https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/issue/feed
วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
2024-12-19T14:20:52+07:00
ดร.สิทธิพร เกษจ้อย
piakealexander@yahoo.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิชาการแสงอีสานรับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้าน ด้านพระพุทธศานา ปรัชญา การศึกษาเชิงประยุกต์ ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์ (Article Review) ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความที่ตีพิมพ์จะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Doubleblind Peer Review)</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์</strong><br />ปีละ 2 ฉบับ<br /> - ฉบับประจำเดือน มกราคม - มิถุนายน<br /> - ฉบับประจำเดือน กรกฏาคม - ธันวาคม</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/272999
การศึกษาทักษะการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3
2024-05-21T11:23:10+07:00
วีราภรณ์ สุยา
veerapron21@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3</p> <p>2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จำแนกตามอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ T-test การทดสอบ F-test หรือ One Way ANOVA เมื่อพบความแตกต่างกัน จึงทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธี LS.D (Least Significant Difference)</p> <p>ผลการวิจัยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 4.15) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน (𝑥̅= 4.23) รองลงมา คือ ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร (𝑥̅= 4.18) ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี (𝑥̅= 4.10) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ (𝑥̅= 4.10) เมื่อเปรียบเทียบจำแนกตามอายุ โดยรวมพบว่าแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านแตกต่างกัน และจำแนกตามวุฒิการศึกษาโดยรวม พบว่าไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร และด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานพบว่า โดยรวมแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ด้านการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน และด้านการใช้เทคโนโลยีใน การบริหารแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274136
การปฏิบัติงานสหวิชาชีพในการให้บริการแก่เด็กที่ถูกทารุณกรรม ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ศึกษากรณี ศูนย์พึ่งได้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
2024-05-31T16:05:22+07:00
chanchanaporn Kralam
chansoc23@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานของสหวิชาชีพในการให้บริการแก่เด็กที่ถูกทารุณกรรม รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและแนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานของสหวิชาชีพแก่เด็กที่ถูกทารุณกรรม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลกับสหวิชาชีพภายในโรงพยาบาล และสหวิชาชีพภายนอกโรงพยาบาล จำนวน 16 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าสหวิชาชีพมีการปฏิบัติงานตามกระบวนการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 กำหนดไว้ ได้แก่ (1) การค้นหาข้อเท็จจริงหรือการสืบสวนสอบสวน (2) การคุ้มครองป้องกันเฉพาะหน้า (3) การบำบัดฟื้นฟู (4) การส่งเด็กคืนสู่สังคม (5) การป้องกันการถูกกระทำซ้ำด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงในครอบครัวและชุมชน</p> <p>ปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติงานของสหวิชาชีพในการให้บริการแก่เด็กที่ถูกทารุณกรรมได้แก่ (1) ด้านความเข้าใจ พบปัญหาด้านความรู้ ทักษะการปฏิบัติงาน (2) ด้านการประสานงานและการส่งต่อ พบว่าไม่มีระบบการประสานงานในช่วงวันหยุดราชการ ไม่มีระบบการส่งต่อข้อมูลการดำเนินการช่วยเหลือ (3) ด้านการบริหาร มีข้อจำกัดด้านแนวทางปฏิบัติร่วมกันแบบสหวิชาชีพยังไม่ชัดเจน บุคลากรไม่เพียงพอ ไม่มีงบประมาณ สถานที่ให้บริการไม่เหมาะสม และไม่มีนโยบายส่งเสริมการปฏิบัติงานแบบสหวิชาชีพ</p> <p>แนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานสหวิชาชีพแก่เด็กที่ถูกทารุณกรรม 1) ด้านความเข้าใจ ควรพัฒนาความรู้ด้านกฎหมาย ทักษะการให้ความช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุณกรรม และจิตวิทยาการสร้างสัมพันธภาพ 2) ด้านการประสานงานและการส่งต่อ ควรมีคู่มือ มีการจัดกิจกรรมสร้างสัมพันธภาพของสหวิชาชีพ และมีการประชุมพัฒนาเครือข่าย 3) ด้านการบริหาร ควรมีหลักสูตรอยู่ในการเรียนให้แก่นักศึกษาแพทย์ และพยาบาล มีการจัดการทรัพยากรเครือข่ายในการปฏิบัติงาน และมีการสร้างแรงจูงใจให้แก่บุคลากร กระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดโครงสร้างศูนย์พึ่งได้ จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานที่ชัดเจน และสนับสนุนด้านงบประมาณในการปฏิบัติงาน</p> <p>ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1) กระทรวงสาธารณสุขควรมีการปรับโครงสร้างงานศูนย์พึ่งได้ ให้ชัดเจน 2) กระทรวงสาธารณสุขควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่มีการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน 3) หน่วยงานด้านกฎหมายควรมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงาน 1) โรงพยาบาล ควรมีการจัดทำแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เป็นเครือข่ายภายในจังหวัด 2) ศูนย์พึ่งได้ ควรมีการพัฒนาบุคลากรเพิ่มศักยภาพบุคลากรในหน่วยงาน</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274234
การบริหารกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในอนาคตของอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
2024-05-16T10:33:56+07:00
Dr.Prasong Promsri
sonk101@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้า 2) เพื่อศึกษาการบริหารกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายของอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การบริหารกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในอนาคตของอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการศึกษาข้อมูลเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 รูป โดยวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระบบการบริหารคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้ายึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก คือระบบวินัยและระบบธรรม ด้านการปกครองใช้หลักการกระจายอำนาจสำหรับการปกครอง ด้านการศึกษา ต้องศึกษาและปฏิบัติอยู่กับอาจารย์อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี ด้านการสงเคราะห์ ใช้หลักการบำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเองและสาธารณชนด้วยหลักธรรมและวัตถุ การเผยแผ่ใช้หลักการเข้าถึงบุคคล สังคมและชุมชน และด้านสาธารณูปการ การสร้างวัดที่เรียบง่ายเหมาะแก่การศึกษาและปฏิบัติ การบริหารกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายของอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 6 ด้าน ใช้พระธรรมวินัยและมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ประกาศ มติของมหาเถรสมาคมเป็นหลักสนับสนุน เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน และการบริหารกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายในอนาคตของอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ควรปฏิรูปโครงสร้างการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ได้แก่ ควรลดขั้นตอนการปฏิบัติงานและการสร้างกฎระเบียบให้ง่ายขึ้น กำหนดให้มีการฝึกอบรมด้านพระพุทธศาสนาทุกระดับชั้น ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง กำหนดฝึกอบรมคฤหัสถ์ที่มีอายุครบ 20 ปี ทุกคน ไม่ต่ำกว่า 3 วัน ใน 1 ปี คณะสงฆ์จัดงบประมาณร่วมกันเพื่อสร้างถาวรวัตถุและบูรณวัดที่ขาดแคลน และการจัดทำประกันชีวิตให้กับพระภิกษุและการจัดตั้งกองทุนสำหรับช่วยเหลือประชาชนทั่วไปกรณีฉุกเฉิน</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274601
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน
2024-06-17T13:40:46+07:00
พระวสันต์ ธีรวโร เกษงาม
nongbua99999@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน (2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน (3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ (4) เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 จำนวน 52 รูป/คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะการผลิตสื่อการสอน และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (Dependent)</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นของประชากรกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อปัญหาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (μ = 4.37)</p> <p>2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหลักการ ด้านวัตถุประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ IGPEP และการวัดผลทักษะการผลิตสื่อการสอน</p> <p>3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นแสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และระดับความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ( μ = 4.61)</p> <p>4) ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( μ= 4.60)</p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน (2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน (3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ (4) เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 จำนวน 52 รูป/คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ คู่มือการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบวัดทักษะการผลิตสื่อการสอน และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (Dependent)</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นของประชากรกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อปัญหาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( μ = 4.37)</p> <p>2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหลักการ ด้านวัตถุประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ IGPEP และการวัดผลทักษะการผลิตสื่อการสอน</p> <p>3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นแสดงให้เห็นว่า คะแนนทดสอบสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และระดับความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.61)</p> <p>4) ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อการสอนในการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( μ = 4.60)</p> <p> </p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275133
การเปรียบเทียบความสามารถในด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ โดยการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกุงศาลาน้ำเที่ยงวิทยากร
2024-06-29T13:30:31+07:00
สิทธิชน พิกุล
pikul.invest@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกุงศาลาน้ำเที่ยงวิทยากร ตำบลหนองกุงสวรรค์ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 11 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 2) แบบวัดความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกุงศาลาน้ำเที่ยงวิทยากร ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (μ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกุงศาลาน้ำเที่ยงวิทยากร หลังการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (μ = 19.91 ) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ (μ = 13.82 ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกุงศาลาน้ำเที่ยงวิทยากร ที่มีต่อการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ( μ= 4.72 ).</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275163
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5
2024-07-30T23:47:27+07:00
เทพประกร คำภูเขียว
kingprakorn@gmail.com
วิทูล ทาชา
kingprakorn@gmail.com
<p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (𝑥̅ =3.89) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการเป็นแบบอย่างผู้นำตนเอง (𝑥̅ =4.43) ด้านการสร้างภาวะผู้นำตนเอง (𝑥̅ =4.24) ด้านการสร้างพลังอำนาจ (𝑥̅ =3.89) ด้านการสร้างพลังเชิงบวก (𝑥̅ =3.60) และด้านการสนับสนุนและเสริมแรงบุคลากร (𝑥̅ =3.24) ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 ตามความคิดเห็นของครู พบว่า ครูที่มีเพศและระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาไม่แตกต่างกัน ส่วนครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> </p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275165
แนวทางการพัฒนาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2
2024-08-10T21:10:56+07:00
Parichat Jongphuakklang
parichat_jongphuakklang@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นการพัฒนาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ครูจำนวน 257 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การประเมินความต้องการจำเป็น ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจุบันโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 มีการดำเนินการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.16) และให้มีการดำเนินการในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.61) 2) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุดมี 3 ด้านได้แก่ ด้านความรอบรู้แห่งตน (PNI<sub>Modified</sub>=0.11) ด้านการมีแบบแผนความคิด (PNI<sub>Modified</sub>=0.11) ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (PNI<sub>Modified</sub>=0.11) รองลงมาคือ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม (PNI<sub>Modified</sub>=0.10) และด้านการคิดอย่างเป็นระบบ (PNI<sub>Modified</sub>=0.09) และ 3) แนวทางพัฒนาการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ สำหรับโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ผู้บริหารควรสื่อสาร สร้างบรรยากาศ จัดสรรเวลา และจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้ครูได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง สู่การเป็นวัฒนธรรมองค์กร</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275219
กลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5
2024-08-02T23:36:16+07:00
Areeya Intapanya
milk.areeya26@gmail.com
Witoon Thacha
milk.areeya26@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบกลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 327 คน ได้รับแบบสอบถามกลับมาจำนวน 282 คน คิดเป็นร้อยละ 86.54 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 3.62) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยเรียงระดับจากมากไปน้อยได้แก่ ด้านการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (𝑥̅ = 3.67) ด้านการกำหนดกลยุทธ์ (𝑥̅ = 3.65) ด้านการควบคุมและประเมินกลยุทธ์ (𝑥̅ = 3.61) ด้านการปฏิบัติตามกลยุทธ์ (𝑥̅= 3.55) และ 2) ผลการเปรียบเทียบกลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 พบว่า เพศและระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับกลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ไม่แตกต่างกัน และครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 ที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับกลยุทธ์การบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275657
ทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7
2024-09-01T14:40:13+07:00
Maliwan Janhuana
13amteacher@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้บริหารสังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 จำนวน 44 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 โดยรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก ( 𝑥̅ = 4.26) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ทักษะด้านคุณธรรม จริยธรรม ( 𝑥̅ = 4.50) ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ( 𝑥̅ = 4.32) ทักษะด้านความคิดรวบยอด ( 𝑥̅ = 4.21) ทักษะการใช้เทคโนโลยี และดิจิทัล ( 𝑥̅ = 4.19) ทักษะด้านการสื่อสาร ( 𝑥̅ = 4.09) ตามลำดับ 2) เปรียบเทียบทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 จำแนกตาม ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้าน พบว่าแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276047
รูปแบบการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ในล้านนา
2024-09-08T12:51:26+07:00
สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์
sartsirin@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสำรวจศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของทางวัฒนธรรมในล้านนา 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมและเส้นทางการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ในล้านนา และ 3) เพื่อจัดทำโปรแกรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ในล้านนา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือจากเอกสารและการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 28 รูป/คน การปฏิบัติการกลุ่มเป้าหมาย 21 รูป/คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแบ่งออก 4 อย่าง คือ 1) ศักยภาพการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ได้แก่ มิติด้านศาสนา มิติด้านอัตลักษณ์และภูมิปัญญา มิติด้านธรรมชาติ และมิติทางด้านศิลปะ 2) ศักยภาพการพัฒนาพื้นที่ทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ คือ แหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนา เชิงชาติพันธุ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น และเชิงธรรมชาติใกล้พื้นที่สร้างสรรค์ 3) วิเคราะห์ศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามโมเดล BCG อาศัยปัจจัย 5 ด้าน คือ (1) อาหารพื้นบ้าน (2) บทบาทเจ้าของพื้นที่ (3) ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (4) กิจกรรมท้องถิ่น และ (5) เทศกาลในท้องถิ่น</p> <p class="5175">2<span lang="TH">. การพัฒนากิจกรรมและเส้นทางการท่องเที่ยวมีขั้นตอน ดังนี้ 2.1) การพัฒนาประเพณี วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ชุมชน 2.2) กระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยวพื้นที่สร้างสรรค์ 2.3) การออกแบบกิจกรรมเชื่อมโยงความเชื่อ ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พื้นที่ท่องเที่ยวหลัก และการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่าย 2.4) การถอดบทเรียนและคืนข้อมูลแก่ชุมชน</span></p> <p class="5175"><span lang="TH">3.</span><span style="font-size: 0.875rem;">โปรแกรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์แบ่งออกเป็น 3 โปรแกรม คือ 1) โปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน 2) โปรแกรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมด้านศิลปะ และ 3) โปรแกรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์กับธรรมชาติ ซึ่งโปรแกรมการท่องเที่ยวนี้จะยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนตามโมเดล BCG และเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดความยั่งยืน</span></p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276290
การศึกษาองค์ประกอบทักษะการจัดการเรียนรู้ของครู ในศตวรรษที่ 21 และคุณภาพผู้เรียน
2024-09-23T15:59:36+07:00
Cholrawin Loamarintchai
cholrawin.thesis@gmail.com
Wannika Chalakbang
cholrawin.thesis@gmail.com
Apisit Somsrisuk
cholrawin.thesis@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 และคุณภาพผู้เรียน โดยใช้กระบวนการวิจัยเอกสาร (Document Study) แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1. ศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 แหล่ง และขั้นตอนที่ 2. ประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบของทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 และคุณภาพผู้เรียน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสังเคราะห์เอกสารและแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะในการจัดการเรียนรู้ของครูในศตวรรษที่ 21 มี 5 องค์ประกอบ ซึ่งมีความเหมาะสมในระดับมากทุกองค์ประกอบ ดังนี้ 1. ทักษะการจัดการชั้นเรียน 2. ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 3. ทักษะการสร้างชุมชนการเรียนรู้ 4. ทักษะการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 5. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ 2) คุณภาพผู้เรียนในโรงเรียน มี 6 องค์ประกอบ ซึ่งมีความเหมาะสมในระดับมากทุกองค์ประกอบ ดังนี้ 1. ทักษะการคิด 2. การมีสุขภาวะที่ดีและมีสุนทรียภาพ 3. การมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ 4. ทักษะการแสวงหาความรู้ 5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 6. ทักษะการทำงานเป็นทีม</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276065
การบริหารการจัดการเรียนรู้ของครูพระสอนศีลธรรมตามความคิดเห็นผู้บริหารและครู ยุคดิจิทัลในโรงเรียนจังหวัดสุพรรณบุรี
2024-10-01T16:32:35+07:00
Manasawin Pobsuk
huigmeeku@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารการจัดการเรียนรู้ของครูพระสอนศีลธรรมตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูยุคดิจิทัลในโรงเรียนจังหวัดสุพรรณบุรี และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการบริหารการจัดการเรียนรู้ของครูพระสอนศีลธรรมตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 313 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหารายข้ออยู่ระหว่าง .67–1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .84 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t–test independent) การวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One–way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารการจัดการเรียนรู้ของครูพระสอนศีลธรรมตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูยุคดิจิทัลในโรงเรียนจังหวัดสุพรรณบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.27) เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการทบทวนกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ( 𝑥̅= 4.30)รองลงมา คือ ด้านการบูรณาการหลักธรรมกับชีวิตประจําวัน ( 𝑥̅= 4.29) ด้านการวางแผนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( 𝑥̅= 4.27) และด้านการจัดกิจกรรมทําสมาธิให้กับผู้เรียน ( 𝑥̅= 4.23) และ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการบริหารการจัดการเรียนรู้ของครูพระสอนศีลธรรมยุคดิจิทัลในโรงเรียนจังหวัดสุพรรณบุรี จำแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษา ในภาพรวม มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่วนขนาดโรงเรียนต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในภาพรวมและรายด้าน ยกเว้นด้านการจัดกิจกรรมทําสมาธิให้กับผู้เรียน</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276672
ธรรมาสน์ล้านนา: อัตลักษณ์ ภูมิปัญญา และสุนทรียศาสตร์มรดกวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา
2024-10-09T09:50:02+07:00
Chantarat Tapuling
chantarat.ta@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสำรวจ วิเคราะห์ประวัติความเป็นมาและอัตลักษณ์ของธรรมาสน์ล้านนา 2) เพื่อวิเคราะห์สุนทรียศาสตร์ที่ปรากฏในภูมิปัญญาการสร้างสรรค์ธรรมาสน์ล้านนา และ 3) เพื่อพัฒนากระบวนการเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาสร้างสรรค์ธรรมาสน์ล้านนา งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ในพื้นที่วัด 2 แห่ง ได้แก่ วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และวัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยใช้การศึกษาข้อมูลเชิงเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 รูป/คน และการสนทนากลุ่มย่อยกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 รูป/คน การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาด้วยการพรรณนาบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ธรรมาสน์ล้านนามีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 23 - 25 โดยสอดคล้องกับปรัชญาและคติธรรมทางพระพุทธศาสนา มีโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ฐาน เรือนเทศน์ และหลังคา แต่ละส่วนแฝงความหมายเชิงศาสนา เช่น การแกะสลักลวดลายดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการพ้นจากกิเลส และลวดลายนาคที่สื่อถึงการปฏิบัติอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด ธรรมาสน์บางหลังยังมีลวดลายเทวดาที่สื่อถึงการบูชาพระธรรมของเทวดา ซึ่งจัดเป็นอามิสบูชา สะท้อนความเชื่อของชาวล้านนาในเรื่องการสร้างบุญกุศล 2) สุนทรียศาสตร์ที่ปรากฏในธรรมาสน์ล้านนา มีความโดดเด่นด้านการออกแบบและตกแต่ง โดยลวดลายต่าง ๆ ลายดอกบัวที่สื่อถึงการตรัสรู้ ลายเถาวัลย์ที่แสดงถึงการเติบโต และลายเมฆที่สื่อถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นลวดลายที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อสะท้อนคติธรรมที่ลึกซึ้ง นอกจากนี้ การจัดวางและออกแบบธรรมาสน์ยังถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมบรรยากาศในการปฏิบัติธรรมและการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ลวดลายและสัญลักษณ์ที่ใช้ในการตกแต่งธรรมาสน์ช่วยส่งเสริมบรรยากาศแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างสมบูรณ์ และ 3) การพัฒนากระบวนการเผยแพร่และถ่ายทอดภูมิปัญญาการสร้างธรรมาสน์ล้านนา มุ่งเน้นการอนุรักษ์ศิลปกรรมผ่านการฝึกอบรม การจัดกิจกรรม และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเผยแพร่ความรู้ไปยังสังคมในวงกว้าง นิทรรศการและการแสดงศิลปกรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสนใจและกระตุ้นการอนุรักษ์ศิลปกรรมล้านนาในยุคปัจจุบัน</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276092
ความพึงพอใจของครูต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร
2024-09-15T11:37:39+07:00
Tippawan Wiseddee
zatiara.so@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของครูต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร จำแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) การทดสอบ t-test (Independent Samples Test) และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพึงพอใจของครูต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก( 𝑥̅= 4.26) โดยด้านทักษะความร่วมมือมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ด้านทักษะความร่วมมือ( 𝑥̅= 4.32) ด้านทักษะวิสัยทัศน์( 𝑥̅= 4.27) ด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์( 𝑥̅= 4.23) และด้านทักษะการสื่อสาร( ( 𝑥̅= 4.20) ตามลำดับ 2) ความพึงพอใจของครูต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายที่ 15 สังกัดกรุงเทพมหานคร จำแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษาไม่แตกต่างกัน</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276592
ความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามการรับรู้ ของครูใน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
2024-09-28T23:06:50+07:00
setthaphum faenglap
zam_tc2gether@tunn.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ 2) เปรียบเทียบความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครู จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหารายข้ออยู่ระหว่าง .67–1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t–test independent) การวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว (One–way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( 𝑥̅= 4.40) เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด ได้แก่ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ( 𝑥̅= 4.47) ด้านภาวะผู้นำ ( 𝑥̅= 4.39) ด้านวิสัยทัศน์( 𝑥̅= 4.37) และด้านบริหารจัดการ ( 𝑥̅= 4.35) และ 2) ผลการเปรียบเทียบความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และขนาดโรงเรียน พบว่า ในภาพรวมและรายด้านมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุและประสบการณ์ในการทำงานในรายด้านมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ ด้านภาวะผู้นำ และด้านคุณธรรม จริยธรรม </p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276731
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
2024-10-29T13:50:11+07:00
Rungtiwa Seehanoo
rungtiwaaoao28@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อสำรวจความคิดเห็นครูผู้สอนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่างคือครูผู้สอน จำนวน 317 คน ได้รับแบบสอบถามกลับมา จำนวน 302 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 95 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย ( 𝑥̅= 3.93) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ( 𝑥̅= 3.97), ด้านสร้างแรงบันดาลใจ ( 𝑥̅= 3.93), ด้านกระตุ้นทางปัญญา( 𝑥̅= 3.91) และด้านคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ( 𝑥̅= 3.89) ตามลำดับ และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน พบว่า ครูผู้สอนที่มีเพศต่างกันและมีประสบการณ์การทำงานต่างกันมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ครูผู้สอนที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276903
การประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ 4 ในการเตรียมตัวก่อนตายกับผู้ป่วย โรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรงพยาบาลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น
2024-10-15T09:12:05+07:00
สิริกาญจน์ มหากิจสิริภักดี
tumsirikan2505@gmail.com
<p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเตรียมตัวก่อนตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายโรงพยาบาลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาหลักอริยสัจ 4 ที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท และ3) เพื่อประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ 4 ในการเตรียมตัวก่อนตายกับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรงพยาบาลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยเน้นศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ พระไตรปิฎก เอกสารวิชาการ ตำรางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และ รวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์จริงในภาคปฏิบัติ และทบทวนเอกสารแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สรุป และนำเสนอเชิงพรรณา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การเตรียมตัวก่อนตายของผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายโรงพยาบาลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นการเตรียมตัวผู้ป่วยใน 3 มิติ คือ (1) ด้านร่างกาย โดยการเข้าใจกระบวนการักษาแบบประคับประคอง (2) ด้านจิตใจและจิตวิญญาณ โดยการเข้าใจกระบวนการยอมรับข้อเท็จจริงของชีวิต และ(3) ด้านสังคม โดยการเข้าใจบริบท ซึ่งมีครอบครัวและสิ่งแวดล้อม อยู่ในกระบวนการบทบาทของทีมการดูแลแบบประคับประคองของโรงพยาบาล จึงเป็นความหวังสุดท้ายของชีวิต ในการบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ 2) หลักอริยสัจ 4 เป็นกระบวนการแก้ปัญหาดับทุกข์ที่แท้จริง ได้แก่ ทุกข์(รู้ปัญหา) สมุทัย(รู้สาเหตุ) นิโรธ(รู้เป้าหมาย) มรรค (รู้วิธีการ) และ3) การประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ 4 ในการเตรียมตัวก่อนตายกับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย โรงพยาบาลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เป็นผลทำให้ผู้ป่วยรู้มิติของชีวิตและความเจ็บป่วย เข้าใจชีวิตและยอมรับความตายได้ตามความเป็นจริง โดยวาระสุดท้ายของชีวิตมี 4 ขั้นตอน คือ (1) กระบวนการสร้างความเข้าใจความจริง (2) กระบวนการสร้างการยอมรับ (3) การปรับสมดุลชีวิต และ (4) การปล่อยวางอย่างเข้าใจ.</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/276218
การสังเคราะห์การบริหารการศึกษากับกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา
2024-09-16T16:16:05+07:00
Phramaha Suphachai Bootraked (Suphakicco) Phramaha Suphachai Bootraked (Suphakicco)
suphachai.boo@mbu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์องค์ความรู้จากนานาทัศนะของนักวิชาการด้วยการวิจัยเอกสารสู่การนำเสนอแนวคิดการบริหารการศึกษากับกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษา และ 2) ศึกษาความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารการศึกษา เป็นการเปลี่ยนแปลงจากกระบวนทัศน์เก่าสำหรับศตวรรษที่ 20 สู่กระบวนทัศน์ใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21 โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ตามแนวทางของ Scott (2006) ศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้จากทัศนะของนักวิชาการจากเอกสารหลากหลายฉบับ ผลการวิจัยพบว่า การบริหารการศึกษาที่จะต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายกับกระบวนทัศน์ใหม่ทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่มีประสิทธิผล นักบริหารการศึกษาจะต้องมีความคาดหวังสูง มองอนาคตอย่างมีวิสัยทัศน์ มีจิตมุ่งสร้างสรรค์ ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายพื้นฐานที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด มีภาวะผู้นำแบบร่วมมือ และสร้างความตื่นตัวทางปัญญาให้โรงเรียนและห้องเรียนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งกระบวนทัศน์เก่าผู้บริหารการศึกษาดำเนินงานตามกรอบเค้าโครงความคิดตามแบบวิทยาศาสตร์แบบตายตัวไม่เปิดกว้าง ไม่ยืดหยุ่น ต้องได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง แตกต่างจากกระบวนทัศน์ใหม่ที่ผู้บริหารการศึกษาดำเนินงานแบบเปิดกว้างยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารแบบประชาธิปไตยให้ทุกคนมีส่วนร่วม ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/277021
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
2024-10-29T15:29:37+07:00
นางสาวปลายฟ้า แก้วพรหม
plaily.24@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน 2) ศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีความเที่ยงตรงอยู่ระหว่าง 0.8-1.0 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.980 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยแบบการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.29) 2) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.33) 3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา วิสัยทัศน์ดิจิทัล และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กรในยุคดิจิทัลมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยด้านที่มีอิทธิพลสูงที่สุด คือ วิสัยทัศน์ดิจิทัล รองลงมา คือ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กรในยุคดิจิทัล ตามลำดับ โดยมีอำนาจพยากรณ์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ร้อยละ 62.50</p>
2024-12-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274466
สิทธิทางการศึกษาของพระสงฆ์ไทยภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
2024-05-27T20:57:42+07:00
พระณัฐวุฒิ พันทะลี
pantalee200134go@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิทธิทางการศึกษาของพระสงฆ์ไทยภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จากการศึกษาพบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ไม่ได้กล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพในด้านการศึกษาของพระสงฆ์ไว้เป็นการเฉพาะ แต่ได้กล่าวไว้โดยรวมตามมาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันและมาตรา 27 วรรคสอง การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้พระสงฆ์มีสภาพเป็นบุคคล จึงหมายความว่าพระสงฆ์ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาและพระสงฆ์ย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ การศึกษาอบรม การเรียนการสอนเท่าที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น พระสงฆ์จึงไม่ถูกจำกัดสิทธิโดยกฎหมายและไม่อยู่ในข่ายแห่งเงื่อนไขแห่งการจำกัดสิทธิและเสรีภาพได้ จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พระสงฆ์จะมีสิทธิและเสรีภาพในด้านการศึกษา ซึ่งหลักการนี้ยังได้รับการยอมรับและบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของนานาอารยประเทศประชาธิปไตยที่ถือเป็นหลักพื้นฐานประการหนึ่งในการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการแบ่งแยกอย่างไม่เป็นธรรมและในการนี้พระสงฆ์ก็เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความแตกต่างจากบุคคลกลุ่มอื่นทางกายภาพ มีสถานภาพการเกิดตามพระธรรมวินัยประกอบกับต้องเป็นไปตามกฎหมาย มีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มีความเชื่อทางศาสนาที่มีหลักปฏิบัติเป็นการเฉพาะ แต่ความแตกต่างนั้นก็ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จึงไม่ควรถูกแบ่งแยกออกจากสังคมมนุษย์และควรได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในด้านการศึกษาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/275841
บทบาทและคุณลักษณะที่ดีของพลเมืองจากมุมมองของเยาวชนไทย
2024-08-16T16:03:56+07:00
ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์
silawatchaiwong30@gmail.com
<p>บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับบทบาทและคุณลักษณะที่ดีของพลเมืองจากมุมมองของเยาวชนไทย ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วนต้องช่วยกันขัดเกลา หล่อหลอมเยาวชนให้เป็นพลเมืองที่ดีในสังคมผ่านระบบการศึกษา ผ่านกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองตามคุณลักษณะความเป็นพลเมืองที่ดี โดยความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมเคารพความแตกต่าง เคารพหลักความเสมอภาค เคารพกติกา และรับผิดชอบต่อตนเองและพึ่งตนเองได้ ดังนั้น การพัฒนาเยาวชนในสังคมหนึ่ง ๆ ให้มีคุณภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับ ความรู้ความสามารถ (knowledge) ทักษะ (skill) และเจตคติ (disposition) ของเยาวชนในสังคมจาก “ราษฎร” ไปสู่ “ประชาชน” ให้กลายเป็น“พลเมือง” ที่มีความรู้ ความสามารถ ตระหนักในศักยภาพของตน มีความกระตือรือร้นที่จะใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายอย่างเหมาะสมตามลำดับและตามช่วงวัยของเยาวชนเห็นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นใหญ่ และทำเพื่อให้บ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้ามีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขกันทั่วหน้า</p>
2024-12-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)