https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/issue/feed
วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-08-31T12:31:02+07:00
Asst.Prof.Dr.Lerdchai Sathitpanawong
krungkao.arursjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์</p> <p> 1. เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยครอบคลุม ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการศึกษา ด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์</p> <p> 2. เพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> มีนโยบายการจัดพิมพ์คือวารสารเปิดรับบทความวิจัยแบบเต็มรูปแบบ และบทความวิชาการ จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยบทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และเป็นข้อคิดเห็นของผู้ส่งบทความเท่านั้น กำหนดออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม – สิงหาคม, กันยายน – ธันวาคม</p>
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/278688
แนวทางการสร้างแบรนด์สินค้าชุมชนอยุธยาสู่ความสำเร็จในตลาดโลก: การผสานวัฒนธรรมและความยั่งยืนของผ้าลายอย่างอยุธยา
2025-06-25T10:23:04+07:00
ฤดีชนก รุ่งเรืองไมตรี
ruedeechanok.r@gmail.com
นฤดม ต่อเทียนชัย
Narudom_tor@utcc.ac.th
กวิน ช่วยแก้ว
Kawin_Chu@utcc.ac.th
<p>บทความนี้นำเสนอแนวทางการสร้างแบรนด์สินค้าชุมชนอยุธยาสู่ความสำเร็จในตลาดโลก: การผสานวัฒนธรรมและความยั่งยืนของผ้าลายอย่างอยุธยา โดยผู้ประกอบการจะต้องมีความเข้าใจและเน้นคุณค่าเชิงวัฒนธรรม มีการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราว (Storytelling) อย่างชัดเจน ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัยผู้บริโภคสามารถเข้าถึงง่าย และเหมาะสมกับการใช้งานในยุคปัจจุบัน มีการส่งเสริมความยั่งยืนในชุมชนโดยการเลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าสินค้าผ้าลายอย่างอยุธยาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือในระดับชุมชนและองค์กร โดยพัฒนาทักษะชุมชน สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน จัดอบรมเทคนิคการทอผ้า การย้อมสีธรรมชาติ และการออกแบบที่ทันสมัย และสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและแม่บ้าน เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน และการได้รับการสนับสนุนโดยหน่วยงานรัฐ ใช้ประโยชน์จากโครงการของรัฐบาล ซึ่งผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการค้นหาเอกลักษณ์และเรื่องราวของชุมชน การสร้างการเล่าเรื่องที่ดึงดูดใจ และการพัฒนาคอนเทนต์ที่เน้นความยั่งยืนและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความสำเร็จในตลาดโลก</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/279965
อายุความตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 กรณีการเรียกทายาทให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
2025-05-08T16:21:45+07:00
อาคม โง้นแดง
arkom.ng@crma.ac.th
<p>ตามที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้กำหนดอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่ต่อหน่วยงานของรัฐ หรือต่อบุคคลภายนอกหากเป็นกรณีหน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นตัวเงินแก่หน่วยงานของรัฐ แต่หากต่อมาเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดได้ถึงแก่ความตาย เดิมกฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด ต่อมากฎหมายกำหนดให้ทายาทต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินมรดกส่วนที่ทายาทได้รับ ซึ่งใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม เป็นการฟ้องทายาทภายในอายุความมรดกโดยไม่ได้ระบุอายุความห้ามไว้ว่าต้องกระทำภายในระยะเวลาเท่าใดด้วย แต่ต่อมาได้มีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกำหนดให้ห้ามมิให้ฟ้องทายาทเมื่อพ้นอายุความสิบปีนับแต่วันทำละเมิดด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ทำให้เกิดประเด็นที่ต้องศึกษาในประเด็นดังกล่าวเพื่อนำมาวิเคราะห์กันต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทายาทของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดและหน่วยงานของรัฐที่เป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายด้วย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280796
มาตรการทางกฎหมายในการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
2025-05-26T09:00:37+07:00
ศราริตา แจ้งพันธ์
sararita.jan@stu.nida.ac.th
<p>ในสภาวการณ์ของสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมมีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจแก่สาธารณชนและเสริมสร้างความโปร่งใสในกระบวนการพิจารณาคดี แต่การนำเสนอข่าวในบางกรณีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ตกเป็นข่าวและยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้ต้องหา จำเลย หรือพยาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งนำไปสู่การละเมิดสิทธิของบุคคล และกระทบต่อความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายที่ใช้ควบคุมการนำเสนอข่าว ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่างเสรีภาพสื่อกับการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลผู้ถูกกระทบสิทธิจากการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า กฎหมายไทยมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวในกระบวนการยุติธรรมอยู่ในหลายฉบับ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2550 พระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และแนวทางการปฏิบัติขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน จึงพบว่า ยังขาดความชัดเจนในเชิงบังคับใช้และไม่มีบทบัญญัติที่เฉพาะเจาะจงในการคุ้มครองสิทธิของบุคคลในคดีอย่างเป็นระบบ เมื่อเทียบกับหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีต้องรับรองสิทธิของบุคคลในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial) ควบคู่กับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อ โดยข้อเสนอแนะของบทความนี้คือ ควรมีการจัดทำกฎหมายเฉพาะในการกำกับการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่คำนึงถึงดุลยภาพระหว่างเสรีภาพของสื่อและสิทธิมนุษยชนของบุคคลในคดี ตลอดจนส่งเสริมบทบาทขององค์กรวิชาชีพสื่อในการควบคุมจริยธรรมการรายงานข่าวให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/279395
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่องบน แอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคเจเนอเรชันวายในประเทศไทย
2025-05-06T11:23:01+07:00
อังคาร คะชาวังศรี
angkan.k67@rsu.ac.th
สมชาย เล็กเจริญ
somchai.l@rsu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่องบนแอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคเจเนอเรชันวายในประเทศไทย และ 2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่องบนแอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคเจเนอเรชันวายในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่เคยซื้อสินค้าแฟชั่นบนแอปพลิเคชันช้อปปี้ และพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย มีอายุระหว่าง 29-44 ปี จำนวน 372 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลองความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการตลาดบนโซเชียลมีเดีย 2) ด้านการรับรู้คุณค่า 3) ด้านการสร้างประสบการณ์ที่ดี และ 4) ด้านความตั้งใจซื้ออย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดี โดยพิจารณาจากค่า CMIN/df = 2.045, ค่า GFI = 0.938, ค่า AGFI = 0.901, ค่า SRMR = 0.033, ค่า RMSEA = 0.060 และค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ = 0.82 แสดงว่าตัวแปรในแบบจำลองสามารถอธิบายความแปรปรวนของความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่องบนแอปพลิเคชันช้อปปี้ของผู้บริโภคเจเนอเรชันวายได้ร้อยละ 82 พบว่า ปัจจัยด้านการตลาดบนโซเชียลมีเดีย และปัจจัยด้านการสร้างประสบการณ์ที่ดีมีอิทธิพลทางตรงต่อความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ ซึ่งผู้ประกอบการควรคำนึงถึงการตลาดบนโซเชียลมีเดีย และการสร้างประสบการณ์ที่ดี เป็นสำคัญเพื่อให้เกิดความตั้งใจซื้อสินค้าแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/279629
การประเมินเชิงปริมาณจิตวิญญาณของสถานที่ในอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (AHP): กรณีศึกษานิคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฉีหลู่
2025-05-08T16:34:38+07:00
หลิว กัง
liu64810024@gmail.com
รสา สุนทรายุทธ
rsuntrayuth@gmail.com
บุญชู บุญลิขิตศิริ
bunchoo@buu.ac.th
<p>ในการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน การออกแบบเชิงพื้นที่มักให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการใช้งานและการสื่อสารเทคโนโลยีเป็นหลัก ขณะที่มักละเลยการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความเชื่อมโยงทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง แม้นิคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฉีหลู่จะมีพื้นฐานด้านพื้นที่ที่มั่นคงและเอื้อต่อการพัฒนา แต่ยังขาดความสมบูรณ์ในด้านความหมายเชิงวัฒนธรรม การออกแบบเชิงนิเวศ และการรับรู้ของผู้ใช้งาน ส่งผลให้การแสดงออกของจิตวิญญาณของสถานที่ยังไม่เด่นชัดเท่าที่ควร งานวิจัยนี้เลือกนิคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฉีหลู่เป็นกรณีศึกษา โดยประยุกต์ใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic Hierarchy Process: AHP) เพื่อระบุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ<br />จิตวิญญาณของสถานที่ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ รายละเอียดและความหมายทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ และการรับรู้ของผู้ใช้งาน พร้อมทั้งประเมินค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ของแต่ละปัจจัยอย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยพบว่า “การเปิดให้สาธารณชนเข้าร่วมกิจกรรม” “วัฒนธรรมน้ำพุ” “การบูรณาการระหว่างเทคโนโลยี ธรรมชาติ และมนุษยศาสตร์” และ “การออกแบบเมืองอุ้มน้ำ” เป็นปัจจัยที่มีค่าน้ำหนักสูงสุดในการรับรู้ของผู้ใช้งาน สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าหลักของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและจิตสำนึกด้านนิเวศในบริบทของอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานวิจัยนี้ยังยืนยันถึงความเหมาะสมของกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (AHP) ในการประเมินจิตวิญญาณของสถานที่ในมิติที่หลากหลาย ซึ่งไม่เพียงขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้แนวคิดปรากฏการณ์วิทยาทางสถาปัตยกรรมในด้านการออกแบบภูมิทัศน์เท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการปรับปรุงพื้นที่ การผสานทางวัฒนธรรม และการตัดสินใจเชิงนิเวศของอุทยานในอนาคตด้วยข้อมูลเชิงปริมาณที่เป็นระบบและชัดเจน อันมีคุณูปการอย่างมีนัยสำคัญทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280032
สภาพปัจจุบัน ปัญหาและแนวทางการอนุรักษ์สืบทอด “โขน” ในกลุ่มเด็กและเยาวชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-05-08T09:53:05+07:00
อัจฉราพรรณ กันสุยะ
Kajcharapun@aru.ac.th
ปิยะ มีอนันต์
piyatogether2516@gmail.com
สุพินดา เพชรา
psupinda@aru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน และปัญหาการอนุรักษ์ สืบสาน “โขน” และ (2) เพื่อศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ และสืบทอด “โขน” ในกลุ่มเด็กและเยาวชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยนี้เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ โดยใช้เทคนิคการเก็บข้อมูลจากเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 5 คน ประกอบด้วย (1) ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านโขนและผู้เชี่ยวชาญด้านโขน 2 คน (2) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ประวัติศาสตร์ การจัดการเรียนรู้โขน 3 คน เครื่องมือในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบัน และปัญหาของการอนุรักษ์ สืบสาน “โขน” ได้มีการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู ผ่านเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานสถาบันการศึกษา เช่น วิทยาลัยนาฏศิลป์อ่างทอง ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผลิตบัณฑิตและจัดการเรียนการสอนด้านการแสดงโขน และสถาบันการศึกษา ส่งนักเรียนร่วมโชว์และแสดงในงานต่าง ๆ ส่วนปัญหาของการอนุรักษ์ สืบสาน “โขน” พบว่า (1) การขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง (2) การแสดงโขนในแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายสูง (3) โขนถูกสร้างให้เข้าถึงยาก น่ากลัว (4) ปัญหาอื่น ๆ เช่น ผู้บริหาร หรือครูผู้สอน ที่รับผิดชอบเรื่องโขน เกษียณอายุราชการ หรือโยกย้าย ส่งผลต่อการสานต่องานและกิจกรรมด้านโขนในโรงเรียน เป็นต้น 2) แนวทางการอนุรักษ์ สืบสาน “โขน” สำหรับเด็กและเยาวชน พบว่า (1) ควรออกแบบบูรณาการกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน เช่น บรรจุวิชาโขนเป็นวิชาเลือกหรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในหลักสูตรการศึกษา จัดกิจกรรมค่ายโขนสำหรับเยาวชน และสอดแทรกบูรณาการเนื้อหาโขนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ (2) จัดตั้งชมรม ชุมนุม หรือค่ายโขนในโรงเรียน (3) จัดทำแหล่งเรียนรู้ หรือสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับโขนในรูปแบบสื่อดิจิทัลและมัลติมีเดียที่น่าสนใจ และ(4) การสนับสนุนจากผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ จะช่วยสร้างความตระหนักรู้และสืบทอดศิลปะโขนไปสู่เด็กและเยาวชนรุ่นต่อไป</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280378
แนวคิดเชิงปรัชญาของลัทธิเต๋าที่สะท้อนในงานเครื่องเคลือบดินเผาของเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น
2025-06-13T15:27:40+07:00
กวงหยวน กวงหยวน สวี
ongneul@gmail.com
ผกามาศ สุวรรณนิภา
pakamas@go.buu.ac.th
ศุภรา อรุณศรีมรกต
supara@go.buu.ac.th
<p>งานวิจัยเรื่อง แนวคิดเชิงปรัชญาของลัทธิเต๋าที่สะท้อนในงานเครื่องเคลือบดินเผาของเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของสุนทรียภาพแบบลัทธิเต๋าต่อการสร้างสรรค์เครื่องเคลือบดินเผาและวิเคราะห์รูปแบบการสะท้อนแนวคิดลัทธิเต๋าในเครื่องเคลือบดินเผาเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้วิธีการวิจัยทางเอกสารและการลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อรวบรวมข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ จากการวิจัยพบว่า สุนทรียภาพลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์เครื่องเคลือบดินเผา โดยสุนทรียภาพลัทธิเต๋าที่สำคัญสามประการได้แก่ 1) การปฏิบัติตามวิถีธรรมชาติ 2) การไม่ยึดติดและการปล่อยวาง ความว่างเปล่าและความสงบ และอิสระจร 3) สัจจะ นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์พบว่ารูปแบบการสะท้อนแนวคิดลัทธิเต๋าในเครื่องเคลือบดินเผานั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลักคือการแสดงออกโดยอ้อมเป็นการแสดงออกเชิงนามธรรม และการแสดงออกโดยตรงเป็นการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280698
การใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองแม่สุก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา
2025-06-13T16:16:50+07:00
นพชัย กันทะหลั่น
67122211@up.ac.th
พันธพัฒน์ บุญมา
pantapat.bo@up.ac.th
นุชนาฏ ดีเจริญ
nutchanart.de@up.ac.th
อัมเรศ เทพมา
amares.th@up.ac.th
ธงไทย วงศ์วิชัย
thongthai.wo@up.ac.th
<p>งานวิจัยเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองแม่สุก อ.แม่ใจ จ.พะเยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่คลองแม่สุกก่อนและหลังการพัฒนา เสนอแนวทางการออกแบบทางสถาปัตยกรรมและจัดทำข้อเสนอแนะการพัฒนาการใช้พื้นที่สองฝั่งคลอง โดยศึกษาลักษณะการใช้ประโยชน์ในพื้นที่คลองแม่สุก ด้วยแบบสอบถามโดยวิธีเจาะจงจากกลุ่มประชากร ที่อยู่อาศัยริมพื้นที่คลองแม่สุกและกลุ่มผู้นำชุมชน ผลการศึกษาพบว่าลักษณะคลองแม่สุกเดิมมีลักษณะเป็นพื้นดินลาดเอียงลงสู่คลอง มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ริมคลองอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการพัฒนาได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นคลองคอนกรีต มีลักษณะรูปแบบตั้งฉากกับแนวขอบคลองส่งผลทำให้ไม่สามารถใช้งานในพื้นที่ริมคลองได้อย่างสะดวกเมื่อเปรียบเทียบก่อนการพัฒนา จากรูปแบบและลักษณะดังกล่าวจึงได้นำมาวิเคราะห์เสนอแนวทางส่งเสริมการใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองแม่สุก สามารถสรุปได้เป็น 2 แนวทางประกอบด้วย 1) แนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองส่วนคลองที่พัฒนาแล้วเสร็จด้วยการสร้างสะพานและบันไดเพื่อเชื่อมโยงสองฝั่งคลองเข้าด้วยกัน 2) แนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองในส่วนคลองที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา การนำเสนอรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่สร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของพื้นที่ริมคลองแก่ชุมชนในระยะก่อนการพัฒนา ร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน จะช่วยนำไปสู่การกำหนดพื้นที่ใช้งานริมคลองในตำแหน่งต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งานและตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างเหมาะสม</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280919
อัตลักษณ์ทางสุนทรียภาพ และความหมายทางวัฒนธรรมของเครื่องเคลือบมี่เซ่อแห่งทะเลสาบซ่างหลินในช่วงปลายราชวงศ์ถัง
2025-06-06T13:19:59+07:00
หยิง วั่น
luoyituan@hotmail.com
เสกสรรค์ ตันยาภิรมย์
sakesan@go.buu.ac.th
บุญชู บุญลิขิตศิริ
bunchoo@go.buu.ac.th
<p>การศึกษาอัตลักษณ์ทางสุนทรียภาพและความหมายทางวัฒนธรรมของเครื่องเคลือบมี่เซ่อแห่งทะเลสาบซ่างหลินในช่วงปลายราชวงศ์ถัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเครื่องเคลือบมี่เซ่อแห่งทะเลสาบซ่างหลินในมณฑลเจ้อเจียง วิเคราะห์อัตลักษณ์ทางสุนทรียภาพ และความหมายทางวัฒนธรรมของเครื่องเคลือบมี่เซ่อแห่งทะเลสาบซ่างหลิน มณฑลเจ้อเจียงในช่วงปลายราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 847-903) โดยใช้วิธีการวิจัยทางเอกสาร การสำรวจภาคสนามและการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัย พบว่า พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเครื่องเคลือบมี่เซ่อแห่งทะเลสาบซ่างหลินในมณฑลเจ้อเจียงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลา ได้แก่ ยุคต้นกำเนิด ยุคแห่งการพัฒนา ยุคทอง ยุคเสื่อมโทรมและยุติการเผา อีกทั้งผู้วิจัยได้สรุปอัตลักษณ์ทางสุนทรียภาพของเครื่องเคลือบมี่เซ่อเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1) เนื้อดินที่แน่นละเอียดจากการคัดสรรจัดการวัสดุได้อย่างพิถีพิถัน 2) ลักษณะและรูปทรงที่สร้างตามแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ (ปากชามทรงดอกไม้ชนิดต่าง ๆ) 3) สีเคลือบที่เขียวใสดุจหยกและผิวเคลือบที่เรียบลื่นปราศจากจุดดำปนเปื้อนหรือฟองอากาศ <br />4) ลวดลายตกแต่งผสานความหลากหลาย นอกจากนี้ จากวิเคราะห์ความหมายทางวัฒนธรรมของเครื่องเคลือบมี่เซ่อ สามารถสรุปได้ว่า เครื่องเคลือบมี่เซ่อเป็นภาชนะเครื่องบูชาที่มีบทบาทสำคัญในพุทธตันตระแห่งราชวงศ์ถัง ทั้งยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของราชอำนาจแห่งจักรพรรดิ และวัตถุที่ผสมผสานแนวคิดเชิงปรัชญากับสุนทรียภาพทางจิตวิญญาณของผู้คนในราชวงศ์ถังอีกด้วย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280545
การพัฒนาความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ด้วยกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคลำปาง
2025-06-17T15:32:14+07:00
ปนิตา อินสี
panitarung98@hotmail.com
สุกัญญาโสภี ใจกล่ำ
Sukunyasopee.c@psru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคลำปาง ที่มีผลต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) วิทยาลัยเทคนิคลำปาง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ ผลการพิจารณาความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.73 2) แบบวัดความสามารถทางการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.43 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีผลต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย เลขคณิต 𝑥̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเลขคณิตด้วยการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคลำปาง หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวก หกใบ สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคลำปาง ที่มีผลต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้ตามกลวิธี SQP2RS ร่วมกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.59 , S.D. = 0.36)</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/280940
ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของการกำกับดูแลกิจการและค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี sSET
2025-07-25T12:06:50+07:00
กฤตยกมล ธานิสพงศ์
krittayakamon.t@ubru.ac.th
พัชราวดี กุลบุญญา
patcharawadee.k@ubru.ac.th
ฤติมา มุ่งหมาย
ruetima.m@ubru.ac.th
วัชรพงศ์ พัดทาป
std.66124410301@ubru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของการกำกับดูแลกิจการกับค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี sSET โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี sSET ยกเว้นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินและบริษัทที่ข้อมูลไม่ครบ จำนวน 83 บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2566 จำนวนทั้งหมด 332 firm-Year จากแบบรายงานข้อมูลประจำปี 56-1 (56-1 one report) ตัวแปรในการศึกษา ได้แก่ ตัวแปรอิสระ คือ องค์ประกอบของการกำกับดูแลกิจการ ตัวแปรตาม คือ ค่าธรรมเนียมการสอบบัญชี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงซ้อน ผลการศึกษา พบว่า องค์ประกอบของการกำกับดูแลกิจการมีความสัมพันธ์กับค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี sSET ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เมื่อพิจารณาแต่ละตัวแปร พบว่า สัดส่วนคณะกรรมการอิสระมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับค่าธรรมเนียมการสอบบัญชี ขณะที่ขนาดของคณะกรรมการตรวจสอบมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมภายในที่ช่วยลดความเสี่ยงในการสอบบัญชี ส่วนขนาดสำนักงานสอบบัญชีมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับค่าธรรมเนียมการสอบบัญชีสะท้อนถึงชื่อเสียงและคุณภาพของบริการ ผลการศึกษาสนับสนุนแนวคิดด้านการกำกับดูแลกิจการและทฤษฎีตัวแทน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/281139
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการกระทำความผิดและการก่อปัญหาสังคม
2025-07-07T08:59:27+07:00
สุวรรณา คุณดิลกณัฐวสา
suwanna.k@nsru.ac.th
เอกลักษณ์ นาคพ่วง
nakphoung31@gmail.com
กิตติพัฒน์ คงมะกล่ำ
nan0935989091@gmail.com
รชต คุณดิลกณัฐวสา
rachata3229@gmail.com
ไชยรัตน์ ปราณี
Chairat.P@nsru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ พัฒนาพฤตินิสัยแก้ไขพฤติกรรมเสี่ยง และบูรณาการสภาพแวดล้อมเชิงสังคมที่พึงประสงค์ สำหรับป้องกันการกระทำความผิดและการก่อปัญหาสังคมของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง และ (2) สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาทักษะ การดำเนินชีวิตของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มที่ 1 เป็นการอบรมแกนนำเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากกระทำความผิดและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัว อยู่ระหว่างได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หรืออยู่ระหว่างใช้มาตรการพิเศษระหว่างการพิจารณาคดี หรือถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จำนวน 100 คน กลุ่มที่ 2 เด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในชุมชนที่ยังไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จำนวน 200 คน และกลุ่มที่ 3 การประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานภาคีเครือข่ายด้านการกำกับติดตามเด็กหรือเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร้รอยต่อ จำนวน 100 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1.การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ โดยใช้วิธีการฝึกอบรมให้ความรู้และทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่คณะวิทยากรได้นำมาให้เด็กและเยาวชนได้ทำการทดลอง มีกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ผลคะแนน การประเมินระดับพลังใจพลังชีวิตภายหลังการทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มเป้าหมาย มีรายละเอียดดังนี้ (1) เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างพลังใจเติมพลังชีวิต จังหวัดนครราชสีมา มีระดับพลังใจพลังชีวิตหลังเข้าร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 86.73) (2) เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างพลังใจเติมพลังชีวิต สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีระดับพลังใจพลังชีวิตหลังเข้าร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 84.57) และเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างพลังใจเติมพลังชีวิต โรงเรียนวัดมะลิ และชุมชนใกล้เคียง จังหวัดกรุงเทพมหานคร มีระดับพลังใจพลังชีวิตหลังเข้าร่วมกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด (ร้อยละ 87.33) 2.เครือข่าย ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาทักษะการดำเนินชีวิตของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้ (1) ขั้นต้นน้ำ ประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (2) ขั้นกลางน้ำ ประกอบด้วย โรงเรียน สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน มูลนิธิ และ(3) ขั้นปลายน้ำ ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ ศาล สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน คุมประพฤติ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/276351
ผลกระทบของการจัดการเงินทุนหมุนเวียน การจัดการสภาพคล่องและการจัดการหนี้ที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจกลุ่มพาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-07-14T09:56:26+07:00
อภิชาติ ลิ้มเมธี
apichat.lim@gmail.com
<p>การศึกษาผลกระทบของการจัดการเงินทุนหมุนเวียนการจัดการสภาพคล่องและการจัดการหนี้ที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจกลุ่มพาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ จากข้อมูลทุติยภูมิซึ่งประกอบไปด้วยตัวแปรต่าง ๆ ในรูปแบบอนุกรมเวลาภาคตัดขวาง (Cross-Panel Data) ได้แก่ บริษัทในกลุ่มพาณิชย์จำนวน 19 บริษัท รวบรวมข้อมูลเป็นแบบรายไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 พ.ศ. 2561 ถึงไตรมาสที่ 2 พ.ศ. 2567 รวมระยะเวลา 26 ไตรมาส เพื่อหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐมิติด้วยสมการถดถอยเชิงพหุนามภาคตัดขวาง ผลการศึกษาพบว่า ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินทุนหมุนเวียน การจัดการสภาพคล่องและการจัดการหนี้มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจกลุ่มพาณิชย์ โดยผลการศึกษาพบว่า อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม, อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ, ระยะเวลาจำหน่ายสินค้าคงเหลือมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ ส่วนระยะเวลาจ่ายชำระหนี้มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ การศึกษานี้จึงเป็นการเพิ่มหลักฐานเชิงประจักษ์ในประเด็นดังกล่าวสำหรับกรณีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/281667
ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนและแนวทางการดำเนินงานในการบำบัดน้ำเสีย คลองลำผักชี กรณีศึกษาตลาดยิ่งเจริญ
2025-07-15T16:06:19+07:00
กิตติวรรณ สินธุนาวา
Kittiwan@pnru.ac.th
และพัฒนพงษ์ จันทร์ควง
pattanaphong.c@siu.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยบริบทหลักที่มีอิทธิพลต่อการบำบัดน้ำเสียคลองลำผักชี โดยใช้ตลาดยิ่งเจริญเป็นกรณีศึกษา (2) ศึกษาและประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ของโครงการคิดจากคลอง และ (3) พัฒนาแนวทางการปฏิบัติสำหรับ การบำบัดน้ำเสีย ที่มีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ในพื้นที่คลองลำผักชีตลาดยิ่งเจริญ โดยผสมผสานเทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วยการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างและการอภิปรายกลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 ราย ในขณะที่ข้อมูลเชิงปริมาณรวบรวมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 400 รายโดยใช้การสุ่มแบบมีจุดประสงค์ ดำเนินการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อประเมินปัจจัยนำเข้า กิจกรรม ผลผลิต ผลลัพธ์ ผู้ใช้ และผลกระทบโดยรวมของโครงการคลองลำผักชี การคำนวณ SROI ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ (1) สัดส่วนของผลลัพธ์ที่ไม่ควรนำมาคำนึงถึง (Deadweight) (2) สัดส่วนของผลลัพธ์ที่เกิดจากโครงการ (Attribution) (3) สัดส่วนของผลลัพธ์ที่ไม่ได้เกิดจากโครงการและส่งผลกระทบทางลบต่อโครงการ (Displacement) และ (4) การลดลงของผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ (Drop-off) ที่อัตราส่วนลดร้อยละ 3.5 ผลการศึกษาพบว่าระหว่างปี 2564 ถึง 2567 ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านสังคมของโครงการคิดจากคลอง กรณีศึกษา คลองลำผักชี บริเวณตลาดยิ่งเจริญ อยู่ที่ 5.2260 แสดงให้เห็นว่าการลงทุน 1 บาทในการบำบัดน้ำเสียให้ผลตอบแทนทางสังคมประมาณ 5.2260 บาทในแง่ของผลประโยชน์ทางสังคมและความยั่งยืน งานวิจัยนี้เน้นย้ำถึงความสามารถในการปรับใช้ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านสังคมเป็นเครื่องมือวัด โดยแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ในองค์กร บริบทการลงทุน และสกุลเงินที่แตกต่างกัน กรอบการทำงานที่เสนอสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับโครงการที่เฉพาะเจาะจงโครงการอื่นได้ จึงเป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจและต้องการเพิ่มผลลัพธ์เชิงบวกทางสังคมตลอดจนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/281819
การวิเคราะห์เปรียบเทียบวลีและประโยคในหนังสือภาษาจีน ของอุตสาหกรรมนวดและสปา
2025-07-30T09:10:40+07:00
นัฐวุฒิ ปินะการัง
barumasu2536@gmail.com
วุฒิพงษ์ ประพันธมิตร
wuttipong.prap@ku.th
<p> อุตสาหกรรมบริการสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจนวดแผนไทยและสปาซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน ส่งผลให้ทักษะการสื่อสารภาษาจีนกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแรงงานในสายงานบริการ ขณะเดียวกัน ตำราภาษาจีนเฉพาะทางจำนวนมากจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ลักษณะของวลีและประโยคภาษาจีนที่ปรากฏในหนังสือเรียนภาษาจีนเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมนวดและสปาทั้งสามเล่ม ในบริบทการใช้งานจริงในสถานบริการ 2) เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของวลีและประโยคในแต่ละเล่ม ในด้านระดับความสุภาพ ความเป็นมืออาชีพ และความแม่นยำของภาษา 3) ศึกษาข้อจำกัดของการใช้ประโยคที่ยาวและซับซ้อนในหนังสือเรียนภาษาจีนเฉพาะทางที่อาจส่งผลต่อผู้เรียนระดับต้น โดยเฉพาะในด้านการเรียนรู้และการใช้งานในภาคปฏิบัติ 4) เสนอแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงบทสนทนาภาษาจีนให้เหมาะสมกับผู้เรียนระดับต้นในสายงานนวดและสปา โดยเน้นความเข้าใจง่าย ชัดเจน และใช้งานได้จริง โดยการวิจัยนี้ใช้กรอบแนวคิดจากภาษาศาสตร์ประยุกต์และการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม เพื่อวิเคราะห์วลี และประโยคในตำราเรียนดังกล่าว จากการศึกษาพบว่าภาษาที่ใช้ในตำรายังไม่สอดคล้องกับภาษาที่ใช้จริงในสถานประกอบการ ซึ่งมักมีลักษณะยืดหยุ่น อ่อนโยน และสะท้อนความใส่ใจต่อลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์