https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/issue/feed
วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
2025-12-26T00:00:00+07:00
Assoc. Prof. Dr.Piyaporn Thacheen
piyaporn.ta@chandra.ac.th
Open Journal Systems
<p data-start="148" data-end="670"> วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เป็นวารสารวิชาการที่มุ่งมั่นในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยในปัจจุบันได้ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม–ธันวาคม 2568) วารสารเล่มนี้ได้รับการจดทะเบียนเลขมาตรฐานสากลประจำวารสารอิเล็กทรอนิกส์ <strong data-start="437" data-end="463">Online ISSN: 2985-1388</strong> และได้รับการยอมรับให้อยู่ในกลุ่มที่ 2 ของฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและมาตรฐานที่สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินวารสารวิชาการไทยอย่างครบถ้วน</p> <p data-start="672" data-end="1375"> กองบรรณาธิการของวารสารประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ของ TCI โดยมีสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกมากกว่าภายใน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือทางวิชาการ นอกจากนี้ วารสารยังใช้กระบวนการพิจารณาบทความแบบ Double-blind Peer Review ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการประเมินผลงาน ผู้เขียนและผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อและสถานภาพของกันและกัน เพื่อป้องกันอคติที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประเมินบทความจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ได้แก่ การดำรงตำแหน่งทางวิชาการหรือสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขา และมีผลงานวิจัยที่ต่อเนื่อง โดยแต่ละบทความต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน เพื่อรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพทางวิชาการของบทความที่ได้รับการตีพิมพ์</p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/279318
การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการลด พฤติกรรมความรุนแรงต่อนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2
2025-03-28T10:49:34+07:00
บรรพต หน่อทิม
birdlivebo@gmail.com
อัญชนา พานิช
birdlivebo@gmail.com
กาญจนา บุญส่ง
birdlivebo@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา (2) ระดับการลดพฤติกรรมความรุนแรงต่อนักเรียนในสถานศึกษา (3) การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการลดพฤติกรรมความรุนแรงต่อนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 จำนวน 122 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 87 คน และครูจำนวน 191 คน รวมทั้งสิ้น 278 คน โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.986 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (1) ระดับการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.63, S.D. = 0.546) และเมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.499 – 0.610 มีการกระจายของข้อมูลน้อย หมายความว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมี ความคิดเห็นสอดคล้องกัน (2) ระดับการลดพฤติกรรมความรุนแรงต่อนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรีเขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.72, S.D. = 0.504) และเมื่อพิจารณาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.465 – 0.545 มีการกระจายของข้อมูลน้อย หมายความว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน (3) การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการลดพฤติกรรมความรุนแรงต่อนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 คือ ด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหา (x<sub>4</sub>) ด้านการส่งต่อนักเรียน (x<sub>5</sub>) มีประสิทธิภาพในการทำนายร้อยละ 53.30 สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ</p> <p>คือ</p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/279985
รูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ร่วมกับการศึกษาชั้นเรียน (LS) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
2025-05-20T09:55:49+07:00
ทัศนีย์พร กลิ่นแก้ว
Supasita0507@gmail.com
สุภสิตา เย็นอก
supasita0507@gmail.com
สุธาสินี ขาวสำอาง
Supasita0507@gmail.com
นพวรรณ เนตรธานนท์
Supasita0507@gmail.com
ชนสิทธิ์ สิทธิ์สูงเนิน
Supasita0507@gmail.com
<div> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนารูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพร่วมกับการศึกษาชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน และ (2) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพร่วมกับการศึกษาชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2 ด้าน คือ 1) ศึกษาความสามารถของครูในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ การปฏิบัติการจัดการเรียนรู้ และความเห็นที่มีต่อการใช้รูปแบบ และ 2) ศึกษาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ และความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครูจากกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 9 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 65 คน</p> <p> เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบประเมินความสามารถด้านกระบวนการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (2) แบบประเมินความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (3) แบบสัมภาษณ์กลุ่มของผู้สอน (4) แบบสัมภาษณ์กลุ่มของผู้เรียน และ (5) แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) รูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพร่วมกับการศึกษาชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน คือ กำหนดเป้าหมาย ศึกษาชั้นเรียน และประเมิน 4) การวัดและประเมินผล และ 5) เงื่อนไขและปัจจัยความสำเร็จ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาให้ความสำคัญและสนับสนุน ผู้เข้าร่วมการใช้รูปแบบมีความเข้าใจในหลักการ ครูมีความมุ่งมั่นตั้งใจรับผิดชอบในการดำเนินงานและเป้าหมาย ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ พบว่าอยู่ในระดับมาก (M=4.02 ,SD= 0.47) และ (2) ประสิทธิผลของรูปแบบชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพร่วมกับการศึกษาชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่ส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน พบว่า ครูสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติการจัดการเรียนรู้เชิงรุกภาพรวมอยู่ในระดับดี (M = 2.30) และมีความคิดเห็นเชิงบวกต่อการใช้รูปแบบ ในส่วนของนักเรียนพบว่ามีความสามารถการคิดวิเคราะห์หลังได้รับการจัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และมีความคิดเห็นในเชิงบวกต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก</p> </div>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/277274
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารกับความผูกพันต่อองค์กรของครูสังกัดกรุงเทพมหานคร
2024-12-02T11:21:57+07:00
มนนัสชัย ศรีแนน
manuschai2535@gmail.com
วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์
manuschai2535@gmail.com
<p> The purposes of this descriptive research were: (1) To study the ethical leadership of school administrators in Bangkok (2) To study the organizational commitment of teachers in Bangkok <br />(3) To study the relationship between ethical leadership and organizational commitment of teachers in Bangkok. The sample group consisted of 370 teachers in Bangkok. The sample size was determined according to Cohen's table. The researcher used the stratified random sampling method, using the size of the school as the sampling stratum, namely small, medium, and large, and simple random sampling by drawing lots according to the population proportion. The instrument used was a questionnaire created by the researcher with a reliability value of .98. The statistics used for analysis were the mean, standard deviation, and Pearson's Product-Moment Correlation Coefficient.</p> <p> The research results (1) The level of ethical leadership of the administrators, overall was at a high level (mean = 4.26, SD = .50). When considering each aspect, it was found that trust had the highest average value (mean = 4.32, SD = .55). (2) The level of organizational commitment of teachers, overall was at a highest level (mean = 4.52, SD = .31). When considering each aspect, it was found that the strong desire to maintain membership in the organization had the highest average value (mean = 4.55, SD = .36). (3) The relationship between ethical leadership of the administrators and organizational commitment of teachers, overall, was at a moderate level (r = .500).</p> <p><strong> </strong></p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/279839
การพัฒนาแบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
2025-04-30T08:33:54+07:00
มนัสวี แก้วผลึก
manassawee.kaew@ku.th
วิมลรัตน์ วิเชียรรัตน์
manassawee.kaew@ku.th
กษมา บุญเสือ
manassawee.kaew@ku.th
มณีรัตน์ ประทุมเกตุ
manassawee.kaew@ku.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 3) เพื่อสร้างเกณฑ์ปกติในการแปลผลคะแนนแบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ประชากรในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 36 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 1,362 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 324 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความตรงเชิงเนื้อหา ความยาก อำนาจจำแนก ความเชื่อมั่น และการสร้างเกณฑ์ปกติ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบวัดระดับทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่พัฒนาขึ้น มีความตรงเชิงเนื้อหา โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 2) คุณภาพของแบบวัดทักษะ การรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.25-0.63 อำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.31 -0.94 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 3) เกณฑ์ปกติในการแปลผลคะแนนของแบบวัดทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การเข้าถึงสื่อ องค์ประกอบที่ 2 การวิเคราะห์สื่อ และองค์ประกอบที่ 3 การประเมินสื่อ นักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนที (T-score) อยู่ในช่วงเกณฑ์ปกติตั้งแต่ T45-T54 ส่วนองค์ประกอบที่ 4 การสร้างสรรค์และนำเสนอสื่อและองค์ประกอบที่ 5 การมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยน นักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนที (T-score) อยู่ในช่วงเกณฑ์ปกติตั้งแต่ T55-T65 โดยคะแนนทักษะการรู้เท่าทันสื่อของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีคะแนนที (T - score) รวม 5 องค์ประกอบ อยู่ในช่วงเกณฑ์ปกติตั้งแต่ T45-T54 คือ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ อยู่ในระดับ ปานกลาง จำนวน 125 คน คิดเป็นร้อยละ 38.58</p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/277565
การพัฒนาทักษะการแสดง “ละครชาตรีเมืองเพชร” โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติให้กับนักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ไทย โรงเรียนวัดจันทราวาส (ศุขประสารราษฎร์) จังหวัดเพชรบุรี
2025-01-14T11:03:02+07:00
สุเมธ ฟักเถื่อน
sumate.fuktuen@gmail.com
ชมนาด กิจขันธ์
sumate.fuktuen@gmail.com
เทวิกา ประดิษฐบาทุกา
sumate.fuktuen@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างแผนการพัฒนาทักษะการแสดงละครชาตรีเมืองเพชรด้วยรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของนักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ไทยระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดจันทราวาส(ศุขประสารราษฎร์) และ (2) ประเมินทักษะการแสดงละครชาตรีเมืองเพชรของนักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ไทยระดับ มัธยมศึกษา ก่อนและหลังได้รับการพัฒนาด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่างจํานวน 20 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีการจับฉลาก โดยเป็นนักเรียนที่มีพื้นฐานนาฏศิลป์ หรือขับร้อง และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนพัฒนาทักษะการแสดง “ละครชาตรีเมืองเพชร” โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติ และแบบประเมินทักษะการแสดง ละครชาตรีเมืองเพชร ที่ประเมินทั้งทักษะการขับร้อง ทักษะการ ทักษะการแสดงอารมณ์ และการรวมทักษะ โดย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบที่แบบกลุ่มไม่อิสระ<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) การสร้างแผนการพัฒนาทักษะการแสดงละครชาตรีเมืองเพชร ด้วยรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ทักษะปฏิบัติเกิดจากการสังเคราะห์แนวคิดจากนักวิชาการได้รูปแบบการพัฒนาทักษะปฏิบัติ 8 ขั้นตอน โดยจัด แผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 12 ครั้ง ทั้งนี้การหาคุณภาพเครื่องมือ (IOC) พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้กับ วัตถุประสงค์มีความสอดคล้องกัน และมีค่าประสิทธิภาพที่ระดับ 83.49/88.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนด (2) หลังการทดลองใช้แผนการพัฒนาด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัตินักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ไทยระดับ มัธยมศึกษา ค่าเฉลี่ยคะแนนด้านทักษะปฏิบัติการแสดงสูงกว่าก่อนการทดลองใช้แผนการพัฒนาด้วยรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/281538
การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการตัดสินใจในการซื้อประกันสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่: กรณีศึกษา บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
2025-07-02T15:54:00+07:00
สายสุณี ประดับนาค
saisunee.p@chandra.ac.th
จิตตานันท์ สิทธิสาร
saisunee.p@chandra.ac.th
ศานิต ดวงสวัสดิ์
saisunee.p@chandra.ac.th
สิริทิพ วะศินรัตน์
saisunee.p@chandra.ac.th
กนิษฐา อ่อนศิริ
saisunee.p@chandra.ac.th
สุชานันท์ ทองมาก
saisunee.p@chandra.ac.th
นารีย์ น้อยกลิ่น
saisunee.p@chandra.ac.th
นุชนารถ มีสมพืชน์
saisunee.p@chandra.ac.th
สรายุทธ คงอนันต์
saisunee.p@chandra.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และโรคประจำตัวที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 2) เพื่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในครั้งนี้ คือ ผู้ที่ถือกรมธรรม์ของบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 419 ตัวอย่าง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้สถิติ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐาน และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของตัวแปร ด้วยวิธีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า 1) เพศชายและเพศหญิงมีกระบวนการตัดสินใจซื้อด้านการตระหนักถึงความต้องการ ด้านการค้นหาข้อมูล และด้านการตัดสินใจซื้อแตกต่างกัน ผู้ที่มีสถานภาพสมรสแตกต่างกันมีกระบวนการตัดสินใจซื้อแตกต่างกันทุกด้าน ผู้ที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกันมีกระบวนการตัดสินใจซื้อทุกด้านไม่แตกต่างกัน ผู้ที่มีรายได้แตกต่างกันมีกระบวนการตัดสินใจซื้อแตกต่างกัน ยกเว้นด้านการตระหนักถึงความต้องการ ผู้ที่มีอาชีพแตกต่างกันมีกระบวนการตัดสินใจซื้อทุกด้านแตกต่างกัน และผู้ที่มีโรคประจำตัวแตกต่างกันมีกระบวนการตัดสินใจซื้อด้านการค้นหาข้อมูลและด้านการตัดสินใจซื้อที่แตกต่างกัน 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ ของบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านพนักงาน มีความสัมพันธ์กับกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการให้บริการ มีความสัมพันธ์กับกระบวนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ในระดับ<br />ปานกลาง</p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/281343
หน้าทับที่ใช้ในระบำสี่บท
2025-06-23T19:20:31+07:00
ภิรมย์ ใจชื้น
pirom.j@chandra.ac.th
<p>ระบำสี่บทเดิมเรียกกันว่า ชุดจับระบำ ใช้แสดงเบิกโรงในการแสดงเบิกโรงเรื่อง เมขลา-รามสูร และในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดนารายณ์ปราบนนทุก ประกอบไปด้วย เพลงหน้าพาทย์ และ เพลงประกอบบทร้องจำนวน 4 เพลง ได้แก่ เพลงพระทอง เพลงเบ้าหลุด เพลงสระบุหร่ง เพลงบะหลิ่ม จบด้วยเพลง ช้า-เร็ว (ทำนองเพลงเต่าเห่) ซึ่งทั้ง 4 เพลงนี้จะใช้หน้าทับพิเศษกำกับจังหวะหน้าทับ ในแต่ละบทเพลงจะมีความยากและซับซ้อนของหน้าทับแตกต่างกันไป เพลงแรก เพลงพระทอง ใช้หน้าทับพิเศษชื่อ “หน้าทับพระทอง” เรียกตามชื่อเพลง เพลงที่สอง เพลงเบ้าหลุด ใช้หน้าทับพิเศษชื่อ “หน้าทับนางไห้” เพลงที่สาม เพลงสระบุหร่ง ใช้หน้าทับพิเศษชื่อ “หน้าทับสระบุหร่ง” เพลงที่สี่ เพลงบะหลิ่ม ใช้หน้าทับพิเศษชื่อ “หน้าทับขึ้นม้า” หน้าทับพิเศษทั้ง 4 หน้าทับ ไม่ใช่แค่ประพันธ์มากจากรากฐานของหน้าทับปรบไก่เท่านั้น แต่ยังมีกระสวนจังหวะที่แตกต่างจากหน้าทับปรบไก่ และสำนวนการบรรเลงก็ยังมีความซับซ้อนมากกว่าหน้าทับปรบไก่อีกด้วย ทำให้หน้าทับพิเศษทั้ง 4 หน้าทับ ไม่สามารถใช้หน้าทับพื้นฐานบรรเลงแทนได้</p>
2025-12-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม