https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/issue/feed มมร ล้านนาวิชาการ 2023-12-28T10:08:32+07:00 พระมหาวีรศักดิ์ สุรเมธี, ผศ.ดร. [email protected] Open Journal Systems <p>วารสาร มมร ล้านนาวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่าง ๆ ดังนี้ 1) สาขาศาสนาและปรัชญา 2) สาขาศึกษาศาสตร์ 3) สาขามนุษยศาสตร์ 4) สาขาสังคมศาสตร์ 5) สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และ 6)สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>โดยกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br />✎ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ✎ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารได้ผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 หรือ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double-blind Peer review)</p> <p><strong>ISSN old number<br /></strong>ISSN 2630-0435 (Print) ISSN 2630-0699 (Online)</p> <p><strong>ISSN New number<br /></strong>ISSN XXXX-XXXX (Online)<br /><em>* ตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (2567) เผยแพร่เฉพาะรูปแบบออนไลน์เท่านั้น</em></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ :</strong> 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน) </p> https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269385 การศึกษาวิเคราะห์ทานที่ปรากฏในทานกัณฑ์ของมหาชาติเวสสันดรชาดก ฉบับสร้อยน้อย เถ้าลืมหลาน 2023-10-09T14:29:10+07:00 พระครูสุธรรมจินดากร (วัชรากร เตจ๊ะพรมวัง) [email protected] ดิลก บุญอิ่ม [email protected] สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมาของวรรณกรรมมหาชาติเวสสันดรชาดก 2) ศึกษาเนื้อหาที่ปรากฏในทานกัณฑ์ของมหาชาติเวสสันดรชาดก ฉบับสร้อยน้อย เถ้าลืมหลาน 3) วิเคราะห์ทานที่ปรากฏในทานกัณฑ์ของมหาชาติเวสสันดรชาดก ฉบับสร้อยน้อย เถ้าลืมหลาน เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพจากเอกสาร และสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 15 รูป/คน เพื่อมาวิเคราะห์และนำเสนอการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>วรรณกรรมมหาชาติเวสสันดรชาดกเกิดขึ้นสมัยอยุธยาโดยพระเจ้าทรงธรรมเป็นผู้ริเริ่มให้มีการแต่งประพันธ์ขึ้น ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เพราะทรงเห็นว่าวรรณกรรมกาพย์มหาชาติในสมัยของพระเจ้าทรงธรรมสูญหายหรือกระจัดกระจายไป โดยได้จัดประพันธ์ทำนองหลวงขึ้น เพื่อที่จะให้พระสงฆ์ใช้ในการแสดงพระธรรมเทศนาสืบจนถึงปัจจุบันที่ใช้เรียกกันว่าเทศน์มหาชาติ</li> <li>เนื้อหาทานกัณฑ์ ฉบับสร้อยน้อย เถ้าลืมหลาน ที่เรียบเรียงโดย ญาณสัมปัญโณ ได้กล่าวถึง ทานกัณฑ์ที่มีเนื้อหาจำแนกออกมาเป็น 4 ประเด็น 1) พระนางผุสดีวิงวอนร้องขอพญาสัญชัย 2) พระเวสสันดรให้สัตสตกมหาทาน 3) นางมัทรีพร้อมกัณหาชาลี ตามพระเวสสันดรเข้าป่าหิมพานต์ 4) พระเวสสันดรให้ทานราชรถและม้าแก่พราหมณ์และยาจก</li> <li>ผลการวิเคราะห์ทานหรือหลักธรรมพระสูตรที่ปรากฏในทานกัณฑ์ประกอบไปด้วยพระสูตร 9 พระสูตร คือ 1) ทานวรรค 2) ปฐมทาน 8 ประการ 3) อสัปปุริสทาน 4) สัปปุริสทาน 5 5) สัปปุริสทาน8 6) บุญกริยาวัตถุ 7) กาลทานสูตร 8) โภชนทาน 9) กินททสูตร</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269383 แนวทางการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนเชิงพุทธของชุมชน ตำบลแม่กัวะ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง 2023-10-18T09:39:30+07:00 พระอธิการณรงค์ฤทธิ์ ฐติธมฺโม [email protected] ดิลก บุญอิ่ม [email protected] สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีการจัดการป่าชุมชน 2) ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการจัดการป่าชุมชน 3) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนเชิงพุทธของชุมชนตำบลแม่กัวะ อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 270 คน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 รูป/คน เพื่อเสนอการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนเชิงพุทธของชุมชนด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติและการพรรณนาเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>วิธีการจัดการป่าชุมชนด้วยการจัดทำแนวป้องกันไฟป่า ลดการตัดไม้ทำลายป่า จัดเสริมป่าในพื้นที่ว่างเปล่า และปลูกจิตสำนึกในแก่ประชาชน</li> <li>ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการจัดการป่าชุมชน ได้แก่ บทบาทผู้นำในการจัดกิจกรรมป้องกันภัยป่าชุมชน ชุมชนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าชุมชน ภาครัฐเข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าชุมชนให้สมบูรณ์ รณรงค์ให้ชุมชนใช้ทรัพยากรที่สามารถทดแทนได้</li> <li>การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนเชิงพุทธ ได้แก่ การงดเว้นจากการถางเปลือกไม้อันเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ตาย การร่วมปลูกป่าในพื้นที่เสื่อมโทรม และร่วมประกอบพิธีบวชป่า สืบชะตาป่าที่แสดงให้เห็นถึงความรักและหวงแหนต่อป่าชุมชน ดังนั้น แนวทางการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชุมชนเชิงพุทธควรนำหลักปธานมาประยุกต์ใช้เป็นฐานในการปฏิบัติ กล่าวคือ 1) สังวรปธาน คือ ชุมชนควรจัดทำแนวป้องกันไฟป่า ปกป้องพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ 2) ปหานปธาน คือ ชุมชนควรรณรงค์งดตัดไม้ งดการเผา และงดล่าสัตว์ทุกชนิด 3) ภาวนาปธาน คือ ชุมชนควรส่งเสริมการปลูกต้นไม้ยืนต้น พัฒนาสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชน 4) อนุรักขนาปธาน คือ ชุมชนควรจัดพิธีบวชป่าและรักษากฎระเบียบป่าชุมชน</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269384 แนวทางการขับเคลื่อนหมู่บ้านศีล 5 ของชุมชนตำบลนาโป่ง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 2023-10-09T14:29:48+07:00 พระครูสุจินสาธุกิจ สีไชลังกา [email protected] จีรศักดิ์ ปันลำ [email protected] สมจันทร์ ศรีปรัชยานนท์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ตามนโยบายของภาครัฐ 2) ศึกษากระบวนการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ของตำบลนาโป่ง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 3) เสนอแนวทางการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ของตำบลนาโป่ง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือ ได้แก่ การศึกษาข้อมูลเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 46 คน และวิเคราะห์ข้อมูลและบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 มุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยอาศัยหลัก “บวร” เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างความตระหนัก รักและเชิดชูสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้เกิดความมั่นคง</li> <li>กระบวนการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีขั้นตอนดังนี้ 1) การสนองนโยบายคณะสงฆ์ให้เป็นวัดต้นแบบ <br />2) ความพร้อมของวัดและชุมชนที่จะส่งเสริมและเกื้อหนุนให้โครงการประสบความสำเร็จ 3) การมีส่วนร่วม ผลักดันชุมชนและเครือข่ายให้เกิดเป็นพลังในการดำเนินงาน 4) กฎกติกาชุมชน 5) การสร้างสรรค์กิจกรรมและสร้างกฎกติกาชุมชน 6) การสร้างเครือข่าย เพื่อให้เกิดการผลักดันกิจกรรมจากความร่วมมือ วางแผน ตัดสินใจ</li> <li>แนวทางการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ได้แก่ 1) ปลูกจิตสำนึกแก่เด็กเยาวชนและประชาชน 2) การจัดการชุมชนต้นแบบ 3) การขับเคลื่อนต้องสอดรับวิถี 4) สร้างสรรค์กิจกรรมการรักษาศีล 5) กำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อน 6) สร้างและพัฒนาภาคีเครือข่าย 7) การรณรงค์และประชาสัมพันธ์</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/254766 การบริหารงานวิชาการในยุคไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษากัลยาณิวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 6 2023-10-09T14:33:19+07:00 กรวีร์ ไม้หอม [email protected] สังวาร วังแจ่ม [email protected] สุรศักดิ์ สุทธสิริ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพี่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการในยุคไทยแลนด์ศึกษา เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในยุคไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษากัลยาณิวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 6 ประชากร คือผู้บริหารและครูจำนวน 90 คน รวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารงานวิชาการในยุคไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษากัลยาณิวัฒนา โดยรวมอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และด้านการวัดและประเมินผล ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา อยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li>แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในยุคไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษากัลยาณิวัฒนา ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คือสถานศึกษาควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ คือ สถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูให้มีประสิทธิภาพ ด้านการวัดและประเมินผล คือ สถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล ด้านการนิเทศการศึกษา คือ สถานศึกษาควรส่งเสริมการนิเทศภายในสถานศึกษา ด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา คือ สถานศึกษาควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269446 การใช้โครงงานเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2023-10-09T14:39:56+07:00 ลลิดา ศิระวงษ์ [email protected] รัตนา ณ ลำพูน [email protected] เคนเนท แอล แคมป์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 2) ศึกษาพัฒนาการเด็กปฐมวัยจากการใช้แผนการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานสำหรับเด็กปฐมวัย ประชากร คือนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 175 คน ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ห้อง Orange จำนวน 34 คน อายุระหว่าง 5-6 ปี เป็นชาย 12 คน หญิง 22 คน ผู้วิจัยได้กลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ใบงานทำกิจกรรมของแต่ละหัวเรื่องที่ผู้เรียนให้ความสนใจ แบบประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย ด้านร่างกาย สังคม อารมณ์-จิตใจ และสติปัญญา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่สามารถนำไปใช้พัฒนาผู้เรียนระดับปฐมวัยได้โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ดูแล และเป็นเรื่องสำคัญที่ครูผู้สอนต้องเข้าใจเป็นอย่างดีในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชั้นเรียน</li> <li>ผลการวิเคราะห์แบบประเมินและแบบทดสอบด้วยค่า T-test พบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการ ด้านร่างกาย สังคม อารมณ์-จิตใจ และ สติปัญญา ในระดับที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269386 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2023-10-09T14:27:56+07:00 ธนรัตน์ วิชัยรัตน์ [email protected] อำนาจ จันทร์แป้น [email protected] วารุณี โพธาสินธุ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนธนรัตน์วิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้อง ป.3/1, ป.3/2 รวมจำนวน 43 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สถิติที่ใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word มีค่า E1/E2 เท่ากับ 87.64/91.67 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</li> <li>ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05</li> <li>ผลการศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการสร้างเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269583 การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนบ้านแม่อุสุวิทยา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 2023-10-09T14:27:01+07:00 นนทพันธ์ เย็นปัญญา [email protected] สังวาร วังแจ่ม [email protected] สุรศักดิ์ สุทธสิริ [email protected] สาโรจน์ แก้วอรุณ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนบ้านแม่อุสุวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียนจำนวน 189 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนบ้านแม่อุสุวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการส่งต่อนักเรียนผ่านงานด้านความร่วมมือระหว่างงาน ปกครองและงานแนะแนว ด้านการป้องกันและแก้ปัญหา ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการส่งเสริมนักเรียน และ ด้านการคัดกรองนักเรียน ตามลำดับ</li> <li>แนวทางการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ควรมีการรวมรวมข้อมูลนักเรียนรายบุคคล บันทึกและจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ด้านการคัดกรองนักเรียนควรมีการกำหนดเกณฑ์การจัดกลุ่มนักเรียนตามสภาพปัญหา ด้านการส่งเสริมนักเรียน คือ ควรจัดกิจกรรมสนับสนุนให้นักเรียน สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ด้านการป้องกันและแก้ปัญหา คือ ครูและผู้บริหารต้องให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนอย่างจริงจัง ด้านการส่งต่อนักเรียน ควร มีการบันทึกผลการช่วยเหลือ การส่งต่อนักเรียนภายในและภายนอกโรงเรียน</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269459 การศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 2023-09-07T12:31:16+07:00 จันทร์วิภา จำนงค์การ [email protected] นงลักษณ์ ใจฉลาด [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 ประชากร ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 133 แห่ง กลุ่มตัวอย่างจำนวน 103 แห่ง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 2 คน รวมทั้งสิ้น 206 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยจำแนกตามอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) ด้านหลักการมีส่วนร่วม 2) ด้านหลักความโปร่งใส 3) ด้านหลักความรับผิดชอบ 4) ด้านหลักนิติธรรม 5) ด้านความคุ้มค่า และ 6) ด้านหลักคุณธรรม</p> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/267850 ข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริต โดยใช้กิจกรรมและหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ 2023-10-09T14:32:36+07:00 จรูญศักดิ์ แพง [email protected] สรวิศ พรมลี [email protected] มงคลชัย สมศรี [email protected] พระครูสิริธรรมเมธี [email protected] พระพงษ์ระวี โหลิมชยโชติกุล [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริต โดยใช้กิจกรรมและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 2) สังเคราะห์กระบวนการการสร้างความเข้มแข็งฯ 3) จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างความเข้มแข็งฯ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ บุคลากรจากสถาบันการศึกษา 4 แห่ง จำนวน 20 รูป/คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบวิธีการผสมผสาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กระบวนการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริต ใช้กิจกรรมและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา การใช้หลักธรรมในชีวิตประจำวัน อาทิ พรหมวิหาร 4, อริยสัจ 4, สังคหวัตถุ 4, ฆราวาสธรรม 4, หลักสันโดษ, และหลักสุจริต ส่งผลให้ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่บุคลากร นักเรียนนักศึกษามีความสามัคคี มีความซื่อสัตย์ มีความศรัทธา และมีความรักในองค์กรสถาบันมากยิ่งขึ้น</li> <li>การสังเคราะห์กระบวนการการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริตฯ พบว่า มีปัญหาและอุปสรรคด้านการสื่อสารในองค์กร เกิดองค์ความรู้ คือ 1) เกิดการจัดกระบวนการเรียนรู้เชิงพุทธศาสนาอย่างมีส่วนร่วม 2) เกิดการจัดการความรู้ ผู้บริหารสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จากการเรียนรู้หลักธรรมนั้นมาพัฒนาให้เป็นระบบ</li> <li>การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริตฯ มีข้อเสนอแนะ 2 ข้อ คือ 1) การนำกิจกรรมการสร้างความเข้มแข็งและหลักธรรมเข้าสู่องค์กรการศึกษาเชิงพุทธ ในการสร้างความเข้มแข็งการต่อต้านทุจริต โดยใช้กิจกรรมและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เข้าสู่กลุ่มองค์กรสถาบันการศึกษา 2) การพัฒนาหลักสูตรการสร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านทุจริต โดยใช้กิจกรรมและหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อเป็นการพัฒนาหลักสูตรในอนาคตและเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269879 การประเมินโครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนที่บูรณาการกับการเรียนการสอน วิทยาลัยการอาชีพฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 2023-09-28T13:18:44+07:00 ปัญญา ช่างงาน [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินโครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนที่บูรณาการกับ การเรียนการสอน วิทยาลัยการอาชีพฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ในด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ประชากรที่ใช้ในการประเมินประกอบด้วย คณะที่ปรึกษาประสานงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนเขตภาคเหนือ จำนวน 5 คน คณะกรรมการดำเนินงานโครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนวิทยาลัย การอาชีพฝาง จำนวน 70 คน และกลุ่มตัวอย่าง ใช้สูตรการหาขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane นักเรียน นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำนวน 331 คน และ ผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยการอาชีพฝาง จำนวน 331 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) ด้านบริบท เท่ากับ 0.85 ด้านปัจจัยเบื้องต้น เท่ากับ 0.84 ด้านกระบวนการ เท่ากับ 0.94 และด้านผลผลิต เท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และการบรรยายตามสภาพจริง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ด้านบริบท ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นสอดคล้องกันในด้านบริบทของโครงการ มีความเหมาะสมและผ่านเกณฑ์การประเมิน (<img title="\chi \bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;\bar{}" />= 4.26, S.D. = 0.68)</li> <li>ด้านปัจจัยเบื้องต้น ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นสอดคล้องกันในด้านปัจจัยนำเข้าของโครงการ มีความเหมาะสมและผ่านเกณฑ์การประเมิน (<img title="\chi \bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;\bar{}" />= 4.21, S.D. = 0.69)</li> <li>ด้านกระบวนการ ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นสอดคล้องกันในด้านกระบวนการของโครงการ มีความเหมาะสมและผ่านเกณฑ์การประเมิน (<img title="\chi \bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;\bar{}" />= 4.24, S.D. = 0.67)</li> <li>ด้านผลผลิต ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง มีความคิดเห็นสอดคล้องกันในด้านผลผลิตของโครงการ มีความเหมาะสมและผ่านเกณฑ์การประเมิน (<img title="\chi \bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;\bar{}" /> = 4.26, S.D. = 0.70)</li> </ol> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/257034 การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2023-10-18T09:38:10+07:00 สิริรัตน์ พรหมปั้น [email protected] นงลักษณ์ ใจฉลาด [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ประชากรได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวน 133 แห่ง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวน 103 แห่ง ได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซี่และมอร์แกน โดยคัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน จำนวน 206 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 103 คน ครู จำนวน 103 คน ซึ่งเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.60 -1.00 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมด้านการดำเนินการ 2) การมีส่วนร่วมด้านการวางแผน 3) การมีส่วนร่วมด้านการประเมินผล อยู่ในระดับมาก 4) การมีส่วนร่วมด้านการตัดสินใจ</p> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/269458 ปัญหาการจัดสวัสดิการแรงงาน 2023-10-09T14:38:50+07:00 วีรนุช พรมจักร์ [email protected] ณฐภัทร อยู่เมือง [email protected] เกษม ประพาน [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาการจัดสวัสดิการแรงงานของไทย เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดสวัสดิการแรงงาน เพราะสวัสดิการจะทำให้บุคลากรในองค์กรพร้อมที่จะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อองค์กรให้เจริญก้าวหน้า และใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติงานพร้อมที่จะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการปฏิบัติงาน จะเห็นได้จากการที่รัฐเข้าสนับสนุนในการจัดให้มีกฎหมายประกันสังคมที่นายจ้างลูกจ้าง และรัฐบาลร่วมกันรับผิดชอบด้วยกัน รวมทั้งการที่อุตสาหกรรมได้เริ่มคำนึงถึงสวัสดิการแรงงานที่เป็นประโยชน์แก่สังคมรอบ ๆ โรงงานหรือมีการพัฒนาชุมชนรอบโรงงานอุตสาหกรรมเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนภายนอกด้วย ทำให้มีการร่วมมือและการประสานงานกับรัฐบาลในระดับท้องถิ่น ระดับภาค และระดับประเทศ ในระยะนี้มีการร่วมมือกันระหว่างอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ในการจัดสวัสดิการแรงงาน โดยมีรัฐบาลร่วมรับผิดชอบ เช่น ในประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลรับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติของอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้น การจัดสวัสดิการในโรงงานอุตสาหกรรมก็จะนำความเจริญมาสู่ท้องถิ่นและประเทศชาติ ส่วนใหญ่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการจัดสวัสดิการแรงงานในลักษณะนี้ ปัจจุบันประเทศไทยให้สวัสดิการแรงงานแก่ลูกจ้างนอกเหนือกฎหมายกำหนดก็แสดงว่า นายจ้างเริ่มมีความรับผิดชอบทางสังคมมากขึ้น แม้ว่าสวัสดิการแรงงานที่ให้ส่วนใหญ่ยังคงจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวลูกจ้างเท่านั้นก็ตาม การที่จะพัฒนาสวัสดิการแรงงานให้ถึงขั้นที่สังคมมีส่วนรับผิดชอบ อาจจะยังต้องใช้เวลาและความพร้อมของทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง และเป็นเรื่องที่เป็นไปได้หากมีการเผยแพร่ความคิดที่ถูกต้องในด้านสวัสดิการแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ</p> 2023-12-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 มมร วิชาการล้านนา