การตีตราและการกดทับ LGBTQ ในสังคมไทย

บทคัดย่อ

บทความทางวิชาการนี้มุ่งนำเสนอสภาพสถานการณ์การตีตรา กดทับเรื่องเพศและแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านการลดการตีตรา กดทับเรื่องเพศที่เป็นสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ดีเรื่องเพศและลดการตีตรา การสร้างตราบาปจากกการกดทับความรู้สึกแย่ๆ (ความรู้สึกต่อต้านและการไม่ยอมรับของคนในสังคม)ให้กับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศต่อไปในอนาคต ภายใต้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อลดการตีตรา การสร้างตราบาปจากการกดทับความรู้สึกดังกล่าว มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังนี้ 1. เพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในด้านความเสมอภาค ความเท่าเทียมในการแสดงออกทางความคิด การแสดงออกทางความคิด สายตาและคำพูดของคนในสังคม โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติ ดังนี้ 1.1 มิติด้านครอบครัว   เป็นการทำให้การมีสถานะตัวตนของความเป็นมนุษย์ปุถุชนของผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคม มีการสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวและคนรอบข้างให้ลดการรังเกียจเดียดฉันท์ต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคม 1.2 มิติทางสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Perspective) เน้นการสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างภาพลักษณ์และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันทุกเพศสภาพในสังคมและ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อทุกคนและทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะผู้มีความหลากหลายทางเพศในเชิงจิตศาสตร์และสังคมศาสตร์ เปลี่ยนจากการตีตรา การทำร้ายและการเกลียดชังทางสังคมและสื่ออิเลคทรอนิคส์ (a place to Hate) ให้เป็นพื้นที่แห่งความรักความผูกพันและความเมตตาดุจกัลญาณมิตร (a place to Love) 1.3 มิติทางสิ่งแวดล้อม (Eco-efficiency Perspective) เป็นการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและการยอมรับให้กับคนในสังคมเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมเพื่อให้โอกาสพัฒนาศักยภาพและจัดพื้นที่ทางสังคมกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเพื่อให้เกิดการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อทุกคน รวมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศ และสร้างและให้โอกาสการเข้าถึงสิทธิกับทุกเพศวิถีและสร้างความเสมอภาคในสังคม 2. การแก้ปัญหาการกดทับ การตีตราที่เกิดขึ้นจากสื่อต่างๆ ที่มีต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศบนพื้นฐานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักศีล โดยใช้หลักสาราณียธรรม 6 เป็นหลักธรรมประกอบด้วย เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี  สีลสามัญญตา และ ทิฏฐิสามัญญตา  สําหรับสร้างความสามัคคีปรองดองในการแสดงออกในหน้าที่และความสัมพันธ์ของคนในสังคมและการปฏิบัติต่อกันในสังคม เพื่อให้ทุกคนมีความเห็นใจกัน และมีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันต่อหน้าและลับหลัง ทําให้เกิดความระลึกถึงกันสร้างสรรค์ให้เกิดความรัก ความเคารพ การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน ไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน เสริมสร้างให้เกิดความสามัคคีในสังคม ก็จะทําให้สังคมมีความมั่นคงและเป็นเอกภาพได้ เพราะหากประพฤติตามหลักธรรมนี้จะทำให้ระลึกถึงกันในแง่ดี ทําให้เกิดความรักใคร่ ปรองดองกัน ทําให้เกิด ความเคารพ มีสัมมาคารวะต่อกัน ทําให้เกิดการสงเคราะห์ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ทําให้ เกิดความไม่วิวาท บาดหมางกัน ทําให้เกิดความพร้อมเพรียง สมัครสมานสามัคคีกัน และ ทําให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งด้านพฤติกรรมและวิธีการดำเนินชีวิต  ในการอยู่ร่วมกันกับบุคคลต่างๆในสังคม โดยไม่แบ่งแยกเพศและเพศวิถี