วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi <p>วารสารวิชาการแสงอีสาน ( Saeng Isan ) เป็นวารสารวิชาการสหวิทยวิทยาการด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 2 ภาษา คือภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเผยแผ่ผลงานวิชาการ บทความวิจัยและบทความปริทรรศน์(Article Review)ทางพระพุทธศาสนาปรัชญา สหวิทยาการมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์ ศิลปวัฒธรรมและการศึกษา </p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์</strong><br />ปีละ 2 ฉบับ<br /> - ฉบับประจำเดือน มกราคม - มิถุนายน<br /> - ฉบับประจำเดือน กรกฏาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์<br /></strong> 1.เพื่อเผยแพร่ผลการวิจัยและผลงานวิชาการทางพระพุทธศาสนาปรัชญา สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และการศึกษา</p> <p> 2.เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านสหวิทยาการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</p> <p> 3.เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนผลงานวิชาการสหวิทยาการสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์</p> วารสารวิชาการแสงอีสาน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน th-TH วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) 3027-6152 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เชียนบทความโดยตรง ซึ่งวารสารไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ผู้เขียนทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์เผยแพร่นั้น จะต้องไม่เป็นบทความที่กำลังอยู่ในการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่นหรือเคยตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้ว หากมีการใช้ภาพ ข้อความหรือตารางของผู้เขียนหรือผู้นิพนธ์ท่านอื่น ผู้เขียนจะต้องอ้างแหล่งที่มาหรือเจ้าของลิขสิทธ์</p> <p>Publication Ethic:</p> <p>The detail published&nbsp; in Saeng Isan Journal is opinion and responsibility of the authors, and it is&nbsp; not relevant with the jouranl. Besides, the authors&nbsp; must certify that the original manuscript is not in the process to publish in other journals or used to publish in other journals. If the authors use paragraphs, pictures&nbsp; or tables from others, the athours must refer to the original sources.</p> <p><strong>Article Consideration</strong><strong>:</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;Each article will be published by a panel three journalists with expertise in relevant fields, and get the editorial approval before publishing. The review is in the form of &nbsp;The article's double blind.&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;To comply with copyright law. The author must sign the copy of the article submission form to the journal. In addition, the author must confirm that the original article submitted to the journal is only one publication in&nbsp; Saeng Isan&nbsp; Journal. If the images or tables of other authors appearing in other publications are used, the author must ask permission of the copyright owner before publishing.</p> ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/266148 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 และเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 88 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.31 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน ได้แก่ ด้านมีความชอบธรรม ( = 4.51 ) มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านมีความเสียสละ ( = 4.26 ) ด้านมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ( = 4.24 ) และด้านมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ( = 4.23 ) 2) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และระดับการศึกษา พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสบการณ์การทำงาน และระดับการศึกษาต่างกัน มีภาวะผู้นำเชิงพุทธแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาที่มีตำแหน่งต่างกัน พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> Natthapon Seemeepan Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 1 15 การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยการเรียนรู้ผสมผสาน แบบสร้างสรรค์เป็นฐานโดยการเล่านิทาน สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล3 โรงเรียนพระกุมารเยซูขอนแก่น https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/266350 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปฏิบัติการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยการเรียนรู้ผสมผสานแบบสร้างสรรค์เป็นฐานโดยการเล่านิทาน 2) เพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนด้วยการเรียนรู้ผสมผสานแบบสร้างสรรค์เป็นฐานโดยการเล่านิทานและ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยการเรียนรู้ผสมผสานแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน โดยการเล่านิทาน กลุ่มเป้าหมายการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนพระกุมารเยซูขอนแก่น จำนวน 26 คน ซึ่งเป็นการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกอนุทินของผู้เรียน แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ แบบบันทึกการจัดการเรียนรู้ ใบงานกิจกรรมเล่านิทาน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ร่วมกับการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานโดยการเล่านิทาน โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) กระตุ้นความสนใจ 2) ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ 3) ค้นคว้าและคิด 4) นำเสนอ 5) ประเมินผล โดยแต่ละขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ นำไปสู่การค้นคว้าหาความรู้ เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองเพิ่มสูงขึ้น 2) ผลการศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีระดับความคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับมาก และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ( = 4.53, S.D. = 0.53)</p> <p> </p> ศันสนีย์ สว่างวัฒนกุล Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 16 31 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/266824 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู 2) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนมาตรฐานสากล จำนวน 308 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.97) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านผู้นำที่มีความคิดความเข้าใจระดับสูง ( = 4.01) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ และด้านการคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต ( = 3.97) ด้านการคิดเชิงปฏิวัติ ( = 3.96) และด้านการรวบรวมปัจจัยสู่การกำหนดกลยุทธ์ ( = 3.93) ระดับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเลย หนองบัวลำภู โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.79) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ ( = 3.87) ด้านร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก ( = 3.84) ด้านผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ ( = 3.80) ด้านล้ำหน้าทางความคิด ( = 3.74) และด้านสื่อสารสองภาษา ( = 3.69) และภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง (r = .635) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ว่าที่ร.ต.อาวุธ ดวงดาวพารัมย์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 32 44 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/266964 <p> </p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน 2) ศึกษาประสิทธิผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม โดยใช้เทคนิค เกมกลุ่มแข่งขัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ ในการวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ โดยใช้เทคนิค เกมกลุ่มแข่งขัน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 15.93 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 79.64 2) ประสิทธิผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การหารทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน มีพัฒนาการสูงขึ้น โดยมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.67 และ3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องการหารทศนิยม โดยใช้เทคนิคเกมกลุ่มแข่งขัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสวนมะเดื่อ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> </p> SIRILAK HINGPRASERT Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 45 56 การพัฒนารูปแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วม ของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/267513 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช จากกลุ่มประชากรทั้งหมด จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตรวัด 5 ระดับ มีค่า IOC เท่ากับ 92.15 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .94 โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ร่างรูปแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง โรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน และ 3) ประเมินรูปแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 9 คน ใช้แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบใช้สถิติค่าความถี่และค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.35) เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การส่งต่อ การป้องกันและการแก้ปัญหา การส่งเสริมนักเรียน และการคัดกรองนักเรียน 2) รูปแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล (2) การคัดกรองนักเรียน (3) การส่งเสริมนักเรียน (4) การป้องกันและแก้ปัญหา และ (5) การส่งต่อ และ 3) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของของรูปแบบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยหลักการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครองโรงเรียนตระพังพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยภาพรวมอยู่ในร้อยละ 95.95 </p> surachai nunlua Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 57 69 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/267827 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จําแนกตามเพศและประสบการณ์ การทำงาน กลุ่มเป้าหมายการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวนทั้งหมด 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.35 ) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้าน อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการทำงานร่วมกัน ( = 4.48) ด้านการพัฒนานวัตกรรม ( = 4.33 ) ด้านวิสัยทัศน์ ( = 4.32 ) ด้านการสื่อสาร ( = 4.30 ) และด้านความเข้าใจในการใช้ดิจิทัล ( = 4.30 ) 2) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามเพศ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีเพศต่างกัน มีภาวะผู้นำดิจิทัลไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีภาวะผู้นำดิจิทัลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05</p> Lattawan Wongpoy Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 70 84 การพัฒนาแผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/268082 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีคุณภาพดีและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังจากการใช้แผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความ 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติงานของนักเรียนหลังได้รับการใช้แผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จากจำนวนนักเรียน 670 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบบกลุ่ม ได้นักเรียนจำนวน 35 คน เนื่องจากประชากรมีความคล้ายคลึงกันระหว่างกลุ่ม ได้แก่ เพศ สติปัญญาที่มีความสามารถแตกต่างกัน คือ เก่ง กลาง และอ่อน เครื่องมือการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติงาน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ มีค่าเท่ากับ 82.62/82.38 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากใช้แผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) พฤติกรรมการปฏิบัติงานของนักเรียนที่มีต่อแผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความอยู่ในระดับมาก 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนที่ความคิดแบบดิจิทัลร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ปิยาภรณ์ หนุนเพ็ชร Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 85 96 รูปแบบการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งวิถีพุทธของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้า ตำบลแม่วะ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/268897 <p>The purposes of this research were 1) to study the context of weaving group community enterprise in Mae Wa Subdistrict, Thoen District, Lampang Province; 2) to study the process of Buddhist building strength in communities of weaving community enterprises in Mae Wa Sub-district, Thoen District, Lampang Province; and 3) to propose a model for Buddhist strengthening communities of weaving community enterprises in Mae Wa Sub-district, Thoen District, Lampang Province. This study was a qualitative research method using documents tool and in-depth interviews with 17 key informants. Data were analyzed by descriptive content.</p> <p>The finding were as follows; 1) Community enterprise of weaving group is established a community enterprise by using the local knowledge that has been passed down from ancestors in weaving community. The group has applied and adapted the products as their identity and was selected to get award for producing 4-star woven fabrics with unique techniques based on nature with local wisdom. It makes the weaving group able to rely on themselves and get income from woven fabric products with their own unique.</p> <p>2) The process of Buddhist strengthening community are divided into 6 factors namely; 1) Finding an alliance with ideas; 2) Establish group under the Act on Promotion of Community Enterprises; 3) Management group is suitable for each other; 4) Participation of communities; 5) Support of government; and 6) network of weaving groups.</p> <p>3) Models of Buddhist strengthening communities of weaving group community enterprises include: 1) the models with self-reliant as follows: (1.1) Production and tools appropriate to their own knowledge; (1.2) Knowledge transfer to the next; (1.3) Promoting weaving as a main occupation; and (1.4) Cooperation. 2) The self-reliance model according to the TERMS theory as follows: (2.1) the Communities use innovations to increase product quantity and quality; (2.2) community enterprises can generate income and become self-reliant; (2.3) the community enterprises produce products as the sympathize with environment; (2.4) the Community Enterprise has a generous heart and sympathize with each other; and (2.5) the Community Enterprise has encouraged physically, mentally, socially and emotionally. 3) The Buddhist Model of strengthen promotion, namely: (3.1) the members of group know how to sacrifice things, knowledge and good behavior; (2.2) the members had spoken polite words and encourage each other; (3.3) the members know how to practice oneself for the benefit of themselves and others; and (3.4) the members are consistently posing to help and support each other.</p> สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 97 111 ประสบการณ์การผ่านพ้นของผู้ติดสุรา กรณีศึกษาเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือคนไข้ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/268923 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจถึงประสบการณ์ในการก้าวข้ามผ่านปัญหาที่เกิดขึ้นในการพยายามหยุดดื่มสุรา พร้อมทั้งปัจจัยที่สามารถสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือคนไข้สามารถหยุดดื่มสุราได้อย่างถาวร การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยผ่านการสังเกตและการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยครั้งนี้ มีทั้งสิ้น 12 ราย แบ่งเป็นผู้ติดสุรา (เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเหลือคนไข้) จำนวน 4 ราย บุคคลใกล้ชิดผู้ติดสุรา จำนวน 4 ราย และเจ้าหน้าที่ที่ผู้เคยดูแล ผู้ติดสุรา จำนวน 4 ราย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ในการก้าวข้ามผ่านปัญหาที่กว่าจะมาประสบการณ์ในการผ่านพ้นของผู้ติดสุรานั้น ล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรคที่เป็นเสมือนปัจจัยกระตุ้นที่ผลต่อความเปราะบางทางอารมณ์ อันสามารถก่อให้เกิด การอนุญาตให้ตนเองกลับไปดื่มสุราซ้ำ โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมการติดสุรานั้น สามารถแบ่งเป็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ การดื่มเพื่อหลีกหนีปัญหา การดื่มเพื่อทดแทนสารเสพติดอื่น และปัจจัยภายใน เช่น การดื่มเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า ผิดหวัง หรือเสียใจ ซึ่งการติดสุราได้ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ตามมา อันนำไปสู่ การพยายามหยุดดื่มสุราที่มีสาเหตุมาจากการอยากฟื้นฟูสภาพร่างกาย การตระหนักรู้ถึงโทษของสุรา และ การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในครอบครัว และการทำให้ครอบครัวสบายใจ หากแต่เมื่อหยุดสุราได้ไม่นาน ก็มีเหตุให้กลับไปดื่มซ้ำอันเกิดจากการใช้สารเสพติดอื่นทดแทน การเข้าใกล้ความเสี่ยง การขาดทักษะในการแก้ปัญหาและจัดการความอยาก การไม่ยอมรับว่ามีปัญหาจากการดื่มสุรา การมีทัศนคติที่ดีต่อการดื่มสุรา การกลับไปคลุกคลีกับเพื่อนที่ดื่มสุรา และการขาดความรักจากครอบครัว หากแต่เมื่อการติดสุราเริ่มส่งผลกระทบที่มากขึ้นก็เป็นเหตุให้ผู้ติดสุราตั้งใจที่จะหยุดดื่มสุรา โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ ต้องการลบคำสบประมาท การรับรู้ว่าตนเองมีคุณค่า และการยอมรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการติดสุรา และสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้สามารถหยุดดื่มสุราอย่างต่อเนื่องนั้น ได้แก่ การเรียนรู้จากประสบการณ์ การรับรู้คุณค่า การมีเป้าหมายในชีวิต การยอมรับข้อผิดพลาดและให้อภัยตนเอง อีกทั้งการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว บุคลากรทางการแพทย์ และเครือข่ายอื่น ๆ ยังถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ติดสุรามีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงตนเอง จนสามารถหยุดดื่มสุราได้อย่างถาวร</p> SIRADAPORN SOONTORNPHRUEK Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 112 128 การสร้างเครือข่ายบนพื้นทางสังคมสู่การพัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญาในจังหวัดลำปาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/270539 <p>การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาพื้นที่และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการพัฒนาจิตใจและปัญญา 2) เพื่อพัฒนาระบบสร้างสรรค์ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาจิตใจและปัญญา 3) เพื่อสร้างเครือข่ายบนพื้นที่ทางสังคมสู่การพัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือจากการศึกษาเอกสาร การสนทนากลุ่มย่อย การมีส่วนร่วมและปฏิบัติการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสาร การประชุมกลุ่มย่อยและปฏิบัติการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากสนทนากลุ่ม 18 คน และกลุ่มเป้าหมายเชิงปฏิบัติการจำนวน 36 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและกระบวนการสร้างเครือข่ายบนพื้นที่ทางสังคมเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li>การพัฒนาพื้นที่และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการพัฒนาจิตใจและปัญญามีกระบวนการทำงาน ดังนี้ 1) การได้ความรู้หลักสูตรการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแนวพุทธ เข้าใจสภาพจิตใจของผู้อื่น 2) การเชื่อมโยงโครงการวัด บ้าน ประชารัฐสร้างสุข ตามนโยบายคณะสงฆ์ 3) การพัฒนาพื้นที่ด้วยทุนทางภูมิวัฒนธรรมในพื้นที่สร้างสรรค์ และ 4) การจัดตั้งศูนย์พัฒนาจิตใจและปัญญาประจำจังหวัด เพื่อรองรับและให้บริการแก่ผู้ที่ประสบความทุกข์ในการดำเนินชีวิต</li> <li>การพัฒนาระบบกลไกเพื่อรับบริการจากศูนย์พัฒนาจิตใจและปัญญามีรูปแบบ 3 อย่าง ได้แก่ 1) การเข้ารับบริการในพื้นที่สำหรับกิจกรรมและหลักคำสอนที่ 2) ระบบกลไกการรับบริการผ่านสถานีวิทยุ เพื่อให้แง่คิด คำชี้แนะ หลักความเชื่อและจารีตประเพณีต่างๆ และ 3) ระบบกลไกการรับบริการผ่านธรรมะในสวนที่ขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง</li> </ol> <p>3. การสร้างเครือข่ายบนพื้นที่ทางสังคมสู่การพัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญาแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1) การสร้างเครือข่ายด้วยกิจกรรมในพื้นที่ เพื่อทำกิจกรรมการขับเคลื่อนศูนย์ 2) การสร้างเครือข่ายตามพลังแห่ง บวร. ร่วมกับคณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ เอกชนและทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดเป็นชุมชนคุณธรรม พึ่งพาอาศัยกันและกัน 3) การสร้างเครือข่ายด้วยระบบกลไกที่มีผลต่อการขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาจิตใจและปัญญา เช่น กลไกด้านการส่งเสริมความรู้ กลไกด้านการให้บริการและกลไกด้านเครือข่ายทางสังคมที่สามารถช่วยบรรเทาทุกข์หรือแก้ปัญหาแก่ผู้ที่เข้ามาขอรับบริการในพื้นที่</p> สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 20 2 129 143