วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru <p data-start="148" data-end="670"> วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เป็นวารสารวิชาการที่มุ่งมั่นในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยในปัจจุบันได้ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 (มกราคม–มิถุนายน 2568) วารสารเล่มนี้ได้รับการจดทะเบียนเลขมาตรฐานสากลประจำวารสารอิเล็กทรอนิกส์ <strong data-start="437" data-end="463">Online ISSN: 2985-1388</strong> และได้รับการยอมรับให้อยู่ในกลุ่มที่ 2 ของฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและมาตรฐานที่สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินวารสารวิชาการไทยอย่างครบถ้วน</p> <p data-start="672" data-end="1375"> กองบรรณาธิการของวารสารประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ของ TCI โดยมีสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกมากกว่าภายใน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือทางวิชาการ นอกจากนี้ วารสารยังใช้กระบวนการพิจารณาบทความแบบ Double-blind Peer Review ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการประเมินผลงาน ผู้เขียนและผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อและสถานภาพของกันและกัน เพื่อป้องกันอคติที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประเมินบทความจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ได้แก่ การดำรงตำแหน่งทางวิชาการหรือสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขา และมีผลงานวิจัยที่ต่อเนื่อง โดยแต่ละบทความต้องผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน เพื่อรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และคุณภาพทางวิชาการของบทความที่ได้รับการตีพิมพ์</p> th-TH piyaporn.ta@chandra.ac.th (Assoc. Prof. Dr.Piyaporn Thacheen) nataya.m@chandra.ac.th (Nataya Mamungkon) Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การประพันธ์เพลงร่วมสมัยไทย: แนวคิด พัฒนาการ และกระบวนการสร้างสรรค์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/280799 <p>บทความวิชาการนี้ศึกษาการประพันธ์เพลงร่วมสมัยไทย โดยวิเคราะห์แนวคิด พัฒนาการ กระบวนการสร้างสรรค์ และกรณีศึกษาผลงานการประพันธ์เพลงร่วมสมัยไทยของนักประพันธ์ใน 4 ยุค ได้แก่ ยุคบุกเบิก ยุคพัฒนา ยุคสร้างสรรค์เชิงอัตลักษณ์ และยุคเทคโนโลยีสร้างสรรค์และท้องถิ่นร่วมสมัย จุดเน้นของบทความคือการศึกษาวิเคราะห์แนวการผสมผสานดนตรีไทยกับดนตรีตะวันตก การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างเสียงใหม่ และการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ไทยในบริบทสากลผ่านเพลงร่วมสมัยไทย ผลการศึกษาพบว่านักประพันธ์เพลงชาวไทยสามารถพัฒนาแนวทางเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ โดยการบูรณาการรากวัฒนธรรมท้องถิ่นกับดนตรีตะวันตก และเทคโนโลยีตามสมัย เพื่อเกิดเป็นนวัตกรรมผลงานสร้างสรรค์ทางดนตรีอย่างกลมกลืน ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ในด้านการออกแบบเสียง การจัดองค์ประกอบทางดนตรี และการประพันธ์เพลงเพื่อการสื่อสารทางสังคม วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ รวมทั้งบทความนี้ได้สังเคราะห์กระบวนการสร้างสรรค์ทางดนตรีร่วมสมัยไทยที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์และการเรียนการสอนดนตรีร่วมสมัยต่อไป</p> ประเสริฐ ฉิมท้วม, จุฑามาศ หิรัญกูล, ธงชัย เหลืองทอง, ธนิน กรอธิพงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/280799 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประเมินความต้องการจำเป็นด้านบรรยากาศโรงเรียนของนักเรียนแผนการเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และหุ่นยนต์-ปัญญาประดิษฐ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276842 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการด้านบรรยากาศโรงเรียนของนักเรียนแผนการเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และหุ่นยนต์-ปัญญาประดิษฐ์ และ 2) เพื่อระบุและจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นด้านบรรยากาศโรงเรียนของนักเรียนแผนการเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และหุ่นยนต์-ปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 จำนวน 18 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามประเมินความต้องการจำเป็นด้านบรรยากาศโรงเรียนของนักเรียนแผนการเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และหุ่นยนต์-ปัญญาประดิษฐ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความสำคัญของลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า สภาพที่เป็นจริงด้านบรรยากาศโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (M=3.45, S.D.= 0.56) ส่วนสภาพที่ควรจะเป็น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.80, S.D.= 0.28) เมื่อพิจารณาและจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นด้วยดัชนี PNI<sub>modified </sub>เพื่อแสดงถึงลำดับความสำคัญของสภาพปัญหาจากขนาดความแตกต่างระหว่างสภาพที่ควรจะเป็นกับสภาพที่คาดหวัง จากการสำรวจ พบว่า ความต้องการจำเป็นอันดับแรก คือ ด้านสภาพแวดล้อม (0.55) รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย (0.39) ด้านวิชาการ (0.35) และด้านประชาคมโรงเรียน (0.30)</p> มนัสวี แก้วผลึก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276842 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษกลุ่มเครือข่ายที่ 12 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/273536 <div>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และ (2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 เป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 168 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) จำแนกตามจังหวัด เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามระดับความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีค่าความเชื่อมั่น 0.977 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 จำนวน 8 คน เพื่อหาแนวทางการพัฒนาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</div> <div>ผลการวิจัยพบว่า (1) ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ ด้านการมีแบบแผนความคิด และด้านการคิดอย่างเป็นระบบ (2) แนวทางการพัฒนาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 มีดังนี้ ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม 6 แนวทาง ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน 6 แนวทาง ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 6 แนวทาง ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ 6 แนวทาง ด้านการมีแบบแผนความคิด 6 แนวทางและด้านการคิดอย่างเป็นระบบ 6 แนวทาง</div> เสาวลักษณ์ จัดวงษ์, กัลยมน อินทุสุต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/273536 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/273506 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติ แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย จำนวน 177 รูป/ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อเท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.938 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติหาค่าที (t-test) โดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจะเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี LS.D. (Least Significant Difference)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติ แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับ คือ หลักความคุ้มค่า หลักความโปร่งใส และหลักคุณธรรม (2) ผลการเปรียบเทียบการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนพระปริยัติ แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงราย จำแนกตามระดับการศึกษา ภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และประสบการณ์การทำงาน พบว่า ภาพรวมไม่ความแตกต่างกัน</p> พระสิริศักดิ์ สิงห์แก้ว, วัชระ จตุพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/273506 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความเข้าใจมโนมติไฟฟ้ากระแสและสมรรถนะการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนรู้แบบบรรยายประกอบการสาธิตเชิงปฏิสัมพันธ์ เสริมด้วยแบบจำลองเสมือนจริง PhET https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276058 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติไฟฟ้ากระแสก่อนเรียนและหลังเรียน (2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนรู้แบบบรรยายประกอบการสาธิตเชิงปฏิสัมพันธ์เสริมด้วยแบบจำลองเสมือนจริง PhET กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 39 คน ใช้แบบแผนการวิจัยกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายประกอบการสาธิตเชิงปฏิสัมพันธ์เสริมด้วยแบบจำลองเสมือนจริง PhET เรื่อง ไฟฟ้ากระแส จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดความเข้าใจมโนมติไฟฟ้ากระแส เป็นแบบ 2 ระดับ โดยระดับที่ 1 เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือกและระดับที่ 2 เป็นการให้เหตุผลสนับสนุนในคำตอบที่เลือกตอบ 3) แบบทดสอบวัดสมรรถนะการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ เป็น 3 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบ 4 ตัวเลือก โดยให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งตัวเลือก 2) รูปแบบซ้อน 3) รูปแบบเขียนคำตอบ นำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย เปอร์เซ็นต์ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติและสมรรถนะการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การทดสอบ t-test for Dependent Samples และวิเคราะห์ความสอดคล้องของความเข้าใจมโนมติที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์โดยใช้การแจกแจงความถี่เป็นตารางไขว้กับการทดสอบ Chi-Square แบบ McNemar</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนมีความเข้าใจมโนมติไฟฟ้ากระแสหลังเรียน ( = 27.49 คิดเป็นร้อยละ 83.29) สูงกว่าก่อนเรียน ( = 7.18 คิดเป็นร้อยละ 21.76) (2) นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจมโนมติจากไม่สอดคล้องกับแนวคิดวิทยาศาสตร์เป็นสอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มากกว่าจากสอดคล้องกับแนวคิดวิทยาศาสตร์เป็นไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ (3) นักเรียนมีสมรรถนะการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์หลังเรียน ( = 17.13 คิดเป็นร้อยละ 85.65) สูงกว่าก่อนเรียน ( = 5.79 คิดเป็นร้อยละ 28.95)</p> วชิรวิทย์ ศรีพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276058 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276247 <div>วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ (1) ศึกษาระดับของการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของกรมที่ดิน กระทรวง มหาดไทย (2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย (3) เสนอแนวทางการส่งเสริมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย รูปแบบวิจัยผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ข้าราชการกรมที่ดิน จำนวน 389 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือ ผู้บริหาร จำนวน 3 คน เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม อยู่ระหว่าง 0.78-0.81 ส่วนเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์ ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา </div> <div>ผลการวิจัยพบว่า (1) การบริหารงานของกรมที่ดิน ฯ ได้แก่ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ตอบสนอง ภาระรับผิดชอบ โปร่งใส นิติธรรม เสมอภาค มุ่งฉันทามติ กระจายอำนาจ และคุณธรรม อยู่ในระดับดีมากที่สุด (2) ปัจจัยระบบราชการ 4.0 เปิดกว้างและเชื่อมโยง ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย มีอิทธิพลต่อการบริหารงานตามหลักธรรมภิบาล ฯ นัยสำคัญสถิติ .05 (3) ปัจจัยองค์การของแม็คคินซี โครงสร้าง ทักษะ บุคลากร และคุณค่าที่มีร่วมกัน มีอิทธิพลต่อการบริหารงานตามหลักธรรมภิบาล ฯ นัยสำคัญสถิติ .05 และ (4) แนวทางการส่งเสริมของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย คือ 1) กรมที่ดินต้องมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง 2) กรมที่ดินต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) กรมที่ดินต้องส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก 4) กรมที่ดินต้องมีสร้างความยืดหยุ่นในการบริหารงาน</div> เพชรพัฒน์ นิ่มเรือง, กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย, กาญจนา บุญยัง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/276247 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/275751 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร 4) เพื่อศึกษาการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ (1) ผู้บริหารสถานศึกษา (2) หัวหน้างานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (3) ครูผู้รับผิดชอบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (4) หัวหน้างานวิชาการ (5) ครูผู้รับผิดชอบงานด้านวิชาการ รวมทั้งสิ้น 324 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานครโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (4) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร พบว่า ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร มีทั้งหมด 3 ตัวแปร ที่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ได้แก่ ด้านฐานข้อมูล/ข้อมูล (Data) ด้านบุคลากร (People Ware) และด้านอุปกรณ์/เครื่องมือ/ฮาร์ดแวร์ (Hardware)</p> ภัทรลดา เกิดกำไร, นันทิยา น้อยจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journalgrdcru/article/view/275751 Fri, 27 Jun 2025 00:00:00 +0700