การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้รูปแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์กับการจัดการเรียนรู้รูปแบบบรรยาย รายวิชา สศ 2202101 ประวัติศาสตร์ไทยของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
คำสำคัญ:
การจัดการเรียนรู้รูปแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์, การจัดการเรียนรู้รูปแบบบรรยาย, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบทคัดย่อ
การวิจัยนี้เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจทางการเรียน รายวิชา สศ 2202101 ประวัติศาสตร์ไทย ระหว่างการจัดการเรียนรู้รูปแบบวิธีการทางประวัติศาสตร์กับการจัดการเรียนรู้รูปแบบบรรยาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ คือ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธีการทางประวัติศาสตร์ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบรรยาย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ ใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธีการทางประวัติศาสตร์สูงกว่านักศึกษาที่ได้รับการสอนตามรูปแบบบรรยายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจทางการเรียนหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธีการทางประวัติศาสตร์สูงกว่านักศึกษาที่ได้รับการสอนตามรูปแบบบรรยายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
เอกสารอ้างอิง
เฉลิม นิติเขตต์ปรีชา. (2559). เทคนิควิธีการสอนประวัติศาสตร์ : Teaching History Technique And Methodology. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชัยรัตน์ โตศิลา และวลัย อิศรางกูร ณ อยุธยา. (2555). กระบวนการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์และวิธีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบโดยเรียงลำดับการพิจารณาเป็น 1 - 2 และ 3 : แนวทางในการพัฒนาทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 10(1).
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2551). ประวัติศาสตร์แห่งชาติ “ซ่อม” ฉบับเก่า “สร้าง” ฉบับใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: กองทุนเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ.
เพียงฤทัย พุฒิคุณเกษม. (2557). การพัฒนาสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนในรายวิชา ส33265 โครงงานประวัติศาสตร์ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์. วารสารวิชาการ Veridian E-Journal. ปีที่ 7(2).
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา. (2561). รายงานผลการดำเนินการ มคอ.5 รายวิชา สศ 2202101 ประวัติศาสตร์ไทย. อุตรดิตถ์: สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์.
ราชกิจจานุเบกษา. (2560). เล่มที่ 136 ตอนพิเศษ 56 ง.
สมนึก อ่อนแสง. (2554). ผลการเรียนรู้ด้วยวิธีทางประวัติศาสตร์ร่วมกับเทคนิคจิกซอว์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและเจตคติต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร.
สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2554). การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการประเมินตามสภาพจริง. เชียงใหม่ : เชียงใหม่โรงพิมพ์แสงศิลป์.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ. (2554). เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ครู แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
สิริวรรณ ศรีพหล. (2553). การจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในสถานศึกษา. นนทบุรี: โครงการส่งเสริมการแต่งตำรา สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
อนุพงษ์ ชุมแวงวาป และอังคณา ตุงคะสมิต. (2554). ผลการใช้หน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design) โดยใช้การสอนด้วยวิธีการ ทางประวัติศาสตร์ ต่อการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา ปีที่ 5(1).
อัครเดช แสนณรงค์ และลัดดา ศิลาน้อย. (2558). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดอย่างมีวิจารณญาณรายวิชา ส 31102 ประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การสอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก. วารสารศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา. มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีที่ 9(1).
Cercadillo, L. (2006). ‘Maybe they haven’t decided yet what is right:’ English and Spanish perspectives on teaching historical significance. Teaching History, 125.
Diestz, M.J. (2012). Teahing History. Retrieved from https://Net.th/dao/detail.nsp.
Newton D. P, Newton L. D and Oberski I. (1998). Learning and conceptions of understanding in history and science: lecturers and new graduates compared. Studies in Higher Education Vol 23(1).
