การประเมินมูลค่าสิทธิบัตรเพื่อใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงปัญหาการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทสิทธิบัตรในระบบกฎหมายของประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างเรื่องทุนในการประกอบการไม่เพียงพอ โดยลักษณะของการศึกษาจะเป็นการศึกษาในเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบเพื่อเสนอแนะแนวทางในการประเมินมูลค่าสิทธิบัตร รวมไปถึงองค์กรที่ควรมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการประเมินมูลค่าสิทธิบัตรเพื่อนำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจของประเทศไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยมีหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ และสามารถประเมินมูลค่าสิทธิบัตรออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเที่ยงธรรม
ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาซึ่งต้องการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเวทีการเจรจาระหว่างประเทศ จึงมีการนำเอาทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นประเด็นสำคัญหลักในการเจรจาต่อรองเพื่อชิงความได้เปรียบในแง่ดุลทางการค้าและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของสิทธิบัตร เช่น กรณีสิทธิบัตรยา การขยายระยะเวลาความคุ้มครอง เป็นต้น เนื่องจากสิทธิบัตรจะให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และบริการ อีกทั้งยังสร้างรายได้มหาศาลให้แก่เจ้าของหรือผู้ประดิษฐ์คิดค้น โดยรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยด้วยนวัตกรรม ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ นักประดิษฐ์ นักวิจัย หรือผู้ที่คิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมได้มีแหล่งเงินทุนมาใช้ในการลงทุนผลิตและต่อยอดนวัตกรรมมากขึ้น โดยที่เจ้าของสิทธิบัตร หรือเรียกอีกนัยนึงว่า ผู้ทรงสิทธิบัตรจำเป็นที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยใช้สิทธิบัตรเป็นหลักประกัน จึงใช้วิธีการกู้ยืมโดยมีบุคคลหรือหลักทรัพย์ต่างๆ ในการค้ำประกัน เพื่อเป็นหลักประกันในการรับรองว่าจำนวนเงินที่กู้ยืมไปนั้นจะมีการชำระคืนอย่างแน่นอน
จากการศึกษาพบว่าหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการรับประกันการกู้ยืมนั้นมีหลายประเภท เช่น บัญชีเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ใบประทวนสินค้า เป็นต้น แต่หลักประกันที่สถาบันทางการเงินยอมรับ คือ ที่ดิน โดยผู้กู้เพียงแต่แสดงหลักฐานโฉนดที่ดิน หรือหนังสือสำคัญการแสดงซึ่งสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อใช้ในการค้ำประกันการกู้ยืม สถาบันการเงินก็ปล่อยกู้เงินสินเชื่อ เนื่องจากที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถประเมินมูลค่าได้โดยกรมที่ดินหรือกรมธนารักษ์ ปัจจุบันสามารถประเมินในลักษณะที่ดินรายแปลง และมีการปรับปรุงการประเมินทุกๆ สี่ปี ในขณะที่การประเมินมูลค่าในทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิบัตร ที่มีหน่วยงานประเมินในรูปแบบของบริษัทเอกชนที่ได้รับการรับรอง แต่ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาทำหน้าที่นี้โดยตรงอย่างเช่นของต่างประเทศ เช่น ประเทศสหราชอาณาจักร เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน เป็นต้น อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือแนวทางที่ชัดเจนจึงทำให้เกิดปัญหา แม้ว่าในปัจจุบันการอนุญาตใช้สิทธิตามสิทธิบัตรหรือการโอนสิทธิบัตรจะมีค่าตอบแทนก็ตาม แต่เมื่อไม่มีหลักเกณฑ์หรือแนวทางที่แน่ชัด ทำให้เกิดปัญหาในการประเมิน เนื่องจากธนาคาร หรือสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อไม่มั่นใจ และไม่สามารถยอมรับได้ มาตรการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจที่กำหนดให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหลักประกัน จึงไม่บรรลุตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และกลายเป็นปัญหาที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่จะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 จะกำหนดให้สามารถนำสิทธิบัตรมาเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ได้ แต่ยังคงมีประเด็นต่างๆอยู่หลายประการที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการนำสิทธิบัตรมาเป็นหลักประกันในการชำระหนี้ได้ อาทิเช่น การบังคับใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 ที่มีปัญหาการบังคับใช้ และไม่มีมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภทเอาไว้ ตลอดจนไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรที่รับผิดชอบในการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภท เป็นต้น
จากปัญหาดังกล่าวผู้เขียนมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา โดยการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้การบังคับใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล รวมทั้งเพื่อให้การประเมินมูลค่าสิทธิบัตรเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะช่วยสร้างความความมั่นใจแก่ผู้รับหลักประกันในการที่ตนจะได้รับการชำระหนี้ และผู้ให้หลักประกันสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากยิ่งขึ้น โดยนำเอาเงินที่ได้ไปพัฒนาธุรกิจให้มีความก้าวหน้า ทันสมัย มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดเศรษฐกิจตามเจตนารมณ์ที่มีการตราพระราชบัญญัติดังกล่าวที่กำหนดให้มีการนำทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปทรัพย์สินทางปัญญาในประเด็นการส่งเสริมการตลาด และการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เห็นควรจัดตั้งองค์กรของรัฐ ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการประเมินราคาทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดความชัดเจนแน่นอน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการให้รัฐเข้ามาช่วยในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินมูลค่ากลาง แต่ให้เอกชนเป็นผู้ให้บริการ โดยหน่วยงานรัฐเป็นผู้ให้การรับรองมาตรฐานและคุณภาพของการประเมินมูลค่า
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และกองบรรณาธิการไม่มีส่วนรับผิดชอบหรือไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นนั้น แต่ประการใด

