การศึกษาเปรียบเทียบดัชนีปริจเฉทภาษาจีนกับภาษาไทย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันมักพบรูปภาษาชนิดหนึ่ง โดยรูปภาษาชนิดนี้สามารถละหรือตัดออกไปได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างทางวากยสัมพันธ์ และต่อความเข้าใจในการสื่อความหมายของรูปประโยคนั้น แต่จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมโยงของถ้อยคำ(Discourse) ผลสัมฤทธิ์ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatic effect) ความเชื่อมโยงของหน่วยถ้อย (Discourse Coherence) หรือไม่สามารถแสดงถึงเป้าหมายที่ผู้พูดต้องการสื่อสารได้ชัดเจน โดยรูปภาษานี้ปรากฏอยู่ทั้งในภาษาจีนและภาษาไทย เรียกว่า ดัชนีปริจเฉท (Discourse Markers) งานวิจัยชิ้นนี้ใช้ฐานข้อมูลภาษาที่สร้างขึ้นเอง และใช้วจนะวิเคราะห์มาวิเคราะห์ดัชนีปริจเฉทในภาษาจีนและภาษาไทย โดยมุ่งเน้นศึกษาด้านที่มา การเปลี่ยนรูปและเสียงทางภาษา (Language deviations) หน้าที่และจำนวนครั้งของการใช้ดัชนีปริจเฉทของเจ้าของภาษาทั้งในภาษาจีนและภาษาไทย เพื่อหาลักษณะเด่นของดัชนีปริจเฉท ผลการศึกษาพบว่า ที่มาของดัชนีปริจเฉทในภาษาจีนและภาษาไทยมีลักษณะสอดคล้องกัน กล่าวคือ มีที่มาจากคำสันธาน คำวิเศษณ์ คำเสริมแสดงน้ำเสียง คำสรรพนาม คำกริยา คำอุทาน และวลี โดยในภาษาจีนมีการปรากฏรูปดัชนีปริจเฉทที่มาจากคาอุทานและวลีมากที่สุด ในภาษาไทยปรากฏรูปดัชนีปริจเฉทที่มาจากคาแสดงน้ำเสียงมากที่สุด ด้านการเปลี่ยนรูปดัชนีปริจเฉทในภาษาจีนและภาษาไทยมีการเปลี่ยนรูปเสียงและโครงสร้างสัญลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงรูปเสียง ปรากฏพบการเปลี่ยนของเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสัญลักษณ์ ปรากฏการเปลี่ยนแปลงโดยการละหรือการย่อ และการซ้ำรูป ด้านหน้าที่ งานวิจัยชิ้นนี้ใช้กรอบทฤษฎีของชิฟฟรีนในการศึกษาหน้าที่ของดัชนีปริจเฉท พบว่ารูปดัชนีปริจเฉทในภาษาไทยมีรูปดัชนีที่ทำหน้าที่แสดงความสุภาพและหน้าที่แสดงความสนิทสนมเป็นลักษณะเด่น และในภาษาจีนมีรูปภาษาที่แสดงถึงความเป็นตัวบุคคลเป็นลักษณะเด่น ด้านจำนวนการใช้ของเจ้าของภาษา งานวิจัยนี้ใช้การคำนวนจากฐานข้อมูลทุกหนึ่งพันตัวอักษรพบว่า ผู้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่มีการใช้ดัชนีปริจเฉทภาษาไทยมากกว่า ผู้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ถึงสองเท่าด้วยกัน โดยผลการวิจัยนี้ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิจัยดัชนีปริจเฉท ทำให้เข้าใจในลักษณะเด่นของดัชนีปริจเฉทภาษาจีนและภาษาไทย และเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาจีนและภาษาไทย
Article Details
ผลงานทางวิชาการที่ลงตีพิมพ์ในวารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนหรือผู้แปลผลงานนั้น หากนำลงในวารสารจีนศึกษาเป็นครั้งแรก เจ้าของผลงานสามารถนำไปตีพิมพ์ซ้ำในวารสารหรือหนังสืออื่นได้โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่หากผลงานที่ได้รับพิจารณานำลงในวารสารจีนศึกษา เป็นผลงานที่เคยตีพิมพ์ที่อื่นมาก่อนเจ้าของผลงานต้องจัดการเรื่องปัญหาลิขสิทธิ์กับแหล่งพิมพ์แรกเอง หากเกิดปัญหาทางกฎหมาย ถือว่าไม่อยู่ในความรับผิดชอบของวารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งนี้ ความคิดเห็นต่างๆ ในบทความเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับกองบรรณาธิการวารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
方 梅.2002.指示词“这”和“那”在北京话中的语法化,《中国语文》第4期。
胡项杰.2013.《浅析话语标记与言语规范—以“然后”为例》,《现代语文》
(语言研究版)第7期。
黄大网.2001.话语标记综述,《福建外语》第1期。
刘丽艳.2011.《汉语话语标记语》,北京:北京语言大学出版社。
吕叔湘.2015《现代汉语八百词》(增订本),北京:商务印书馆。
苗 丽.2016.话语标记“你看”的变体,《现代语文》第10期。
[泰]帕塔马·瓦萨瓦农.1996.泰语日常对话中的话语标记“NA”研究,
朱拉隆功大学硕士学位论文。
孙丽萍,方清明.2011)汉语话语标记的类型及功能研究综观,
《汉语学习》第6期。
熊子瑜.2004.“啊”的韵律特征及其话语交际功能,《当代语言学》第2期。
许家金.2008.《汉语自然会话中话语标记“那(个)”的功能分析》,
《语言科学》第1期。
曾立英.2005.“我看”与“你看”的主观化,《汉语学习》第2期。
中国社会科学院语言研究所词典编辑室.2012.《现代汉语词典第6版》,
北京:商务印书馆。
Amara Prasitharathsint. 1997. Language in Thai Society Diversity Change and Development. Bangkok: Chulalongkorn University Press.
Deborah Schiffrin. 1987. Discourse markers.New York: Cambridge University Press.
Kamchai Thonglo. 1997. Principles of the Thai Language. Bangkok: Ruamsarn Co.,Ltd.
Nawawan Panthumetha. 1982. Thai Grammar. Bangkok: Chulalongkorn University Press.
Ngampan Vejjajiva. 2016. The Happiness of Kati. Bangkok: SE-ED Books Publishing. The Royal Institute. 2004. Thai Dictionary. Bangkok: Nanmee Books Publishing.
《鲁豫有约》https://tv.sohu.com/s2015/luyuyy/
《杨澜访谈录》https://v.youku.com/v_show/id_XODUzODIyNjc2.html
《非诚勿扰》:https://fcwr.jstv.com/
《人再囧途之泰囧》https://www.youtube.com/watch?v=0I8UVr_8jYM
《爱在暹罗》https://www.youtube.com/watch?v=TcJdYgH0c9E
《初恋这件小事》https://v.baidu.com/movie/107921.html
《汉典》 https://www.zdic.net/