https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/issue/feed
มมร ล้านนาวิชาการ
2024-12-03T15:52:28+07:00
พระมหาวีรศักดิ์ สุรเมธี, ผศ.ดร.
suramatiii@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสาร มมร ล้านนาวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่าง ๆ ดังนี้ 1) สาขาศาสนาและปรัชญา 2) สาขาศึกษาศาสตร์ 3) สาขามนุษยศาสตร์ 4) สาขาสังคมศาสตร์ 5) สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และ 6) สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>โดยกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br />✎ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ✎ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ISSN </strong>3027-8961 (Online)<br /><em>* ตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (2567) เผยแพร่เฉพาะรูปแบบออนไลน์เท่านั้น</em></p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/272362
โปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2
2024-08-27T10:04:31+07:00
อรยา ภูสมจิตร
oorayaphusomjitr@gmail.com
สุภัทร พันธ์พัฒนกุล
oorayaphusomjitr@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) สร้างและตรวจสอบยืนยันความเหมาะสมของโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ 3) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 113 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน และผู้บริหารและครูหัวหน้าวิชาการ 18 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นเรียงลำดับ คือ การมีความคิดสร้างสรรค์ การมีความคิดยืดหยุ่น และการสร้างวิสัยทัศน์</li> <li>โปรแกรมประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระ 3 โมดูล วิธีการพัฒนา และการวัดและประเมินผล โดยมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของโปรแกรมอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อค้นพบสำคัญคือ ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ และโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้เสริมสร้างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/274053
การพัฒนาภูมิปัญญาเพื่อยกระดับยุทธศาสตร์อวตารเมตาเวิร์ส เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดีทัศน์ไทย
2024-08-27T11:25:28+07:00
ชยุต ภวภานันท์กุล
shayut.pa@ssru.ac.th
วิลาสินี จินตลิขิตดี
vilasinee.ji@ssru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อนำองค์ความรู้ไปใช้วางรากฐานสร้างรูปแบบเชิงยุทธศาสตร์อวตารเมตาเวิร์ส 2) ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบวิจัยอนาคตด้วยเทคนิคเดลฟายแนวทฤษฎีตามพื้นที่ เพื่อข้อมูลผลการศึกษาที่ได้รวบรวมจาก 18 ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จาก 3 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ผู้กำกับภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ความรู้การวางรากฐานที่สามารถนำไปสร้างเป็นรูปแบบเชิงยุทธศาสตร์อวตารเมตาเวิร์สเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยประกอบด้วย องค์ความรู้การวางรากฐาน เข้าใจ เข้าถึง และแนวทางเสริมการพัฒนาภูมิปัญญายกระดับองค์ความรู้การวางรากฐานเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์อวตารเมตาเวิร์ส เช่น จำลองฉากเสมือนจริง การต่อสู้มวยไทยเป็นเวทีการต่อสู้พร้อมคู่ต่อสู้จากภาพยนตร์จริงมาขายนักท่องเที่ยวที่ชอบมวยไทยหรือวัฒนธรรมไทย ซึ่งงานวิจัยนี้สร้างโครงการมวยไทยเชื่อมโลกเป็นข้อเสนอแนะ เป็นอำนาจอ่อน ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านกีฬาของประเทศไทย</p>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/273949
ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
2024-08-27T11:16:17+07:00
พิชญา โพชราษฎร
foung2505@gmail.com
สำราญ วิเศษ
foung2505@gmail.com
จารุกัญญา อุดานนท์
foung2505@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขต อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขต อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จำนวน 289 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน โดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ระดับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัด นครพนม โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.02) และระดับปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.26) ความสัมพันธ์กับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม มีความสัมพันธ์กันในระดับสูงทางบวก (r มีค่าอยู่ระหว่าง .67 - .80) มีลักษณะคล้อยตามกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์พหุคูณ (r= 0.72, p-value<0.01) สามารถพยากรณ์ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการภาครัฐแนวใหม่ขององค์การบริหารส่วนตำบลในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ร้อยละ 79.2 (R<sup>2</sup> = .792, p-value<0.01)</p>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/274101
ความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการ สังกัดสำนักงานอัยการภาค 4
2024-08-27T12:35:30+07:00
ดลนภัส จันรอง
donnapasjunrong572@gmail.com
สำราญ วิเศษ
donnapasjunrong572@gmail.com
กชกร เดชะคำภู
donnapasjunrong572@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการธุรการในเขตท้องที่สำนักงานอัยการภาค 4 จำนวน 223 คน โดยใช้สูตรของยามาเน่ (Yamane) ความคลาดเคลื่อนที่ 0.05 การสุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามภาพรวมทั้งฉบับเท่ากับ .951 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ระดับความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการ สังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านความเต็มใจ ทุ่มเท ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ขององค์การ</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 โดยวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression) ปัจจัยภายนอก หมายถึง การติดต่อสัมพันธ์ ความรักในงานความสำเร็จในงาน การเป็นที่ยอมรับ พบว่าปัจจัยภายนอก ด้านการติดต่อสัมพันธ์ ด้านความรักในงาน ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านความสำเร็จในงาน ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการธุรการสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/272730
วิเคราะห์การเสริมสร้างพลังทางจิตใจและปัญญาของหลักสูตรครูสมาธิแบบสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) ของสถาบันพลังจิตตานุภาพวัดเชตวัน อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
2024-08-27T11:13:48+07:00
อดิสรณ์ ดิษฐสังข์
sartsirin@gmail.com
สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์
sartsirin@gmail.com
จีรศักดิ์ ปันลำ
sartsirin@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีการสอน 2) ศึกษาวิธีการประยุกต์ใช้ในชีวิตประวัน 3) เพื่อวิเคราะห์การเสริมสร้างพลังทางจิตใจและปัญญา ของหลักสูตรครูสมาธิแบบสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) ของสถาบันพลังจิตตานุภาพวัดเชตวัน อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 15 รูป/คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>หลักสูตรครูสมาธิจัดทำเพื่อส่งเสริมการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม โดยมีหลักสูตร 6 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรอาจาริยสาสมาธิ (สมาธิเข้ม) 2) หลักสูตรชินนสาสมาธิ (สมาธิชนะใจตนเอง) 3) หลักสูตรวิทันตสาสมาธิ (สมาธิเพื่อฝึกฝนตนเองที่วิเศษ) 4) หลักสูตรนิรสาสมาธิ (สมาธิตัดความกังวล) 5) หลักสูตรยุวสาสมาธิ (สมาธิสำหรับเยาวชน) 6) หลักสูตรอัตถสาสมาธิ (สมาธิเพื่อประโยชน์สูงสุด)</li> <li>การประยุกต์ใช้หลักสูตรครูสมาธิในชีวิตประจำวันยึดหลักคุณธรรม 3 ประการ ได้แก่ 1) มีจิตเมตตาต่อกัน <br />2) มีความรับผิดชอบสูง 3) เป็นคนมีเหตุผล ทำให้เกิดประโยชน์ 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านร่างกาย (2) ด้านจิตใจ (3) ด้านครอบครัว (4) ด้านสังคมและชุมชน (5) ด้านปัญญา</li> <li>การศึกษาวิเคราะห์การเสริมสร้างพลังทางใจและปัญญาหลักสูตรครูสมาธิส่งผลต่อการปฏิบัติงานให้สำเร็จ โดยมีประโยชน์อยู่ 12 ข้อ คือ 1) หลับสบาย 2) กำจัดโรคภัย 3) เกิดสติปัญญา 4) มีความรอบคอบ 5) ระงับความร้ายกาจ <br />6) บรรเทาความเครียด 7) มีความสุขพิเศษ 8) ทำให้จิตใจอ่อนโยน 9) กลับใจได้ 10) เวลาจะสิ้นลมพบทางดี 11) เจริญวาสนา 12) เป็นกุศล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการเสริมสร้างพลังทางใจและปัญญาด้วยสมาธิทั้งนั้น</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/272480
การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงพื้นที่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5
2024-08-27T10:03:29+07:00
ธีระศักดิ์ เฮืองศรี
theerasak1327@gmail.com
วิรัช เจริญเชื้อ
theerasak1327@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ 2) สร้างตรวจสอบยืนยัน/ความเหมาะสม 3) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงพื้นที่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 273 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ 2) แบบสัมภาษณ์โรงเรียนที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี (Best practice) 3) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 4) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ 5) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็นด้วยค่าดัชนี PNImodified</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็น เรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อยได้แก่ 1) การมีเป้าหมายร่วมกัน 2) การพัฒนาสารสนเทศแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ 3) ความรับผิดชอบต่อสังคม 4) การกระจายอำนาจ 5) การมีส่วนร่วม</li> <li>รูปแบบการบริหารเชิงพื้นที่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของการพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงพื้นที่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/273817
การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ในแขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
2024-09-05T09:50:33+07:00
นรินทร์ บุราคร
warametee58@gmail.com
ศรัณย์ ฐิตารีย์
warametee58@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมและระดับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ในแขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาเปรียบเทียบการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ในแขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมของ บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ในแขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 387 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าทดสอบ t-test ค่าการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสถิติถดถอยพหุ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในภาพรวม เห็นด้วยอยู่ในระดับปานกลาง และการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมในภาพรวม มีการสร้างความเข้มแข็งอยู่ในระดับมาก</li> <li>ประชาชนที่อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส อาชีพที่ต่างกัน มีส่วนร่วมในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> <li>ปัจจัยด้านความรู้และทักษะ โอกาสที่เอื้ออำนวย ทัศนคติ และรางวัล มีความสัมพันธ์กับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วม ซึ่งตัวแปรทั้ง 4 ตัว สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแบบการมีส่วนร่วมของได้ถึงร้อยละ 52.50</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/276010
กิจกรรมการออกกำลังกายด้วยมวยไทยที่ส่งผลต่อพัฒนาการด้านสมรรถภาพทางกาย ที่สัมพันธ์กับทักษะของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสาธิตเทศบาลเมืองราชบุรี
2024-09-04T11:05:26+07:00
กัญญา หลวงศรี
thandarinham@mcru.ac.th
วรยุทธ์ ทิพย์เที่ยงแท้
thandarinham@mcru.ac.th
บารมี ชูชัย
thandarinham@mcru.ac.th
ธันดรินทร์ เหมณี
thandarinham@mcru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของกิจกรรมการออกกำลังกายด้วยมวยไทยที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 2) เปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการออกกำลังกายด้วยมวยไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสาธิตเทศบาลเมืองราชบุรี ที่เรียนรายวิชา พลศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่ จำนวน 30 คน จากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) กิจกรรมการออกกำลังกายด้วยมวยไทย เพื่อสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะ 2) แบบทดสอบและเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะของสำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลของกิจกรรมการออกกำลังกายด้วยมวยไทย พบว่า สมรรถภาพทางกายของกลุ่มตัวอย่าง ด้านความอ่อนตัว ด้านการทรงตัว และด้านความเร็วมีค่า (𝑥̅ = 5.51, S.D. = 0.92), (𝑥̅ = 13.34, S.D. = 18.37), (𝑥̅ = 5.14, S.D. = 0.07) ซึ่งทั้งสามด้านอยู่ในระดับเกณฑ์ ดี ตามลำดับ ส่วนด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา (𝑥̅ = 72.43, S.D. = 10.77) อยู่ในระดับเกณฑ์ ปานกลาง</li> <li>ผลการเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะ พบว่า ด้านความอ่อนตัวพัฒนาขึ้น 2.2 เซนติเมตร, ด้านการทรงตัวพัฒนาขึ้น 8.56 วินาที, ด้านความเร็วลดลง -1.27 วินาที และด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาพัฒนาขึ้น 10.6 เซนติเมตร<strong style="font-size: 0.875rem;"> </strong></li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/272719
รูปแบบการบริหารการจัดการเรียนรู้ยุคฐานวิถีชีวิตใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2
2024-08-27T10:05:12+07:00
สุรารักษ์ คงอินทร์
surarak.th2527@gmail.com
เชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัย
surarak.th2527@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการรูปแบบ 2) สร้างและตรวจสอบยืนยันความเหมาะสมของรูปแบบ 3) ประเมินความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ของรูปแบบการบริหารการจัดการเรียนรู้ยุคฐานวิถีชีวิตใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพความต้องการจำเป็นของการบริหารการจัดการเรียนรู้ยุคฐานวิถีชีวิตใหม่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ลำดับความต้องการจำเป็น เรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ 1) ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรใหม่ตามลำดับความสำคัญใหม่ 2) ด้านการบริหารหลักสูตร 3) ด้านการจัดการเรียนการสอน 4) ด้านการพัฒนาครู 5) ด้านการประเมินผลในการศึกษาแบบฐานวิถีชีวิตใหม่ 6) ด้านการรับฟังเสียงสะท้อนจากครูผู้ปกครอง นักเรียน และชุมชน</li> <li>รูปแบบการบริหารการจัดการเรียนรู้ยุคฐานวิถีชีวิตใหม่ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการและแนวคิด 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) วิธีดำเนินการ 4) แนวทางการประเมิน</li> <li>ผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/275087
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2024-08-27T12:38:29+07:00
พงศธร ประมวลการ
pramuankan123@gmail.com
สมบัติ นพรัก
pramuankan123@gmail.com
ธิดาวัลย์ อุ่นกอง
pramuankan123@gmail.com
น้ำฝน กันมา
pramuankan123@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม 2) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม มี 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และตรวจสอบรูปแบบโดยการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูป/คน และขั้นตอนที่ 2 การประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 201 รูป เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ ชนิดมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มี 5 องค์ประกอบหลัก คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ประเด็นการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม 4) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม 5) เงื่อนไขความสำเร็จ และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมาก</li> <li>รูปแบบมีความเป็นได้ในการไปใช้ และความเป็นประโยชน์ระดับมาก</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/276143
การพัฒนาการออกแบบและเพิ่มมูลค่าภูมิปัญญางานพุทธศิลป์ จังหวัดแพร่
2024-09-04T13:49:45+07:00
อนุสรณ์ เรืองปัญญารัตน์
anusorn.rua@mcu.ac.th
วุฒิชัย แย้มรับบุญ
anusorn.rua@mcu.ac.th
พรหมเรศ แก้วโมลา
anusorn.rua@mcu.ac.th
อภิชา สุขจีน
anusorn.rua@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์กระบวนการสร้างองค์ความรู้การสร้างสรรค์งานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ 2) ศึกษากระบวนการออกแบบงานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ 3) พัฒนาการออกแบบและเพิ่มมูลค่าภูมิปัญญางานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในรูปแบบของการวิจัยและพัฒนาร่วมกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 25 คน โดยการลงพื้นที่สำรวจงานด้านพุทธศิลป์ในแต่ละพื้นที่ของจังหวัดแพร่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดเสวนากลุ่มย่อย เพื่อหาข้อมูลที่จะนำมาทำการวิเคราะห์หาองค์ความรู้ และกระบวนการออกแบบงานพุทธศิลป์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กระบวนการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับงานพุทธศิลป์ พบว่า นับตั้งแต่มีการตั้งเมืองเชียงใหม่ โดยมีพระยามังรายหรือเม็งราย เป็นปฐมกษัตริย์ที่รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำกกและแม่น้ำปิง ส่งผลให้งานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ มีความหลากหลายและคล้ายคลึงกับอาณาจักรหริภุญชัย-เชียงแสน และอาณาจักรสุโขทัย</li> <li>กระบวนการออกแบบงานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ เช่น ธรรมาสน์ บุษบก ตุงกระด้าง และพระพุทธรูปไม้แกะสลักพบว่า ธรรมาสน์ จะมีลักษณะทำจากไม้สัก โดยผ่านงานฝีมือจากช่างที่มีความชำนาญหรือที่เรียกว่า สล่า ที่ได้สั่งสมประสบการณ์ ผ่านการเรียนรู้ การลองผิดลองถูก จนเกิดงานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่ ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาการออกแบบและเพิ่มมูลค่า</li> <li>ปัจจุบันการออกแบบงานพุทธศิลป์ เช่น ธรรมาสน์ บุษบก ตุงกระด้าง และพระพุทธรูปไม้แกะสลัก ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความหลากหลายด้วยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ผนวกความเจริญทางเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้งานพุทธศิลป์จังหวัดแพร่มีความหลากหลายมากขึ้น</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/275852
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการขยะ ขององค์การบริหารส่วนตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
2024-08-27T13:06:36+07:00
จรัญ สุทธเขต
thiyadakheancom@gmail.com
วัชรพงษ์ ปล้องขัน
watcharapong-2006@hotmail.com
วรปรัชญ์ คำพงษ์
thian2520@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการขยะ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรม 7 กับการบริหารจัดการขยะ 3) ศึกษาการประยุกต์หลักอปริหานิยธรรม 7 เพื่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง 365 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้วิเคราะห์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการขยะ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอปริหานิยธรรม 7 กับการบริหารจัดการขยะ มีความสัมพันธ์เชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> <li>รูปแบบการประยุกต์หลักพุทธธรรม เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการขยะ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1) มีความรู้ คือ การค้นหาองค์ความรู้ในการแปรรูปขยะให้เป็นแบบมีส่วนร่วม 2) มีนวัตกรรม เป็นการนำองค์ความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ มาประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ 3 ) หลักพุทธธรรม เป็นการขับเคลื่อนกิจกรรมที่มีการกำหนดโครงการ รูปแบบและกิจกรรมชุมชนจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมตามหลักพุทธธรรม จากกิจกรรมต่าง ๆ 4) มีส่วนร่วม เป็นการสร้างพลังร่วมโดยอาศัยความร่วมมือในชุมชน 5) มีการติดตามผล เป็นการประเมินผลการแปรรูปขยะแบบมีส่วนร่วมขององค์การบริหารส่วนตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน</li> </ol>
2024-12-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มมร ล้านนาวิชาการ