https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/issue/feed
วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
2025-12-01T15:19:27+07:00
ดร.สิทธิพร เกษจ้อย
piakealexander@yahoo.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการแสงอีสานรับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้าน ด้านพระพุทธศานา ปรัชญา การศึกษาเชิงประยุกต์ ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์ (Article Review) ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความที่ตีพิมพ์จะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Doubleblind Peer Review)</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์</strong><br />ปีละ 2 ฉบับ<br /> - ฉบับประจำเดือน มกราคม - มิถุนายน<br /> - ฉบับประจำเดือน กรกฏาคม - ธันวาคม</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282977
พระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคมผู้สูงวัยในยุค Beta
2025-08-30T15:36:02+07:00
สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์
sartsirin@gmail.com
พระมหานพดล มีคำเหลือง
sartsirin@gmail.com
ปาณิสรา เทพรักษ์
sartsirin@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการหลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนาใช้ในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุในยุค Beta ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ในขณะเดียวกัน สังคมโลกในยุค Beta ที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และเต็มเปี่ยมด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีย่อมส่งผลต่อการปรับตัวและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุ จนทำให้เกิดความวิตก กังวล รู้สึกไม่มั่นคงและรู้สึกโดดเดี่ยว โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาถือเป็นภูมิปัญญาที่ฝั่งรากลึกของสังคมไทยที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ บทความนี้จึงได้เสนอแนวทางการใช้ชีวิตของสังคมผู้สูงวัยในยุค Beta ด้วยหลักธรรม เช่น ไตรสิกขา ไตรลักษณ์ หลักกรรม พรหมวิหาร 4 อริยสัจ 4 เพื่อให้เกิดยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ ส่งเสริมการสร้างสุขภาวะแบบองค์รวม การเรียนรู้และการปรับตัวต่อเทคโนโลยี การเสริมสร้างเครือข่ายทางสังคมและการมีส่วนร่วม และการสร้างคุณค่าในชีวิตด้วยการทำความดีและถ่ายทอดประสบการณ์ โดยบทบาทของสถาบันสงฆ์และชุมชนในการเป็นกลไกสำคัญเพื่อสนับสนุนผู้สูงวัยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีคุณค่า และปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283546
การบูรณาการแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษในรายวิชา EBC23067: คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
2025-09-19T14:45:55+07:00
บุญเลิศ วงศ์พรม
boonlert.wo@spu.ac.th
เฟื่องฟ้า พลอนเบิร์ก
fuengfa.pl@spu.ac.th
กนกอร ตั้งจิตเจริญกิจ
kanokon.ta@spu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือในการส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) วิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้แอปพลิเคชันเป็นสื่อการเรียนรู้เมื่อเปรียบเทียบกับการท่องจำแบบดั้งเดิม และ 3) อภิปรายถึงแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในอนาคต</p> <p>การบูรณาการแอปพลิเคชันเข้ากับรายวิชา EBC23067: English Vocabulary and Expressions for Communication ถือเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่หลากหลาย เช่น การมอบหมายให้นักศึกษาใช้ Quizlet เพื่อศึกษาคำศัพท์ล่วงหน้า, การใช้ Kahoot!, Blooket, Cake, TED Talks, BBC Learning English และ Quizizz เพื่อทบทวนบทเรียนและประเมินผลแบบประเมินความก้าวหน้า Formative Assessment ภายในห้องเรียน และการใช้ Google Form เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทดสอบความรู้ความเข้าใจหลังเรียน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้นักศึกษาใช้ Duolingo สำหรับการฝึกฝนคำศัพท์และสำนวนนอกเวลาเรียน</p> <p>ผลจากการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชันกับรายวิชา EBC23067 พบว่ามีจุดเด่นสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงที่สะดวกสบาย ทำให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา การสร้างการมีส่วนร่วมในระดับสูงผ่านฟังก์ชันแบบโต้ตอบที่ช่วยกระตุ้นแรงจูงใจ และการส่งเสริมการจดจำคำศัพท์ในระยะยาว จากการวิเคราะห์แนวคิดและติดตามผลการประยุกต์ใช้พบว่าการใช้แอปพลิเคชันช่วยยกระดับกระบวนการเรียนรู้ให้มีความทันสมัย ส่งเสริมผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และเอื้อต่อการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดที่ควรพิจารณาคือต้นทุน เนื่องจากแอปพลิเคชันบางประเภทมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงของผู้เรียนบางกลุ่ม</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283624
แนวทางส่งเสริมการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย
2025-10-19T04:24:26+07:00
ปาริฉัตร ไชยเดช
parichat.cha@mbu.ac.th
กิตติพล เชื้องาม
Parichat.tpari@gmail.com
จิรภัทร เหลา
Parichat.tpari@gmail.com
ชุลีพร นาหัวนิล
Parichat.tpari@gmail.com
ยุรัตน์ดา สุขไชย
Parichat.tpari@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการสอนให้เด็กปฐมวัยการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยได้ถูกต้อง การอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย มุ่งเน้นในการเตรียมความพร้อมทุกด้านที่จะได้รับการศึกษาในขั้นสูงต่อไป การเตรียมความพร้อมด้านการออกเสียงพยัญชนะไทยให้กับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน และเพื่อเป็นแนวทางให้กับครูผู้จัดประสบการณ์การสอนการออกเสียง ที่จะต้องนำไปส่งเสริมและพัฒนาการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทย มีการใช้สื่อในการจัดประสบการณ์ และสื่อดิจิทัลจัดบรรยากาศในห้องเรียนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ด้านภาษาในห้องเรียนเด็กปฐมวัยเพื่อให้สอดคล้องกันการศึกษาในยุคดิจิทัลต่อไป</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283800
ภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐยุคใหม่
2025-10-05T13:05:28+07:00
คัมภีรภาพ คงสำรวย
khamphiraphap.kon@mbu.ac.th
ไพโรจน์ บัวสุข
khamphiraphap.kon@mbu.ac.th
เสงี่ยม ศิริสวัสดิ์
khamphiraphap.kon@mbu.ac.th
สัจจารักษ์ ไร่สงวน
khamphiraphap.kon@mbu.ac.th
รัชนีบูรณ์ เนตรภักดี
khamphiraphap.kon@mbu.ac.th
<p>บทความวิชาการเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอความสำคัญของภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐยุคใหม่ รวมถึงแนวคิดและทฤษฎี การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ วิธีการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ การออกแบบนโยบายภาครัฐและกระบวนการพัฒนาบุคลากรเจ้าหน้าที่ของรัฐ การมีทักษะภาษาอังกฤษที่แข็งแกร่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นจะเป็นประตูสู่การพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบันที่มีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ อีกทั้ง การมีทักษะภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นกุญแจสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศทั้งจากการเข้าถึงข้อมูลอันมหาศาล องค์ความรู้ ตลอดจนการให้บริการในระดับสากล บทความนี้เน้นย้ำถึง กรอบทฤษฎี ประเด็นท้าทาย และให้แนวทางการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยผ่านการวิเคราะห์เชิงระบบแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาที่จะสามารถสื่อสารและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอาศัยองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ (1) การใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (2) การสร้างแรงจูงใจทั้งในระดับบุคคลและองค์กร (3) การสร้างเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (4) การเลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของเจ้าหน้าที่ และ (5) การออกแบบนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 5 องค์ประกอบนี้จะช่วยพัฒนาและยกระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความสามารถในการใช้งานภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกันและการรับมือต่อความท้าทายระดับโลก สู่ประเทศที่มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ การให้บริการสาธารณะจากภาครัฐที่เป็นมาตรฐานและสามารถตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วน</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/280221
การศึกษาสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3
2025-04-07T11:34:28+07:00
สิรินทรา ก๋าคำ
sirintrajoy1991@gmail.com
ณัฐวุฒิ สัพโส
sirintrajoy1991@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู กลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว จำนวน 217 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างใช้วิธีทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่</p> <p>จากการศึกษาพบว่า 1) สภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ของสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.25) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.25) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสนับสนุนและใช้แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.32) รองลงมา คือ ด้านการให้บริการชุมชน (𝑥̅<strong> </strong>= 4.26) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสร้างเสริมความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียนและหน่วยงานอื่น (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.20) 2) เมื่อเปรียบเทียบจำแนกตามประสบการณ์ทำงานและวุฒิการศึกษา ทั้ง 5 ด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/279843
โมเดลสมการโครงสร้างของพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-05-13T23:36:03+07:00
ศุภณัฏฐ์ สิริไอศูรย์ เศรษฐพงษ์กร
ksupha@kku.ac.th
วิทูล ทาชา
thachatoon@gmail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม (Innovative Work Behavior: IWB) ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยอาศัยโมเดลสมการโครงสร้าง และ (2) วิเคราะห์อิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลรวมที่มีต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจำนวน 960 คน โดยได้รับแบบสอบถามคืนจำนวน 767 ชุด และสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้ทั้งสิ้น 746 ชุด ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing: KS) และภาวะผู้นำตนเอง (Self-Leadership: SL) มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ในขณะที่บรรยากาศเชิงนวัตกรรมในองค์กร (Organizational Innovative Climate: OIC) มีอิทธิพลเชิงลบต่อพฤติกรรมดังกล่าว ส่วนประสิทธิภาพเชิงสร้างสรรค์แห่งตน (Creative Self-Efficacy: CSE) ไม่พบว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเน้นการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำตนเอง เปิดโอกาสให้บุคลากรในองค์กรมีส่วนร่วมในการจัดการกับ กลยุทธิ์ด้านนวัตกรรม และสร้างแรงจูงใจจากภายในเพื่อพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการให้รางวัลตามผลงานเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร และส่งเสริมชุมชนแห่งการแบ่งปันความรู้ในองค์กร ทั้งนี้ การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมนวัตกรรม โดยเฉพาะผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและปฏิสัมพันธ์เชิงบวกภายในองค์กร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และส่งเสริมให้ผู้บริหารมีพฤติกรรมที่เน้นนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและบรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรมขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/280802
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-05-29T13:04:39+07:00
วรัญชลี จันทร์สมัคร
beam6201@gmail.com
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มณีญา สุราช
maneeya.su@365.udru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 12 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จำนวน<br />8 แผน แบบบันทึกผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แบบวัดท้ายวงจรปฏิบัติการ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 วงจรปฏิบัติการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ<br />และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการ<br />เชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 6.75 คิดเป็นร้อยละ 33.75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 16.58 คิดเป็น<br />ร้อยละ 82.92 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์<br />มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 25.58 คิดเป็นร้อยละ 51.17 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 40.92 <br />คิดเป็นร้อยละ 81.83 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> <p> </p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281019
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1
2025-05-09T14:03:10+07:00
จิรายุ ตาหล้า
jirayukk1@esdc.go.th
เอกชาตรี สุขเสน
jirayukk1@esdc.go.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำนวนทั้งหมด 114 คน ได้รับแบบสอบถามกลับมา จำนวน 114 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( 𝑥̅= 4.86) เมื่อพิจารณา แต่ละองค์ประกอบพบว่าทุกองค์ประกอบมีภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วมเชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.90) การคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.89) การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ( 𝑥̅= 4.88) การสร้างบรรยากาศวัฒนธรรมองค์กรเชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.88) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเชิงนวัตกรรม ( = 4.77) และการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงนวัตกรรม (𝑥̅ = 4.75) และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ที่มีเพศและประสบการณ์การทำงานต่างกัน พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีเพศต่างกันและมีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281913
การวิเคราะห์อภิมานวิทยานิพนธ์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2025-06-23T10:57:59+07:00
อิทธิกร อินทร์อุดม
banana.14223@gmail.com
สุนิสา วงศ์อารีย์
Banana.14223@gmail.com
นวัตกร หอมสิน
Banana.14223@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะงานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2) วิเคราะห์งานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 3) สรุปและนำเสนอผลการวิเคราะห์งานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ของนักศึกษาระดับปริญญาโทที่เข้ารับการศึกษาในปีการศึกษา 2563 ที่สำเร็จการศึกษาทั้งหมด ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2567 จำนวน 59 เล่ม โดยอาศัยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ</p> <p> ผลวิจัยพบว่า 1. คุณลักษณะงานวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา จำแนกทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา พบว่า มีแนวคิดและทฤษฎีทางการบริหารการศึกษาที่ถูกนำมาใช้ในงานวิจัยทั้งสิ้น 13 ทฤษฎี จากการศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม โดยทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา ที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ เรื่อง ภาวะผู้นำ จำนวน 18 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 30.51 มีการศึกษาภาวะผู้นำ จำนวน 13 รูปแบบ โดยมีการศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม มากที่สุด จำนวน 3 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 23.08 และมีการศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ และภาวะผู้นำการเรียนรู้ จำนวนเรื่องละ 2 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 15.38 ต่อเรื่อง ลำดับที่ 2 คือ เรื่อง ทักษะทางการบริหาร จำนวน 16 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 27.12 และ ลำดับที่ 3 คือ เรื่อง การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา จำนวน 5 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 8.47</p> <ol start="2"> <li>ผลการศึกษาวัตถุประสงค์งานวิจัย พบว่า มีวัตถุประสงค์งานวิจัยที่นำมาศึกษาจากศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม แบ่งได้จำนวน 9 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ จำนวน 185 ข้อ โดยมีวัตถุประสงค์งานวิจัยที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ การศึกษาสภาพปัญหา จำนวน 49 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 26.34 ลำดับที่ 2 คือ การหาแนวทาง จำนวน 41 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 22.04 และ ลำดับที่ 3 คือ การประเมิน จำนวน 33 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 17.74</li> <li>ผลการศึกษาพื้นที่การวิจัย พบว่า มีพื้นที่การวิจัยที่นำมาศึกษาจากศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม จำนวน 21 พื้นที่ โดยมีพื้นที่การวิจัยที่นำมาศึกษามากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี จำนวน 13 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 22.03 ลำดับที่ 2 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายและ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู จำนวนพื้นที่ละ 6 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 10.17 ต่อพื้นที่ ลำดับที่ 3 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีและ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย จำนวนพื้นที่ละ 5 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 8.47 ต่อพื้นที่</li> </ol>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281923
แนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ
2025-06-23T16:25:20+07:00
ณัฐดนัย รัตนคุณ
manchestermario11@gmail.com
นวัตกร หอมสิน
manchestermario11@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน 2) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนและ 3) ประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและผู้บริหาร โรงเรียนขยายโอกาส และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 302 คน จาก 1,423 คน ได้มาโดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่ และมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความสำคัญของต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทาง แบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน แบ่งเป็น กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน กลุ่มข้าราชการครูจำนวน 4 คน และกลุ่มศึกษานิเทศก์ จำนวน 4 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group Meeting) 2) การประเมินแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน โดยใช้กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มเดียวกันกับตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้เครื่องมือเป็นแบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1) สภาพปัจจุบันของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p> <p>2) ผลการศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬโดยมีหลักการสำคัญของการจัดการความรู้ ดังนี้ 1) การกำหนดความรู้ 2) การสร้างความรู้ 3) การเก็บความรู้ให้เป็นระบบ 4) การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ และ5) การนำความรู้ไปใช้</p> <p>3) ผลการประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ดังนี้ ค่าเฉลี่ยของด้านความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา บึงกาฬโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 5.00)</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281991
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน
2025-07-18T22:47:53+07:00
นายกิตติยานนท์ วรรณวงศ์
kittiyanon33@gmail.com
สุทธินันท์ พรหมพันธุ์ใจ
kittiyanon.wan@mbu.ac.th
พระครูใบฎีกาเดชา คุณสมฺปนฺโน
kittiyanon.wan@mbu.ac.th
พระปลัดวสันต์ ธีรวโร
kittiyanon.wan@mbu.ac.th
สุทธิพงษ์ สายาพัฒน์
kittiyanon.wan@mbu.ac.th
<p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 35 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที paired sample t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จำนวน 35 รูป/คน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนเท่ากับ ( μ=15.03, 𝜎=2.61) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเท่ากับ ( μ=23.97, 𝜎=2.85) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา ที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( μ=4.51, 𝜎=0.50)</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282256
การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
2025-07-08T19:10:19+07:00
มุกนรินทร์ กิ่งจันมน
mukmuknarinmuk@gmail.com
อัศวิน เสนีชัย
Mukmuknarinmuk@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร <br />จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอน โรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำนวน 127 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน โดยเทียบสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่างตามรายโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มอย่างง่าย <br />เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม 5 ระดับ มีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .95 วิเคราะห์ข้อมูล<br />โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 4.70 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านหลักความรับผิดชอบ ( 𝑥̅= 4.76 ) รองลงมา ได้แก่ ด้านนิติธรรม ( 𝑥̅= 4.73 ) และด้านหลักประสิทธิภาพ ( 𝑥̅= 4.73 ) และด้านที่อยู่ในอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านหลักการมีส่วนร่วม ( 𝑥̅= 4.65 ) 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า เปรียบเทียบตามเพศ เปรียบเทียบตามระดับการศึกษา เปรียบเทียบตามอายุ และเปรียบเทียบตามประสบการณ์การทำงาน โดยรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282425
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
2025-08-18T10:52:39+07:00
สมสิริ สีสมบา
66130290090@bsu.ac.th
อัศวิน เสนีชัย
66130290090@bsu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำนวน 127 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยเทียบสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่างตามรายโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม 5 ระดับ มีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 4.73 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดทำรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา <br />( 𝑥̅= 4.79 ) รองลงมาได้แก่ ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ( 𝑥̅= 4.77 ) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ( 𝑥̅= 4.66 ) 2) เปรียบเทียบระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งโดยรวมและรายด้าน และจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งโดยรวมและรายด้าน </p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282609
การศึกษากระบวนการและปัญหาในการจัดการรายกรณีกับเด็กที่ถูกทารุณกรรม ของนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว
2025-08-14T23:28:49+07:00
ณิชาบูล นิลทัพ
quar.2539@gmail.com
ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.มาดี ลิ่มสกุล
quar.2539@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการ ปัญหาและอุปสรรค<br />ในการจัดการรายกรณีเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุณกรรมของนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแนวคำถามการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับนักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 8 ราย จาก 4 ภูมิภาค<br />ใช้กระบวนการคัดเลือกแบบเจาะจง ผลการศึกษา พบว่า (1) กระบวนการจัดการรายกรณี<br />มีทั้งหมด 8 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การรับทราบปัญหา คัดกรองและส่งต่อ ประเมินสภาวะ<br />การจัดทำแผนบริการ ดำเนินการตามแผน กำกับติดตามและประเมินผล ทบทวนและประเมินซ้ำ และการยุติการให้บริการ นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับทีมสหวิชาชีพทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้ความช่วยเหลือเหมาะสมกับแต่ละกรณี (2) ปัญหาในการจัดการรายกรณี จำแนกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหน่วยงาน พบปัญหาจำนวนบุคลากร งบประมาณ และระบบสนับสนุน ด้านทีมสหวิชาชีพ พบปัญหาการประสานงานและความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ด้านผู้ใช้บริการ พบปัญหาความร่วมมือของผู้ใช้บริการ<br />และบุคคลแวดล้อม และด้านผู้จัดการรายกรณี พบปัญหาภาระงานเกินกำลัง เช่น ปฏิบัติงานเกินขอบเขตบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ ปริมาณงานมีมากเกินไป ส่งผลให้งานไม่บรรลุ<br />ตามเป้าหมาย เกิดความเครียดสะสม ไม่สามารถจัดการอารมณ์ได้ รวมถึงขาดโอกาส<br />ในการพัฒนาทักษะและความรู้เฉพาะด้าน ข้อเสนอแนะ คือ การพัฒนาระบบสนับสนุนภายในองค์กร การทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพอย่างชัดเจน และการส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ของนักสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่อง</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274373
ผลของการให้การปรึกษารายกลุ่มแบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา
2025-08-25T16:32:52+07:00
สุคนธ์ทิพย์ บุญทา
sukontathip2@hotmail.com
รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก
sukontathip2@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการให้การปรึกษารายกลุ่ม</p> <p>แบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มสุราของผู้ป่วย หลังได้รับการทดลองแล้ว ว่าจะสามารถใช้ศักยภาพของตนเอง มาจัดการแก้ไขปัญหาการดื่มสุราได้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบผลก่อนและหลังเข้าร่วมทดลองกลุ่ม และระยะติดตามผลหลังให้โปรแกรมการให้คำปรึกษา เป็นการศึกษาวิจัยแบบทดลอง ประชากรกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยสุราระยะฟื้นฟูสมรรถภาพแบบผู้ป่วยใน จำนวน 10 ราย คัดเลือกมาแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1. โปรแกรมกลุ่มการให้การปรึกษารายกลุ่ม แบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา โดยผู้วิจัยพัฒนามาจาก 3 แนวคิด คือแนวคิดการปรึกษาเชิงการรู้คิด และพฤติกรรม แนวคิดการเสริมสร้างแรงจูงใจ และแนวคิดการเสริมพลังอำนาจ มีกิจกรรมกลุ่มจำนวน 7 ครั้ง 2.เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล มี 2 ส่วนข้อมูลส่วนที่1.คือข้อมูลส่วนบุคคล และส่วนที่ 2. คือแบบประเมินพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง เท่ากับ .83 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล Freidman Test และใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าก่อนให้คำปรึกษาความสามารถใช้ศักยภาพในการจัดการปัญหาการดื่ม เท่ากับ 131.60 คะแนน หลังการทดลองมีคะแนน เท่ากับ 153.90 มีคะแนนที่แตกต่างกัน ที่สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการให้คำปรึกษารายกลุ่มแบบผสมผสาน อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 หลังจากจบโปรแกรม มีการนัดติดตามผลผู้ป่วยจำนวน 3 ครั้ง นัดครั้งที่ 1 มีผลการประเมินคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มอยู่ที่ 153.40 คะแนน ครั้งที่ 2 ผลคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มสุราคือ 149.20 คะแนน ครั้งที่ 3 มีผลคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มคือ 166.10 คะแนน ซึ่งเป็นผลคะแนนที่สูงขึ้น มากกว่าคะแนนในช่วงคะแนนก่อนและหลังการทดลองโปรแกรม อย่างมีนัยยะสำคัญที่ระดับ (p=.011)</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283482
การพัฒนาระบบและกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนวิถีพุทธ เทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
2025-09-16T15:47:36+07:00
ปาณิสรา เทพรักษ์
panisara.the@mcu.ac.th
สหัทยา วิเศษ
Panisara.the@mcu.ac.th
สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์
Panisara.the@mcu.ac.th
พระมหานพดล มีคำเหลือง มีคำเหลือง
Panisara.the@mcu.ac.th
ศยามล อินทิยศ
Panisara.the@mcu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาและการจัดการขยะของเทศบาลตำบลเกาะคา จังหวัดลำปาง 2) พัฒนาระบบและกลไกการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร และ 3) เสนอแนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะวิถีพุทธแบบครบวงจร เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลจำนวน 30 คน</p> <p><strong> ผลการวิจัย พบว่า</strong> 1. เทศบาลตำบลเกาะคาประสบปัญหาขยะทั้งด้านกายภาพและระบบจัดการ โดยปริมาณขยะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะขยะย่อยสลายยาก เช่น พลาสติก เศษวัสดุก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน ปัญหาคือขาดแนวทางที่ชัดเจนในการลดขยะจากแหล่งกำเนิด และขาดการจัดการอย่างเป็นระบบและความร่วมมือ</p> <ol start="2"> <li>การพัฒนาระบบและกลไกการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ได้แก่ 1) ส่งเสริมครัวเรือนคัดแยกขยะตามหลัก 5Rs (Refuse/ Reduce/ Reuse/ Recycle/ Repair) เพื่อลดขยะตั้งแต่ในบ้าน 2) จัดตั้งธนาคารขยะ/ขยะฮอมบุญ และศูนย์การเรียนรู้ชุมชนปลอดขยะ เพื่อปลูกฝังพฤติกรรม และ 3) สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถานศึกษา และศาสนา โดยใช้แนวคิด “บวร” (บ้าน-วัด-โรงเรียน) เป็นฐานในการขับเคลื่อน</li> <li>แนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนศูนย์การจัดการขยะวิถีพุทธแบบครบวงจร ได้แก่ การใช้หลักพุทธรรมบูรณาการ หลักปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ การเปิดรับข้อมูล (ปรโตโฆสะ) การคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ (โยนิโสมนสิการ) อิทธิบาท 4 สร้างพลังขับเคลื่อนด้วยความพอใจ เพียร มุ่งมั่น ไตร่ตรอง สัมมัปธาน การลดละความชั่ว (การไม่สร้างขยะ) และเพียรสร้างความดี (การจัดการขยะที่มีอยู่) และส่งเสริมการมีส่วนร่วม เช่น อาสาสมัครขยะชุมชน ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ พัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อเผยแพร่ความรู้ ติดตามผล ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมได้ง่ายขึ้น มีการพัฒนาเตรียมความพร้อมในองค์กร มีระบบรองรับและกลไกความร่วมมือที่กับภาคส่วนต่างอย่างต่อเนื่อง</li> </ol>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283544
พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วน ตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
2025-09-19T14:17:23+07:00
สมยศ ปัญญามาก
somyot_pan@hotmail.co.th
ปาริชาติ เสมอเชื้อ
Faaiparichat@gmail.com
พระครูธรรมธรบุญเที่ยง พุทฺธสาวโก
Faaiparichat@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา 2. เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. นำเสนอหลักพุทธบูรณาการในการส่งเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประชากร จำนวน 6,074 คนได้ประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวน 376 คน จากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ในภาพรวมทั้ง 4 ด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับพึงพอใจมาก ผลรวมค่าเฉลี่ย (x̄= 4.04) เมื่อจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า ด้านสถานการณ์ของผู้นำ เป็นลำดับแรก อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 4.12) รองลงมา ได้แก่ ด้านพฤติกรรมของผู้นำ อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 4.06) และด้านอำนาจ อิทธิพลของผู้นำ อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 3.97) เป็นลำดับสุดท้าย ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชาชนที่มีปัจจัยส่วนบุคคลทั้งเรื่องเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ไม่แตกต่างกัน จึงเป็นการปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. ผลการวิเคราะห์การบูรณาการไตรสิกขา แสดงให้เห็นว่า ศีล เป็นรากฐานทางจริยธรรมในการประพฤติและใช้อำนาจอย่างถูกต้อง สมาธิ เป็นพลังในการรักษาความมั่นคงทางจิตใจและการตัดสินใจอย่างมีสติ และปัญญา เป็นกลไกในการใช้ความรู้และเหตุผลเพื่อประโยชน์ส่วนรวม</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)