การกำกับดูแลการประกอบกิจการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์: วิเคราะห์ขอบเขตและบทบาทของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
Main Article Content
บทคัดย่อ
ประเทศไทยมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่อาจปล่อยให้มีการดำเนินการเพื่อสำรวจหาแหล่งสะสมและการอัดคาร์บอนลงในแหล่งสะสมในทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือเขตไหล่ทวีปของรัฐโดยปราศจากการอนุญาตและกำกับการประกอบการได้ แม้ว่าพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 จะไม่ได้ถูกตราขึ้นเพื่อนั้นไม่สามารถถูกใช้เป็นฐานทางกฎหมายในการให้สิทธิและกำกับดูแลการดำเนินกิจกรรมกักเก็บคาร์บอนโดยตรง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สามารถถูกตีความให้รับรองถึงสิทธิของผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมในการ “ใช้ประโยชน์จากคาร์บอนไดออกไซด์” ที่เกิดจากกระบวนการผลิตเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ อย่างไรก็ตาม การสำรวจและขุดเจาะหลุมเพื่อกักเก็บคาร์บอนและการอัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับได้ลงในหลุมกักเก็บนั้นมิได้เป็นการดำเนินการเพื่อให้ทราบถึงความมีอยู่ของปิโตรเลียมและมิใช่การนำปิโตรเลียมขึ้นจากแหล่งสะสมแต่เป็นการนำคาร์บอนกลับไปยังแหล่งสะสม (reservoir) การสำรวจพื้นที่และการดำเนินการเพื่อกักเก็บคาร์บอนซึ่งถูกดักจับมาจากพื้นที่นอกแปลงสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจึงมิใช่สิ่งที่ต้องขอรับสิทธิตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และไม่ตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ส่งผลให้หน่วยงานรัฐตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ไม่อาจอาศัยพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ในการให้สิทธิและกำกับดูแลการประกอบกิจการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ดังนั้น จึงควรมีการตรากฎหมายเฉพาะเพื่อการอนุญาตและกำกับดูแลการประกอบกิจการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เป็นการเฉพาะตลอดจนจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลกิจกรรมดังกล่าวเป็นการเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ยังไม่มีการตรากฎหมายและจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะดังกล่าว คณะรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติให้มีหน้าที่และอำนาจการดำเนินการหรือร่วมดำเนินการกับบุคคลผู้ชำนาญการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางธรณีวิทยาในบริเวณอ่าวไทยเพื่อประโยชน์ในการสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาประกอบกิจการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไป
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์และเนื้อหาในเว็บไซต์ของวารสารกฎหมาย (รวมถึง โดยไม่จำกัดเฉพาะ เนื้อหา รหัสคอมพิวเตอร์ งานศิลป์ ภาพถ่าย รูปภาพ ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ) เป็นกรรมสิทธิ์ของวารสารกฎหมาย และผู้ได้รับการโอนสิทธิทุกราย
1. วารสารกฎหมาย ให้อนุญาตให้คุณใช้สิทธิอันไม่เฉพาะเจาะจงที่สามารถถูกถอนเมื่อใดก็ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในการ
- เยี่ยมชมเว็บไซต์และเอกสารในเว็บไซต์นี้ จากคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารผ่านเว็บบราวเซอร์
- คัดลอกและจัดเก็บเว็บไซต์และเอกสารในเว็บไซต์นี้บนลงคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านระบบความจำ cache
- สั่งพิมพ์เอกสารจากเว็บไซต์นี้สำหรับการใช้ส่วนตัวของคุณ
- ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์โดยวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกคุ้มครองภายใต้ Creative Commons Attribution 4.0 International License ซึ่งอนุญาตให้ทุกคนสามารถคัดลอก แจกจ่าย ดัดแปลง ส่งต่อ ผลงานได้ ก็ต่อเมื่อผลงานและแหล่งข้อมูลได้รับการอ้างอิงอย่างเหมาะสม
2. วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้คุณใช้สิทธิอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์และเอกสารบนเว็บไซต์นี้ เช่น การคัดลอก ดัดแปลง เปลี่ยนแปลง ส่งต่อ ตีพิมพ์ แจกจ่าย เผยแพร่ จัดแสดงในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ซึ่งเว็บไซต์หรือเอกสารบนเว็บไซต์ โดยไม่อ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลหรือโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. คุณอาจขออนุญาตที่จะใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์บนเว็บไซต์นี้โดยการเขียนอีเมลล์มายัง journal@law.chula.ac.th
4. วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้มงวดกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์อย่างมาก หากวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่าคุณได้ใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์บนเว็บไซต์นี้โดยไม่ถูกต้องตามการอนุญาตให้ใช้สิทธิ ดังที่กล่าวไปข้างต้น วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอาจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อคุณได้ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เป็นตัวเงินและคำขอชั่วคราวให้คุณหยุดการใช้เอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ คุณอาจถูกสั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามกฎหมายนี้
หากคุณพบเห็นการใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์ของวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ขัดหรืออาจขัดต่อการอนุญาตให้ใช้สิทธิดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเชื่อว่าได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของคุณหรือของผู้อื่น สามารถร้องเรียนมาได้ที่ journal@law.chula.ac.th