การลดความรุนแรงในการบังคับคดียาเสพติด

Main Article Content

จิรวุฒิ ลิปิพันธ์

บทคัดย่อ

การกำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยเฉพาะการผลิต การนำเข้า และการครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติด อันเป็นไปตามแนวทางของอาชญากรรมที่ต้องปราบปรามอย่างอดทนไม่ได้ (Zero Tolerant)  ถือได้ว่าเป็นการบังคับคดีและบังคับโทษที่มีความรุนแรงและส่งเสริมให้มีการปฏิบัติที่ไม่มีมนุษยธรรมแก่ผู้ต้องขังคดียาเสพติด รวมทั้งมีการตีความการกระทำความผิดและอัตราส่วนโทษในลักษณะที่รวดเร็ว รวบรัด ปราศจากการแสวงหาความจริงแห่งคดี และส่งผลต่อการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจับกุมผู้กระทำความผิด ทำให้เกิดปัญหาผู้ต้องขังคดียาเสพติดล้นเรือนจำ และการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดต่างๆของสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติเหมาะสมกับผู้ต้องขัง จึงควรนำนโยบายการลดความรุนแรงในการบังคับคดียาเสพติด (Harm Reduction) มาใช้ ซึ่งเกิดจากแนวคิดนโยบายทางอาญาสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การไม่กำหนดคดีอาญา (Decriminalization) ได้แก่ การแสวงหาเหตุผลในการไม่ดำเนินคดีอาญากับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดระดับเล็กน้อย, การเปิดเสรียาเสพติด (Drug Liberalization) ได้แก่ แนวคิดในการให้ประชาชนสามารถใช้ยาเสพติดได้อย่างเสรีมากขึ้นโดยลดทอนความเป็นอาชญากรรมและมาตรการดำเนินคดี และการทำให้ยาเสพติดถูกต้องตามกฎหมาย (Drug Legalization) ซึ่งได้แก่ การบัญญัติกฎหมายภายในประเทศเพื่อรับรองการใช้ยาเสพติดประเภทนั้นๆว่าถูกต้องตามกฎหมาย 


            จากการศึกษาเชิงเอกสาร แนวทางในการลดความรุนแรงในการบังคับคดียาเสพติดของต่างประเทศ ได้แก่  สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐฝรั่งเศส ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศโปรตุเกส ประเทศญี่ปุ่น ประเทศแคนาดา และประเทศเดนมาร์ก และประเทศไทย เพื่อประเมินประสิทธิภาพมาตรการทางกฎหมายของแต่ละประเทศเป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ และบรรลุวัตถุประสงค์ว่าด้วยการลดความรุนแรงของการบังคับคดียาเสพติดหรือไม่ ผลการศึกษาคือ ประเทศที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ประเทศที่สามารถมีการกำหนดนโยบายและบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการลดความรุนแรงในคดียาเสพติด มีโครงการนำร่องต่างๆ เพื่อลดความรุนแรงในคดียาเสพติด รวมถึงการดำเนินการจำแนกผู้กระทำความผิดรุนแรงออกจากผู้กระทำความผิดเล็กน้อยหรือผู้ป่วย และปรากฏมาตรการรองรับการอบรม การบังคับบำบัดรักษา การนำสารเสพติดไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานภาคประชาชนอย่างมีบูรณาการ ประเทศในกลุ่มนี้ได้แก่ ประเทศโปรตุเกส ประเทศแคนาดา ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเดนมาร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น ส่วนประเทศไทย ถือว่าเป็นการเริ่มต้นนำหลักการการลดความรุนแรงในคดียาเสพติดมาใช้ในลักษณะของการกำหนดนโยบายและหลักการ แต่ยังไม่ได้มีการบังคับใช้ในทางปฏิบัติ ที่ผ่านมารัฐบาลได้แก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ จำแนกประเภทของผู้กระทำความผิดระหว่างผู้เสพ ผู้ป่วย กับผู้จำหน่ายอย่างจริงจัง ให้ความสำคัญมากขึ้นในกระบวนการบำบัดรักษา รวมทั้งการเปิดช่องทางให้สามารถทำการค้นคว้าวิจัยสารเสพติดที่อาจนำไปใช้เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ได้


            ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย ได้แก่ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกลไกประชาสังคมขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างมีบูรณาการเพื่อนำไปสู่ความเป็นอิสระจากปัญหายาเสพติด (Drug Liberalization)  ควรต้องมีการบัญญัติมาตรการทางกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อจำแนกแยกแยะผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ระหว่าง ผู้เสพ ผู้ติดยา ผู้ครอบครองเพื่อเสพ กลุ่มของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้รับจ้างขนยาเสพติด ผู้จำหน่ายรายย่อย ผู้จำหน่ายรายใหญ่ หรือองค์กรอาชญากรรม ออกจากกัน เพื่อการดำเนินคดีที่เป็นธรรมเหมาะสมกับระดับความผิดที่ผู้กระทำความผิดได้กระทำ ตามหลัก Individualization of Punishment  ให้นำหลักหลักการไม่กำหนดความผิดอาญาและโทษทางอาญา (Decriminalization and Penalization) มาใช้โดยให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจในการพิจารณามาตรการที่เหมาะสมกับแต่ละราย โดยอาศัยข้อมูลจากการพิจารณาประวัติการกระทำความผิด พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด และความเห็นร่วมกันระหว่างตำรวจ พนักงานอัยการ และคณะกรรมาธิการคดียาเสพติด (Drug Committee)  โดยคณะกรรมาธิการชุดนี้จะใช้หลักวิชาการแพทย์ในการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าผู้กระทำความผิดนั้นเป็นผู้ป่วยที่ต้องแยกออกมาบำบัดจริงหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเลือกรูปแบบในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย