มมร ล้านนาวิชาการ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal <p>วารสาร มมร ล้านนาวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการ ในมิติที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่าง ๆ ดังนี้ 1) สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา 2) สาขาศึกษาศาสตร์ และ 3) สาขาสังคมศาสตร์ </p> <p>โดยกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br />✎ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน ✎ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>ISSN </strong>3027-8961 (Online)<br /><em>* ตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (2567) เผยแพร่เฉพาะรูปแบบออนไลน์เท่านั้น</em></p> มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา th-TH มมร ล้านนาวิชาการ 3027-8961 <p>ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ ถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ มิใช่ความเห็นหรือความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ หรือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากการพิมพ์</p> <p>บทความที่ได้รับการเผยแพร่โดยวารสาร มมร วิชาการล้านนาถือเป็นสิทธิ์ของวารสารฯ</p> การบริหารกองทุนสวัสดิการชุมชนวิถีพุทธ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/278902 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอการบริหารกองทุนสวัสดิการชุมชน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งตาย ที่เรียกว่า วัฏจักรชีวิต ด้วยการพัฒนาชุมชน พัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชนแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันและมีสิทธิพื้นฐานทางสังคม เพราะเป็นนโยบายสาธารณะแห่งรัฐด้านสวัสดิการ อันจะทำให้เกิดความพอดีสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสร้างภาวการณ์ที่ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยยึดต้นแบบยุทธศาสตร์การปฏิรูปเศรษฐกิจตามหลักพระพุทธศาสนา</p> <p>กูฏทันตสูตร เป็นยุทธวิธีที่นำเอาหลักเศรษฐศาสตร์มาสู่การพัฒนาอย่างแยบยล ด้วยการยึดเอาหลักรัฐประศาสโนบายการปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขของพระเจ้ามหาวิชิตราชตามหลักการบริหาร คือ การพัฒนาบ้านเมืองด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจและพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับจิตใจ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนมีความชื่นชมยินดีต่อกัน รัฐบาลก็จะได้รับผลย้อนกลับคืนมาในรูปแบบที่ประชาชนจะมีความขยัน เก็บภาษีอากรได้มากขึ้น ชุมชนมีความสงบสุข มีความสามัคคี และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน</p> <p>หลักพุทธธรรมที่นำมาประยุกต์ใช้กับการส่งเสริมกองทุนสวัสดิการชุมชน คือ ทิฏฐธัมมิกัตถะ ได้แก่ ประโยชน์ในปัจจุบัน อันเป็นหัวใจของเศรษฐี ที่จะสามารถกำหนดอนาคตทางการเงินของตัวเองได้ เพราะเราสร้างต้นทุนชีวิตเพิ่มเติมได้จากการขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร และดำเนินชีวิตแบบพอเพียง</p> เพ็ช เทียนชัย จำนงค์ สำเนาว์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 122 132 แนวทางในการทำนุบำรุงเสนาสนะและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ของวัดผาลาด ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279045 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภูมิหลังแนวคิด แนวปฏิบัติการสร้างเสนาสนะ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของวัดผาลาด ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาการใช้ประโยชน์จากเสนาสนะ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทางพระพุทธศาสนาของวัดผาลาด ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) แสวงหาแนวทางในการทำนุบำรุงเสนาสนะและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ของวัดผาลาด ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การสร้างวัดผาลาดได้ปรากฏในคัมภีร์พระเจ้าเลียบโลกของล้านนา มีหลักฐานการจารึกและเล่าสืบต่อกันมาของชาวลัวะ ถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณวัดผาลาด ทั้งในรูปแบบของประเพณี วัฒนธรรม กลุ่มชนพื้นถิ่น และได้สืบทอดความรู้ความเชื่อนั้นมาถึงปัจจุบัน</li> <li>ประโยชน์ใช้สอยในพื้นที่ แบ่งเป็น โซนที่ 1 คือ เสนาสนะส่วนที่ต้อนรับแขก ญาติโยม ผู้ที่สนใจในพระพุทธศาสนา และทำกิจกรรมต่าง ๆ โซนที่ 2 คือ โบราณสถานที่เป็นเขตสังฆาวาส ซึ่งเป็นสถานที่สงบและเรียบง่าย เป็นที่อยู่ของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ประกอบพิธีกรรมเฉพาะในทางพระพุทธศาสนา และโซนที่ 3 คือการใช้สถานที่โดยรอบของวัดเพื่อสาธารณประโยชน์ และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่า แมลง พันธุ์พืช รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม</li> <li>แนวทางในการทำนุบำรุงเสนาสนะของวัดผาลาด ประกอบด้วย ด้านพิธีกรรมทางด้านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ การศึกษาทางโบราณคดีทางศาสนา การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในส่วนแนวทางด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ด้านการอนุรักษ์ดิน ด้านการอนุรักษ์น้ำ ด้านการอนุรักษ์ป่า และด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การจัดการดูแลรักษาพื้นที่ภายในเขตของวัดผาลาดให้มีความสะอาดตา สง่างาม สงบเงียบ และเรียบง่าย</li> </ol> แปง แสงมณี ปรมินทร์ นาระทะ รัชชานนท์ สมบูรณ์ชัย ผานิตย์ นาขยัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 1 9 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279245 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการ 2) ศึกษาปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการกองการศึกษาหรือรักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองการศึกษา นักวิชาการศึกษา ครู ผู้ดูแลเด็ก จำนวน 68 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่มเพื่อการศึกษาการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ วิเคราะห์ข้อมูลจากค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการฯ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (μ = 3.50)</li> <li>ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการ ประกอบด้วย การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การสร้างวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม การประเมินผลการดำเนินงานและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เรียนและครู การใช้เครื่องมือในการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ การจัดเวลาและทรัพยากรที่เหมาะสมในกระบวนการนิเทศและการประเมินผล นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล รวมถึงมาตรฐานการศึกษาและข้อกำหนดใหม่ ๆ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การมีส่วนร่วมจากผู้ปกครองและชุมชนและการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการฯ ได้แก่ การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และพันธกิจที่ชัดเจนและมีทิศทาง การประเมินและติดตามผลการดำเนินงานหลักสูตร โดยใช้การประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กและผลการดำเนินงานหลักสูตรเป็นข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การส่งเสริมบรรยากาศที่เปิดกว้างและกระตุ้นการเรียนรู้ การใช้กระบวนการนิเทศที่มีประสิทธิภาพ</li> </ol> วรรณระวี แสนสุวรรณ์ สมเกียรติ ตุ่นแก้ว พูนชัย ยาวิราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 10 21 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของครูประถมศึกษาในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279420 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น 2) ศึกษาปัจจัยในการพัฒนาภาวะผู้นำของครูประถมศึกษา 3) หาแนวทางพัฒนาการพัฒนาภาวะผู้นำของครูประถมศึกษา เป็นการวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูประถมศึกษา ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง จำนวน 125 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลจากค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์และสภาพความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของครูประถมศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ปัจจัยในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของครูประถมศึกษา ประกอบด้วย ความรู้ทางพหุวัฒนธรรม เจตคติที่ดีทางพหุวัฒนธรรม การพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในองค์กรและการเปิดกว้างต่อความหลากหลากหลายทางวัฒนธรรม</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของครูประถมศึกษา ได้แก่ วางแผนการพัฒนางานในแผนปฏิบัติงาน มีการวางแผน กำหนดนโยบาย วางกลยุทธ์ในการจัดการด้านความรู้ทางพหุวัฒนธรรมของครูประถมศึกษาให้ชัดเจน โดยมีทุกโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและพัฒนาภาวะผู้นำ รวมถึงการพัฒนาให้สอดคล้องกับครูและบุคลากรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อให้สามารถพัฒนาครูประถมศึกษาให้มีภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการประเมินผลสถานการณ์ด้านพหุวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนเจตคติที่ดี อาศัยสังคมที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมร่วมกันอย่างสันติ</li> </ol> วราภรณ์ ใจพันธ์ สมเกียรติ ตุ่นแก้ว พูนชัย ยาวิราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 22 33 การบูรณาการหลักพุทธธรรมในฐานะเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาตนของบุคคลต้นแบบในจังหวัดลำปาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279324 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการพัฒนาตนตามหลักพุทธธรรมของบุคคลต้นแบบในจังหวัดลำปาง 2) ศึกษาปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพัฒนาตนตามหลักพุทธธรรมของบุคคลต้นแบบในจังหวัดลำปาง 3) การบูรณาการหลักพุทธธรรมในฐานะเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาตนของบุคคลต้นแบบในจังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการวิจัย ประชากร ได้แก่ พระภิกษุ ปราชญ์พื้นบ้าน ผู้ประกอบธุรกิจร้านค้า ข้าราชการ กลุ่มเยาวชน และผู้นำท้องถิ่น ในจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นบุคคลต้นแบบ จำนวน 18 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กระบวนการในการพัฒนาตน: บุคคลต้นแบบ ได้รู้จักการวางตนให้เข้ากับคนอื่นตามฐานะของตน นำความรู้ใหม่ ๆ มาปรับใช้กับการทำงาน แสวงหารายได้เพื่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง จัดระบบการเตรียมความพร้อมร่วมกับชุมชนเพื่อป้องกันภัย สร้างสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว และได้ประสานงานกับผู้อื่นในการทำงานร่วมกัน</li> <li>ปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการพัฒนาตน: ได้ใช้หลักธรรมในเบญจธรรมเป็นปัจจัยในการแสดงความปรารถนาดีต่อคนอื่น ใช้หลักวุฒิธรรม เป็นปัจจัยในการปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น และรับผิดชอบงานที่ปฏิบัติอยู่ ใช้หลักสัปปุริสธรรม เป็นปัจจัยการวางแผนเตรียมพร้อมร่วมกับชุมชน เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นในชุมชน</li> <li>การบูรณาการหลักพุทธธรรมในฐานะเป็นปัจจัยแห่งการพัฒนาตนของบุคคลต้นแบบ: จึงเป็นการบูรณาการหลักเบญจธรรม ซึ่งเป็นการยกระดับตนเป็นกัลยาณชน เป็นการบูรณาการหลักวุฒิธรรม ซึ่งเป็นการยกระดับตนเป็นบัณฑิตชน และเป็นการบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม ซึ่งเป็นการยกระดับตนเป็นปัญญาชน</li> </ol> เกรียงไกรไตยโย โมสิน สิงห์ชัย เขียวสุข จีรศักดิ์ ปันลำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 34 44 อุบายวิธีการคลายอุปาทานตามแนวพุทธศาสนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279359 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเนื้อหาสาระของอุปาทานในพุทธศาสนา 2) วิเคราะห์หลักธรรมเพื่อคลายอุปาทาน 3) เสนอแนวคิดประยุกต์อุบายวิธีการคลายอุปาทานในการดำเนินชีวิต โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>อุปาทาน คือ ความยึดมั่นด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดจากตัณหาผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง หรืออุปาทาน คือความอยากเมื่อรุนแรงขึ้น สยบหมกมุ่นในสิ่งนั้น ยึดมั่นในอารมณ์ที่อยากได้ เช่น รูป รส อันน่าใคร่ น่าปรารถนา (กามุปาทาน) ความยึดมั่นในความเห็น ทฤษฏีทิฎฐิต่าง ๆ (ทิฏฐุปาทาน) ความยึดมั่นแบบแผน ความประพฤติและข้อปฏิบัติเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา (สีลัพพตุปาทาน) และความยึดมั่นในตัวตน (อัตตวาทุปาทาน) ตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท อุปาทานเป็นองค์หนึ่งใน 12 วงจรของปฏิจจสมุปบาท</li> <li>หลักธรรมที่ใช้เป็นอุบายเพื่อคลายอุปาทาน เช่น การพิจารณาตามหลักอริยสัจ 4 คือหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ 4 เป็นธรรมะที่เน้นกระบวนการวิเคราะห์เพื่อมองเห็นสภาพที่เป็นอยู่ สาเหตุของปัญหานั้น นำไปสู่หนทางหรือกระบวนการแก้ไข วิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธี มีระบบ มีระเบียบ ต่อเนื่องจากเหตุสู่ผล เชื่อมโยงกันภายใต้พื้นฐานสามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ</li> <li>แนวทางการประยุกต์หลักธรรมตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต เช่น ยามเจ็บป่วย ยามประสบความเครียด การเผชิญความผันแปรในช่วงชีวิต เป็นต้น ด้วยการเสนอหลักธรรมเป็นอุบาย เช่น การใส่ใจอย่างแยบคายมองเห็นสถานการณ์ในชีวิตยามประสบกับสิ่งไม่น่าปรารถนา การจัดการปัญหาตามหลักอริยสัจ การใช้หลักไตรลักษณ์ และหลักอริยมรรคมีองค์ 8 มาเป็นหลักการดำเนินชีวิตให้มีศักยภาพ</li> </ol> สมภพ บุญชุม สิงห์ชัย เขียวสุข จีรศักดิ์ ปันลำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 45 52 การเสริมสร้างสุขภาวะตามแนวพุทธธรรมของชุมชนวัดบ้านเอียก ตำบลดอนไฟ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279336 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาด้านสุขภาวะ 2) ศึกษากระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะ 3) ศึกษาวิเคราะห์รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะตามแนวพุทธธรรมของชุมชนวัดบ้านเอียก ตำบลดอนไฟ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถามเชิงปริมาณ มีจำนวน 202 คน กลุ่มเป้าหมาย ผู้ให้สัมภาษณ์ตามแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง มีจำนวน 12 คน และผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มย่อย จำนวน 8 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัญหาด้านสุขภาวะของชุมชน กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 38.72 เกิดอารมณ์เครียด มีรายได้ไม่สมดุล ผ่อนสินค้าครุภัณฑ์ประจำเดือน มีหนี้สิน ทำงานหนักเกินกำลัง ขาดความมั่นคงด้านอาชีพ ร้อยละ 20.91 เสพติดของมึนเมา บุหรี่ และยาเสพติด ร้อยละ 36.28 ติดการพนัน และร้อยละ 13.32 ติดเที่ยวกลางคืน</li> <li>กระบวนการเสริมสร้างสุขภาวะของชุมชน ให้ประชาชนมีอาชีพเสริม ฝึกอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ ปรับปรุงดิน เพิ่มผลผลิต ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน แก่กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในชุมชน และแก้ไขปัญหาสิ่งเสพติด ประสานความร่วมมือโดยเจ้าหน้าที่รัฐและผู้นำชุมชน</li> <li>รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะตามแนวพุทธธรรมของชุมชนวัดบ้านเอียก อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางประกอบด้วย 1) กายภาวนา การบริโภคบนพื้นฐานความพอเพียง บริโภคอาหารครบ 5 หมู่ รักษาร่างกายให้สะอาด ตรวจสุขภาพประจำปี และจัดสิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ 2) ศีลภาวนา การรักษาศีล เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และปฏิบัติตนตามบรรทัดของสังคม 3) จิตภาวนา การจัดให้มีการฝึกสมาธิ จัดให้มีสถานที่ผ่อนคลายความเครียด และจัดให้มีบริการห้องสมุด 4) ปัญญาภาวนา จัดอบรมพัฒนาปัญญา ส่งเสริมการเรีนรู้การเสริมสร้างสุขภาพรู้วิธีควบคุมปัจจัยเสี่ยง และติดตามข่าวสารการเสริมสร้างสุขภาวะแบบองค์</li> </ol> เมธี จารุสิริ สิงห์ชัย เขียวสุข ภาณุวัฒน์ แสนคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 53 65 สุ จิ ปุ ลิ: การพัฒนาสมรรถนะภาษาอังกฤษของนักศึกษาปฏิบัติการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279663 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสมรรถนะภาษาอังกฤษของนักศึกษาปฏิบัติการสอนโดยใช้หลัก สุ จิ ปุ ลิ ตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านสมรรถนะภาษาอังกฤษโดยใช้หลัก สุ จิ ปุ ลิ ของนักศึกษาปฏิบัติการสอน ระหว่างก่อนและหลังเรียน 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการพัฒนาสมรรถนะภาษาอังกฤษของนักศึกษาปฏิบัติการสอนโดยใช้หลัก สุ จิ ปุ ลิ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่กำลังศึกษาประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 69 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดแบบฝึกการพัฒนาสมรรถนะภาษาอังกฤษ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ใช้สถิติที่หลากหลายในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ t-test ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) รวมถึงการวิเคราะห์ความเชื่อมั่น และการทดสอบความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ชุดฝึกสมรรถนะภาษาอังกฤษโดยใช้หลัก สุ จิ ปุ ลิ สำหรับนักศึกษาปฏิบัติการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีประสิทธิภาพโดยรวมเท่ากับ 76.7/79.30 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75</li> <li>การศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านสมรรถนะภาษาอังกฤษโดยใช้หลัก สุ จิ ปุ ลิ ของนักศึกษาปฏิบัติการสอน ระหว่างก่อนและหลังเรียน พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ (𝑥̅ = 76.88, S.D.= 11.98) คะแนน สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (𝑥̅ = 67.32, S.D.= 10.96) คะแนน โดยเมื่อเปรียบเทียบเทียบด้วย ค่า t-test มีค่าเท่ากับ 13.707 แสดงให้เห็นว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>นักศึกษามีความพึงพอใจในระดับมากต่อการพัฒนาสมรรถนะภาษาอังกฤษ โดยมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 3.94 (𝑥̅ = 3.94, S.D. = 0.58)</li> </ol> ชนมกร ประไกร รักษ์ทวี เถาโต มงคล สารินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 66 78 การศึกษาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนโดยคนกลางในประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279452 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนโดยคนกลางในประเทศไทย โดยใช้วิธีวิจัยเชิงเอกสาร โดยการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยฉบับภาษาไทยระหว่างปี พ.ศ. 2565-2568 และฉบับภาษาอังกฤษ ระหว่างปี ค.ศ. 1978-2012</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนโดยคนกลางจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1) ขั้นตอนการกล่าวเปิดของผู้ประนอมข้อพิพาท ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมแก่คู่พิพาท 2) ขั้นตอนการกล่าวเปิดของคู่พิพาทและการสรุปคำกล่าว ต้องใช้ทักษะในการสื่อสาร และการตั้งคำถามที่ดี 3) ขั้นตอนการกำหนดประเด็นการเจรจา ต้องจับประเด็นเกี่ยวกับความต้องการที่แท้จริง 4) ขั้นตอนการสำรวจประเด็นปัญหา ต้องเป็นสื่อกลางในการหาทางออกร่วมกันเพื่อระงับข้อขัดแย้งหรือจัดการกับปัญหาข้อพิพาท 5) ขั้นตอนการสร้างและสำรวจข้อเสนอร่วมกัน ต้องมีการสร้างและสำรวจข้อเสนอร่วมกัน เพื่อสร้างความร่วมมือ ไว้วางใจกัน ความเข้าใจในเป้าหมายเดียวกัน 6) ขั้นตอนการประเมินข้อเสนอและต่อรอง ต้องมีการประเมินข้อเสนอและต่อรองจะต้องวิเคราะห์และแก้ไขข้อขัดแย้งคู่พิพาทในการเจรจาต่อรองและการไกล่เกลี่ย 7) ขั้นตอนการสรุปข้อตกลงและปิดการประนอม ต้องจัดทำข้อตกลงที่เกิดขึ้นในการยุติข้อพิพาทที่มีความเป็นธรรม ทำการสรุปการเจรจาต่อรอง สรุปผลการเจรจาอย่างเป็นทางการ มีรายละเอียด ขั้นตอนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและปิดการเจรจา </p> ภาคิน โชติเวศย์ศิลป์ สิอร หาสาสน์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 79 91 บทบาทของพระครูสุนทรอรรถการ (ครูบาดร) ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279449 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติ แนวคิดและหลักการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระครูสุนทรอรรถการ 2) ศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระครูสุนทรอรรถการ 3) วิเคราะห์บทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระครูสุนทรอรรถการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>พระครูสุนทรอรรถการเป็นพระนักพัฒนาที่มุ่งเผยแผ่ธรรมะผ่านการปฏิบัติ การศึกษา และการพัฒนาชุมชน โดยยึดหลัก “ไปที่ไหนให้พัฒนาที่นั่น” และ “จะทำก็ต้องลุย ไม่ต้องคุยให้เสียเวลา” ท่านสืบทอดแนวปฏิบัติของครูบาอภิชัยขาวปีและนำไปใช้จริง ส่งผลให้วัดและชุมชนรอบข้างพัฒนาครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การเผยแผ่ธรรมะ และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน</li> <li>บทบาทของท่านในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ครอบคลุม 6 ด้าน ได้แก่ การปกครอง การเผยแผ่ธรรมะ ศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การสาธารณสงเคราะห์ และการพัฒนาสาธารณูปโภค โดยเน้นการศึกษา การเทศนา และกิจกรรมศาสนาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน</li> <li>บทบาทแต่ละด้านมีความเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน โดยการเผยแผ่ศาสนาและการศึกษามีผลโดยตรงต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ขณะที่การปกครองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเผยแผ่ธรรมะ ส่งผลให้ชุมชนมีศรัทธาเพิ่มขึ้นและพุทธศาสนาได้รับการสืบทอดอย่างมั่นคง ผลงานทั้งหมดของท่านสะท้อนถึงความสมดุลในการทำงานทั้งด้านศาสนาและสังคมอย่างกลมกลืน</li> </ol> พงศธร ไชยยะตระกูล สงัด เชียนจันทึก โผน นามณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 92 101 แนวคิดเรื่องความงามในผลงานศิลปะแบบโรแมนติกของ ฟรานซิสโก เดอ โกยา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279525 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์แนวคิดเรื่องความงามในผลงานศิลปะแบบโรแมนติกของ ฟรานซิสโก เดอ โกยา โดยการคัดเลือกผลงานศิลปะรูปแบบโรแมนติก 20 ภาพ ในประเด็น 1) เกณฑ์การตัดสินความงาม 2) ประสบการณ์ทางสุนทรียะ และ 3) คุณค่าทางสุนทรียะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแล้วนำเสนอในรูปแบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>เกณฑ์การตัดสินความงามได้รับอิทธิพลจากการต่อต้านความเชื่อไสยศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญทางสังคมที่สร้างความสูญเสียและก่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ต่อศิลปิน ศิลปินจึงละทิ้งการจัดวางองค์ประกอบศิลป์และเนื้อหาตามกฎเกณฑ์ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) แต่กลับให้ความสำคัญกับการผสานระหว่างเหตุการณ์ ทางสังคมและจินตนาการ ความงามคือการแสดงออกทางอารมณ์และใช้สัญลักษณ์เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคม ดังนั้น เกณฑ์การตัดสินความงามจึงสัมพัทธ์ไปตามสภาพสังคมสอดคล้องกับแนวคิดแบบสัมพัทธนิยม</li> <li>ประสบการณ์ทางสุนทรียะเป็นผลมาจากปฏิกริยาการต่อต้านความเชื่อไสยศาสตร์ ภูมิหลัง สังคมและการเมือง ในยุคสมัยนั้นที่มีอิทธิพลต่อการเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกผิดหวังและความรู้สึกหวาดกลัวของศิลปิน และผลงานศิลปะ การประเมินความงามจึงเป็นผลมาจากผลงานศิลปะและผู้รับรู้ที่อยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของบริบท ทางสังคมและยุคสมัย</li> <li>คุณค่าทางสุนทรียะพบว่า ผลงานศิลปะแบบโรแมนติกของ ฟรานซิสโก เดอ โกยา สะท้อนถึงปัญหาทางสังคม ด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดเรื่องราวในสังคมจึงเป็นแรงกระตุ้นต่อสังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงจนเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนในประเทศสเปนให้มีความก้าวหน้า พร้อมทั้งเรียกร้องความยุติธรรมจากปัญหาทางการเมืองให้กับสังคม คุณค่าทางความงามจึงสะท้อนถึงแนวคิดศิลปะเพื่อสังคม</li> </ol> มัณฑิรา บุญชัย วรรณวิสาข์ ไชยโย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 102 113 รูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมบทเรียนออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์ส https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/279270 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อการวิเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมบทเรียนออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ชั้นปีที่ 3 ผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์ส 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์ส เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูล นำมาสร้างสื่อการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยี ในรูปแบบของแอปพลิเคชั่น บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์สบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างตามสะดวก คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับคัดเลือกจากการสุ่มเก็บข้อมูล จำนวน 30 คน เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์สที่ได้มีประสิทธิภาพ อยู่ในระดับดีมาก (𝑥̅ = 4.62, S.D. = 0.46) และผู้ใช้มีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาผ่านแฟลตฟอร์มการเรียนรู้เมตาเวิร์สในระดับดีมาก (𝑥̅ = 4.75, S.D. = 0.43)</p> ภูริตา มกรพงศ์ อรุณี หงษ์ศิริวัฒน์ ธีรวดี ถังคบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มมร ล้านนาวิชาการ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 114 121