การพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพ ด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน
คำสำคัญ:
หลักสูตร e-Training, สมรรถนะครูมืออาชีพ, วิจัยในชั้นเรียนบทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน และ 3) เพื่อศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการของครูในการพัฒนาสมรรถนะด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน และร่างรูปแบบหลักสูตร e-Training เครื่องมือที่ใช้แบบสอบถามสภาพปัญหาและความจำเป็นของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน และแบบสอบถามความต้องการของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน ระยะที่ 2 พัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ 1) หลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน 2) สมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน องค์ประกอบ 3 ด้าน 2.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน 2.2) สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัย และ 2.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียน ตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน จากนั้นนำไปทดลองนำร่องกับครูผู้ช่วย จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ผ่านระบบ e-ClassNet ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา และระยะที่ 3 ศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training ทดลองใช้หลักสูตรครูผู้ช่วย จำวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ โดยใช้เครื่องมือชุดเดียวกับระยะที่ 2
ผลการวิจัยพบว่า
1) ผลการศึกษาสภาพปัญหา ความจำเป็น และความต้องการในการพัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยการตอบแบบสอบถามของครูผู้ช่วย จำนวน 415 คน คือ ผลการศึกษาสภาพปัญหาและความจำเป็นในการทำวิจัยในชั้นเรียนของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (\bar{X} = 3.56 , S.D. = 0.37) ผลการศึกษาความต้องการของครูในการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (\bar{X} = 4.60 , S.D. = 0.16) 2) พัฒนาหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยการตรวจสอบเครื่องมือจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 7 ท่าน มีผลดังนี้ 1) ผลการประเมินหลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยผู้เชี่ยวชาญมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.54, S.D. = 0.52) สามารถแยกเป็นรายด้านได้ 2 ด้าน พบว่า ด้านการประเมินวิทยากร/ผู้วิจัย มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสม อยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.62, S.D. = 0.50) รองลงมาคือด้านการประเมินเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสม อยู่ในระดับ มากที่สุด (\bar{X} = 4.52, S.D. = 0.52) 2) ผลการทดลองนำร่องการใช้หลักสูตร e-Training เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน กับครูผู้ช่วย ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายจริง จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ดังนี้ 2.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 80.00 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูงมาก 2.2) สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 76.60 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง 2.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 90.00 สมรรถนะด้านเจตคติอยู่ในระดับ สูง และ 3) ผลการศึกษาสมรรถนะครูมืออาชีพด้านการทำวิจัยในชั้นเรียนจากการใช้หลักสูตร e-Training ทดลองใช้กับครูผู้ช่วยกลุ่มเป้าหมายจริง จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสมัครใจ ดังนี้ 3.1) สมรรถนะด้านความรู้เกี่ยวกับการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 77.92 3.2) สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง สมรรถนะด้านทักษะในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 75.50 สมรรถนะด้านความรู้ อยู่ในระดับ สูง 3.3) สมรรถนะด้านเจตคติที่มีต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 90.18 สมรรถนะด้านเจตคติอยู่ในระดับ สูงมาก
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และกระทรวงศึกษาธิการ. (2543). ปฏิรูปการเรียนรู้ผู้เรียนสำคัญที่สุด. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการการปฏิรูปการศึกษา.
จตุภูมิ กุลาสา. (2561). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาสมรรถนะในการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา วิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
จารุนันท์ ขวัญแน่น. (2559). การศึกษาปัญหาการทำวิจัยและแนวทางการพัฒนาคุณภาพงานวิจัยของนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ครั้งที่ 3 (ฉบับที่ 1)
ธัญญลักษณ์ วจนะวิศิษฐ์. (2557). การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่งรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศคณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์. วารสารเกื้อการุณย์, 21(1), 100-113.
บุญฤดี อุดมผล. (2563). รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะความเป็นครูเชิงพุทธบูรณาการของนักศึกษาคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ. วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา. 10(2), 161 (เมษายน-มิถุนายน).
บุณยาพร ฉิมพลอย. (2544). ผลของการทำวิจัยในชั้นเรียนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของครูระดับประถมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พิมพ์ผกา จันเทพและพิมพ์พร จารุจิตร์. (2567). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านวิจัยในชั้นเรียนของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 (2024) : เมษายน-มิถุนายน 2567. 120-133.
พิษณุ คนซื่อ. (2551). บทบาทการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนวัดแสงสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 2. สารนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.
ไพศาล สุวรรณน้อย, สันติ วิจักขณาลัญฉ์, วิภาดา วิจักขณาลัญฉ์ และคณะ. (2555). รายงานการวิจัย การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วยหลักสูตรฝึกอบรมแบบ e-Training: UTQ Online. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2553 และ 2554.
รัตติมา โสภาคะยัง. (2556). การพัฒนาศักยภาพครูด้านการทำวิจัยในชั้นเรียน โรงเรียนบ้านห้วยกอก 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามุกดาหาร. วารสารบัณฑิตศึกษา, 10(49), 27-33.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2553). คู่มือการประเมินสมรรถนะครู. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
_______. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข. เพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ : สำนักนายกรัฐมนตรี.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2560 – 2579.กรุงเทพมหานคร : สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
อดุลย์ สนั่นเอื้อเม็งไธสง. (2560). การศึกษาสภาพปัญหาวิจัยในชั้นเรียนของครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วารสารวิทยาลัยนครราชสีมาปีที่ 11 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม 2560).
อนุชิตร แท้สูงเนิน. (2554). สมรรถนะที่พึงประสงค์ของครูสุขศึกษาและพลศึกษา ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2564. ปริญญานิพนธ์ ค.ด. (พลศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวทยาลัย. ถ่ายเอกสาร.
อรอุมา รุ่งเรืองวณิชกุล. (2556). การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะครูนักวิจัยด้วยการบูรณาการกระบวนการเรียนรู้ สำหรับข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2. ปริญญานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
อุลัย นิคม. (2553). การสร้างบทเรียนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง การออกแบบกราฟฟิกส์สำหรับบรรจุภัณฑ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี.
Beauchamp, G.A. (1981). Curriculum theory. Itasca, Illinoise : F.E. Peacock. Bushra Saadoon Mohammed Alnoori. (2019). IMPACT OF TEACHING GRAMMAR THROUGH ACTIVITIES TO IRAQI EFL PUPILS AND ATTITUDE OF TEACHERS TOWARDS ACTIVITIES. Transylvanian Review.Vol XXVII, No. 42.
Dalgaly, T. (2020) Benefits and Drawbacks of Online Education. A paper presented at SLET-2020: International Scientific Conference on Innovative Approaches to the Application of Digital Technologies in Education, November 12-13, 2020, Stavropol, Russia retrieved from http://ceurws.org/Vol-2861/paper_25.pdf
Krejcie and Morgan (1970)
Naoual Ben Amara, Dr. Larbi Atia (2016). E-TRAINING AND ITS ROLE IN HUMAN RESOURCES DEVELOPMENT Global Journal of Human Resource Management Vol. 4, No.1, pp.1-12.
Rawashdeh, A. M., Elayan, M., Shamout, M. D., & Saledh, M. H. (2020). Job satisfaction as a mediator between transformational leadership and employee performance: Evidence from a developing country. Management Science Letters, 10, 3855-3864.
Saylor, J. G., Alexander, W. M., & Lewis, A. J. (1981). Curriculum planning for betterteaching and learning (4th ed.). New York: Holt, Rinehart and Winston.
Taba, H. (1964). Curriculum Development Theory and Practice. New York: Harcourt, Brace & World, INC.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยการบริหารการพัฒนา

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณาจารย์ท่านอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
