ปัญหาการนำแนวคิด “Substance-Procedure Dichotomy” มาใช้กับ การรับฟังพยานหลักฐานนอกเอกสารเมื่อต้องตีความสัญญาที่อยู่ภายใต้ บังคับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ค.ศ. 1980

Main Article Content

ธิดารัตน์ ศิลปภิรมย์สุข

บทคัดย่อ

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ค.ศ. 1980 (CISG) มีเจตนารมณ์
เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่เกิดจากความแตกต่างของกฎหมายภายในประเทศ ผู้ประกอบธุรกิจการค้าระหว่าง
ประเทศจึงได้รับประโยชน์จากกฏหมายที่มีความเป็นสากลและถูกออกแบบโดยคำนึงถึงลักษณะพิเศษของการ
ซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะ อย่างไรก็ดี จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าแม้อนุสัญญาฯ
จะมีบทบัญญัติว่าด้วยหลักความเป็นเอกภาพภายใต้ข้อ 7. ปรากฏการณ์ที่นักวิชาการเรียกว่า “homeward
trend” อันขัดต่อเจตนารมณ์ของ CISG นั้น ยังคงปรากฏอยู่ในการตัดสินคดีของศาลภายในรัฐภาคีได้ โดย
อาจมีสาเหตุมาจากความคุ้นชินกับการนำแนวคิด“substance-procedure dichotomy” ซึ่งมีบทบาทสำคัญ
ในการพิจารณาคดีการค้าระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายตามปกตินั้น มาใช้ในการตัดสินคดีที่อยู่ภายใต้บังคับของอนุสัญญาฯโดยเฉพาะในกรณีที่บทบัญญัติเรื่องการตีความสัญญาภาย
ใต้ CISG ที่มักจะถูกวิเคราะห์ว่าเป็นกฏหมายสารบัญญํตินั้น อาจจะมีเนื้อหาที่ต่างจากหลักเกณฑ์เรื่องการรับ
ฟังพยานหลักฐานนอกเอกสารภายใต้กฏหมายภายในของรัฐภาคีได้ การศึกษาวิจัยนี้พบว่า การนำแนวคิด
“substance-procedure dichotomy” มาใช้ในบริบทของข้อพิพาทที่อยู่ภายใต้บังคับของอนุสัญญาโดย
ศาลภายในรัฐภาคีนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพในการบังคับใช้อนุสัญญาฯ
ได้ จึงได้เสนอแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการนำหลักการเรื่องพันธกรณีระหว่างประเทศมาปรับใช้ใน
กระบวนการพิจารณาคดีของศาลในรัฐภาคีแทนการใช้แนวคิดแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรม
ของศาลในรัฐภาคีนั้นดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์สูงสุดของอนุสัญญาฯ

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย