แนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการ ปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3
คำสำคัญ:
ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมน, แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู, โรงเรียนอนุบาลบางละมุงบทคัดย่อ
แรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงาน เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้บุคคลเกิดความกระตือรือร้น ผลักดันหรือจูงใจให้บุคคลแสดงบทบาทความสามารถออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำงานด้วยความเต็มอก เต็มใจ ทุ่มเทและใช้ความพยายามในการทำงานให้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพมากขึ้น อันก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานไปในทิศทางที่ต้องการ ดังนั้น ผู้บริหารทุกระดับจะต้องทำหน้าที่จูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใช้ศักยภาพในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาองค์กร มีความเข้าใจแรงจูงใจตนเอง ซึ้งรู้วิธีตอบสนองความต้องการของตนกับผู้อื่น กลายเป็นคนที่รู้ใจคนได้ดี อันจะนำไปสู่การสร้างเสริมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ดีทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันกับสภาพที่คาดหวังแนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 2) เพื่อสร้างแนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 3) เพื่อยืนยันแนวทางการสร้างแนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ประชากร ได้แก่ ครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิเคราะห์ PNImodified
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Advancement) ด้านความรับผิดชอบ (Responsibility) ด้านความสำเร็จของงาน (Achievement) ด้านลักษณะของงาน (Recognition) และด้านการยอมรับนับถือ (Work Itself) สภาพที่คาดหวังการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทั้ง 5 ด้าน เรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Advancement) ด้านความรับผิดชอบ (Responsibility) ด้านลักษณะของงาน (Recognition) ด้านความสำเร็จของงาน (Achievement) และ ด้านการยอมรับนับถือ (Work Itself) 2) ความต้องการจำเป็นการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 พบว่า ลำดับความต้องการจำเป็นในการสร้างแรงจูงใจเพื่อการปฏิบัติงานตามทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนให้ครูเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ลำดับที่ (1) ด้านการยอมรับนับถือ (Work Itself) ลำดับที่ (2) ด้านลักษณะของงาน (Recognition) ลำดับที่ (3) ด้านความสำเร็จของงาน (Achievement) และด้านความรับผิดชอบ (Responsibility) ลำดับที่ (5) ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Advancement) 3) แนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ประกอบด้วย 5 ด้าน 27 แนวทาง ประกอบด้วย (1) ด้านความสำเร็จของงาน (Achievement) 7 แนวทาง (2) ด้านการยอมรับนับถือ (Work Itself) 5 แนวทาง (3) ด้านลักษณะของงาน (Recognition) 5 แนวทาง (4) ด้านความรับผิดชอบ (Responsibility) 5 แนวทาง (5) ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Advancement) 5 แนวทาง 4) แนวทางการใช้ทฤษฎีเฮอรส์เบิร์คและไซเดอร์แมนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนอนุบาลบางละมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ประกอบด้วย 5 ด้าน 27 แนวทาง ด้านความเหมาะสมโดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และด้านความเป็นไปได้ โดยรวมมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). พื้นฐานการวิจัยเบื้องต้นการศึกษา. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์.
บุญชม ศรีสะอาด และคณะ. (2554). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ: สุรีวิทยาสาส์น.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2551). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: จามจุรีโปรดักท์.
สุพรรณิกา รุจิวณิชย์กุล. (2564). แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 12. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
อรสา เพชรนุ้ย (2560). การศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฏ สุราษฎร์ธานี.
Herzberg, F, Mausner, B. (1959). The motivation to work. New York: McGraw-Hill.
Krejcie, R.V., & D.W. Morgan. (1970).“Determining Sample Size for Research Activities”. Educational and Psychological Measurement. 30(3) : 607 – 610.
ไฟล์ประกอบ
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ภาวนาสารปริทัศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.