วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi <p>วารสารวิชาการแสงอีสานรับตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้าน ด้านพระพุทธศานา ปรัชญา การศึกษาเชิงประยุกต์ ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลักษณะของบทความที่จะนำลงตีพิมพ์ ได้แก่ บทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทรรศน์ (Article Review) ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ<br /></strong> บทความแต่ละบทความที่ตีพิมพ์จะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Doubleblind Peer Review)</p> <p><strong>กำหนดจัดพิมพ์</strong><br />ปีละ 2 ฉบับ<br /> - ฉบับประจำเดือน มกราคม - มิถุนายน<br /> - ฉบับประจำเดือน กรกฏาคม - ธันวาคม</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> Mahamakut Buddhist University Isan Campus th-TH วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) 3027-6152 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เชียนบทความโดยตรง ซึ่งวารสารไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ผู้เขียนทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์เผยแพร่นั้น จะต้องไม่เป็นบทความที่กำลังอยู่ในการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่นหรือเคยตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้ว หากมีการใช้ภาพ ข้อความหรือตารางของผู้เขียนหรือผู้นิพนธ์ท่านอื่น ผู้เขียนจะต้องอ้างแหล่งที่มาหรือเจ้าของลิขสิทธ์</p> <p>Publication Ethic:</p> <p>The detail published&nbsp; in Saeng Isan Journal is opinion and responsibility of the authors, and it is&nbsp; not relevant with the jouranl. Besides, the authors&nbsp; must certify that the original manuscript is not in the process to publish in other journals or used to publish in other journals. If the authors use paragraphs, pictures&nbsp; or tables from others, the athours must refer to the original sources.</p> <p><strong>Article Consideration</strong><strong>:</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;Each article will be published by a panel three journalists with expertise in relevant fields, and get the editorial approval before publishing. The review is in the form of &nbsp;The article's double blind.&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;To comply with copyright law. The author must sign the copy of the article submission form to the journal. In addition, the author must confirm that the original article submitted to the journal is only one publication in&nbsp; Saeng Isan&nbsp; Journal. If the images or tables of other authors appearing in other publications are used, the author must ask permission of the copyright owner before publishing.</p> การศึกษาสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/280221 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน และวุฒิการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู กลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว จำนวน 217 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างใช้วิธีทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีของเชฟเฟ่</p> <p>จากการศึกษาพบว่า 1) สภาพการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ของสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพื้นที่พิเศษในอำเภอเชียงดาว ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.25) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.25) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสนับสนุนและใช้แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.32) รองลงมา คือ ด้านการให้บริการชุมชน (𝑥̅<strong> </strong>= 4.26) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการสร้างเสริมความสัมพันธ์กับชุมชนของโรงเรียนและหน่วยงานอื่น (<strong> 𝑥̅</strong>= 4.20) 2) เมื่อเปรียบเทียบจำแนกตามประสบการณ์ทำงานและวุฒิการศึกษา ทั้ง 5 ด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน</p> สิรินทรา ก๋าคำ ณัฐวุฒิ สัพโส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 1 13 โมเดลสมการโครงสร้างของพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/279843 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม (Innovative Work Behavior: IWB) ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยอาศัยโมเดลสมการโครงสร้าง และ (2) วิเคราะห์อิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลรวมที่มีต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจำนวน 960 คน โดยได้รับแบบสอบถามคืนจำนวน 767 ชุด และสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้ทั้งสิ้น 746 ชุด ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing: KS) และภาวะผู้นำตนเอง (Self-Leadership: SL) มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม ในขณะที่บรรยากาศเชิงนวัตกรรมในองค์กร (Organizational Innovative Climate: OIC) มีอิทธิพลเชิงลบต่อพฤติกรรมดังกล่าว ส่วนประสิทธิภาพเชิงสร้างสรรค์แห่งตน (Creative Self-Efficacy: CSE) ไม่พบว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรม</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมการทำงานเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเน้นการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำตนเอง เปิดโอกาสให้บุคลากรในองค์กรมีส่วนร่วมในการจัดการกับ กลยุทธิ์ด้านนวัตกรรม และสร้างแรงจูงใจจากภายในเพื่อพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการให้รางวัลตามผลงานเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร และส่งเสริมชุมชนแห่งการแบ่งปันความรู้ในองค์กร ทั้งนี้ การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมนวัตกรรม โดยเฉพาะผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและปฏิสัมพันธ์เชิงบวกภายในองค์กร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และส่งเสริมให้ผู้บริหารมีพฤติกรรมที่เน้นนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและบรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรมขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล</p> ศุภณัฏฐ์ สิริไอศูรย์ เศรษฐพงษ์กร วิทูล ทาชา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 14 30 การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/280802 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 12 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว จำนวน<br />8 แผน แบบบันทึกผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แบบวัดท้ายวงจรปฏิบัติการ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 วงจรปฏิบัติการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ<br />และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการ<br />เชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 6.75 คิดเป็นร้อยละ 33.75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 16.58 คิดเป็น<br />ร้อยละ 82.92 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์<br />มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 25.58 คิดเป็นร้อยละ 51.17 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 40.92 <br />คิดเป็นร้อยละ 81.83 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> <p> </p> วรัญชลี จันทร์สมัคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มณีญา สุราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 31 45 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281019 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำแนกตามเพศ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำนวนทั้งหมด 114 คน ได้รับแบบสอบถามกลับมา จำนวน 114 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( 𝑥̅= 4.86) เมื่อพิจารณา แต่ละองค์ประกอบพบว่าทุกองค์ประกอบมีภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วมเชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.90) การคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.89) การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ( 𝑥̅= 4.88) การสร้างบรรยากาศวัฒนธรรมองค์กรเชิงนวัตกรรม ( 𝑥̅= 4.88) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเชิงนวัตกรรม ( = 4.77) และการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงนวัตกรรม (𝑥̅ = 4.75) และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ที่มีเพศและประสบการณ์การทำงานต่างกัน พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีเพศต่างกันและมีประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จิรายุ ตาหล้า เอกชาตรี สุขเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 46 61 การวิเคราะห์อภิมานวิทยานิพนธ์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281913 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะงานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2) วิเคราะห์งานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 3) สรุปและนำเสนอผลการวิเคราะห์งานวิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ของนักศึกษาระดับปริญญาโทที่เข้ารับการศึกษาในปีการศึกษา 2563 ที่สำเร็จการศึกษาทั้งหมด ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2567 จำนวน 59 เล่ม โดยอาศัยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ</p> <p> ผลวิจัยพบว่า 1. คุณลักษณะงานวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา จำแนกทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา พบว่า มีแนวคิดและทฤษฎีทางการบริหารการศึกษาที่ถูกนำมาใช้ในงานวิจัยทั้งสิ้น 13 ทฤษฎี จากการศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม โดยทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา ที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ เรื่อง ภาวะผู้นำ จำนวน 18 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 30.51 มีการศึกษาภาวะผู้นำ จำนวน 13 รูปแบบ โดยมีการศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม มากที่สุด จำนวน 3 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 23.08 และมีการศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ และภาวะผู้นำการเรียนรู้ จำนวนเรื่องละ 2 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 15.38 ต่อเรื่อง ลำดับที่ 2 คือ เรื่อง ทักษะทางการบริหาร จำนวน 16 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 27.12 และ ลำดับที่ 3 คือ เรื่อง การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา จำนวน 5 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 8.47</p> <ol start="2"> <li>ผลการศึกษาวัตถุประสงค์งานวิจัย พบว่า มีวัตถุประสงค์งานวิจัยที่นำมาศึกษาจากศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม แบ่งได้จำนวน 9 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ จำนวน 185 ข้อ โดยมีวัตถุประสงค์งานวิจัยที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ การศึกษาสภาพปัญหา จำนวน 49 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 26.34 ลำดับที่ 2 คือ การหาแนวทาง จำนวน 41 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 22.04 และ ลำดับที่ 3 คือ การประเมิน จำนวน 33 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 17.74</li> <li>ผลการศึกษาพื้นที่การวิจัย พบว่า มีพื้นที่การวิจัยที่นำมาศึกษาจากศึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 59 เล่ม จำนวน 21 พื้นที่ โดยมีพื้นที่การวิจัยที่นำมาศึกษามากที่สุด ลำดับที่ 1 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี จำนวน 13 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 22.03 ลำดับที่ 2 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายและ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู จำนวนพื้นที่ละ 6 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 10.17 ต่อพื้นที่ ลำดับที่ 3 คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีและ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย จำนวนพื้นที่ละ 5 เล่ม คิดเป็นร้อยละ 8.47 ต่อพื้นที่</li> </ol> อิทธิกร อินทร์อุดม สุนิสา วงศ์อารีย์ นวัตกร หอมสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 62 72 แนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281923 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน 2) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนและ 3) ประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและผู้บริหาร โรงเรียนขยายโอกาส และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 302 คน จาก 1,423 คน ได้มาโดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่ และมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความสำคัญของต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทาง แบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน แบ่งเป็น กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน กลุ่มข้าราชการครูจำนวน 4 คน และกลุ่มศึกษานิเทศก์ จำนวน 4 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group Meeting) 2) การประเมินแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน โดยใช้กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มเดียวกันกับตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้เครื่องมือเป็นแบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1) สภาพปัจจุบันของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p> <p>2) ผลการศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬโดยมีหลักการสำคัญของการจัดการความรู้ ดังนี้ 1) การกำหนดความรู้ 2) การสร้างความรู้ 3) การเก็บความรู้ให้เป็นระบบ 4) การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ และ5) การนำความรู้ไปใช้</p> <p>3) ผลการประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ดังนี้ ค่าเฉลี่ยของด้านความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา บึงกาฬโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 5.00)</p> ณัฐดนัย รัตนคุณ นวัตกร หอมสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 73 89 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/281991 <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ภาคเรียนที่ 1/2567 จำนวน 35 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที paired sample t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน จำนวน 35 รูป/คน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนเท่ากับ ( μ=15.03, 𝜎=2.61) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเท่ากับ ( μ=23.97, 𝜎=2.85) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา ที่มีต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์ โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักศึกษาสาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( μ=4.51, 𝜎=0.50)</p> นายกิตติยานนท์ วรรณวงศ์ สุทธินันท์ พรหมพันธุ์ใจ พระครูใบฎีกาเดชา คุณสมฺปนฺโน พระปลัดวสันต์ ธีรวโร สุทธิพงษ์ สายาพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 90 100 การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282256 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร <br />จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอน โรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำนวน 127 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน โดยเทียบสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่างตามรายโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มอย่างง่าย <br />เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม 5 ระดับ มีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .95 วิเคราะห์ข้อมูล<br />โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 4.70 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านหลักความรับผิดชอบ ( 𝑥̅= 4.76 ) รองลงมา ได้แก่ ด้านนิติธรรม ( 𝑥̅= 4.73 ) และด้านหลักประสิทธิภาพ ( 𝑥̅= 4.73 ) และด้านที่อยู่ในอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านหลักการมีส่วนร่วม ( 𝑥̅= 4.65 ) 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า เปรียบเทียบตามเพศ เปรียบเทียบตามระดับการศึกษา เปรียบเทียบตามอายุ และเปรียบเทียบตามประสบการณ์การทำงาน โดยรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> มุกนรินทร์ กิ่งจันมน อัศวิน เสนีชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 101 117 การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282425 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำนวน 127 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยเทียบสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่างตามรายโรงเรียน จากนั้นใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม 5 ระดับ มีความน่าเชื่อถือทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 4.73 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับแรก ได้แก่ ด้านการจัดทำรายงานการประเมินตนเองของสถานศึกษา <br />( 𝑥̅= 4.79 ) รองลงมาได้แก่ ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ( 𝑥̅= 4.77 ) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยเป็นอันดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ( 𝑥̅= 4.66 ) 2) เปรียบเทียบระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายที่ 37 สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งโดยรวมและรายด้าน และจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งโดยรวมและรายด้าน </p> สมสิริ สีสมบา อัศวิน เสนีชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 118 134 การศึกษากระบวนการและปัญหาในการจัดการรายกรณีกับเด็กที่ถูกทารุณกรรม ของนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282609 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการ ปัญหาและอุปสรรค<br />ในการจัดการรายกรณีเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุณกรรมของนักสังคมสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแนวคำถามการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับนักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 8 ราย จาก 4 ภูมิภาค<br />ใช้กระบวนการคัดเลือกแบบเจาะจง ผลการศึกษา พบว่า (1) กระบวนการจัดการรายกรณี<br />มีทั้งหมด 8 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การรับทราบปัญหา คัดกรองและส่งต่อ ประเมินสภาวะ<br />การจัดทำแผนบริการ ดำเนินการตามแผน กำกับติดตามและประเมินผล ทบทวนและประเมินซ้ำ และการยุติการให้บริการ นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับทีมสหวิชาชีพทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้ความช่วยเหลือเหมาะสมกับแต่ละกรณี (2) ปัญหาในการจัดการรายกรณี จำแนกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหน่วยงาน พบปัญหาจำนวนบุคลากร งบประมาณ และระบบสนับสนุน ด้านทีมสหวิชาชีพ พบปัญหาการประสานงานและความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ ด้านผู้ใช้บริการ พบปัญหาความร่วมมือของผู้ใช้บริการ<br />และบุคคลแวดล้อม และด้านผู้จัดการรายกรณี พบปัญหาภาระงานเกินกำลัง เช่น ปฏิบัติงานเกินขอบเขตบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ ปริมาณงานมีมากเกินไป ส่งผลให้งานไม่บรรลุ<br />ตามเป้าหมาย เกิดความเครียดสะสม ไม่สามารถจัดการอารมณ์ได้ รวมถึงขาดโอกาส<br />ในการพัฒนาทักษะและความรู้เฉพาะด้าน ข้อเสนอแนะ คือ การพัฒนาระบบสนับสนุนภายในองค์กร การทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพอย่างชัดเจน และการส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ของนักสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่อง</p> ณิชาบูล นิลทัพ ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.มาดี ลิ่มสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 135 150 ผลของการให้การปรึกษารายกลุ่มแบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/274373 <p>บทความวิจัยนี้ มีความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อศึกษาผลของการให้การปรึกษารายกลุ่ม</p> <p>แบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มสุราของผู้ป่วย หลังได้รับการทดลองแล้ว ว่าจะสามารถใช้ศักยภาพของตนเอง มาจัดการแก้ไขปัญหาการดื่มสุราได้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบผลก่อนและหลังเข้าร่วมทดลองกลุ่ม และระยะติดตามผลหลังให้โปรแกรมการให้คำปรึกษา เป็นการศึกษาวิจัยแบบทดลอง ประชากรกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยสุราระยะฟื้นฟูสมรรถภาพแบบผู้ป่วยใน จำนวน 10 ราย คัดเลือกมาแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1. โปรแกรมกลุ่มการให้การปรึกษารายกลุ่ม แบบผสมผสานต่อพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา โดยผู้วิจัยพัฒนามาจาก 3 แนวคิด คือแนวคิดการปรึกษาเชิงการรู้คิด และพฤติกรรม แนวคิดการเสริมสร้างแรงจูงใจ และแนวคิดการเสริมพลังอำนาจ มีกิจกรรมกลุ่มจำนวน 7 ครั้ง 2.เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล มี 2 ส่วนข้อมูลส่วนที่1.คือข้อมูลส่วนบุคคล และส่วนที่ 2. คือแบบประเมินพฤติกรรมการหยุดดื่มสุรา มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง เท่ากับ .83 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล Freidman Test และใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าก่อนให้คำปรึกษาความสามารถใช้ศักยภาพในการจัดการปัญหาการดื่ม เท่ากับ 131.60 คะแนน หลังการทดลองมีคะแนน เท่ากับ 153.90 มีคะแนนที่แตกต่างกัน ที่สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมการให้คำปรึกษารายกลุ่มแบบผสมผสาน อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 หลังจากจบโปรแกรม มีการนัดติดตามผลผู้ป่วยจำนวน 3 ครั้ง นัดครั้งที่ 1 มีผลการประเมินคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มอยู่ที่ 153.40 คะแนน ครั้งที่ 2 ผลคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มสุราคือ 149.20 คะแนน ครั้งที่ 3 มีผลคะแนนพฤติกรรมการหยุดดื่มคือ 166.10 คะแนน ซึ่งเป็นผลคะแนนที่สูงขึ้น มากกว่าคะแนนในช่วงคะแนนก่อนและหลังการทดลองโปรแกรม อย่างมีนัยยะสำคัญที่ระดับ (p=.011)</p> สุคนธ์ทิพย์ บุญทา รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 151 167 การพัฒนาระบบและกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนวิถีพุทธ เทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283482 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาและการจัดการขยะของเทศบาลตำบลเกาะคา จังหวัดลำปาง 2) พัฒนาระบบและกลไกการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร และ 3) เสนอแนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะวิถีพุทธแบบครบวงจร เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลจำนวน 30 คน</p> <p><strong> ผลการวิจัย พบว่า</strong> 1. เทศบาลตำบลเกาะคาประสบปัญหาขยะทั้งด้านกายภาพและระบบจัดการ โดยปริมาณขยะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะขยะย่อยสลายยาก เช่น พลาสติก เศษวัสดุก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน ปัญหาคือขาดแนวทางที่ชัดเจนในการลดขยะจากแหล่งกำเนิด และขาดการจัดการอย่างเป็นระบบและความร่วมมือ</p> <ol start="2"> <li>การพัฒนาระบบและกลไกการขับเคลื่อนศูนย์จัดการขยะชุมชนแบบครบวงจร ได้แก่ 1) ส่งเสริมครัวเรือนคัดแยกขยะตามหลัก 5Rs (Refuse/ Reduce/ Reuse/ Recycle/ Repair) เพื่อลดขยะตั้งแต่ในบ้าน 2) จัดตั้งธนาคารขยะ/ขยะฮอมบุญ และศูนย์การเรียนรู้ชุมชนปลอดขยะ เพื่อปลูกฝังพฤติกรรม และ 3) สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถานศึกษา และศาสนา โดยใช้แนวคิด “บวร” (บ้าน-วัด-โรงเรียน) เป็นฐานในการขับเคลื่อน</li> <li>แนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนศูนย์การจัดการขยะวิถีพุทธแบบครบวงจร ได้แก่ การใช้หลักพุทธรรมบูรณาการ หลักปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ การเปิดรับข้อมูล (ปรโตโฆสะ) การคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ (โยนิโสมนสิการ) อิทธิบาท 4 สร้างพลังขับเคลื่อนด้วยความพอใจ เพียร มุ่งมั่น ไตร่ตรอง สัมมัปธาน การลดละความชั่ว (การไม่สร้างขยะ) และเพียรสร้างความดี (การจัดการขยะที่มีอยู่) และส่งเสริมการมีส่วนร่วม เช่น อาสาสมัครขยะชุมชน ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ พัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อเผยแพร่ความรู้ ติดตามผล ซึ่งช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมได้ง่ายขึ้น มีการพัฒนาเตรียมความพร้อมในองค์กร มีระบบรองรับและกลไกความร่วมมือที่กับภาคส่วนต่างอย่างต่อเนื่อง</li> </ol> ปาณิสรา เทพรักษ์ สหัทยา วิเศษ สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ พระมหานพดล มีคำเหลือง มีคำเหลือง ศยามล อินทิยศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 168 182 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วน ตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283544 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา 2. เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. นำเสนอหลักพุทธบูรณาการในการส่งเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ในองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประชากร จำนวน 6,074 คนได้ประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวน 376 คน จากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูปหรือคน และนำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ในภาพรวมทั้ง 4 ด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับพึงพอใจมาก ผลรวมค่าเฉลี่ย (x̄= 4.04) เมื่อจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า ด้านสถานการณ์ของผู้นำ เป็นลำดับแรก อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 4.12) รองลงมา ได้แก่ ด้านพฤติกรรมของผู้นำ อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 4.06) และด้านอำนาจ อิทธิพลของผู้นำ อยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย (x̄= 3.97) เป็นลำดับสุดท้าย ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชาชนที่มีปัจจัยส่วนบุคคลทั้งเรื่องเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำทางการเมืองของนักการเมืองท้องถิ่น ไม่แตกต่างกัน จึงเป็นการปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. ผลการวิเคราะห์การบูรณาการไตรสิกขา แสดงให้เห็นว่า ศีล เป็นรากฐานทางจริยธรรมในการประพฤติและใช้อำนาจอย่างถูกต้อง สมาธิ เป็นพลังในการรักษาความมั่นคงทางจิตใจและการตัดสินใจอย่างมีสติ และปัญญา เป็นกลไกในการใช้ความรู้และเหตุผลเพื่อประโยชน์ส่วนรวม</p> สมยศ ปัญญามาก ปาริชาติ เสมอเชื้อ พระครูธรรมธรบุญเที่ยง พุทฺธสาวโก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 183 199 พระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคมผู้สูงวัยในยุค Beta https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/282977 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการหลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนาใช้ในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุในยุค Beta ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ในขณะเดียวกัน สังคมโลกในยุค Beta ที่มีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และเต็มเปี่ยมด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีย่อมส่งผลต่อการปรับตัวและการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุ จนทำให้เกิดความวิตก กังวล รู้สึกไม่มั่นคงและรู้สึกโดดเดี่ยว โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาถือเป็นภูมิปัญญาที่ฝั่งรากลึกของสังคมไทยที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ บทความนี้จึงได้เสนอแนวทางการใช้ชีวิตของสังคมผู้สูงวัยในยุค Beta ด้วยหลักธรรม เช่น ไตรสิกขา ไตรลักษณ์ หลักกรรม พรหมวิหาร 4 อริยสัจ 4 เพื่อให้เกิดยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ ส่งเสริมการสร้างสุขภาวะแบบองค์รวม การเรียนรู้และการปรับตัวต่อเทคโนโลยี การเสริมสร้างเครือข่ายทางสังคมและการมีส่วนร่วม และการสร้างคุณค่าในชีวิตด้วยการทำความดีและถ่ายทอดประสบการณ์ โดยบทบาทของสถาบันสงฆ์และชุมชนในการเป็นกลไกสำคัญเพื่อสนับสนุนผู้สูงวัยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีคุณค่า และปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง</p> สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ พระมหานพดล มีคำเหลือง ปาณิสรา เทพรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 200 215 การบูรณาการแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษในรายวิชา EBC23067: คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283546 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือในการส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) วิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้แอปพลิเคชันเป็นสื่อการเรียนรู้เมื่อเปรียบเทียบกับการท่องจำแบบดั้งเดิม และ 3) อภิปรายถึงแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในอนาคต</p> <p>การบูรณาการแอปพลิเคชันเข้ากับรายวิชา EBC23067: English Vocabulary and Expressions for Communication ถือเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่หลากหลาย เช่น การมอบหมายให้นักศึกษาใช้ Quizlet เพื่อศึกษาคำศัพท์ล่วงหน้า, การใช้ Kahoot!, Blooket, Cake, TED Talks, BBC Learning English และ Quizizz เพื่อทบทวนบทเรียนและประเมินผลแบบประเมินความก้าวหน้า Formative Assessment ภายในห้องเรียน และการใช้ Google Form เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทดสอบความรู้ความเข้าใจหลังเรียน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมให้นักศึกษาใช้ Duolingo สำหรับการฝึกฝนคำศัพท์และสำนวนนอกเวลาเรียน</p> <p>ผลจากการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชันกับรายวิชา EBC23067 พบว่ามีจุดเด่นสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงที่สะดวกสบาย ทำให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา การสร้างการมีส่วนร่วมในระดับสูงผ่านฟังก์ชันแบบโต้ตอบที่ช่วยกระตุ้นแรงจูงใจ และการส่งเสริมการจดจำคำศัพท์ในระยะยาว จากการวิเคราะห์แนวคิดและติดตามผลการประยุกต์ใช้พบว่าการใช้แอปพลิเคชันช่วยยกระดับกระบวนการเรียนรู้ให้มีความทันสมัย ส่งเสริมผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และเอื้อต่อการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมั่นใจ อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดที่ควรพิจารณาคือต้นทุน เนื่องจากแอปพลิเคชันบางประเภทมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงของผู้เรียนบางกลุ่ม</p> บุญเลิศ วงศ์พรม เฟื่องฟ้า พลอนเบิร์ก กนกอร ตั้งจิตเจริญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 216 230 แนวทางส่งเสริมการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283624 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการสอนให้เด็กปฐมวัยการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยได้ถูกต้อง การอ่านออกเสียงพยัญชนะไทยสำหรับเด็กปฐมวัย มุ่งเน้นในการเตรียมความพร้อมทุกด้านที่จะได้รับการศึกษาในขั้นสูงต่อไป การเตรียมความพร้อมด้านการออกเสียงพยัญชนะไทยให้กับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน และเพื่อเป็นแนวทางให้กับครูผู้จัดประสบการณ์การสอนการออกเสียง ที่จะต้องนำไปส่งเสริมและพัฒนาการอ่านออกเสียงพยัญชนะไทย มีการใช้สื่อในการจัดประสบการณ์ และสื่อดิจิทัลจัดบรรยากาศในห้องเรียนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ด้านภาษาในห้องเรียนเด็กปฐมวัยเพื่อให้สอดคล้องกันการศึกษาในยุคดิจิทัลต่อไป</p> ปาริฉัตร ไชยเดช กิตติพล เชื้องาม จิรภัทร เหลา ชุลีพร นาหัวนิล ยุรัตน์ดา สุขไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 231 245 ภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐยุคใหม่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/jsi/article/view/283800 <p>บทความวิชาการเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ นำเสนอความสำคัญของภาษาอังกฤษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐยุคใหม่ รวมถึงแนวคิดและทฤษฎี การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ วิธีการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ การออกแบบนโยบายภาครัฐและกระบวนการพัฒนาบุคลากรเจ้าหน้าที่ของรัฐ การมีทักษะภาษาอังกฤษที่แข็งแกร่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นจะเป็นประตูสู่การพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบันที่มีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ อีกทั้ง การมีทักษะภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นกุญแจสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศทั้งจากการเข้าถึงข้อมูลอันมหาศาล องค์ความรู้ ตลอดจนการให้บริการในระดับสากล บทความนี้เน้นย้ำถึง กรอบทฤษฎี ประเด็นท้าทาย และให้แนวทางการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยผ่านการวิเคราะห์เชิงระบบแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาที่จะสามารถสื่อสารและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอาศัยองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ (1) การใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (2) การสร้างแรงจูงใจทั้งในระดับบุคคลและองค์กร (3) การสร้างเจตคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (4) การเลือกรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของเจ้าหน้าที่ และ (5) การออกแบบนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างยั่งยืน โดยทั้ง 5 องค์ประกอบนี้จะช่วยพัฒนาและยกระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดความสามารถในการใช้งานภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ การทำงานร่วมกันและการรับมือต่อความท้าทายระดับโลก สู่ประเทศที่มีการบริหารที่มีประสิทธิภาพ การให้บริการสาธารณะจากภาครัฐที่เป็นมาตรฐานและสามารถตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วน</p> คัมภีรภาพ คงสำรวย ไพโรจน์ บัวสุข เสงี่ยม ศิริสวัสดิ์ สัจจารักษ์ ไร่สงวน รัชนีบูรณ์ เนตรภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-01 2025-12-01 22 2 246 263