วารสารวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

การครอบครองปรปักษ์ในกฎหมายไทย: หลักการ การตีความ และข้อถกเถียง

วุฒิชัย เต็งพงศธร — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หลักการทางกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์ในระบบกฎหมายไทย โดยเน้นที่บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และ 1383 พร้อมศึกษาการตีความโดยศาลฎีกาในประเด็นสำคัญ นอกจากนี้ยังพิจารณาข้อถกเถียงทางวิชาการ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความสุจริตของผู้ครอบครองซึ่งแม้ไม่ปรากฏเป็นเงื่อนไขในกฎหมาย แต่ส่งผลอย่างสำคัญต่อความเป็นธรรมในทางปฏิบัติ ผู้เขียนเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายโดยเพิ่มเงื่อนไขเรื่องความสุจริต และทบทวนความเหมาะสมของระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์ รวมถึงเสนอแนวทางป้องกันสำหรับเจ้าของกรรมสิทธิ์ เช่น การตรวจสอบ ดูแลที่ดิน การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ และการดำเนินการทางกฎหมายเมื่อพบการบุกรุก ทั้งนี้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินกับการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์ และลดข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

มาตรการทางกฎหมายในการขอรับรองการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี : กาแฟปลูกพื้นที่ป่า

พันธุ์ทิพย์ นวานุช — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

การรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงกาแฟที่ปลูกในพื้นที่ป่า มาตรฐานนี้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีด้านการเพาะปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตามการขอรับ GAP ยังคงเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคหลายประการ เช่น ข้อจำกัดด้านกรรมสิทธิที่ดิน ความล่าช้าในการตรวจประเมินแปลงปลูก ต้นทุนในการปรับปรุงแปลงเกษตรให้เป็นไปตามมาตรฐาน และความไม่ตระหนักของผู้บริโภคเกี่ยวกับความสำคัญของมาตรฐาน GAP

บทความวิชาการนี้ ทำการศึกษาเกี่ยวกับมาตราการทางกฎหมายการขอรับรองมาตรฐาน GAP โดยจะทำการศึกษาถึงผลที่ได้รับจากการรับรอง ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร เพื่อเป็นการลดปัญหาอุปสรรคและเป็นแนวทางการปรับปรุงกระบวนการขอรับรอง GAP อันจะนำไปสู่การปลูกกาแฟในพื้นที่ป่าด้วยมาตรฐาน GAP อย่างยั่งยืนในระยะยาว

มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับคะแนนสะสมในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่

ชิดชนก ลำใย, วิวิธ วงศ์ทิพย์ , ปุณณ์ดาพัชร์ วิมลคุณารักษ์ — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ใช้การส่งเสริมการขายด้วยคะแนนสะสมเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าอย่างแพร่หลาย เนื่องจากคะแนนสะสมมีสถานะทางกฎหมายไม่ชัดเจน และประเทศไทยไม่มีมาตรการทางกฎหมายบังคับใช้กับคะแนนสะสม ทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบในด้านสัญญา และส่งผลต่อการแข่งขันของผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาด รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับคะแนนสะสมในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา, การแข่งขันทางการค้า และข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการมีมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ ประเทศแคนาดา, สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป พบว่าคะแนนสะสมมีสถานะเป็นทรัพย์สินประเภทบุคคลสิทธิ และเสนอแนะให้แก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ให้ครอบคลุมคะแนนสะสม และควรกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาขอบเขตตลาดและต้นทุนสินค้าที่เกิดจากส่วนลดจากคะแนนสะสม และหลักเกณฑ์การเสนอสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคให้ความยินยอมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลอย่างชัดเจน

การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1

ณัฐวิภา หลั่งแพ — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 ประชากรในการวิจัยคือครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับชั้นประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 จำนวน 100 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา จำนวน 80 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านกายภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อกรอบความคิดแบบเติบโตของครูผู้สอนภาษาอังกฤษในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยจำแนกตามลำดับดังนี้: ปัจจัยส่วนบุคคลมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด (x̄ = 3.93, S.D. = 0.25) รองลงมาคือ ปัจจัยด้านสังคม (x̄ = 3.86, S.D. = 0.30) และปัจจัยด้านกายภาพ (x̄ = 3.64, S.D. = 0.35) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง ทัศนคติเชิงบวก และสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของครู

มาตรการทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5: ศึกษาเปรียบเทียบประเทศอังกฤษ และประเทศจีน

จักรี อดุลนิรัตน์ — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และมาตรการทางกฎหมายปกครองในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับมาตรการของประเทศจีนและอังกฤษ ซึ่งมีความก้าวหน้าในการบริหารจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาสำคัญของมาตรการทางกฎหมายของประเทศไทย ได้แก่ ความซ้ำซ้อนและการขาดเอกภาพของกฎหมาย การกำหนดค่ามาตรฐานและเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม การขาดกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ข้อจำกัดในการมีส่วนร่วมของประชาชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และการขาดการกระจายอำนาจและความเข้มแข็งของท้องถิ่น งานวิจัยนี้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยการปฏิรูปโครงสร้างกฎหมายและองค์กร การกำหนดมาตรฐานและเป้าหมายที่เข้มงวดและชัดเจน การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และการเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยนำบทเรียนที่ประสบความสำเร็จจากประเทศจีนและอังกฤษมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

ความวิตกกังวลในการสอนภาษาอังกฤษของครู ระดับชั้นประถมศึกษา ในจังหวัดสมุทรปราการ

ขวัญลักษณ์ ตู้จินดา — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความวิตกกังวลในการสอนภาษาอังกฤษของครู

ระดับชั้นประถมศึกษาในจังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ครูที่จบสาขาวิชาภาษาอังกฤษ

และครูที่จบสาขาอื่น จ านวน 80 คน ซึ่งสอนในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง

(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามความวิตกกังวลในการสอนภาษาอังกฤษ มีค่า

ความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.94วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน

เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความวิตกกังวลในการสอนภาษาอังกฤษของครูอยู่ในระดับปานกลาง

โดยปัจจัยที่มีผลต่อความวิตกกังวลสูงที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านตนเองในการสอน (ค่าเฉลี่ย = 2.78, ส่วนเบี่ยงเบน

มาตรฐาน = 1.17) รองลงมาคือปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (ค่าเฉลี่ย = 2.59, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน =

1.31) และปัจจัยด้านการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย = 2.56, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 1.10) ตามล าดับ ประโยชน์ที่คาดว่า

จะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้ คือ การน าข้อมูลไปใช้เป ็ นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพการสอนภาษาอังกฤษของ

1ครูในระดับประถมศึกษา ลดความวิตกกังวลในการสอน และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการจัดการเรียนการ

สอนภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สิทธิของผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์

วรรณกานต์ สิทธิสุข — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

สิทธินำงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนไปทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ อย่างไรก็ดี เมื่อมีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในประเทศไทย ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดมักจะต้องประสบปัญหาการถูกละเมิดลิขสิทธิ์และได้รับความเสียหาย เนื่องจากต้องลงทุนและเสียค่าตอบแทนจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิแบบเด็ดขาดภายใต้ขอบเขตที่จำกัด แต่กฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติคุ้มครอง อีกทั้งแนวคำพิพากษาเกี่ยวกับสิทธิของผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ยังคงมีความไม่ชัดเจน จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของบทความวิจัยฉบับนี้ที่มุ่งศึกษากฎหมายลิขสิทธิ์ของต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้กับกฎหมายลิขสิทธิ์ของประเทศไทย

ผลการศึกษาพบว่า กฎหมายลิขสิทธิ์ของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดมีสิทธิในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้เขียนจึงเห็นควรให้มีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งสามารถดำเนินการได้สองแนวทาง ได้แก่ แนวทางแรก คือ การนำหลักการของกฎหมายต่างประเทศในเรื่องการอนุญาตให้ใช้สิทธิแบบเด็ดขาดและสิทธิในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์มาพัฒนาและปรับปรุงพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และอีกแนวทางหนึ่ง คือ การจัดทำต้นแบบสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิที่มีข้อกำหนดเรื่องสิทธิในการดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิประการอื่น ๆ ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อพิพาทหรือความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่สัญญาในภายหลัง

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการให้บริการทางคลินิก สภาพแวดล้อมของคลินิก และความพึงพอใจต่อการให้บริการทางคลินิกในคลินิกกุมารเวชศาสตร์จังหวัดน่าน

กรกช วนกรกุล — Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700

วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือ การศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองของผู้ป่วยที่มีต่อการให้บริการทางคลินิกในคลินิกกุมารเวชศาสตร์ในจังหวัดน่าน โดยผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ปกครองของผู้ป่วยแทนการเก็บข้อมูลจากตัวผู้ป่วยโดยตรง เนื่องจากผู้ป่วยในคลินิกกุมารเวชศาสตร์เป็นเด็กหรือเยาวชนซึ่งผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกคลินิกกุมารเวชศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับบุตรหลานของตน ผู้วิจัยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีผู้ให้ข้อมูลจำนวน 112 คนซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการเข้ารับบริการจากทางคลินิกกุมารเวชศาสตร์และมีความยินยอมในการให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีการแจกแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการให้บริการทางคลินิก สภาพแวดล้อมของคลินิก และความพึงพอใจต่อการให้บริการทางคลินิก ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์แบบโมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM)

ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทั้งสอง ได้แก่ กระบวนการให้บริการทางคลินิก และสภาพแวดล้อมของคลินิก มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความพึงพอใจต่อการให้บริการทางคลินิก