ปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกับศาลปกครอง
คำสำคัญ:
ศาลปกครอง, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, ความขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่, อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีบทคัดย่อ
อำนาจอธิปไตยตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ได้แก่ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ และต้องให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งหลักการดังกล่าวปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแหงรัฐธรรมนูญ” เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญประสงค์ให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยมิได้ให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นผู้อำนาจดังกล่าวแต่ผู้เดียว ส่วนองค์กรอิสระ อย่างเช่น คณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือเรียกว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งต่อไปผู้เขียนจะเรียกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. และถือว่าเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจผสม กล่าวคือ มีทั้งอำนาจออกกฎเกณฑ์ อำนาจใช้กฎเกณฑ์และอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทตามกฎหมายที่องค์กรนั้นรักษาการ แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิใช่องค์กรของรัฐที่เป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ และแม้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและมีปัญหาที่จะต้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยชี้ขาด แต่การใช้อำนาจดังกล่าวก็มิใช่อำนาจตุลาการ เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้จัดตั้งขึ้นในลักษณะที่เป็นศาล และไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะการไต่สวนและวินิจฉัยกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดหรือมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และคณะกรรมการดังกล่าวชี้มูลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดทางวินัยด้วย และผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยตามสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ผู้ถูกกล่าวหานำคดีฟ้องต่อศาลปกครอง โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. โต้แย้งว่าการไต่สวนและชี้มูลความผิดเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา กรณีดังกล่าวย่อมถือว่าเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับศาลปกครอง ซึ่งเดิมที รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มิได้มีบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าว ดังนั้น หากมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กับศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยอีกต่อไป แต่รัฐธรรมนูญน่าจะมีเจตนารมณ์โดยปล่อยให้ศาลศาลปกครองเป็นผู้วินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าว เนื่องจากศาลเป็นองค์กรฝ่ายตุลาการซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ดังที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 188 บัญญัติว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
เอกสารอ้างอิง
พุทธศักราช 2550: ศึกษากรณี คณะกรรมการการเลือกตั้ง. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์.
วิษณุ วรัญญู. (2538). องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542.
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที 84/2544.
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.2/2558.
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.69/2559.
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.1400/2559.
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2546.







