วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal
<p style="font-weight: 400;"> วารสารเกษตร มสธ. (STOU Journal of Agriculture) จัดทำโดยสาขาวิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยทางด้านเกษตรศาสตร์ การส่งเสริมการเกษตร ธุรกิจการเกษตร สหกรณ์ ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วารสารแต่ละฉบับจะตีพิมพ์บทความไม่น้อยกว่า 8 เรื่อง เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 เดือนมิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนธันวาคม</p> <p style="font-weight: 400;"> ทุกบทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ จะได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviews) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน ก่อนได้รับการตีพิมพ์บทความ ซึ่งจัดว่าเป็นบทความที่สามารถใช้เป็นผลงานทางวิชาการได้ตามประกาศ ก.พ.อ. ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2564 สำหรับผู้สนใจสามารถส่งบทความตีพิมพ์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย</p> <p>Online ISSN: 2773-9937</p>
Sukhothai Thammathirat Open University
th-TH
วารสารเกษตร มสธ. (Online)
2773-9937
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธฺ์ของวารสารเกษตร มสธ.</p> <p>ข้อความที่ปรากฎใน</p>
-
การตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนตระแสง จำกัด
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/280702
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านสหกรณ์ ในการตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนตระแสง จำกัด 2) การตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์ 3) ความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคลปัจจัย ด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านสหกรณ์ต่อการตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์ และ 4) ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ในการตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์</p> <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ประชากรที่ใช้การศึกษา คือ สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนตระแสง จำกัด จำนวน 2,442 ราย ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน ที่ค่าความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 344 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติเชิงพรรณาที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าไคสแควร์ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) สมาชิกส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 61 ปีขึ้นไป มีอาชีพทำนา มีสถานภาพสมรส จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ระยะเวลาการเป็นสมาชิก 7 ปี ขึ้นไป ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ มีรายได้ รายจ่าย และภาระหนี้สินต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ปัจจัยทางสังคม ด้านการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และค่านิยมในการบริโภคอยู่ในระดับปานกลาง และปัจจัยด้านสหกรณ์ ด้านความมั่นคงของสหกรณ์ การบริการของสหกรณ์ สิ่งจูงใจในการออมและการประชาสัมพันธ์ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) การตัดสินใจออมเงินส่วนใหญ่ในรูปแบบเงินฝากออมทรัพย์ จำนวนเงินออมต่อครั้งต่ำกว่า 1,000 บาท จำนวนเงินออมรวมไม่เกิน 10,000 บาท ความถี่ในการออม โดยตามความสะดวกของสมาชิก และวัตถุประสงค์ในการออมส่วนใหญ่ เพื่อเหตุฉุกเฉิน 3) ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจออมเงินของสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนตระแสง จำกัด ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4) ปัญหาและอุปสรรค สมาชิกส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพทำนา รายได้ขึ้นอยู่กับปริมาณราคาผลผลิต สมาชิกไม่มีความรู้เรื่องการออม สหกรณ์ไม่มีการเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อดึงดูดสมาชิก โดยข้อเสนอแนะสหกรณ์ควรพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ ให้ความรู้เรื่องการออม การจัดทำบัญชีครัวเรือนและแนะนำอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ครัวเรือน</p> <p><strong> </strong></p>
ลักษณี เครือมั่น
วรชัย สิงหฤกษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
7 1
-
พฤติกรรมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/280726
<p>บทความนี้เป็นการสังเคราะห์งานวิจัยเชิงคุณภาพ (Research Synthesis) ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 – 2568 จำนวน 27 เรื่อง โดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภค 2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ 3) วิเคราะห์ความสอดคล้องของพฤติกรรมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 - 2570 โดยใช้วิธีให้เหตุผลเชิงอุปมาน (Induction Reasoning) เพื่อหาข้อสรุปด้านผลการศึกษา (Meta Data Analysis) ผลการวิจัยพบว่า งานวิจัยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการดำเนินการสอดคล้องตามแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2566 - 2570 เมื่อบูรณาการข้อสรุปร่วมกับแนวคิด “พฤติกรรมผู้บริโภค” ของศิริวรรณ เสรีรัตน์ และแนวคิด “ความเชื่อมั่น” ของ Chopra and Wallace จะเกิดเป็นองค์ความรู้ในพัฒนาการตลาดและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสินค้าเกษตรอินทรีย์ ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้กับผู้บริโภคได้</p>
ณัฐวรี ทองเด็จ
พนามาศ ตรีวรรณกุล
เมตตา เร่งขวนขวาย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
7 1
52
62
-
“ข้าวไทย” เป็นได้มากกว่า ข้าว (ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสาร)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/282096
<p> “ข้าว” จะมีความหมายที่มากกว่า ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง และ ข้าวสารอย่างไร การผลิตข้าวที่มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ราคาข้าวเปลือกต่ำ คุณภาพของผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมายังไม่มีการสรุปได้ว่า การลดต้นทุนการผลิตข้าวได้อย่างไร องค์ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ทั้งหมดต้องรู้ว่าข้าว มีการเจริญเติบโต คือ ระยะข้าวกล้า, ระยะข้าวแตกกอ, ระยะข้าวสร้างรวงอ่อน, ระยะข้าวออกดอก และ ระยะเก็บเกี่ยว การจัดการปุ๋ยอย่างเหมาะสม เพื่อวัตถุประสงค์ (1) ใส่ระยะข้าวกล้า เพื่อสร้าง ราก ต้น และใบข้าว, (2) ใส่ระยะข้าวแตกกอ เพื่อเพิ่มจำนวนต้นข้าวต่อกอ, และ (3) ใส่ระยะข้าวสร้างรวงอ่อนเพื่อสร้างจำนวนเมล็ดต่อรวง หลังจากข้าวสร้างเมล็ดต่อรวงแล้ว การดูแลเพียงการจัดการน้ำเท่านั้น ผลผลิตที่ได้จากการปลูกข้าว เป็นข้าวเปลือก มูลค่าข้าวจะเพิ่มได้อีก จากการแปรรูปส่วนต่างๆของข้าว คือ ฟางข้าว ข้าวกล้อง ข้าวสาร แกลบ รำข้าว สร้างเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ เครื่องดื่ม ไอศกรีม จากข้าว ผลิตภัณฑ์ แป้งจากข้าว น้ำมันรำข้าวหรือเครื่องสำอางต่างๆ “ข้าว” จึงเป็นได้ มากกว่า ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง หรือ ข้าวสาร</p>
ลัดดาวัลย์ กรรณนุช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 1
1
9
-
วิเคราะห์โอกาสและความสำคัญของภาษาจีนในธุรกิจเกษตรไทย
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/277477
<p>การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่รวดเร็วและความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ที่แน่นแฟ้นระหว่างจีนและไทยทำให้ประเทศจีนกลายเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่มีศักยภาพสูงสำหรับสินค้าด้านการเกษตรของไทย ซึ่งต้องการตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ถึงบทบาทของทักษะภาษาจีนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการขยายธุรกิจเกษตรไทยในตลาดจีน ไม่เพียงในฐานะเครื่องมือสื่อสารที่สร้างความเข้าใจระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง การเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับตัวตามกฎระเบียบการค้าและมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในจีน การศึกษานี้ใช้วิธีการวิเคราะห์วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าในประเทศจีนและบทความวิจัยที่อยู่ในวารสารที่ได้รับการยอมรับ ประกอบกับประสบการณ์โดยตรงในตลาดจีนของทีมผู้เขียน ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าทักษะภาษาจีนมีบทบาทที่สำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพด้านการสื่อสาร การสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของสินค้าไทยในตลาดจีน และการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว การมีความรู้ภาษาจีนยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำความเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างจากตลาดอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ข้อค้นพบเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาจีนอย่างเป็นระบบในภาคธุรกิจเกษตรไทย เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถสร้างความยั่งยืนในตลาดจีนและเพิ่มโอกาสในตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา</p>
ธนพล ศรีสุขวัฒนชัย
อัจฉรา บุญคง
สุทธวงศ์วดี เสนาวิน
ก่อศักดิ์ โตวรรธกวณิชย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 1
10
21
-
การบริหารวิสาหกิจชุมชนสู่ความสำเร็จ
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/280359
<p>วิสาหกิจชุมชนเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้และลดการย้ายถิ่นฐานของประชาชนในชุมชน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการส่งเสริมสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มความร่วมมือในสังคม และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยการใช้ระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ วิสาหกิจชุมชนยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนให้แก่พื้นที่ชนบท การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชนและช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม การบรรลุความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ชัดเจน วิสาหกิจสามารถวางแผนและจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนธุรกิจที่ดีจะช่วยกำหนดทิศทางการดำเนินงาน การบริหารต้นทุนช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไร ขณะเดียวกันการจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างระบบการผลิตและการกระจายสินค้าที่พร้อมแข่งขันในตลาดอย่างมีประสิทธิผล แนวคิดการบริหารจัดการแบบ 4M ช่วยให้วิสาหกิจชุมชนสู่แนวปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้นประกอบด้วย Man (บุคลากร) Machine (เครื่องจักร) Material (วัสดุ) และ Method (วิธีการ) เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงทุกส่วนของวิสาหกิจให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยการเสริมสร้างการเชื่อมโยงและการสร้างเครือข่ายระหว่างสมาชิกในชุมชนและหน่วยงานภายนอก รวมถึงการส่งเสริมทักษะด้านการตลาดและการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ การพัฒนาการบริหารจัดการกลุ่มควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยอาศัยแนวคิดการจัดการโดยชุมชน (Community-based Management) ซึ่งเป็นแนวทางที่ส่งเสริมให้สมาชิกในท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการตัดสินใจและการจัดการทรัพยากร วิสาหกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีการพัฒนาและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด รวมถึงการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิตและการกระจายสินค้า ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนมีความน่าสนใจและแข่งขันได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ การรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและการพัฒนาให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จในระยะยาวของวิสาหกิจชุมชน.</p>
เพ็ญศิริ ไพจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 1
22
31
-
เหามนุษย์ (Pediculus humanus capitis) : การกำจัดโดยใช้แชมพูและ น้ำมันจากพืช
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/stouagjournal/article/view/280967
<p>การศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดจากว่านทรหด (<em>Curcuma</em> xanthorrhiza) ชะมวง (<em>Garcinia cowa</em>) เสาวรส (<em>Passiflora laurifolia</em>) ระกำ (<em>Salacca wallichiana</em>) ตะคร้อ (<em>Schleichera oleosa</em>) และไพล (<em>Zingiber cassumunar</em>) ในการกำจัดไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยเหา (<em>Pediculus humanus capitis</em>) ที่สกัดด้วยเอทิลแอลกอฮอล์ 95% ในรูปน้ำมันและแชมพู พบว่า การจุ่มไข่เหาลงในสารทดสอบนาน 5 นาที ของสารผสมกันระหว่างน้ำมันไพลกับน้ำมันว่านทรหด มีประสิทธิผลในการกำจัดไข่เหาได้ดีกว่าน้ำมันจากพืชชนิดเดียวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งน้ำมันไพล 5% ผสมกับน้ำมันว่านทรหด 5% อัตราส่วน 1:1 สามารถยับยั้งการฟักไข่ได้ 95.3% (หลังทดสอบ 20 วัน) และมีค่ามัธยฐานของเวลาที่ทำให้ไข่เหาตาย (LT<sub>50</sub>) เท่ากับ 3.5 วัน ส่วนน้ำมันไพล 10% และน้ำมันว่านทรหด 10% ชนิดเดียว สามารถยับยั้งการฟักไข่ได้ 66.7% และ 93.3% และมีค่า LT<sub>50</sub> เท่ากับ 4.5-11.4 วัน สำหรับเหาที่สัมผัสแชมพูเสาวรส 10% ให้ผลดีที่สุดในการทดสอบ โดยทำให้ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเหาตาย 100% (หลังการสัมผัส 30 นาที) โดยมีค่า LT<sub>50</sub> เท่ากับ 0.4 นาที (ตัวอ่อน) และ 0.5 นาที (ตัวเต็มวัย) ส่วนแชมพูชะมวง 10% แชมพูตะคร้อ 10% และแชมพูระกำ 10% ทำให้ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเหาตายระหว่าง 76.0-100% และมีค่า LT<sub>50</sub> ระหว่าง 0.9-3.1 นาที ในขณะที่แชมพู carbaryl มีผลทำให้ทุกระยะของเหาตาย 73.3-96% โดยสรุป วิธีการกำจัดเหาที่มีประสิทธิผลควรใช้น้ำมันผสมระหว่างไพลกับว่านทรหดควบคู่กับแชมพูเสาวรส สามารถลดจำนวนประชากรและการระบาดของเหาได้ดี รวมทั้งปลอดภัยต่อผู้ใช้และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม</p>
ศิรวุฒิ สิทธิโชค
มยุรา สุนย์วีระ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตร มสธ. (Online)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
7 1
32
37