้พื้นที่ที่จำเป็นอย่างเป็นเอกภาพ 5) การออกแบบและการสร้างสรรค์จากสีผักตบชวาและดอกนวัตกรรมเครื่องประดับจากผักตบชวาให้มีความโดดเด่นเป็นครั้งแรกที่แนวคิดและรูปแบบการแสดง</span></span></p>
ณรงค์ฤทธิ์ เชาว์กรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
145
158
-
การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน ตามแนวทางการสอนแบบย้อนกลับ สำหรับนักเรียนแซกโซโฟน วิทยาลัยนาฏศิลป
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278571
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลันตามแนวทางการสอนแบบย้อนกลับ 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของทักษะการอ่านโน้ตฉับพลันของผู้เรียนหลังจากผ่านการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน ตามแนวทางการสอนแบบย้อนกลับ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน ตามแนวทางการสอนแบบหลังจากผ่านการจัดการเรียนรู้ไปแล้ว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนที่เรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือเอกแซกโซโฟน จำนวน 15 คน ที่เรียนมาแล้วไม่เกิน 3 ปี ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน 2) สื่อการสอนเสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน 3) เกณฑ์ประเมินทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลัน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้แผนการจัดการเรียนรู้เสริมทักษะการอ่านโน้ตฉับพลันตามแนวทางการสอนแบบย้อนกลับ จำนวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลา 16 ชั่วโมง 2) ผลสัมฤทธิ์ของทักษะการอ่านโน้ตแบบฉับพลันของผู้เรียนนั้นมีความแตกต่างกันทางนัยยะสำคัญทางสถิติระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยหลังเรียน (M = 17.40, SD = 1.12) สูงกว่าก่อนเรียน (M = 11.30, SD = 1.29) 3) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการอ่านโน้ตฉับพลันนั้นมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับดี (M = 4.39, SD = 0.63)</p>
ornpreeya wiriyothin
วรินธร สีเสียดงาม
ณัฐศรัณย์ ทฤษฎิคุณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
238
251
-
การพัฒนาชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยนครพนม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279176
<p>การพัฒนาชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยนครพนม ดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีจุดมุ่งหมายการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม 2) เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ หลังการใช้งานชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมมีพัฒนาการของผู้เรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจการใช้ชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีระยะเวลาที่ทำการศึกษาเริ่มต้นตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ 2567 ถึงเดือน มกราคม พ.ศ. 2568 ข้อมูลภาคสนามได้จากการสัมภาษณ์และการสังเกตและชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม </p> <p><strong> ผลวิจัยพบว่า </strong>วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ประกอบด้วย 1) ลักษณะทางดนตรีวัฒนธรรมดนตรี ประกอบด้วย วงดนตรีและเครื่องดนตรี ระบบเสียง และบทเพลง 2) บริบทที่เกี่ยวข้องกับดนตรีอำเภอธาตุพนม ประกอบด้วย กลุ่มชาติพันธุ์ ภาษา พื้นที่อาศัย พิธีกรรม และความเชื่อกระบวนการพัฒนาชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี มีประสิทธิภาพ 80.42/89.16 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 80/80 คะแนนหลังการใช้งานชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พบว่า คะแนนก่อนเรียน (Pre-Test) มีคะแนนค่าเฉลี่ย (Mean) อยู่ที่ 58.83 เปอร์เซ็นต์ มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน อยู่ที่ 0.79 แสดงว่าความสามารถของกลุ่มทดลองอยู่ที่ระดับ พอใช้ และ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 12 คน หลังเรียน (Post-Test) ค่าเฉลี่ย (Mean) อยู่ที่ 89.16 เปอร์เซ็นต์ มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน อยู่ที่ 0.67 แสดงว่าความสามารถของกลุ่มทดลองอยู่ที่ระดับ ดีมาก ความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ต่อการใช้งานชุดการเรียนรู้วัฒนธรรมดนตรี มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( = 4.16)</p>
สุวัฒน์ ดวงรัตน์
บพิตร เค้าหัน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
252
266
-
รูปแบบศิลปกรรมจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ระลึก
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279758
<p><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> </span></span></strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วัฒนธรรมโครงสร้างอุบลราชธานีที่ศรัทธาไว้ด้วยศรัทธาศรัทธารูปแบบต่างๆ ตามประเพณีที่ได้รับสำหรับวัฒนธรรมตามรูปแบบต่างๆ เป็นศิลปะแบบมีตามเกิดมีรูปแบบไม่มีแบบฉบับที่ตายตัวมีการจัดการตามรูปแบบที่ช่างพื้นที่ วิศวกรพื้นเมือง สนับสนุนช่างที่มีฝีมือช่างเทคนิคที่สนับสนุนศิลปะมีรูปแบบระหว่างช่างหลวง (ล้านช้าง) และช่างพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานี เหตุการณ์ช่างพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีในส่วนของลักษณะที่ปรากฏศิลปกรรมที่สำคัญในหลาย ๆ ด้านเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีการจ้องมองรูปแบบองค์กร โดยที่ศิลปากรในแถบวัดอุบลราชธานีสามารถนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของพื้นที่วิจัยสามารถนำไปใช้กับการชี้แนะของท้องถิ่นและการวิจัยได้วิจัยรูปแบบการสืบสวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบทางการเกษตรในองค์กรตกแต่สำรวจรูปนาค มาเป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์เริ่มต้นเป็นกระบวนการในการเลื่องจิตสำนึกและการวิจัยสืบสานวัฒนธรรมด้วยเทคนิคชุมชน แอนมีผลงานด้านศิลปกรรมเป็นแกนหลัก เกิดการเรียนรู้บนรากฐานของความเชื่อของสังคมวัฒนธรรม</span></span></p>
นายประยุทธ สารัง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
159
172
-
กลวิธีการใช้ภาษาโน้มน้าวใจในโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพทางเพศสำหรับผู้หญิง จากแพลตฟอร์มออนไลน์ช้อปปี้ (Shopee)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279400
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการใช้ภาษาโน้มน้าวใจในโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อสุขภาพทางเพศสำหรับผู้หญิง จากแพลตฟอร์มออนไลน์ช้อปปี้ (Shopee) เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 18 ธันวาคมถึง วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ได้ข้อมูลโฆษณาจำนวน 100 ตัวบท ด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีการใช้ภาษาโน้มน้าวใจของนพวัฒน์ สุวรรณช่าง</p> <p>ผลการวิจัยพบกลวิธีการใช้ภาษาโน้มน้าวใจในโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพทางเพศสำหรับผู้หญิง จำนวน 13 กลวิธี ได้แก่ การกล่าวถึงคุณสมบัติหรือสรรพคุณของสินค้า การให้ข้อมูลความรู้ การกล่าวถึงปัญหาสุขภาพทางเพศของผู้หญิง การใช้คำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ การกล่าวอ้าง การระบุกลุ่มเป้าหมาย การใช้จุดจับใจเชิงข่าว การระบุความปลอดภัย การลดราคาและการให้ของสมนาคุณหรือมีระยะเวลาส่งเสริมการขาย การใช้อุปลักษณ์ การใช้อติพจน์ และการใช้คำเรียกแทนอวัยวะเพศหญิง กลวิธีการใช้ภาษาที่พบสื่อสารให้เห็นจุดประสงค์สำคัญของผู้ผลิตโฆษณาในการโน้มน้าวหรือจูงใจผู้รับสารให้เกิดความสนใจและต้องการที่จะซื้อสินค้า</p> <p> </p>
ธนพล เอกพจน์
วัชราภรณ์ คำเพชร
อาทิมา ทองเนื้ออ่อน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
85
98
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยง (Pet Tourism) ในประเทศไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278596
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยง (Pet Tourism) ในประเทศไทย ซึ่งมีปัจจัยด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 5 ปัจจัย ประกอบไปด้วยสิ่งดึงดูดใจ (Attraction) การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว (Accessibility) การจัดเตรียมสถานที่(Accommodation) สิ่งอํานวยความสะดวก (Amenities) กิจกรรม (Activities) และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้ปกครองสัตว์เลี้ยง (Pet Parent) ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพร้อม สัตว์เลี้ยง (Pet Tourism) ในประเทศไทย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย คือ กลุ่มผู้บริโภคที่เคยเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยง จํานวนกลุ่มตัวอย่างคือ 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น จากการสุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจง โดยกลุ่มประชากร คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ซึ่งสถิติที่นํามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบไปด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) ด้วยวิธี Enter โดยปัจจัยด้านสิ่งดึงดูดใจ การจัดเตรียมสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก กิจกรรม พฤติกรรมผู้ปกครองสัตว์เลี้ยง เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนด้านการเข้าถึงไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ และผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีจำนวน 5 ปัจจัย ได้แก่ สิ่งดึงดูดใจ การจัดเตรียมสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก กิจกรรม พฤติกรรมผู้ปกครองสัตว์เลี้ยง และมีปัจจัย 1 ปัจจัยที่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพร้อมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ได้แก่ การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากประเด็นย่อยในแต่ละด้านมีความหลากหลาย จึงยังไม่สามารถวัดค่าได้</p>
กัลยกร ซิบเข
กณิการ์ ศรีนาคา
พิชามญชุ์ เอื้อจิรกาล
วัชราภรณ์ นิ่มพึ่ง
ทัชชกร สัมมะสุต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
267
281
-
ประสบการณ์ตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อความภักดีในตราสินค้าผ่านการสร้างความ พึงพอใจของผู้บริโภค Generation Z ในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มชานมไข่มุกระดับพรีเมียม: กรณีศึกษา BEARHOUSE
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278756
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสบการณ์ตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ ของผู้บริโภค 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อความภักดีต่อตราสินค้า และ 3) ประสบการณ์ตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้บริโภคผ่านความพึงพอใจในตราสินค้า โดยมีความพึงพอใจในตราสินค้าเป็นตัวแปรคั่นกลาง เกี่ยวกับธุรกิจเครื่องดื่มชานมไข่มุกระดับพรีเมียม: กรณีศึกษา BEARHOUSE โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้บริโภค Generation Z (อายุระหว่าง 18-26 ปี) จำนวน 400 ชุด โดยการสุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยเลือกใช้เป็นวิธีการสุ่มแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น ทั้งสิ้น 2 วิธี ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างตามสะดวก และการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ผ่านการกระจายแบบสอบถาม Google Form นอกจากนี้ทำการใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณและสถิติเชิงพรรณาเพื่อหาผลลัพธ์ของแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คือ เพศหญิง ระดับการศึกษาปริญญาตรี รายได้เฉลี่ย 20,001–30,000 บาทต่อเดือน โดยผลการทดสอบการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยด้านประสบการณ์ตราสินค้ายอมรับว่ามีอิทธิพลต่อปัจจัยด้านความพึงพอใจของผู้บริโภค 2) ปัจจัยด้านความพึงพอใจยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อความภักดีในตราสินค้า 3) ประสบการณ์ตราสินค้าในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มพรีเมียมยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้บริโภคในตราสินค้า โดยมีปัจจัยด้านความพึงพอใจเป็นตัวแปรคั่นกลางมีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้บริโภคต่อตราสินค้า ทั้งสามสมมติฐานมีการยอมรับสมมติฐาน ณ ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p>
กฤษณา ฟองการ
กัญญารัตน์ ทองจันทร์
เฌอเอม แจงบำรุง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
282
295
-
การพัฒนานวัตกรรมจากภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านของชุมชนตำบลโสน อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยแนวคิด BCG Tourism โดยชุมชนมีส่วนร่วม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/279240
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านของชุมชนตำบลโสน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนานวัตกรรมจากภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านของชุมชนตำบลโสนด้วยแนวคิด BCG Tourism โดยชุมชนมีส่วนร่วม และ 3) เสนอแนะแนวทางการต่อยอดนวัตกรรม BCG Tourism ด้านภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหาร การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3 ขั้นตอน ได้แก่ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสนทนากลุ่ม และการระดมความคิดเห็นกับกลุ่มเป้าหมายและผู้ให้ข้อมูลสำคัญจาก 3 ภาคส่วนที่มีการคัดเลือกแบบผสม คือ ปราชญ์ชาวบ้าน สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และหน่วยงานในอำเภอขุขันธ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา นำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยจำแนกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ 1) องค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้าน พบว่า </p> <p>มีทั้งเมนูอาหารที่ยังมีผู้สืบทอดและยังปฏิบัติอยู่ กับ เมนูอาหารที่เสี่ยงต่อการสูญหายหรือใกล้ขาดผู้สืบทอด วิธีการปรุงอาหารและการถนอมอาหารพื้นบ้านเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นทั้งพืชสมุนไพร สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก และแมลง 2) แนวทางการพัฒนานวัตกรรมจากภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านของชุมชนตำบลโสน ด้วยแนวคิด BCG Tourism โดยชุมชน มีส่วนร่วม มีกระบวนการ 3 ด้าน คือ ด้านทัศนคติและพฤติกรรม ด้านความรู้ และด้านทักษะ 3) แนวทางการต่อยอดนวัตกรรม BCG Tourism ด้านภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอาหารมี 3 แนวทาง คือ 1) การชูโรงอาหารที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม 2) การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเชิงคุณภาพ และ 3) การสร้างโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร</p> <p> </p>
Parichat Phongkhla
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
296
313
-
การจัดการตนเองของชุมชนเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพ ด้วยสมุนไพร ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนตำบลกาบิน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277296
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรในป่าสาธารณะ ค้นหาภูมิปัญญาการดูแลตนเองด้วยสมุนไพรและแสวงหาแนวทางฟื้นฟู และเพื่อเสริมสร้างความสามารถของประชาชนในตำบลกาบิน ในการจัดการตนเองเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันตนเองด้วยสมุนไพร กลุ่มเป้าหมาย 150 รูป/คน คือ พระสงฆ์ 10 รูป ผู้นำ 40 คน และประชาชน 100 คน เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่ม และแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูล จัดหมวดหมู่ของเนื้อหา จัดทำข้อสรุปอย่างเป็นระบบ เขียนพรรณนาตอบวัตถุประสงค์วิจัย </p> <p> ผลวิจัยพบว่า 1) ในอดีต ทรัพยากรในดอนป่าติ้ว อุดมสมบูรณ์ มีอาหารและสมุนไพร คือ เห็ด ผักติ้ว ไข่มดแดง ฯลฯ ปัจจุบันดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้พืชอาหารและสมุนไพรที่เคยมีสูญพันธุ์ 2) ในอดีตมีภูมิปัญญาใช้สมุนไพร เช่น น้ำต้มต้นพญาเสือโคร่ง ฯลฯ ปัจจุบันใช้น้อยลง ผู้วิจัยได้จัดอบรมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร 3) การเสริมสร้างความสามารถของประชาชน จัดการตนเองเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพด้วยสมุนไพรนั้น ได้สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานในตำบล คือ องค์การบริหารส่วนตำบล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล วัด โรงเรียนและประชาชน ด้วยการประชุมวางแผนแบบมีส่วนร่วม จัดกิจกรรมตามแผน คือ 1) อบรมนักวิจัยท้องถิ่น 2) ร่วมกันปลูกต้นไม้ เช่น ผักติ้ว หวาย ผักหวานป่า ฯลฯ 3) อบรมอาสาสมัครสร้างความมั่นคงทางอาหารครัวเรือน 4) ส่งเสริมครัวเรือนต้นแบบความมั่นคงทางอาหาร 5) ถอดบทเรียน ทำให้ชุมชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของอาหารท้องถิ่นและสมุนไพร ส่งผลให้เกิดกลไกขับเคลื่อนชุมชนจัดการตนเอง เพื่อความมั่นคงทางอาหารพื้นถิ่น การดูแลสุขภาพและสร้างภูมิคุ้มกันตนเองด้วยสมุนไพร</p>
Suchada manpayak
อนันต์ แม้นพยัคฆ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
314
325
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของนักกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษในการแข่งขันกีฬานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 43
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/278827
<p>การวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัล ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของนักกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ในการแข่งขันกีฬานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 43 “ภูพานเกมส์” ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือนักกีฬาที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันในลำดับชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และรองชนะเลิศอันดับสอง จำนวน 215 คน จำนวน 74 เหรียญ โดยใช้สถิติ คำนวณหาค่าร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>ปัจจัยภายใน สรีรวิทยา การมีโครงสร้างร่างกายที่สมส่วนส่งผลให้นักกีฬาประสบความสำเร็จมีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการฝึกซ้อมและแข่งขันส่งผลให้นักกีฬาได้ชัยชนะ การมีเทคนิคทักษะที่ดี รวมถึงการทำงานร่วมกันกับผู้ฝึกสอนในการวางยุทธวิธีก่อนการแข่งขัน นอกจากนี้พบว่า การวางแผนโปรแกรมการฝึกซ้อมที่ดีถูกหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา สมรรถภาพทางกาย การที่นักกีฬามีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่งผลให้นักกีฬาประสบความสำเร็จ</li> </ol> <ol start="2"> <li>2. ปัจจัยภายนอก บุคคล สรุปได้ว่าคณะกรรมการจัดการแข่งขันมีความเชี่ยวชาญในการจัดการแข่งขันมีอุปกรณ์การแข่งขันและอุปกรณ์การฝึกซ้อม ที่เพียงพอได้มาตรฐาน การจัดการแข่งขันมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม รวมถึงการเอาใจใส่ของผู้ฝึกสอน ในการควบคุมการฝึกซ้อม แต่ละวัน /สัปดาห์/ เดือน การได้รับสนับสนุน เป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้กับนักกีฬาได้เป็นอย่างดี การสนับสนุนด้านงบประมาณ (เบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อมและแข่งขัน) และการเอาใจใส่ในช่วงระหว่างแข่งขัน มีผลทำให้นักกีฬามีกำลังใจในการแข่งขัน</li> </ol>
สาคร แก้วสมุทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
337
346
-
ภาพสะท้อนของสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์แบบงูในเทพปกรณัมกรีก: กรณีศึกษาทฤษฎีอาร์คีไทพ์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/humanjubru/article/view/277201
<p>บทความนี้เป็นงานวิจัยเชิงเอกสาร มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1) ศึกษารวบรวมสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีกที่มีรูปลักษณ์แบบงู 2) ศึกษาภาพสะท้อนด้านรูปลักษณ์และบทบาทของสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีกที่มีรูปลักษณ์แบบงู ทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษาคือทฤษฎีอาร์คีไทพ์ของคาร์ล จี. ยุง ผลการศึกษาพบว่ามีสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์แบบงู 21 รายการ มีทั้งสัตว์ประหลาดที่รูปลักษณ์เป็นงูทั้งตัวแต่เป็นงูขนาดใหญ่และสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะการรวมกันของสิ่งมีชีวิตมากกว่าหนึ่งประเภท ในด้านบทบาทนั้นสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์แบบงูมีบทบาท 5 ประการ ได้แก่ 1) ผู้รับใช้ 2) ผู้ให้กำเนิด 3) ผู้ถูกกระทำ 4) เครื่องมือกำจัดศัตรู และ 5) ผู้ลงโทษ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาในแง่สัญลักษณ์ยังพบว่าสัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์แบบงูแสดงความหมายเชิงสัญลักษณ์หลายประการ เช่น ความแข็งแกร่ง ความตาย การฟื้นคืนชีพ การให้กำเนิด การหลอกลวง เป็นต้น ผลของการศึกษาสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในการสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวละคร เรื่องราวเบื้องหลังหรือโครงเรื่องในเกมออนไลน์ ภาพยนตร์หรือนวนิยายแนวแฟนตาซีได้</p>
Baranee Boonsong
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-24
2025-06-24
16 1
347
362