วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru <p>วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยครอบคลุม ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการศึกษา ด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ ด้านวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. เพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; มีนโยบายการจัดพิมพ์คือวารสารเปิดรับบทความวิจัยแบบเต็มรูปแบบ และบทความวิชาการ จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยบทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และเป็นข้อคิดเห็นของผู้ส่งบทความเท่านั้น กำหนดออกเผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม – สิงหาคม, กันยายน – ธันวาคม</p> Research and Development Institute of Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University th-TH วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2985-0606 <p>อยู่ระหว่างการปรับปรุง (ลิขสิทธิ์และการรับผิดชอบ)</p> แนวทางการพัฒนาชุดกิจกรรมสานใบมะพร้าว สานสัมพันธ์ช่องว่างระหว่างวัย ชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ จังหวัดสมุทรสงคราม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269278 <div><span lang="TH"> ชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นชุมชนที่มีความหลากหลายไปด้วยภูมิปัญญาจากการใช้ประโยชน์ของมะพร้าวตั้งแต่รากสู่ปลายยอด และหนึ่งในนั้นคือการจักสานใบมะพร้าวที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการนำทรัพยากรในท้องถิ่นนำมาสร้างเป็นสิ่งของเครื่องใช้ในรูปแบบต่าง ๆ จากแนวโน้มในปัจจุบันผู้คนนิยมทำกิจกรรมศิลปะและงานประดิษฐ์เพิ่มสูงขึ้น โดยการทำกิจกรรมศิลปะจะช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลายและส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกร่วมกัน เป็นหนึ่งในแนวทางที่จะนำไปสู่การลดช่องว่างระหว่างวัยซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในปัจจุบัน ดังนั้น บทความวิชาการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาชุดกิจกรรมสานใบมะพร้าว สานสัมพันธ์ช่องว่างระหว่างวัย ของชุมชนบ้านริมคลองโฮมสเตย์ โดยผู้เขียนได้ศึกษาแนวทางการวิเคราะห์ศักยภาพของชุมชนผ่าน SWOT Analysis การพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อชุมชน การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวัย รวมไปถึงกระบวนการและนำเสนอต้นแบบของชุดกิจกรรม เพื่อเป็นองค์ความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดภูมิปัญญาและทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์และคุณค่าทางใจผ่านการปฏิบัติกิจกรรมแบบมีส่วนร่วม ซึ่งนับว่าเป็นชุดกิจกรรมเชิงนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในยุควิถีใหม่ต่อไป </span></div> พชร วงชัยวรรณ์ ณัฐณิชา มณีพฤกษ์ อินทิรา พรมพันธุ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 172 183 การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ กรณีคำให้การและพยานในคดีอาญา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/264742 <p>การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในคดีอาญาของพนักงานสอบสวนเมื่อพนักงานอัยการแจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว คู่ความในคดีมีสิทธิร้องขอต่อพนักงานอัยการเพื่อขอทราบสรุปพยานหลักฐานพร้อมความเห็นของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการสั่งคดีตามมาตรา 146 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การขอให้เปิดเผยส่วนคำให้การและพยานในคดีอาญาพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจปฏิเสธการเปิดเผย เนื่องจากจะเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ที่สำคัญของเอกชนเพราะมีข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นไปตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ทั้งที่ การขอให้เปิดเผยเป็นการปกป้องสิทธิของคู่ความในคดีจากการถูกแจ้งความเท็จ จึงควรให้หน่วยงานของรัฐผู้ครอบครองข้อมูลข่าวสารราชการ กำหนดหลักเกณฑ์แนวทางให้เป็นไปตามกฎหมาย</p> ศิริประภา สุภารัตนโชติ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 184 193 ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงิน โครงสร้างผู้ถือหุ้นกับการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/268176 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินโครงสร้างผู้ถือหุ้นกับการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยผู้ศึกษาได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ จากงบการเงินของบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2563 – 2565 รวมระยะเวลา 3 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามีทั้งหมด 77 บริษัท มีทั้งสิ้น 231 ข้อมูล ที่มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การศึกษาครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของข้อมูล และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณในการทดสอบสมมติฐาน<br />ผลการวิจัย พบว่า ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาหลักทรัพย์ (Price) ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้างที่จดทะเบียนในหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคืออัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราเงินปันผลตอบแทน (DY) ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่จดทะเบียนในหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคืออัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (CR) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และตัวแปรที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่จดทะเบียนในหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคืออัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นอกจากนี้ยังพบว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับราคาหลักทรัพย์ (Price) อัตราเงินปันผลตอบแทน(DY)และอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV)</p> ภัทรานิษฐ์ สร้อยคำ พรรณทิพย์ อย่างกลั่น Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 1 14 ผลของการใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยที่ส่งเสริมความรู้และทักษะการพูด เพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/268227 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยที่ส่งเสริมความรู้และทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยที่ส่งเสริมความรู้และทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 46 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความรู้ด้านการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85 3) แบบวัดทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนการสอน ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. หลักการ 2. วัตถุประสงค์ 3. เนื้อหาสาระ 4. ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5. การวัดและประเมินผล 6. ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน 2) ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน พบว่า (1) ความรู้ด้านการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) พัฒนาการของทักษะการพูดเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาวิชาชีพครู จากการวัดซ้ำจำนวน 4 ครั้ง เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พรรณิการ์ สมัคร สุวรรณา จุ้ยทอง กันต์ฤทัย คลังพหล พิทักษ์ นิลนพคุณ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 15 27 ปัญหาทางกฎหมายของการได้มาซึ่งนายกสภา กรรมการสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยและผู้บริหารจากการตราข้อบังคับมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/268203 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึง 1) แนวความคิด ทฤษฎีของการได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารจากการตราข้อบังคับมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 2) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ถึงปัญหาทางกฎหมายของการได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารจากการตราข้อบังคับมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารจากการตราข้อบังคับมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะของการวิจัยเอกสารโดยการศึกษาค้นคว้าเอกสารของประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ประเทศฝรั่งเศส และการสัมภาษณ์เจาะลึกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจงและโดยวิธีการสนทนากลุ่ม ผลการศึกษา พบว่า การได้มาซึ่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหารจากการตราข้อบังคับของมหาวิทยาลัยว่าด้วยการสรรหาตำแหน่งดังกล่าวที่ขัดต่อพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 หรือขัดต่อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นกฎหมายที่เป็นฐานอำนาจและมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายที่สูงกว่าข้อบังคับของมหาวิทยาลัย จึงไม่อาจใช้บังคับได้ ขัดต่อหลักความชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับของมหาวิทยาลัยแตกต่างกันที่ขัดต่อกฎหมายและไม่มีกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปประกาศใช้ แนวปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา หากมีข้อความขัดแย้งกับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ไม่อาจใช้บังคับได้</p> นายเสนีย์ เจริญสุข สุขสมัย สุทธิบดี พศวัจณ์ กนกนาก สุเมธ รอยกุลเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 28 39 นวกิจสุนทรียะ : สัมพันธบทการอนุรักษ์และเผยแพร่คุณค่าในจิตรกรรมฝาผนัง พุทธศาสนาวัดมั่นไจ่หลง สิบสองปันนา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/268453 <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่อง “นวกิจสุนทรียะ : สัมพันธบทการอนุรักษ์และเผยแพร่คุณค่าในจิตรกรรมฝาผนังพุทธศาสนาวัดมั่นไจ่หลง สิบสองปันนา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ด้านนอกกุฏิวัดมั่นไจ่หลง จากมุมมองด้านทัศนศิลป์และการออกแบบเพื่อสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม จากการศึกษาสรุปได้ว่าหากการสืบทอดจิตรกรรมฝาผนังวัดมั่นไจ่หลงในยุคใหม่ปราศจากการปกป้องและสืบทอดด้วยวิธีการสืบสานประเพณีดั้งเดิมจะทำให้จิตรกรรมฝาผนังสูญเสียความหมายพื้นฐานไป จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่เป็นพระสงฆ์ พบว่า ปัจจุบันการสืบทอดจิตรกรรมฝาผนังวัดมั่นไจ่หลงแบบดั้งเดิมไม่มีมาตรการป้องกัน ยากต่อการปรับตัวให้เข้ากับการพัฒนาสังคมร่วมสมัยและการสร้างสรรค์ใหม่จะทำให้จิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมขาดความมีชีวิตชีวาและสูญเสียลักษณะเฉพาะไป ดังนั้น สัมพันธบทการอนุรักษ์และเผยแพร่คุณค่าในจิตรกรรมฝาผนังพุทธศาสนาวัดมั่นไจ่หลง สิบสองปันนาที่เหมาะสมคือ 1. การวิเคราะห์เอกลักษณ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง 2. การฟื้นฟูภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมด้วยการสร้างสรรค์จิตรกรรมร่วมสมัยที่สอดคล้องกับยุคสมัยและสะท้อนถึงความสมจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการทั้งสองนี้จะส่งผลให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับการสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนัง ได้ผลงานจิตรกรรมร่วมสมัยที่สอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการสร้างสรรค์จิตรกรรมฝาผนังในอนาคตและทำให้จิตรกรรมฝาผนังพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้รับการอนุรักษ์และเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง</p> ลู่ หยาง ภานุ สรวยสุวรรณ ชูศักดิ์ สุวิมลเสถียร Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 40 54 หัตถกรรมเครื่องเขินแบบดั้งเดิมฝูโจว: การสร้างสรรค์และพัฒนาการออกแบบเครื่องประดับร่วมสมัย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/268501 <p>เครื่องเขินฝูโจวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานระหว่างทักษะการประดิษฐ์และความเจริญรุ่งเรืองทางภูมิปัญญาของคนในสมัยโบราณ แสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของเทคโนโลยีการลงรักแบบดั้งเดิมที่ไม่เพียงขึ้นอยู่กับความประณีต ของช่างฝีมือ ความคงทนในการใช้งานและนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับนโยบายทางวัฒนธรรมความต้องการของผู้บริโภคและการพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งสะท้อนถึงวิวัฒนาการของค่านิยมแห่งยุคสมัย รสนิยมทางวัฒนธรรม แฟชั่นทางสังคมและยังกลายเป็นสื่อที่แสดงออกทางศิลปะอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาของสังคม ในปัจจุบันทำให้รูปแบบ สีสันและการใช้งานเครื่องประดับเครื่องเขินฝูโจวไม่ตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียภาพทางจิตวิญญาณของผู้คนสมัยใหม่ ดังนั้น การวิจัยเรื่อง “หัตถกรรมเครื่องเขินแบบดั้งเดิมฝูโจว: การสร้างสรรค์และพัฒนาการออกแบบเครื่องประดับร่วมสมัย” จึงมีเป้าหมายเพื่อศึกษาหัตถกรรมเครื่องเขินฝูโจวของประเทศจีน ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ เทคนิคหัตถกรรม ความหลากหลายของรูปแบบและสุนทรียศาสตร์ของเครื่องเขินสมัยราชวงศ์ซ่งเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการออกแบบเครื่องประดับเครื่องเขินร่วมสมัยที่เหมาะสมยิ่งขึ้นทั้งในด้านมุมมองของการสร้างสรรค์และความงามทางวัฒนธรรมร่วมสมัย การออกแบบเครื่องประดับเครื่องเขินร่วมสมัยในครั้งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมและการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องเขินแบบดั้งเดิม ทั้งยังเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมให้กับการออกแบบเครื่องประดับสมัยใหม่และสร้างรายได้ให้กับชุมชม</p> ชุน หลิว ปิติวรรธน์ สมไทย ภานุ สรวยสุวรรณ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 55 69 การพัฒนาเครือข่ายการดูแลทางสังคมสำหรับกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และสตรีตั้งครรภ์ไม่พร้อมของสหวิชาชีพเพื่อสนับสนุนระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269247 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อรายงานสถานการณ์ของผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ติดเชื้อ HIV และสตรีตั้งครรภ์ไม่พร้อม 2) เพื่อพัฒนาเครือข่ายการดูแลทางสังคม สำหรับผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ติดเชื้อ HIV และสตรีตั้งครรภ์ไม่พร้อมของสหวิชาชีพ และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลทางสังคมประยุกต์การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ดิจิทัลปฏิบัติการแบบออนไลน์ โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วย 100 คน ในช่วงเดือนเมษายน - ธันวาคม 2565 ตามกำหนดเงื่อนไขจากโครงการพัฒนาและเสริมสมรรถนะกลไกและเครือข่ายการดูแลทางสังคมของสหวิชาชีพเพื่อสนับสนุนระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ผู้วิจัยใช้เครื่องมือการปฏิบัติงานทางสังคมสงเคราะห์ และบันทึกข้อมูลในระบบ Platform Social Telecare ผลการศึกษา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ป่วยสูงอายุ 75 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 76 ปี สถานภาพหม้าย การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา มีสิทธิบัตรทอง ไม่ได้ประกอบอาชีพ มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท มาจากเบี้ยผู้สูงอายุและเบี้ยผู้พิการ ไม่มีหนี้สิน ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไม่พึ่งพา สามารถช่วยเหลือตนเองได้ สตรีตั้งครรภ์ไม่พร้อม 15 คน อายุเฉลี่ย 24 ปี สถานภาพโสด การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา มีสิทธิบัตรทอง ไม่ได้ประกอบอาชีพ มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท จากการประกอบอาชีพ ไม่มีหนี้สิน ผู้ติดเชื้อ HIV 10 คน อายุเฉลี่ย 42 ปี เป็นเพศหญิงและเพศชายเท่ากัน สถานภาพโสด การศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น มีสิทธิบัตรทอง ไม่ได้ประกอบอาชีพ มีรายได้มากกว่า 5,000 บาท จากการประกอบอาชีพ ไม่มีหนี้สิน ภาพรวมผู้ป่วยส่วนใหญ่มีปัญหาด้านการเงิน ร้อยละ 77 และความพร้อมของครอบครัวอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 42 โดยได้รับการช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความต้องการ จากการ การเสริมพลังอำนาจ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม การจัดการทรัพยากรทางสังคม และการบริการทางสังคม ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการจัดบริการทางสังคมให้แก่ผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่ม ดังนั้น การพัฒนาเครือข่ายการดูแลทางสังคมโดยมีเครือข่ายทางสังคมดูแลผู้ป่วยแบบบูรณาการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นองค์รวมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> พฤกษาชล เหล่าสกุลศิริ ดวงใจ ดูเบ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 70 82 เกณฑ์และตัวชี้วัดระบบ กลไก รูปแบบเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของพื้นที่การศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269356 <p> การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) พัฒนาเกณฑ์และตัวชี้วัดของระบบ กลไก รูปแบบเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของพื้นที่การศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี 2) ตรวจสอบและยืนยันเกณฑ์และตัวชี้วัดของระบบ กลไก รูปแบบเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของพื้นที่การศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี เป็นการวิจัยเชิงปฎิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยใช้โรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 5 โรงเรียน เป็นกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ โรงเรียนเทพมงคลรังษี โรงเรียนทองผาภูมิ โรงเรียนบ้านซ่อง โรงเรียนบ้านตลุงเหนือ และโรงเรียนเทศบาล 3 (บ้านบ่อ) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกภาคสนาม และแบบสอบถามยืนยันเกณฑ์และตัวชี้วัด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัย พบว่า 1. เกณฑ์และตัวชี้วัดของระบบ กลไก รูปแบบเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของพื้นที่การศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบด้วย 2 ระดับ ได้แก่ ระดับสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) ด้านปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ นโยบาย แผนกลยุทธ์ สมรรถนะผู้บริหาร บทบาทของครู บทบาทของกรรมการสถานศึกษา ภาคีเครือข่าย และโครงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ 2) ด้านกระบวนการ ประกอบด้วย การบริหารจัดการเครือข่ายที่ดี ได้แก่ การมีแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมประจำปีร่วมกับภาคีเครือข่าย มีการดำเนินการตามแผน มีการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และมีการรายงานความสำเร็จให้ภาคีเครือข่าย 3) ด้านผลผลิต ประกอบด้วย นวัตกรรมการบริหาร นวัตกรรมการจัดการเรียนการรู้ของครู นวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ประกอบด้วย การจัดตั้งทีมงานหลัก (Core Team) เพื่อเป็นหน่วยเชื่อมประสานระหว่างสถานศึกษา เขตพื้นที่ และจังหวัด เพื่อผลักดันการขับเคลื่อนการดำเนินงานในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ทำหน้าที่แสวงหา และระดมทรัพยากร ทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของจังหวัดกาญจนบุรี และสร้างพันธะสัญญาในเครือข่ายโดยใช้ความร่วมมือร่วมใจเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี 2. ผลการตรวจสอบ ยืนยันเกณฑ์และตัวชี้วัดของระบบ กลไก รูปเครือข่ายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของพื้นที่การศึกษา จังหวัดกาญจนบุรีโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน พบว่า มีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์<br /> </p> สายสุดา เตียเจริญ ไชยยศ ไพวิทยศิริธรรม มาเรียม นิลพันธุ์ นพดล เจนอักษร Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 83 98 แนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟศาลายาเพื่อส่งเสริมบริบทเมืองแห่งการศึกษา https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269388 <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินความต้องการในการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟและพื้นที่ชุมชนศาลายาในบริบทเมืองการศึกษา ตลอดจนเสนอแนะแนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีที่ส่งเสริมให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยใช้วิธีบูรณาการงานวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงสำรวจ แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย การสำรวจเก็บข้อมูลการประชุมกลุ่มย่อยของนักศึกษาด้วยกระบวนการการมีส่วนร่วม และการใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างรอบบริเวณเทศบาลตำบลศาลายา ผลการวิจัยพบว่า ศาลายามีบทบาทเด่นด้านการศึกษาและที่อยู่อาศัยที่มีพัฒนาการจากเมืองเกษตรกรรม โดยรูปแบบและความต้องการในการพัฒนาเพื่อให้เป็นเมืองแห่งการศึกษาประกอบด้วย 1. ปัจจัยด้านการพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายและเส้นทางสัญจร 2. ปัจจัยด้านการส่งเสริมศักยภาพพื้นที่สาธารณะและพื้นที่กิจกรรมของเมืองที่ให้ความสำคัญทางด้านการศึกษา นอกจากนี้พบว่า ความแตกต่างกันของแต่ละย่านเป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปตามลักษณะการใช้งาน โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพของศาลายาในอนาคต ได้แก่ ย่านสถานีรถไฟศาลายาและตลาดเก่าศาลายา ย่านหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล และย่านตั้งสิน โดยแนวทางพัฒนาหลัก ได้แก่ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมของย่าน การสร้างเสริมกิจกรรมและบริการในพื้นที่ย่าน และการบริหารจัดการย่าน</p> ธีรดา รองรัตน์ วณิชญา ถนอมพลกรัง Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 99 113 การพัฒนาตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269758 <p> </p> <div>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาโมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนมกับข้อมูลเชิงประจักษ์ การดำเนิน การมี 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การพัฒนาโมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนโดยการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมถึงการสัมภาษณ์ความคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และระยะที่ 2 การตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมที่สร้างขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 37 คน และครูจำนวน 390 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 427 คน ในปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.47-0.89 และค่าความเชื่อมั่น 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</div> <div>ผลการวิจัย พบว่า 1) โมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก 14 องค์ประกอบย่อยและ 72 ตัวบ่งชี้ และ 2)โมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยมีค่าไค-สแควร์ (Chi-Square : x<sup>2</sup> เท่ากับ 62.79 ค่าองศาอิสระ (df) เท่ากับ 70 ค่านัยสำคัญทางสถิติ (P-value) เท่ากับ 0.72 ค่าดัชนี วัดระดับความสอดคล้อง (GFI) เท่ากับ 0.98 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.97 และค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.00 </div> <div> </div> สิทธิพร น้อยคำสิงห์ วัลนิกา ฉลากบาง บุญมี ก่อบุญ Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 114 128 การพัฒนาระบบบัญชีรับเงินและระบบบัญชีจ่ายเงินของสหกรณ์โครงการบ้านมั่นคง ในเขตตำบลเกาะขวาง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269987 <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบบัญชีการรับเงินและการจ่ายเงินของสหกรณ์โครงการบ้านมั่นคงในเขตตำบลเกาะขวาง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี มีระยะเวลาดำเนินการวิจัยระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 ถึง 25 กรกฎาคม 2566 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก กับประธานและ ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีของสหกรณ์ การศึกษาจากเอกสาร ตำรา เอกสารหลักฐานในการจัดทำบัญชี และคู่มือประกอบการลงบัญชีของสหกรณ์โครงการบ้านมั่นคง ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br />ผลการวิจัย พบว่า สภาพบริบท มีการจัดทำบัญชีตามระเบียบที่นายทะเบียนสหกรณ์กำหนด การบันทึกบัญชีด้วยมือ และจึงนำไปบันทึกลงโปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชี ปัญหาการบริหารจัดการด้านระบบบัญชี สหกรณ์ไม่เคยใช้ระบบบัญชีการรับเงินและการจ่ายเงินมาก่อน ขาดความรู้เรื่องระบบบัญชีที่ดี ทั้งด้านการบัญชีรับเงินและการจ่ายเงิน ไม่มีผังงานขั้นตอนวิธีการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ทำให้บางครั้งเกิดความสับสน และเกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษา และพัฒนาระบบบัญชี จำนวน 4 ระบบ ได้แก่ ระบบบัญชีด้านการรับเงิน ประกอบด้วย 1) ระบบการรับเงินค่าหุ้นสมาชิก 2) ระบบการรับชำระหนี้จากการให้เช่าซื้อที่ดิน และระบบบัญชีด้านการจ่ายเงิน ประกอบด้วย 3) ระบบบัญชีการจ่ายเงินชำระหนี้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) 4) ระบบบัญชีการจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสมกับลักษณะการดำเนินงานของสหกรณ์ และง่ายต่อการนำไปใช้งานได้จริง รวมถึงลดข้อผิดพลาดในการปฎิบัติงานในระบบบัญชีดังกล่าว</p> <p> </p> วิชิต เอียงอ่อน วราภรณ์ ศรบัณฑิต วัชรินทร์ อรรคศรีวร อลิษา ประสมผล Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 129 141 การวิเคราะห์ปริมาณการสั่งซื้อวัตถุดิบประเภทเครื่องสำอางที่เหมาะสม กรณีศึกษา โรงงานรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/270288 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการเลือกการพยากรณ์ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เหมาะสมและวิเคราะห์ปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลัง โดยทำการคัดเลือกวัตถุดิบ 10003560 เป็นตัวแทน เพราะเป็นวัตถุดิบที่มีระยะเวลาในการสั่งซื้อและราคาต่อกิโลกรัมสูงที่สุด โดยใช้การพยากรณ์ทั้งหมด 3 วิธี ได้แก่ 1) วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย 3 เดือน 2) วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย 6 เดือน และ 3) วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โปเนียนเชียลชั้นเดียว และเลือกวิธีพยากรณ์ที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาจากค่าความคลาดเคลื่อนที่ต่ำที่สุด จากผลการศึกษาเลือกวัตถุดิบ 10003560 เพราะ มีระยะในการสั่งซื้อและราคาต่อกิโลกรัมสูงที่สุด โดยใช้รูปแบบ การพยากรณ์ทั้งหมด 3 วิธี และพบว่าการพยากรณ์วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โปเนียนเชียลชั้นเดียว มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำที่สุด และผลวิเคราะห์ปริมาณการสั่งซื้อแบบประหยัดของวัตถุดิบ 10003560 เท่ากับ 275 กิโลกรัมต่อครั้ง รอบการสั่งซื้อทุก 46 วัน โดยที่ระดับการให้บริการที่ร้อยละ 80 ปริมาณวัตถุดิบคงคลังสำรอง เท่ากับ 23.43 กิโลกรัม และจุดสั่งซื้อใหม่ เท่ากับ 208.41 กิโลกรัม โดยมีต้นทุนรวมการสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บรักษาของวัตถุดิบเท่ากับ 22,654.63 บาทต่อปี จากข้อมูลต้นทุนการสั่งซื้อและต้นทุนการเก็บรักษาของวัตถุดิบแบบเดิม 41,096.77 บาทต่อปี ซึ่งสามารถลดต้นทุนรวมลงได้ 18,442.14 บาทต่อปี หรือลดลงร้อยละ 45</p> ยุทธพล ประโมจนีย์ ฐิติมา วงศ์อินตา Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 142 157 การศึกษาการเปลี่ยนแปลงบทบาทของนักแสดงชายไทยในบริบทเรื่องชายรักชาย ของซีรีส์และละครโทรทัศน์ไทย https://so01.tci-thaijo.org/index.php/rdi-aru/article/view/269882 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงบทบาทของนักแสดงชายไทยในบริบทชายรักชายในซีรีส์และละครโทรทัศน์ไทย 2) เพื่อศึกษาการรักษาภาพลักษณ์ของนักแสดงไทยในบริบทชายรักชายในซีรีส์และละครโทรทัศน์ไทยโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เป็นเครื่องมือในเก็บรวบรวมข้อมูลและสัมภาษณ์นักแสดงชายไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทจํานวน 7 คน โดยแบ่งเป็นนักแสดงชายที่แสดงบทบาทในซีรีส์และละครโทรทัศน์ทั่วไปแล้วเปลี่ยนแปลงบทบาทมาเป็นนักแสดงในซีรีส์และละครโทรทัศน์ชายรักชายจํานวน 4 คน และนักแสดงชายที่เปลี่ยนแปลงบทบาทจากนักแสดงในซีรีส์และละครโทรทัศน์ชายรักชายไปเป็นซีรีส์และละครโทรทัศน์ทั่วไป จํานวน 3 คน ซึ่งผลการวิจัยพบว่า นักแสดงชายที่มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทจากซีรีส์และละครโทรทัศน์ทั่วไปมาเป็นนักแสดงชายในซีรีส์และละครโทรทัศน์ชายรักชาย มีการดูแลภาพลักษณ์หลังการเปลี่ยนแปลงบทบาท เพื่อให้ตรงกับความชื่นชอบของกลุ่มแฟนคลับเพื่อให้สามารถต่อยอดการทำงานในวงการบันเทิงได้ในอนาคต แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงตนเองในทุก ๆ ด้าน แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในรูปแบบของรูปลักษณ์ภายนอก ขณะที่นักแสดงชายที่เปลี่ยนแปลงบทบาทจากซีรีส์และละครโทรทัศน์ชายรักชายมาเป็นซีรีส์และละครโทรทัศน์ทั่วไปไม่ได้คํานึงถึงปัจจัยด้านภาพลักษณ์เป็นหลัก แต่จะสนใจเรื่องบทบาทและ การแสดงในซีรีส์หรือละครโทรทัศน์ไทย นอกจากนี้ นักแสดงที่มีการเปลี่ยนแปลงบทบาททั้งสองรูปแบบไม่ได้คํานึงถึงปัจจัยด้านค่าตอบแทนและค่านิยมในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบทบาท แต่เป็นเพราะปัจจัยด้านความท้าทายของตัวบทบาทคาแรกเตอร์ และการแสดงที่แตกต่างออกไปและไม่เหมือนเดิมจึงทำให้ตัดสินใจรับการแสดงในแต่ละบทบาท</p> สมคิด แซ่คู องอาจ สิงห์ลำพอง Copyright (c) 2023 วารสารวิจัยราชภัฏกรุงเก่า สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-28 2023-12-28 10 3 158 171