ปัญหาการแสวงหาพยานหลักฐานในการป้องกันและปราบปรามทุจริตของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
Main Article Content
บทคัดย่อ
ปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งของปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการแสวงหาพยานหลักฐานในคดีประเภทนี้มีความยากกว่าคดีอาญาทั่วไป ซึ่งในระดับนานาชาติได้แนะนำให้มีการใช้วิธีการพิเศษเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวใน มาตรา 50(1) แห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 (United Nations Convention against Corruption หรือ UNCAC) เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดังนั้นเพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว บทความวิจัยชิ้นนี้จึงทำการวิจัยเอกสาร โดยศึกษาวิเคราะห์ถึงพันธะกิจของมาตรา 50 แห่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต และศึกษาวิเคราะห์กฎหมายภายในของสหราชอาณาจักร (อังกฤษและเวลส์) สหรัฐอเมริกาและประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีการพิเศษเพื่อการแสวงหาพยานหลักฐานตามมาตรา 50(1) แห่งอนุสัญญาดังกล่าว โดยทั้งนี้ ผลลัพธ์ของวิจัยชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการใช้วิธีการพิเศษเพื่อการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สามารถใช้ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐของประเทศไทยต่อไป จากการศึกษา ค้นคว้า และวิเคราะห์ ข้อความดังกล่าวข้างต้น บทความวิจัยชิ้นนี้ได้ข้อสรุปว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ควรที่จะเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้วิธีการพิเศษเพื่อการแสวงหาพยานหลักฐานในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เนื่องจากอำนาจในการแสวงหาพยานหลักฐานโดยทั่วไปนั้นไม่ประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสามารถแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อปราบปรามการทุจริตในภาครัฐได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากวิธีการพิเศษเพื่อการแสวงหาพยานหลักฐานมีลักษณะที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษชน จึงต้องมีการจัดขอบเขตการใช้วิธีการพิเศษเพื่อการแสวงหาพยานหลักฐาน เพื่อให้กระทำตามความเหมาะสมและจำเป็นเท่านั้น
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์และเนื้อหาในเว็บไซต์ของวารสารกฎหมาย (รวมถึง โดยไม่จำกัดเฉพาะ เนื้อหา รหัสคอมพิวเตอร์ งานศิลป์ ภาพถ่าย รูปภาพ ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ) เป็นกรรมสิทธิ์ของวารสารกฎหมาย และผู้ได้รับการโอนสิทธิทุกราย
1. วารสารกฎหมาย ให้อนุญาตให้คุณใช้สิทธิอันไม่เฉพาะเจาะจงที่สามารถถูกถอนเมื่อใดก็ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในการ
- เยี่ยมชมเว็บไซต์และเอกสารในเว็บไซต์นี้ จากคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารผ่านเว็บบราวเซอร์
- คัดลอกและจัดเก็บเว็บไซต์และเอกสารในเว็บไซต์นี้บนลงคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านระบบความจำ cache
- สั่งพิมพ์เอกสารจากเว็บไซต์นี้สำหรับการใช้ส่วนตัวของคุณ
- ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์โดยวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกคุ้มครองภายใต้ Creative Commons Attribution 4.0 International License ซึ่งอนุญาตให้ทุกคนสามารถคัดลอก แจกจ่าย ดัดแปลง ส่งต่อ ผลงานได้ ก็ต่อเมื่อผลงานและแหล่งข้อมูลได้รับการอ้างอิงอย่างเหมาะสม
2. วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้คุณใช้สิทธิอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์และเอกสารบนเว็บไซต์นี้ เช่น การคัดลอก ดัดแปลง เปลี่ยนแปลง ส่งต่อ ตีพิมพ์ แจกจ่าย เผยแพร่ จัดแสดงในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ซึ่งเว็บไซต์หรือเอกสารบนเว็บไซต์ โดยไม่อ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลหรือโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. คุณอาจขออนุญาตที่จะใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์บนเว็บไซต์นี้โดยการเขียนอีเมลล์มายัง journal@law.chula.ac.th
4. วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้มงวดกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์อย่างมาก หากวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่าคุณได้ใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์บนเว็บไซต์นี้โดยไม่ถูกต้องตามการอนุญาตให้ใช้สิทธิ ดังที่กล่าวไปข้างต้น วารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอาจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อคุณได้ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เป็นตัวเงินและคำขอชั่วคราวให้คุณหยุดการใช้เอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ คุณอาจถูกสั่งให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามกฎหมายนี้
หากคุณพบเห็นการใช้เอกสารอันมีลิขสิทธิ์ของวารสารกฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ขัดหรืออาจขัดต่อการอนุญาตให้ใช้สิทธิดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดยเชื่อว่าได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของคุณหรือของผู้อื่น สามารถร้องเรียนมาได้ที่ journal@law.chula.ac.th