กฎหมายเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดสำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำ ในประเทศไทย
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งศึกษาถึงสภาพปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์และประสิทธิภาพการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาดของประเทศไทย โดยศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการในด้านนโยบายและแผน องค์กร กฎหมายและการมีส่วนร่วมของประชาชน วิธีการศึกษาโดยการเปรียบเทียบกับหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsar Convention) และแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่าปัญหาในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยที่ผ่านมา ได้แก่ 1.ปัญหาความไม่ชัดเจนของนโยบายและแผนการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ 2. ปัญหาความไม่สอดคล้องของเนื้อหากฎหมายกับหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ 3.ปัญหาด้านโครงสร้างขององค์กร 4.ปัญหาการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อนำปัญหามาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของไทยโดยมาตรการในการอนุรักษ์และการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด นำมาเป็นแนวทางที่ดีในการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย
ผู้วิจัยขอเสนอแนะ ได้แก่ 1 ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย รัฐควรกำหนดให้มีการจัดทำแผนแม่บทการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำและแผนปฏิบัติการพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อวางแผนจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งประเทศ 2.ข้อเสนอแนะด้านองค์กร รัฐควรมีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ การจัดตั้งองค์กรจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับจังหวัด โดยทำงานประสานกับคณะกรรมการลุ่มน้ำประจำจังหวัด เพื่อทำหน้าที่รับนโยบายจากส่วนกลาง ส่วนในระดับท้องถิ่น การจัดตั้งคณะอนุกรรมการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับท้องถิ่น หรือคณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำชุมชน 3.ข้อเสนอแนะด้านกฎหมาย รัฐควรออกกฎหมายลำดับรองหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำโดยอาศัยหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ และ4. ข้อเสนอแนะด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐควรสร้างกลไกการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการวางแผนจัดการและการติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชุ่มน้ำ
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และกองบรรณาธิการไม่มีส่วนรับผิดชอบหรือไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นนั้น แต่ประการใด

